243. เถิงอี
เถิงอีไม่ได้หลบหรือป้องกัน เขาเพียงแค่ยอมให้การโจมตีเหล่านั้นโดนมา ทว่าหวังหลินไม่เคยต่อสู้เป็นเวลานานขณะที่ใช้การโจมตีทรงพลังเหล่านี้ โดยเฉพาะขอบเขตจวี่ที่ทำความเสียหายวิญญาณเซียนทุกครั้งที่เขาใช้มัน
ร่างหวังหลินหายไปและปรากฎอีกครั้งห่างไปหนึ่งร้อยเมตร เขานำขวดหยกออกมาและเทของข้างในทั้งหมดเข้าไปในปากเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ
แต่ในเวลาเดียวกันชายร่างผอมยกศีรษะขึ้นและเคลื่อนไหวอีกครั้ง
สีมผัสอันตรายของหวังหลินดังก้องในหัวขณะที่เขาหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว อีกครั้งแล้วที่เขาแทบไม่ไปไหนขณะที่ชายร่างผอมปรากฎและโจมตี
หน้าผากหวังหลินเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อขณะที่ย่อยเม็ดยาที่พึ่งกลืนกินเข้าไปเพื่อฟื้นฟูพลังปราณในร่าง เขาตบกระเป๋าและนำฝักกระบี่โบราณออกมาและใช้กระบี่เหินเล่มหนึ่งผลักเข้าไป
ทันใดนั้นปราณกระบี่พุ่งพรวดขึ้นจากในฝักสร้างเป็นกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งร่อนใส่เถิงอี
เถิงอีมีใบหน้าตกตะลึงอีกครั้งขณะที่ยอมให้ปราณกระบี่ปะทะเข้ากับร่างกาย ในที่สุดร่างกายของเขาก็ไม่อาจทนความเสียหายได้และเริ่มพังทลาย
แต่ขณะที่ทั้งร่างกำลังพังทลายอยู่นั้น เขาดูเหมือนจะรับรู้บางอย่างได้ พยายามทำให้มือซ้ายที่เกือบพังทะลายสร้างผนึกแห่งหนึ่งและพูดด้วยเสียงที่สั่นไปทั้งกระดูก “ควบแน่น!”
ทันใดนั้นร่างที่กำลังจะแตกสลายพลันเรืองแสงสีทองและกลับมาสมบูรณ์แบบ
หวังหลินสูดหายใจลึกขณะจ้องเขาโดยไม่อาจสรรหาคำพูดได้
แววตาเถิงอีส่องสว่างขึ้นขณะจ้องหวังหลินด้วยแรงกระตุ้นการต่อสู้อันทรงพลัง แขนของเขาสร้างเป็นหมัดและเปลี่ยนเป็นภาพเบลอชกเข้าหาหวังหลิน
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและถอยกลับทันที เขาโดยทันทีว่าพลังปราณรอบๆทั้งหมดดูเหมือนจะถูกพลังลึกลับดูดไปจนสร้างเป็นพลังกักขัง หวังหลินรู้สึกในไม่ช้าว่าความเร็วของเขาลดลงอย่างมากภายใต้พลังงานเช่นนั้น
ชั่วขณะนั้นหัวใจหวังหลินสงบลงอย่างรวดเร็ว เขารีบนำกระจกทองแดงออกมาและชี้ไปที่เถิงอี แต่แสงสีเขียวที่ปลดปล่อยมาจากกระจกไม่มีผลต่อเขา หมัดของเถิงอีปะทะเข้ากับกระจกทองแดงจนเกิดรอยร้าวและมีแสงกระพริบ
ต้องขอบคุณแสงนั้น การพันธนาการรอบๆหวังหลินจึงอ่อนแอลงและเขาหนีออกมาได้ ในเวลาเดียวกันเขาร้องตะโกนอย่างเจ็บใจ “ระเบิด!”
เกิดรอยร้าวจำนวนมากบนกระจกทองแดงโบราณและมันระเบิดขึ้น
แรงระเบิดนี้เกิดสายลมกรรโชกขนาดใหญ่ที่กวาดผ่านทั้งพื้นที่ หลังจากลมกรรโชกผ่านไป เถิงอีกระแอมออกมาเป็นลิ่มโลหิต ตอนที่โลหิตบ้วนออกมานั้นร่างกายเขาดูอ่อนแอลงอย่างมาก ใบหน้าเขาตื่นตระหนกขณะที่หลังจากบ้วนโลหิตออกมาก็พยายามกลืนกลับเข้าไปใหม่
ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง เขาไม่ลังเลที่จะพุ่งเข้าหาแทนที่จะถอยกลับ มีบางสิ่งแปลกประหลาดเกี่ยวกับเลือดนั่น
เมื่อเถิงอีเห็นหวังหลินวิ่งเข้ามาหา พลันเหาะได้เร็วกว่าและยื่นมือทั้งสองออก ดวงตาหวังหลินส่องสว่างและยื่นมืออกมาเช่นกัน ภายใต้แรงของทั้งคู่ โลหิตสีทองแบ่งออกมาเท่าๆกันสองส่วน แต่ละส่วนลอยเข้าหาอีกฝ่าย
หลังจากเถิงอีได้โลหิตสีทองมา เขารีบกลืนกินอย่างรวดเร็วจากนั้นจ้องหวังหลินและพุ่งเข้าหา
หวังหลินคว้าโลหิตสีทองไว้และวิ่งหนีออกไปโดยไม่เอ่ยอันใด
ทั้งสองเหาะเหินอย่างรวดเร็ว หนึ่งตามหลังอีกหนึ่ง หวังหลินไม่ได้วิ่งเป็นเส้นตรงแต่เป็นวงกลมล้อมรอบหลุมโคลน เขารู้สึกมาตลอดว่าเถิงอีแปลกประหลาดยิ่งนัก แต่ตอนที่เห็นโลหิตสีทองในที่สุดก็เข้าใจบางอย่างได้
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าโลหิตสีทองนี้คือสิ่งใด ในความทรงจำของเทพโบราณมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันอยู่
ความจริงโลหิตสีทองนี้ไม่ใช่สิ่งพิเศษอะไรเลย มันเป็นเพียงคล้ายคลึงกับโลหิตของเทพโบราณ กล่าวให้ถูกกว่านี้ก็คือมันมีโลหิตของเทพโบราณอยู่เล็กน้อยเป็นส่วนประกอบ
นอกจากเวลาที่เขาปรับปรุงร่างกายใหม่แล้ว ไม่มีการโจมตีไหนของเถิงอีจะปลดปล่อยพลังปราณเลย การโจมตีของเขาเป็นกายภาพล้วนๆ
วิธีนี้ไม่ใช่สิ่งที่เซียนจะใช้กัน คนผู้นี้เหมือนกับหุ่นเชิดที่รู้เพียงแต่การใช้กำลังเท่านั้น
เถิงอีเต็มไปด้วยความสับสนตอนที่มันเห็นวิชาของหวังหลิน แต่ภายใต้ความสับสนนี้ดูเหมือนจะแฝงความเข้าใจเล็กน้อย คนผู้นี้ต้องฝึกฝนวิชาแปลกประหลาดและดูเหมือนเขาจะตกอยู่ภายใต้วิชาเช่นนั้น
มีวิชาบ่มเพาะมากมายสุดจะนับได้ในโลกแห่งเซียนที่หวังหลินจะรู้จักมันทั้งหมด แต่สิ่งที่เขาเดานับว่าแม่นยำมาก วิชาที่เถิงอีฝึกฝนนับว่าคล้ายคลึงกันกับหนทางที่เทพโบราณฝึกฝนร่างกายตนเอง
วิชานี้ไม่ได้เป็นของแคว้นจ้าวแต่มาจากผู้ส่งสาส์นในหอคอยสวรรค์
หลังฝึกฝนวิชานี้ สัมผัสวิญญาณและวิญญาณจะรวมเข้ากับร่างกายซึ่งเป็นเหตุผลที่ขอบเขตจวี่ของหวังหลินสูญเสียความสามารถในการสังหารทีเดียวถึงตาย
หวังหลินจดจ้องโลหิตสีทองในมือขณะที่ดวงตาเปล่งประกาย วิชาของเซียนผู้นี้ไม่ใช่หุ่นเชิดแต่เป็นการเลียนแบบเทพโบราณ
แสงเยือกเย็นแล่นผ่านดวงตาหวังหลินขณะที่เขาตบกระเป๋าและเรียกหมอกมืดออกมา หมอกมืดกลายเป็นหุ่นเชิดสองตัว สองตัวนี้คือหุ่นเชิดที่เขาได้มาจากจื่อโม่
หวังหลินพลิกนิ้วขวาและโลหิตสองหยดแล่นลงบนหุ่นเชิด ทันใดนั้นดวงตาของมันเรืองแสงสีแดงและพุ่งตรงเข้าหาเถิงอี
หุ่นเชิดโจมตีด้วยสองมือสองเท้าเพื่อพยายามหยุดเถิงอี
แววตาเถิงอีเปล่งแสงอันน่ากลัว เขากำหมัดและชกใส่หุ่นเชิดตัวหนึ่ง ร่างมันสั่นสะท้านและกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แม้ว่าเพื่อนของมันจะถูกสังหาร แต่หุ่นเชิดที่เหลือก็ยังไม่กลัวขณะที่มันโจมตีต่อไป
หวังหลินใช้โอกาสนี้และหยุดทันที เขาโยนโลหิตสีทองเข้าในบนอากาศ ฝ่ามือสร้างผนึกอันซับซ้อนขณะร่ายบทสวดที่ฟังไม่เข้าใจ
ในเวลานั้นแม้แต่คนที่เรียนรู้มามากที่สุดยังมีปัญหากับสิ่งที่หวังหลินพูด เพราะหวังหลินกำลังพูดในภาษาของเทพโบราณเพื่อใช้วิชาหนึ่ง
ความจริงแล้วหวังหลินมีวิชาจำนวนมากที่อยู่ในความทรงจำของเทพโบราณ แต่การไร้มรดกแห่งพลัง มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้วิชาส่วนใหญ่พวกนั้น
วิชาที่เขากำลังใช้ตอนนี้เป็นหนึ่งในวิชาไม่กี่อย่างที่ไม่จำเป็นต้องใช้มรดกแห่งพลัง มันเพียงต้องการโลหิตของเทพโบราณบางส่วนเท่านั้น หลังจากหวังหลินเห็นเลือดนั้นจึงทำให้เขาตัดสินใจใช้วิชานี้
ขณะที่หวังหลินร่ายบทสวดอย่างต่อเนื่อง โลหิตสีทองเริ่มเดือดและปลดปล่อยควันสีขาวออกมา ยิ่งควันสีขาวออกมามากเท่าไหร่ โลหิตสีทองก็ยิ่งควบแน่นกลายเป็นสัญลักษณ์รูปร่างประหลาด
เมื่อสัญลักษณ์ปรากฎ ท้องฟ้ามืดครึ้มและก้อนเมฆทั้งหมดหหายไปพร้อมกับแสงสีทองลดลงมา เมื่อแสงสีทองลดต่ำลงมาพลันปรากฎเป็นร่างขนาดใหญ่ที่มีพลังปราณอันบริสุทธิ์
ร่างนี้นับว่าใหญ่มาก ศีรษะของมันยื่นขึ้นสู่ท้องฟ้าขณะที่ร่างกายแข็งทื่อ มันใช้พลังปราณจำนวนมากมายมหาศาลจากสายแร่พลังปราณในแคว้นจ้าว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สายแร่พลังปราณสามในห้าส่วนจะใช้การไม่ได้
พลังปราณจำนวนมหึมารวบรวมมาที่นี่
สายแร่พลังปราณที่เหลืออยู่สองในห้าส่วนค่อยๆสูญเสียพลังปราณลงเช่นกัน แต่จำนวนโลหิตที่ใช้ตอนนี้นับว่าน้อยเกินไป ดังนั้นยักษ์ตนนี้จึงไม่อาจสร้างกายหยาบได้และหลงเหลืออยู่ในภาวะเสมือน
หน้าผากหวังหลินเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ การใช้วิชานี้พิสูจน์ได้ว่าเป็นการแบกภาระบนร่างกายเขาขณะที่ดวงดาวสีม่วงหน้าผากกระพริบถี่รัว ในเวลาเดียวกันนั้นหวังหลินชี้มือขวาไปที่เถิงอีซึ่งเห็นบางสิ่งผิดปกติและหนีออกมา
ทันใดนั้นร่างสูงตระหง่านพยักหน้าและตวัดแขนตรงเข้าหาเถิงอีซึ่งกำลังวิ่งหนี แขนยักษ์ประทะเข้ากับเถิงอีโดยไม่มีเวลาตอบโต้ เถิงอีหายไปอย่างลึกลับทันที
ในสัมผัสวิญญาณของหวังหลิน แสงที่แสดงถึงเถิงอีจางลง
หลังจากนั้นไม่นานหยดโลหิตสีทองปรากฎในตำแหน่งที่เถิงอีหายไป หวังหลินยื่นมืออกมาและหยดโลหิตลอยเข้าหาเขา
ในเวลาเดียวกัน ร่างยักษ์ตนนั้นโค้งคำนับต่อหวังหลิน พลันเดินเข้าสู่แสงตะวันยามรุ่งและหายไป สัญลักษณ์ประหลาดที่สร้างจากโลหิตสีทองก็หายไปด้วยเช่นกัน
ขณะนั้นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดในแคว้นจ้าวต่างรับรู้ความโกลาหลนี้ได้
พั่วหนานจื่อซึ่งกำลังเหาะเหินอยู่ตอนนี้พลันหยุดกึกและใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างปิดไม่มิด เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจสอบ
ในเวลาเดียวกันหอคอยสวรรค์ที่ตั้งอยู่ใจกลางแคว้นจ้าว ชายร่างอ้วนลืมตาที่สามตรงกลางหน้าผากขึ้นขณะจ้องไปทิศทางที่หวังหลินอยู่โดยไม่เชื่อสายตา
“นี่มัน…วิชาเปิดสวรรค์ของสำนักมารยักษ์!!”
ส่วนหวังหลิน เขาเก็บหยดโลหิตสีทองเข้าไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวังและนั่งลงขัดสมาธิทันที พลันนำขวดหยกออกมาและกลินกินของในนั้นเข้าไปในปากพร้อมกับกระตุ้นกลยุทธ์เทพโบราณเพื่อย่อยสลายอย่างรวดเร็ว หุ่นเชิดที่หลงเหลืออยู่กลับยืนอย่างงุนงงถัดจากหวังหลิน แต่หากมีสิ่งใดเข้ามาใกล้ มันจะโจมตีทันที
หนึ่งวันผ่านไป หวังหลินลืมตาขึ้นและสูดหายใจลึก หากเขาไม่มีเม็ดยาทั้งหมดนั้น เมื่อนั้นหลังจากใช้วิชาของเทพโบราณ มันจะทำให้เขาใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยครึ่งเดือน
เขายืนขึ้นมองไปที่หุ่นเชิด และเห็นว่ามันได้รับความเสียหายบางอย่าง ตามข้อมูลในหินหยก หุ่นเชิดสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดังนั้นหวังหลินจึงสร้างผนึกและกดเข้าไปบนหน้าผากหุ่นเชิดจนมันกลายเป็นควันกลับเข้าไปในกระเป๋า หวังหลินมองตรงไปตำแหน่งที่เถิงอีตายด้วยใบหน้าซับซ้อน ตระกูลเถิงนับว่าทรงพลังมากกว่าที่เขาคิด หากเขาไม่อาจใช้วิชาของเทพโบราณได้สำเร็จตามแผนเดิม เมื่อนั้นเขาคงต้องใช้หนทางสุดท้าย
สายฟ้าทัณฑ์สวรรค์เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการใช้มันจริงๆ เพราะหากใช้มันตอนนี้จะมีโอกาสสูงที่การแก้แค้นของเขาจะถูกหยุดไปในเวลาอันสั้น
เศษเสี้ยวสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์เป็นสิ่งที่หวังหลินเตรียมไว้เพื่อต่อกรกับผู้ส่งสาส์นในหอคอยสวรรค์โดยเฉพาะ