247. ชายหนุ่มที่เหมือนปิศาจ
ณ ขณะนั้นเสียงดังกึกก้องออกมาจากท้องฟ้านและลำแสงสีทองหลายเส้นลดต่ำลงมา
ยักษ์สีทองปรากฎอยู่ภายใต้ลำแสงทอง เมื่อมันปรากฎตัวขึ้นทั่วทั้งแคว้นจ้าวดูสั่นไหว สวรรค์และปฐพีตกอยู่ภายใต้แสงสีทองแห่งนี้โดยสิ้นเชิง คนธรรมดาทั้งหมด เหล่าเซียนทุกตน ต้นไม้ทุกคนและเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ทุกตัวต่างถูกปกคลุมในแสงสีทองแห่งนี้
แม้ว่าใบหน้าหวังหลินยังปกติดังเดิม แต่พลังปราณในร่างกายเหือดแห้งฮวบฮาบ เมื่อร่างยักษ์เผยออกมา หวังหลินพยายามชี้ไปที่ชายวัยกลางคน
ร่างยักษ์พยักหน้า มันกวาดสายตาตรงไปยังตำแหน่งที่หวังหลินชี้ไปและสะบัดแขนเบาๆ
ใบหน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนทันทีเมื่อสัมผัสอันตรายรุนแรงได้จนคว้าพั่วหนานจื่อซึ่งกำลังตกตะลึงจ้องไปบนฟ้าและนำมาขวางไว้เบื้องหน้าตนเอง
ร่างพั่วหนานจื่อกลายเป็นฝุ่นผงตามมาพร้อมกับแขนขวาชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด เขาถอยร่นอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบหน้าซีดขาว เวลาเดียวกันก็ยื่นแขนซ้ายเข้าไปในกระเป๋าและนำหินหยกออกมา เขาบดขยี้หินหยกอย่างไม่ลังเล แสงสีขาวไหลออกมาจากหยกล้อมรอบเขาไว้และหายไปจากจุดนั้น
จังหวะที่ชายวัยกลางคนหายไป ยักษ์ตนนั้นก็กระจายไปเช่นกัน ร่างหวังหลินสั่นเทา เขารีบนำเม็ดยาออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็วพลันกระจายสัมผัสวิญญาณออกเพื่อตามร่องรอยชายวัยกลางคน
หลังเวลาผ่านไปพักใหญ่ หวังหลินขมวดคิ้ว ตัวตนของชายวัยกลางคนผู้นั้นหายไปจากแคว้นจ้าวแล้ว
เมื่อคิดถึงตอนที่ชายวัยกลางคนบดขยี้หินหยก หวังหลินจึงเริ่มวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น หินหยกนั่นต้องมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ทำใ้ห้เขาเคลื่อนย้ายไปได้ระยะทางยาวไกลเป็นแน่
“สมบัติวิเศษของแคว้นอันดับสี่นับว่าเกินจินตนาการของข้าจริงๆ” หวังหลินพึมพำจากนั้นสูดหายใจลึก
ความจริงการคาดเดาของเขาแม่นยำมาก สิ่งที่ชายวัยกลางคนใช้ก็คือหินหยกหลบหนีซึ่งให้กับศิษย์หลักทุกคนของสำนักเขา ตราบใดที่อยู่ในระยะที่กำหนด พวกเขาสามารถกลับไปสำนักในทันที
ผู้ส่งสาส์นกลัวหวังหลินเข้าจริงๆ จากความรู้ความเข้าใจของเขา วิชาที่หวังหลินใช้คือวิชาของสำนักปิศาจยักษ์ พลังอำนาจของวิชานี้นับว่าน่าหวาดหวั่น แม้กระทั่งเขาก็ไม่มั่นใจที่จะต้านทานได้
เขาเห็นวิชานี้สองครั้งในแคว้นจ้าว ดังนั้นจึงเชื่อว่าหวังหลินสามารถใช้มันได้ในครั้งที่สาม กับศัตรูแบบนี้ แม้หวังหลินจะมีระดับขั้นเพียงวิญญาณแรกกำเนิด เขายังไม่กล้าตอแยด้วย นั่นเป็นเหตุที่เขาไม่ลังเลจะใช้พั่วหนานจื่อเป็นโล่ห์กำบังเพื่อมีเวลาพอให้เขาหลบหนี
หวังหลินนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ เวลาผ่านไปพักใหญ่เขาจึงยืนขึ้นสะบัดแขนขวาและเก็บหอคอยที่สร้างจากศีรษะตระกูลเถิงขึ้นมา
ที่หมู่บ้านหนึ่ง ณ ตีนเขาของภูเขาเหิงยั่ว ชาวบ้านทั้งหมดต่างกำลังหลับไหล พลันมีสายลมประหลาดพัดผ่านเข้ามา
หลังจากนั้นไม่นานหอคอยปรากฎเบื้องหน้าบ้านของตระกูลหวัง ภายใต้หอคอยนี้หวังหลินคุกเข่าลงกับพื้นและโขกศีรษะพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
เขาจ้องบ้านตัวเองจนค่ำคืนผ่านเข้ามา จากนั้นหวังหลินถอนหายใจ ใช้แขนโจมตีหอคอยและกลายเป็นฝุ่นผง
“ข้าล้างแค้นให้ตระกูลของเราแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ ตอนนี้ลูกชายของท่านกำลังเดินบนเส้นทางของตนเองแล้วนะ…” หวังหลินยืนขึ้นอย่างเงียบๆและจากหมู่บ้านไป
หลังจากเขาจากไป ชาวบ้านทั้งหมดตื่นขึ้น เมื่อรับรู้ได้ว่าท้องฟ้ามืดสนิท ทั้งหมดคุกเข่าลงกับพื้นอ้อนวอนให้เหล่าเซียนปกป้องพวกเขา
หวังหลินเหาะเหินอยู่ในอากาศ อสูรยุงเก็บไปเรียบร้อยแล้ว เขามาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นที่ที่เขาตายเมื่อครั้งก่อน
เมื่อมองไปที่หุบเขา หวังหลินสูดหายใจลึกจากนั้นจ้องมองไปบนท้องฟ้า
เขาคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างขณะที่ฉากเหตุการณ์จากสี่ร้อยปีก่อนฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจเขาและไม่จากไปไหน
ตอนนี้ตระกูลเถิงได้ถูกทำลายไปแล้ว เขาไม่มีอะไรต้องแบกไว้บนบ่าอีกต่อไป จิตใจของเขาได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง หวังหลินรู้ว่าตนเองไม่ได้เป็นคนธรรมดาอีกต่อไปและเขาเดินอยู่บนเส้นทางของเซียนคนหนึ่ง ถนนสายนี้ยากนักและเต็มไปด้วยอันตราย แต่เขาได้มั่นใจแล้วว่าจะเดินต่อไปบนถนนสายนี้
ประสบการณ์ที่ผ่านมาสี่ร้อยปีแสดงให้เขาเห็นแล้วว่าพลังอำนาจคือวิธีเดียวที่จะปกป้องตนเองได้
ความฝันวัยเด็กของเขาคือการเป็นเซียนได้ทวีความรุนแรงขึ้นไร้ที่สิ้นสุดในชั่วขณะนั้น
และยังมีซือถูหนาน มีเพียงหลังจากระดับฝึกฝนของเขาบรรลุขั้นเปลี่ยนวิญญาณถึงจะทำให้ซือถูหนานออกจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าได้
มีจักรวาลอันกว้างใหญ่จากความทรงจำของเทพโบราณ รวมถึงสิ่งมีชีวิตทรงพลังนับไม่ถ้วนที่ทำให้หวังหลินตื่นตกใจอย่างมหาศาล
หวังหลินยืนขึ้นมองไปไกล สายตาเต็มไปด้วยแสงมหัศจรรย์
ชั่วขณะนั้น ความคิดของหวังหลินเปลี่ยนไป เมื่อตอนเป็นเด็กเขาต้องการล้างแค้นให้กับครอบครัว ตอนนี้การล้างแค้นเสร็จสิ้นไปแล้ว ตอนนี้เขาต้องการไปให้ถึงจุดสูงสุดของการฝึกฝนและกลายเป็นเซียนที่แท้จริง
หวังหลินสูดหายใจลึก ร่างกายเคลื่อนไหวและกระโดดลงจากหน้าผา เขามาถึงจุดที่เขาตายครั้งก่อนและหายไปจากตรงนั้นทันที
สำนักเพียวเมียว ก๋าวฉีหมิงนั่งอยู่ในห้องของตัวเองพร้อมกับกระจกทองแดงเบื้องหน้า ใบหน้ามีความบูดบึ้งน่ากลัว สองร้อยปีก่อนเขาได้หยั่งรู้ถึงภัยพิบัติยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง แต่ว่าภัยพิบัตินั้นคลุมเครือมากดังนั้นจึงไม่อาจลงรายละเอียดได้ชัดเจนด้วยระดับฝึกฝนของเขา
วันเวลาผ่านไป สัมผัสถึงความตายที่ใกล้เข้ามายิ่งรุนแรงขึ้น เมื่อสมาชิกตระกูลเถิงเริ่มตายไป เขาจึงสามารถคำนวณอายุขัยที่เหลือของตนเองได้ทันที เขามีเวลาเหลืออีกสิบวัน หากเขาไม่ตายในสิบวันเมื่อนั้นภัยพิบัติจะส่งผลกระทบต่อสำนักเพียวเมียวทั้งสำนัก
วันนี้เป็นวันที่สิบแล้ว ก๋าวฉีหมิงเชื่อในเส้นทางสวรรค์มาเสมอเพราะเขาฝึกฝนอยู่ในเส้นทางนี้ เขารู้ว่าเขาต้องตายวันนี้ไม่เช่นนั้นสำนักเพียวเมียวจะอยู่ในอันตราย
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเตรียมแผนการตายของตัวเองไว้เมื่อกี่วันก่อนไปแล้ว ชั่วขณะนั้นเขาไม่มีความเศร้าใจมากกว่าเดิม เขาสูดหายใจลึกมองรอบๆด้วยความเศร้าและตีหน้าผากตนเองด้วยฝ่ามือ
โลหิตไหลออกมาจากมุมปาก วิสัยทัศน์เป็นภาพเบลอและแสงในแววตาจางลง ขณะนั้นเขาเห็นฉากหนึ่งเมื่อสี่ร้อยปีก่อนตอนที่เถิงฮว่าหยวนไถ่ถามเขาเพื่อค้นหาตำแหน่งตระกูลของศิษย์ขั้นพื้นฐานลมปราณผู้หนึ่ง
เขาได้รับเข้าใจนั้นแล้วหลับตาพร้อมกับตายจากไป
หวังหลินอยู่ถัดจากค่ายกลเคลื่อนย้ายพลันมองไปที่แคว้นจ้าว จากนั้นเขาเปิดค่ายกลขึ้นและหายตัวไปจากแคว้นจ้าวแห่งนี้
สิบวันถัดมา ชายหนุ่มที่ดูเหมือนปิศาจปรากฎตัวขึ้นถัดจากค่ายกลเคลื่อนย้าย เขามองไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายและเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
ในหุบเขาแห่งหนึ่งห่างจากแคว้นจ้าวไปหลายล้านลี้ ร่างหวังหลินค่อยๆปรากฎตัวขึ้น เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกและตรวจสอบแผนที่อย่างระมัดระวัง
จากนั้นเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วเมื่อมองหาค่ายกลเคลื่อนย้ายถัดไป หวังหลินรู้ว่าเจ้าของกระเป๋ากำลังเข้าใกล้มา หากเขาไม่ทิ้งห่างเช่นนั้นคงไม่สามารถฝึกฝนอย่างสงบได้
ดังนั้นเป้าหมายของหวังหลินคือค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ เขามีหินวิญญาณระดับสูงไม่มากนัก ดังนั้นจึงสามารถใช้ได้อีกไม่กี่ครั้ง
ครึ่งเดือนต่อมา หวังหลินมาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณแห่งหนึ่ง หลังจากตรวจสอบจึงยืนอยู่ใจกลาง นำหินวิญญาณระดับสูงออกมาและวางไปบนค่ายกล แต่ขณะนั้นก้อนเมฆสีดำพลันปรากฎขึ้น ก้อนเมฆรวมตัวกันและก่อร่างเป็นชายหนุ่มราวกับปิศาจจ้องมาที่หวังหลิน
จิตใจหวังหลินจมดิ่ง ความเร็วของชายหนุ่มเร็วมากกว่าที่เขาคิดไว้หลายเท่า หวังหลินไม่สามารถบอกระดับฝึกฝนของคนผู้นี้ด้วยสัมผัสวิญญาณของเขาได้ เขารู้สึกถึงอันตรายอย่างใหญ่หลวง
หากใช้เพียงหินวิญญาณระดับสูงเพื่อเริ่มการทำงานของค่ายกล มันคงต้องใช้เวลาสิบลมหายใจเพื่อเคลื่อนย้าย ทว่าในจุดวิกฤตินี้หวังหลินใส่พลังปราณของตัวเองทั้งหมดเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้น
ในท้ายสุดเมื่อชายหนุ่มราวกับปิศาจผู้นี้มาถึง วงแหวนแสงลอยขึ้นจากค่ายกลเคลื่อนย้ายและร่างหวังหลินหายไป
ชายหนุ่มร้องคำรามออกมา ฝ่ามือสร้างผนึกขึ้น เมื่อหวังหลินหายตัวไปเขาพุ่งเข้าใส่วงแหวนแสง หลังจากใช้วิชาที่ไม่รู้จักจึงทำให้ค่ายกลเคลื่อนย้ายกระตุ้นอีกครั้งและหายไปในท่ามกลางวงแหวนแสง
หวังหลินสัมผัสถึงอันตรายมหาศาลได้ระหว่างกระบวนการเคลื่อนย้าย เขารู้สึกได้ว่ามีสัมผัสวิญญาณหนึ่งที่ทรงพลังเกินจินตนาการกวาดผ่านเขาราวกับพายุทอร์นาโด หวังหลินรู้สึกหวาดกลัวในใจ ขณะที่สัมผัสวิญญาณนั้นตรงมาที่เขา ขอบเขตจวี่สร้างสายฟ้าแดงหนาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนพร้อมกับพุ่งตรงเข้าหาชายหนุ่ม
ผลกระทบของขอบเขตจวี่ได้ทำให้สัมผัสวิญญาณหยุดกึกชั่วขณะ ในตอนนั้นลำแสงหนึ่งปรากฎขึ้นในปลายทางและหวังหลินพุ่งตรงเข้าหามันอย่างรวดเร็ว
หลังจากออกมา หวังหลินไออย่างรุนแรงเป็นก้อนโลหิตจำนวนมาก วิญญาณเซียนที่สร้างจากร่างอวตารหดเล็กลงจนดูเหมือนพร้อมจะบุบสลายทุกเมื่อ แต่หวังหลินไม่หยุดเคลื่อนไหว เขาหายตัวไปและปรากฎตัวอีกครั้งห่างไปร้อยเมตร ทว่าเขาไม่ได้หยุดวิ่งแต่นำด้ายแดงออกมาจากกระเป๋า
หวังหลินรู้ได้ทันทีว่าไม่ว่าจะพยายามหลบหนีแค่ไหน เขาไม่อาจหลบหนีจากความเร็วของคนผู้นั้นได้ อีกทั้งวิญญาณเซียนของเขาได้รับความเสียหายหนักเกินไป หากวิ่งต่อไป เขาคงตายจากการที่วิญญาณเซียนแตกสลายและคนผู้นั้นคงไม่ต้องทำอะไร
นี่คืออาวุธทรงพลังที่สุดที่เขาครอบครองอยู่ตอนนี้
ขณะนั้นเขานำสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ออกมา ทั้งยังนำขวดเม็ดยาและกรอกเข้าไปในปาก
ชายหนุ่มที่ดูราวกับปิศาจปรากฎห่างจากหวังหลินสิบฟุต เมื่อจ้องไปที่เส้นใยที่อยู่ในมือหวังหลิน ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิง