Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 250

Cover Renegade Immortal 1

250. กลั่นปิศาจ

หวังหลินตรวจสอบม้า แววตาของมันดูกล้าหาญและเปี่ยมไปด้วยปัญญา เมื่อหวังหลินลูบมัน แววตาของมันหรี่เล็กและดูผ่อนคลาย

เรื่องนี้ทำให้ลิ่วซิงตกใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นม้าตัวนี้แสดงอาการเช่นนี้

หวังหลินผลักมือซ้ายเข้าไปและกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างง่ายๆ

ลิ่วซิงรีบติดตามไปเบื้องหลังขณะพูดคุยกับหวังหลินไปด้วยพร้อมกับจับตามองข้างหลังไปที่รถม้า

หวังหลินมองคนธรรมดารอบๆตัวเขาขณะท่ีกำลังควบม้า ความรู้สึกหนึ่งที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากเกิดขึ้นในใจเขา ขณะนั้นพลังปราณในร่างเริ่มเคลื่อนไหวด้วยตัวมันเองและพลังปราณทั้งหมดรอบๆดูเหมือนจะถูกดึงดูดเข้าหาเขา

หากมีเซียนทรงพลังคนใดอยู่บริเวณนี้ พวกเขาคงตกใจเพราะมีรัศมีหมอกสีแดงหนารอบๆหวังหลิน รัศมีทรงพลังมาก ทว่ามันไม่ได้รั่วไหลออกไปแต่ควบแน่นรอบๆหวังหลิน

ไม่ต้องกล่าวถึงคนธรรมดา แม้กระทั่งเซียนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจเห็นรัศมีหมอกแดงนี้ได้ นี่คือกลิ่นอายสังหารที่หวังหลินเก็บสะสมด้วยการสังหารเรื่อยมาเป็นเวลาสี่ร้อยปี หลังจากเป็นส่วนหนึ่งของมันเป็นเวลานานจึงเปลี่ยนไปอย่างมากจนกลายเป็นกลิ่นอายชั่วร้าย ในท้ายสุดเมื่อเขาสังหารมากขึ้นและมันได้เปลี่ยนไปจนกลายเป็นกลิ่นอายปิศาจที่ทำให้เซียนคนใดก็ตามขนลุก

เมื่อกลิ่นอายปิศาจนี้สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ มันสามารถใช้เป็นวิชาเซียนทรงพลัง อีกทั้งหากใช้มันเพียงเล็กน้อยขณะหลอมสมบัติ มันอาจจะสร้างสมบัติที่ทรงพลังยิ่งขึ้นได้

ลมร้อนๆพัดผ่านหวังหลินและเขาสูดหายใจลึกโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเปล่งแสงที่มิอาจสังเกตได้ เขารับรู้ได้ว่าพลังปราณของเขากำลังเปลี่ยนแปลง แม้ว่าการเปลี่ยนนี้เล็กน้อยมากแต่มันมีพลังลึกลับอย่างที่สุด

กลิ่นอายปิศาจรอบหวังหลินลดลงเล็กน้อย เศษเสี้ยวของมันเข้าไปในร่างกายเขาและรวมเข้ากับพลังปราณ

รถม้าค่อยๆขยับไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พลังปราณยิ่งรวบรวมรอบตัวหวังหลินมากขึ้นและมากขึ้น ภายใต้ความหนาแน่นของพลังปราณนี้ ม้าทั้งหมดจึงมีชีวิตชีวาอย่างมาก

แม้กระทั่งแววตาเหล่าจอมยุทธ์ยังเปล่งประกาย พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมแต่มีบางสิ่งที่ทำให้ร่างกายพวกเขารู้สึกอบอุ่นและนุ่มสบาย

เวลาผ่านไปพักใหญ่ พลังปราณในร่างหวังหลินลดลงและพลังปราณรอบๆกระจายออกไป สมองเหล่าจอมยุทธ์พลันแจ่มชัดขณะที่พวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องที่พึ่งเจอมา

กลุ่มนี้เคลื่อนขบวนไปข้างหน้าจนกระทั่งกลางคืนย่างกราย รถม้าเรียงเป็นวงกลมข้างๆถนน

หญิงรับใช้บางส่วนลงออกมาจากรถม้าและเริ่มเตรียมอาหารเย็น บางส่วนมองไปที่หวังหลินและพูดคุยกันเอง

เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมหญิงรับใช้ทั้งหมดถึงมองไปที่หวังหลิน ตอนนี้เขามีเสน่ห์ที่มิอาจบรรยายออกมาได้ แม้ว่าจะดูธรรมดาแต่กลับเขากลับมีกลิ่นอายพิเศษอย่างมาก

หวังหลินนั่งหันหลังชนกับต้นไม้ใหญ่ขณะที่มองท้องฟ้าที่กำลังพลบค่ำ เขากำลังพบความสงบในจิตใจที่ไม่เคยเจอมาก่อนในสี่ร้อยปีที่ผ่านมา

นิสัยนี้มาจากความทรงจำของเทพโบราณ ตอนที่ตู่ซือไม่สามารถเดินทางในหมู่ดาวได้ เขามักจะมองท้องฟ้าเช่นนี้บ่อยๆ

ความสงบในจิตใจทำให้พลังปราณในร่างหวังหลินเปลี่ยนรูปลักษณ์อีกครั้งแต่ตอนนี้หวังหลินไม่ได้สนใจพลังปราณ แต่เขาสนใจรัศมีหมอกแดงที่เขารับรู้ได้ในครั้งแรกรอบตัวเขา

สารสีแดงนี้ค่อยๆกระจายไปออกด้วยใจที่สงบ เขารู้ได้ว่าหากรักษาระดับเช่นนี้ต่อไปสารสีแดงจะหายไปเพียงไม่กี่ปี

หวังหลินรับรู้สารสีแดงนี้ได้ก่อนแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมัน เขารู้ดีว่ามันเกิดจากการสังหารของเขาในช่วงเวลาสี่ร้อยปีนั้น แม้จะรู้ว่าการทำให้สารสีแดงนี้กระจายหายไปจะช่วยให้เขาเข้าสู่ขั้นตัดวิญญาณ เขายังรู้สึกว่ามันช่วยได้เล็กน้อย

หวังหลินขบคิดชั่วครู่ เขาเริ่มทำให้สารสีแดงรอบๆเดือดขึ้นและค่อยๆควบแน่น ทว่าหลังจากขนาดของมันหดลงไปเหลือหนึ่งในสิบเท่าจากของเดิม หวังหลินก็ไม่สามารถควบแน่นมันลงได้อีกไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน

หวังหลินสูดหายใจลึก ขณะที่กำลังจะพยายามอีกครั้งเขาเงยศีรษะขึ้นและมองตรงไปที่หญิงสาวรับใช้ เขาเห็นสาวรับใช้คนหนึ่งสวมชุดสีแดงตรงเข้าหมาหาเขาพร้อมกับเนื้อรมควันและเหล้า

หญิงสาวเข้ามาใกล้ๆพร้อมกับกลิ่นหอมโชยเข้าหาหวังหลิน นางวางเนื้อและเหล้าลงขณะที่มองหวังหลินด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกล่าวว่า “ขอบคุณ”

หญิงสาวคนนี้เป็นสาวรับใช้ที่นั่งกับสตรีสุดสวยในรถม้าครั้งก่อน หวังหลินหยิบเหล้าขึ้นมาตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณจากนั้นดื่มไปหนึ่งจิบ

รสเผ็ดร้อนเข้าสู่ร่างกายเขาทันใด ในสี่ร้อยปีที่ผ่านมานี่เป็นหนึ่งในจำนวนน้อยครั้งที่หวังหลินดื่มเหล้า ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียน พ่อของเขานำเหล้าออกมาเฉพาะตอนที่ลุงสี่มาเยี่ยมเท่านั้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดเหตุการณ์นั้น หวังหลินมักจะลอบดื่มไปเล็กน้อยจากนั้นขำต่อหน้าพ่อและลุงสี่ด้วยใบหน้าแดง

หวังหลินดื่มไปอึกใหญ่แฝงไปด้วยความโศกเศร้า

หญิงสาวอ้าปากต้องการจะเอ่ยสักอย่างแต่มีคนหนึ่งเรียกนาง หญิงสาวรับใช้ตอบสนอง ดวงตาน่ารักมองหวังหลินเล็กน้อยก่อนจะหันกลับและจากไป

เพราะหวังหลินเป็นเซียน เขาจึงไม่จำเป็นต้องกิน ดังนั้นอาหารคนธรรมดาทำให้เขาไม่สนใจจึงทำให้เนื้อรมควันถูกทิ้งไว้ แต่เหล้านี้ทำให้เขานึกถึงบางสิ่งได้ ดังนั้นหวังหลินจึงดื่มต่อไปจนมันหมด

กลางดึก เหล่าจอมยุทธ์ก่อกองไฟขึ้น เสียงหัวเราะระเบิดดังออกมาจากกลุ่มบุรุษรอบๆ หวังหลินฟังเสียงหัวเราะเหล่านั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นบางๆ

จอมยุทธ์บางคนมีความกล้าหาญมากขึ้นหลังจากดื่มไปเล็กน้อยจึงหยอกสาวใช้เป็นการส่วนตัว

เมื่อเห็นคนธรรมดาเหล่านี้หวังหลินจึงคิดถึงลี่มู่หวานโดยไม่รู้ตัว

ขณะนั้นลิ่วซิงมาหาหวังหลินพร้อมกับเหล้าสองไห เขาส่งไหหนึ่งยื่นให้หวังหลินพร้อมกับนั่งลงข้างๆ “น้องชาย การรักษาของเจ้าได้ผลดีมาก นายหญิงของข้าดีขึ้นแล้ว นี่คือการดื่มอวยพรให้เจ้า!”

เช่นนั้นเขาเอียงไหและเติมให้เต็มด้วย แต่เมื่อเห็นว่าหวังหลินไม่ได้ใช้ถ้วยและดื่มอึกใหญ่จากไหตรงๆจึงหัวเราะออกมา หลังดื่มเหล้าในถ้วยแล้วจึงลอกเลียนหวังหลินและดื่มอึกใหญ่จากไหแทน

“ท่านไม่ได้พูดหรอกหรือว่าเป็นสาวใช้ที่ป่วย? ตอนนี้กลายเป็นนายหญิงของท่านได้อย่างไร?” หวังหลินยิ้มบางขณะมองลิ่วซิง

ใบหน้าลิ่วซิงเปลี่ยนเป็นสีแดง เขารู้สึกอับอายมากพร้อมกับตบที่แข้งขาตัวเองและกล่าวขึ้น “น้องชาย นี่เป็นความผิดของข้าเอง เอาอย่างนี้ เมื่อเราไปถึงเมืองหลวง หากเจ้ามีปัญหาอะไรเจ้าสามารถมาที่ร้านสวรรค์ใต้เพื่อหาข้าได้ ตราบใดที่ข้าสามารถทำได้ ข้าจะช่วยโดยไม่ลังเล”

หวังหลินยิ้มออกมา เขาไม่พูดต่อเพียงแค่ลิ้มรสชาติเหล้าอย่างช้าๆ

ลิ่วซิงมองไปที่ไหเปล่าบนพื้น จากนั้นมองไปที่ไหเหล้าที่ใกล้หมดในมือหวังหลิน เขายิ้มขึ้นพลางเอ่ย “น้องชายคอแข็งจริงๆ อยู่ที่นี่มันเหงา เราไปที่กองไปและพบเจอกับสหายของข้ากันดีไหม?”

หวังหลินต้องการปฏิเสธทันที แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยเขาจึงพยักหน้า

หวังหลินติดตามลิ่วซิงไปที่กองไฟ มีจอมยุทธ์จำนวนมากที่นี่ พวกเขาต่างกำลังหัวเราะเรื่องสนุกสนานที่พึ่งเจอ ลิ่วซิงมาถึงและเตะคนที่กำลังพูดอยู่พร้อมกับพูดติดตลก “หวังเล่าหวู่ ข้าได้ยินเจ้าพูดถึงลูกท้อน้อยๆของฉิงเฟินเล่าอยู่หลายครั้ง ข้าเดาว่านางน่าจะบริการเจ้าดี เมื่อเรากลับไปข้าจะไปตรวจดูที่เจ้าโม้ไว้เป็นความจริงหรือไม่”

คนที่ชื่อหวังเคลื่อนร่างออกไปให้ลิ่วซิงและหวังหลินพร้อมกับเอ่ยขึ้น “นับตั้งแต่ที่ท่านดูแลให้กิจการให้รวดเร็วเช่นนี้ ข้าประกันได้ว่าข้ายังมีเวลาไปหลังจากท่านน่า”

ขณะที่เขาพูด ทุกคนรอบๆเร่ิมหัวเราะและลิ่วซิงพูดติดตลกเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงพร้อมกับหวังหลิน หวังหลินมองคนธรรมดารอบๆเขาอย่างลวกๆ เขารู้สึกเสียใจอย่างมาก แม้ว่าช่วงชีวิตของคนพวกนี้สั่นนักและเพียงแค่ลมหายใจเดียวเขาก็สังหารคนพวกนี้ได้หลายครั้งแล้ว ความสุขของพวกเขาเป็นสิ่งที่เขาไม่มี

คืนนี้หวังหลินดื่มเหล้าไปมาก แม้เขาจะไม่พูดมากแต่คนอื่นรอบๆคุ้นเคยกับเขาและหัวเราะและดื่มด้วยกัน หลังจากนั้นสาวใช้บางส่วนที่กล้าหาญและใจถึงต่างเข้าร่วมวงด้วยเช่นกันรวมถึงสาวใช้ที่ยื่นอาหารให้หวังหลินด้วย ทว่านางเพียงนั่งถัดจากหวังหลินเท่านั้น นางจ้องหวังหลินด้วยสายตาแพรวพราวบ่อยๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไร

ตกเที่ยงคืนทุกคนจึงผลอยหลับจากการเมาและสาวใช้ทั้งหมดกลับเข้าไปหลับในรถม้า

นอกจากยามที่ยืนรักษาการณ์อยู่ห่างๆเพียงไม่กี่คนแล้ว ทุกคนต่างหลับไหล ค่ายพักเงียบสนิทนอกจากเสียงปะทุของกองไฟ เสียงนี้ไม่ได้รบกวนการหลับของใครแต่กลับช่วยให้พวกเขาหลับได้ดียิ่งขึ้น

หวังหลินยืนขึ้นและเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะนั่งลง นั่งลงต้านกับต้นไม้ เขารู้สึกถึงคลื่นความสงบ ก่อนหน้านี้เขาลืมว่าตัวเองเป็นเซียนไปชั่วครู่และคิดได้ว่าเขาเป็นคนธรรมดาเหมือนกับคนอื่นๆ

หวังหลินหลับตาลงและตรวจสอบร่างกาย เขาตื่นตะลึงเมื่อพบว่าระดับฝึกฝนได้ทะลวงผ่านจากขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นไปสู่ระดับกลางแล้ว แม้ว่าเขามีระดับต้นสูงสุดและสามารถทะลวงผ่านเวลาไหนก็ได้ แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วได้เช่นนี้

ทว่าสารสีแดงรอบร่างพึ่งกระจายไปเล็กน้อย เขามีความรู้สึกว่าหากทำให้สารสีแดงกระจายไป หวังหลินจะเสียใจในอนาคต สัมผัสวิญญาณของเขาจึงเข้าไปสารสีแดงมากขึ้นเพื่อควบแน่นมัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version