244. กำจัดเถิงให้สิ้น (1)
ไม่เพียงแต่หวังหลินไม่ต้องการใช้สายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ เขายังได้รับหยดโลหิตของเทพโบราณอีกด้วย แม้ว่าหยดโลหิตนี้จะไม่บริสุทธิ์และใช้เพียงครั้งเดียวก็หายไป แต่นับว่าเพียงพอแล้วที่มันยังสามารถช่วยชีวิตเขาได้อีกครั้งหนึ่ง
หวังหลินสะบัดแขนและธงกฎเกณฑ์กลับเข้ามา เขามองไปที่ธงและตัดสินใจว่าเมื่อตระกูลเถิงจบสิ้นแล้ว เขาจะหาสถานที่ที่สามารถต้านทานต่อทัณฑ์สวรรค์และวางกฎเกณฑ์สุดท้ายไว้บนธง เมื่อนั้นมันจะบรรลุระดับแรกและมีพลังอำนาจเพิ่มขึ้นมหาศาล มันจะไม่เหมือนวันนี้ที่เกือบจะไม่มีผลกระทบในการต่อสู้กับศัตรู
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินรู้สึกว่าเขามีสมบัติวิเศษน้อยเหลือเกิน
การระเบิดของกระจกทองแดงทำให้เขาสูญเสียสมบัติที่เขามีไปหนึ่งชิ้น
ณ จุดนี้เองเขาจึงมีเพียงธงกฎเกณฑ์และฝักกระบี่เท่านั้น ส่วนเรื่องกระบี่เหินตอนนี้มันนับว่าอ่อนแอเกินไปและจำเป็นต้องปรับแต่งมันอีกครั้ง
นอกจากทั้งสามสิ่งนี้ มีชิ้นอื่นอีกเล็กน้อยแต่พวกนั้นกลับใช้ในเงื่อนไขที่พิเศษเช่นกับดักอสูรที่มีประโยชน์ตอนสู้กับอสูรทรงพลัง
และยังมีม้วนคัมภีร์ลึกลับ แม้ว่าหวังหลินจะยังไม่ใช้มันแต่เขากลับรู้สึกตื่นตัวทุกครั้งที่นำม้วนคัมภีร์ออกมา เขารู้สึกราวกับมีชีวิตอันทรงพลังจากในนั้นและนั่นจึงทำให้เขาไม่ควรจะเปิดมันอย่างลวกๆได้
แน่นอนว่าเขายังมีสมบัติชิ้นอื่นแต่พวกมันอ่อนแอเกินไป
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นนำกระเป๋าออกมาสามใบ สัมผัสอันตรายจากการมีสมบัติเพียงน้อยนิดจึงทำให้เขาต้องเอากระเป๋าสามใบนี้ออกมา
ผ่านการต่อสู้นี้หวังหลินจึงตระหนักได้ว่าขอบเขตจวี่ไม่ได้ไร้เทียมทาน ยังมีหลายสิ่งในโลกนี้ที่สามารถต่อต้านหรือกระทั่งโต้กลับได้ แน่นอนว่าหากเขาฝึกฝนขอบเขตจวี่ไปจนถึงจุดสุดยอด เมื่อนั้นนับว่าไม่เป็นปัญหา แต่การบ่มเพาะขอบเขตจวี่นับว่าเป็นเรื่องยากมาก
จึงทำให้สมบัติวิเศษกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เขาไม่ต้องการฝากความหวังทั้งหมดของเขาไว้กับขอบเขตจวี่เพราะหากเขาพึ่งขอบเขตจวี่ตลอดจนไร้ผลขึ้นมา เมื่อนั้นเขาจะเป็นง่อยทันที
เริ่มจากกระเป๋าถือสามใบ หวังหลินสูดหายใจลึกพลันสะบัดธงกฎเกณฑ์และมันล้อมรอบพื้นที่ในบริเวณในหมอกควัน จากนั้นเขาชี้ไปตรงระหว่างคิ้วและปิศาจสองตัวออกมาป้องกันเขา
หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาไม่ได้เรียกหุ่นเชิดออกมา หุ่นเขิดได้รับความเสียหายหนักในการต่อสู้กับเถิงอีและไม่อาจคุ้มกันเขาได้เต็มที่
หลังจากเตรียมการทั้งหมด หวังหลินใบหน้าเคร่งเครียดและหยิบกระเป๋าใบหนึ่งขึ้นมา กระเป๋าใบนี้เป็นของจักรพรรดิโบราณ
มีคำว่า “หลัน” ปักไว้บนกระเป๋า
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นพลังปราณในร่างกายพรั่งพรูขึ้น ร่างอวตารที่ราวกับเป็นวิญญาณเซียนของเขาลืมตาและเศษเสี้ยวแรงกดดันพลังวิญญาณเปล่งออกมาจากร่างกายเขาพร้อมกับมือขวาค่อยๆยื่นเข้าหากระเป๋า
เมื่อมือสัมผัสกับกระเป๋า พลังรุนแรงสายหนึ่งต่อต้าน หัวใจเขาจมดิ่งขณะที่ตระหนักได้ว่าจักรพรรดิโบราณยังไม่ตาย
เขาสูดหายใจลึกและกดแขนตัวเองเข้าไปในกระเป๋า การกดลงแต่ละครั้งเศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณของจักรพรรดิโบราณจะถูกลบออกไป แต่มันเป็นไปได้ช้ามากและในเวลาเดียวกันหวังหลินรู้สึกปฏิกิริยาสะท้อนกลับเพิ่มขึ้น
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หน้าผากหวังหลินเต็มไปด้วยเหงื่อไคล เขาสูดหายใจลึกและนำเม็ดยาเล็กน้อยออกมาเพื่อช่วยให้ร่างกายคงที่ เขากัดฟันแน่นกระตุ้นขอบเขตจวี่ในฝ่ามือขวาและกดมันเข้าไปบนกระเป๋าพร้อมกับพลังปราณ
ตอนนี้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่หวังหลินก็ใช้พลังปราณไปเพิ่มขึ้นเช่นกัน หลังจากกินเม็ดยาไปหลายขวด แสงสีขาวออกมาจากกระเป๋าทันทีและกระจายออกไป
หวังหลินผ่อนคลายและเผยใบหน้าตื่นเต้น เขาตรวจสอบกระเป๋าด้วยสัมผัสวิญญาณอย่างรวดเร็วแต่ในไม่ช้ากลับมีใบหน้าพิลึก
มีของอยู่ไม่กี่ชิ้นข้างในกระเป๋าของจักรพรรดิโบราณ นอกจากหินวิญญาณระดับสูงสองก้อนก็มีเพียงฝักกระบี่โบราณหนึ่งฝัก
หวังหลินนำฝักกระบี่ออกมา เขามองไปที่ฝักกระบี่เป็นเวลานานจากนั้นขมวดคิ้วแน่น ฝักกระบี่นี้ดูเหมือนกันกับที่เขามี เพียงแต่ลายของมันแตกต่างกัน
หลังจากลังเลเล็กน้อยหวังหลินนำฝักกระบี่ของตัวเองขึ้นมา เมื่อเอามาเทียบกัน ลายบนฝักกระบี่ทั้งคู่เริ่มเรืองแสง
หลังเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ แสงจึงค่อยๆหายไป หวังหลินจ้องไปที่ฝักกระบี่ ในใจเขารู้สึกว่ามีความลับบางอย่างเกี่ยวกับฝักกระบี่นั่น
เขามองไปที่พวกมันชั่วครู่ จากนั้นเก็บฝักกระบี่ทั้งสองกลับไปพร้อมกับตบกระเป๋าของจักรพรรดิโบราณจนมันเปลี่ยนเป็นฝุ่นผง
หวังหลินถอนหายใจ หลังใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเปิดกระเป๋า เขากลับได้รับเพียงแต่ของประหลาดเช่นนี้ เขาไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี
หวังหลินลังเลชั่วขณะและมองไปที่กระเป๋าอีกสองใบ หนึ่งในนั้นเป็นของมัมมี่ลึกลับในเจดีย์เทพสงครามของแคว้นหัวเฝิน
อีกอันหนึ่งมีสมบัติวิเศษมากกว่าสิบชิ้น ของพวกนี้เป็นสมบัติของพวกเซียนโบราณจากดินแดนเทพโบราณ ทว่าสิ่งของพวกนี้ทรงพลังเกินไป หวังหลินพยายามทุกอย่างที่ทำได้และได้กลับมาแค่กระจกทองแดงเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นกระจกทองแดงไม่ได้ดูเหมือนทรงพลังเช่นนั้นซึ่งทำให้เขางุนงง
เขาหยิบกระเป๋าใบนี้ขึ้นมาและตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ ม่านป้องกันบนสมบัติพวกนี้ยังคงกระตุ้นอยู่และไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินสามารถทำลายได้
หวังหลินรู้สึกราวกับมองภูเขาสมบัติแต่ไม่สามารถเอามันมาได้
หลังจากถอนหายใจ เขานำกระเป๋าใบหนึ่งออกมาและตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ เขาสัมผัสการต่อต้านดังนั้นหวังหลินจึงกัดฟันแน่นและใช้พลังปราณทั้งหมดในร่างพร้อมกับขอบเขตจวี่เพื่อกวาดสัมผัสวิญญาณออกจากกระเป๋า
แต่ขณะที่พลังปราณของสัมผัสกระเป๋า ร่างกายสั่นสะท้านและรู้สึกว่าจิตใต้สำนึกเคลื่อนไหวออกห่างไปไกล เขาเห็นพื้นที่อันคุ้นเคยเบื้องหน้ามองเห็นชายหนุ่มดูเหมือนปิศาจเหาะเหินด้วยความเร็วที่หวังหลินไม่เชื่อว่าเป็นไปได้
ชายหนุ่มหยุดกึกทันที เขาเงยศีรษะขึ้นมาและดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เจ้าจะหนีไปไม่ได้!”
ความคิดหวังหลินยุ่งเหยิง เขาลังเลเล็กน้อยและสายตาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น แม้เขาจะไม่สามารถเห็นได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นมีระดับฝึกฝนที่ขั้นไหน คำนวณจากความเร็วนั้น ระดับฝึกฝนของเขาเกินหวังหลินไปไกลมาก
หวังหลินสังเกตได้โดยเฉพาะว่าพื้นที่ชายหนุ่มเหาะเหินกลับอยู่ในทะเลปิศาจ ชัดเจนแล้วว่าชายหนุ่มที่ดูราวกับปิศาจเป็นมัมมี่ในฮัวเฝิน นับตั้งแต่ที่หวังหลินได้กระเป๋าใบนี้มา เขาต้องมาที่นี่เพื่อทวงคืนแน่นอน
หากคนผู้นั้นไม่เผยจิตสังหารออกมา หวังหลินคงไม่คิดจะคืนกระเป๋าให้ ทว่าเมื่อเห็นว่าเขาปลดปล่อยจิตสังหารอันทรงพลังเช่นนั้น นั่นหมายความว่าแม้หวังหลินจะคืนกระเป๋าให้ เขาคงไม่ยกโทษแน่นอน
จึงทำให้จิตใจหวังหลินจมดิ่งลง เขาลังเลชั่วครู่และเพิ่มพลังปราณและขอบเขตจวี่ขึ้นทันทีเพื่อกวาดสัมผัสวิญญาณออก
เวลาค่อยๆผ่านไป แม้ว่าสัมผัสวิญญาณในกระเป๋าจะหายไปอย่างช้าๆ ด้วยความเร็วนี้มันคงใช้เวลาอีกหลักหลายร้อยปีกว่าจะลบล้างออกไปสิ้น
หวังหลินขบคิดชั่วครู่ ดวงตาเปล่งแสงขึ้นเมื่อผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา แต่มันยังไม่ใช่เวลาที่ดำเนินแผนการ เขารู้ว่าเขามีเวลาสิ้นมากจึงยืนขึ้นทันที มองตรงไปทิศทางของเมืองตระกูลเถิง แววตาเย็นชาและพึมพำ “เถิงฮว่าหยวน ข้ากำลังมาแล้ว!”
ในเวลาที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้ สมาชิกเกือบทุกคนของตระกูลเถิงมาถึงเมืองของตระกูล พวกเขาคิดว่ามันเป็นสถานที่เดียวที่ปลอดภัย
เถิงฮว่าหยวนมองสมาชิกตระกูลเถิงทั้งหมดของเขารวมกันที่นี่จึงใบหน้าเศร้าหมอกมากขึ้น เขารู้ได้ว่าหวังหลินต้องวางแผนการนี้ไว้แล้ว
ทั้งเมืองตระกูลเถิงอยู่ในภาวะตื่นตระหนก หลังจากสมาชิกตระกูลเถิงเข้าเมืองมา พวกเขาต่างรู้เหตุผลทันทีว่าทำไมบรรพชนเถิงถึงไม่ออกไปสังหารคนผู้นั้น
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการออกไป แต่พื้นที่รอบเมืองตระกูลเถิงระยะหนึ่งหมื่นลี้กลับถูกวางกฎเกณฑ์หนึ่งไว้ที่ยอมให้คนเข้ามาแต่ไม่สามารถออกไปได้
ทำให้การตื่นตระหนกนี้กระจายผ่านไปทั้งเมือง ในเวลาเดียวกันข่าวลือเรื่องนักฆ่าลึกลับกระจายไปถึงตระกูลเถิง
สมาชิกตระกูลเถิงเกือบทั้งหมดต่างคาดเดาว่าคนลึกลับผู้นี้มีความแค้นอะไรต่อตระกูลเถิงนักถึงได้ทำให้เขาต้องล้างบางทั้งตระกูลเช่นนี้
เรื่องเล่าหลายแบบต่างกระจายออกไปในเหล่าสมาชิกตระกูลเถิง มีกระทั่งบางส่วนที่ใกล้เคียงความจริง
แม้เถิงฮว่าหยวนพยายามหยุดข่าวลือพวกนั้น แต่ภายใต้ภาวะตื่นตระหนก มันไม่ใช่สิ่งที่จะหยุดกันไป ควาดหวาดกลัวในเหล่าตระกูลเถิงค่อยๆยิ่งแย่ลง
วันนี้แดดจัดและฟ้ากระจางซึ่งเป็นวันที่เก้าหลังจากการสังหารตระกูลเถิงเริ่มขึ้น
ในทั่วทั้งแคว้นจ้าว สถานที่ใดที่ถูกสมาชิกตระกูลเถิงครอบครองไว้ต่างไม่มีคนในตระกูลเถิงอยู่เลย พวกเขาทั้งหมดทั้งถูกฆ่าตายหรือไม่ก็หนีเข้าหาเมืองตระกูลเถิง
วันนี้เป็นวันที่ตระกูลเถิงจะถูกกวาดล้างออกไป แม้จะผ่านไปอีกกี่ร้อยปี เมื่อผู้คนของแคว้นจ้าวพูดถึงวันนี้ พวกเขาจะสั่นเทา
วันนี้เป็นวันที่ความสมดุลของพลังอำนาจในแคว้นจ้าวจะเปลี่ยนไป มันเป็นวันที่สายธารโลหิตจะไหลนองในแคว้น
วันนี้ โลหิตจากเมืองตระกูลเถิงจะมีมากพอให้กลบผืนดิน
อีกทั้งวันนี้จะเป็นวันที่ทุกคนในแคว้นจ้าวจะได้ยินชื่อ “หวังหลิน” เซียนผมขาวที่ทำให้จิตใจทุกคนหนาวเย็น
ในเวลาเดียวกันนั้น มันเป็นตอนที่ชื่อหวังหลินมาทดแทนพั่วหนานจื่อซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นจ้าวและเป็นเวลาที่รุ่นเก่าตกลงไป
เช้าตรู่ ห่างจากเมืองตระกูลเถิงไปหนึ่งหมื่นลี้ หวังหลินอยู่บนอสูรยุง แม้ว่าร่างกายเบื้องหลังเขาจะเริ่มเน่าเสีย แต่ภายใต้ผลของวิชาของเขา ศีรษะคนที่เหลือยังอยู่ครบในสภาพดี
เป็นเพราะหวังหลินได้ให้คำมั่นสัญญาแล้วว่าจะสร้างหอคอยจากศีรษะของเหล่าคนตระกูลเถิง!