251. จิตใจถดถอย
หวังหลินใช้เวลาทั้งคืนเพื่อควบแน่นกลิ่นอายปิศาจรอบตัวเขา ในคืนนี้นอกจากเสียงจิ้งหรีดแล้วก็มีเสียงกรนของบุรุษบางส่วนอีก
ดวงอาทิตย์ค่อยๆขึ้นมาบนฟ้าและกลางวันทดแทนกลางคืน
หวังหลินลืมตา เขาจ้องไปทางทิศตะวันออกและสูดหายใจลึก ปราณมังกรม่วงสองตัวซึ่งมองไม่เห็นสำหรับสายตาคนธรรมดา ได้เข้าสู่ร่างกายหวังหลิน มังกรทั้งสองหมุนวนเป็นวงกลมผ่านร่างหวังหลินหนึ่งครั้งจากนั้นก็ออกไป
วงกลมเคลื่อนต่อไป หวังหลินรู้สึกร่างกายเบามากจนสามารถเดินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ตรงๆ
ความรู้สึกแบบนี้เป็นสิ่งที่หวังหลินไม่เคยพบมาก่อนในสี่ร้อยปีที่ผ่านมา ชัดเจนแล้วว่าเพียงหลังจากเข้าสู่สภาวะที่จิตใจผ่อนคลายถึงจุดหนึ่งแล้วเท่านั้นเขาถึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีจากสวรรค์นี้ได้
เวลาอีกหนึ่งคืน สารสีแดงรอบหวังหลินหดเล็กลงหนึ่งในสิบส่วนจากขนาดก่อนหน้า หวังหลินไม่รีบเร่ง เขารู้ว่าการควบแน่นสารสีแดงนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเร่งได้ เขาเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องใช้เวลานานพอสมควร
เวลาเช้าตรู่ ผู้คนตื่นขึ้นทีละคนและชำระร่างกายตนเอง ชายชราเดินออกมาจากรถม้าและสูดหายใจลึก เขาเริ่มเคลื่อนไหวด้วยท่าทางที่แตกต่างกัน
หลังจากทำอย่างรวดเร็วหนึ่งครั้ง หวังหลินตื่นตกใจ แม้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้มีพลังรุนแรงใด ทุกการเคลื่อนไหวจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เื่อใช้รวมกันผลลัพธ์นับว่าดียิ่งขึ้นไปอีก
ชั่วครู่ต่อมา ชายชราหยุดลงและถอนหายใจ เขาลังเลเล็กน้อยจากนั้นเดินเข้าหวังหลิน
เมื่อเช้าไปใกล้เขายิ้มแย้มและถามขึ้น “น้องชาย เมื่อคืนหลับสนิทดีไหม?”
หวังหลินพยักหน้าเงียบๆ
ชายชราลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น “ข้าอยากจะถามว่าน้องชายได้ใบไม้ร้อยปีนั้นมาจากที่ใด?” เช่นนั้นสายตาเขาเต็มไปด้วยแววตาอ้อนวอน
หวังหลินกล่าวขึ้น “ข้าหยิบมันขึ้นมาจากข้างถนน”
ชายชราคิดอยู่พักใหญ่ เขายิ้มอย่างขทข่นและเอ่ยขึ้น “น้องชาย…เจ้าโชคดีมาก!”
เขาสนทนากับหวังหลินชั่วครู่ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถได้รับข้อมูลมาจากหวังหลินได้ ชายชราลอบถอนหายใจขณะหันกลับและจากไป
หากเปรียบอายุกันแล้ว หวังหลินแก่พอจะเป็นบรรพชนของชายชราได้ กลลวงของชายชราอาจจะได้ผลกับคนที่อ่อนต่อโลก แต่เปรียบกับหวังหลินแล้วนับว่าไม่มีอะไรเลย
ขณะที่ติดตามคณะกลุ่มนี้ไป หวังหลินค่อยๆปรับเปลี่ยนตัวเองจนในที่สุดกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม หลายวันผ่านไปและภายในวันพวกนี้ สาวรับใช้น้อยคนนั้นเข้ามาพูดคุยกับหวังหลินเสมอ ทว่านางพูดคุยกับเขาได้เล็กน้อยใบหน้านางจึงเริ่มแดง ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไร
ช่วยไม่ได้ที่หวังหลินจะยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อเห็นแสงในดวงตาของนาง เขาเห็นแสงนั้นในแววตาลี่มู่หวานหลายครั้งดังนั้นรู้ว่ากำลังกำลังจะเกิดอะไรขึ้น
ถึงอย่างนั้นหวังหลินรู้ได้ว่าเขาอาจจะแก่เกินที่จะเป็นบรรพบุรุษของนาง ดังนั้นจึงเกิดความรู้สึกประหลาดในใจเสมอ
ในวันนี้ เมืองหลวงปรากฎต่อสายตาพวกเขา
เมืองหลวงของแคว้นอันดับสี่แห่งนี้งดงามจริงๆ แต่ในสายตาของหวังหลินมันจืดจางไม่มีสี หากไม่ใช่ว่ามีพลังปราณหมุนวนอยู่ หวังหลินคงไม่ใส่ใจที่จะมอง
หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกและทั้งเมืองปรากฎในความคิด ในเมืองหลวงมีพลังปราณหมุนวนอยู่เก้าจุด สิ่งที่กระจายพลังปราณออกไม่ใช่เหล่าเซียนแต่เป็นเสาสีดำสูงตระหง่าน พลังปราณที่ปลดปล่อยจากเสาขึ้นอยู่กับขนาดของแต่ละเสา มีหนึ่งต้นที่มีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางขณะที่อีกแปดต้นอยู่ล้อมรอบ
เสาเหล่านี้มีขนาดใหญ่มาก แม้กระทั่งเล็กที่สุดยังใช้อย่างน้อยสิบคนโอบ ส่วนเสาที่ใหญ่ที่สุดใช้มากกว่าร้อยคนโอบ
มีผู้คนกำลังฝึกฝนอยู่ข้างในเสาแต่ละต้น มีค่ายกลหนึ่งนอกเสาที่ป้องกันสัมผัสวิญญาณจากการตรวจสอบแต่ค่ายกลนี้ไร้ประโยชน์ต่อหวังหลิน เขาสามารถเห็นคนทั้งหมดที่นั่งอยู่ข้างในเสาคือเหล่าเซียนด้วยเพียงปรายตามองครั้งเดียว
เซียนที่แข็งแกร่งที่สุดมีระดับขั้นแกนลมปราณและอ่อนแอที่สุดคือขั้นสร้างลำต้นระดับปลาย
หวังหลินสนใจสิ่งก่อสร้างแปลกประหลาดนี้อย่างมาก เมื่อกลุ่มของเขาเข้าไปในเมือง ลิ่วซิงสังเกตหวังหลินได้ว่ายังจ้องไปที่เสาสีดำดังนั้นจึงกระซิบขึ้น “น้องหวังอย่าจ้องพวกนั้น หากมีใครมาเห็นจะมีเรื่องได้”
หวังหลินลูบม้าและถามขึ้น “พี่ลิ่ว เสาสีดำพวกนั้นคืออะไร?”
ลิ่วซิงเผยแววตาอิจฉาและกระซิบ “นั่นคือเสาเซียน สถานที่แห่งนี้คือเมืองหลวงของแคว้นเรา ดังนั้นมันจึงถูกปกป้องโดยเหล่าเซียนซึ่งเป็นเหตุผลที่มีเสาเซียนอยู่ในนี้ พระราชาถึงกับรับสมัครช่างฝีมือที่ดีที่สุดในแคว้นเพื่อสร้างเสาทั้งเก้าต้นในตอนที่เหล่าเซียนร้องขอ”
“เสาเซียน…” หวังหลินเผยใบหน้าประหลาดใจ
“มีเซียนอาศัยอยู่ในเสาพวกนั้น! ครั้งหนึ่งพ่อข้าเห็นเหล่าเซียนเหาะเหินออกมาด้วยตาตัวเอง” น้ำเสียงลิ่วซิงเต็มไปด้วยภูมิใจเหมือนราวกับการที่พ่อเขาเห็นเซียนคนหนึ่งเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเขา
หากเขารู้ว่าหวังหลินซึ่งใช้เวลาด้วยกันที่ผ่านมาเจ็ดวันมีความแข็งแกร่งมากกว่าเซียนที่พ่อของเขาเห็นอยู่หลายพันเท่า เขาจะรู้สึกเช่นไร?
กล่าวได้ว่าหากเซียนที่พ่อของเขาเห็นมาอยู่ตรงนี้ เขาคงต้องเคารพหวังหลินว่าผู้อาวุโสหวังหลิน
หวังหลินถอนสายตา เขายิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
บนสะพานระหว่างส่วนทิศเหนือและทิศใต้ของเมืองหลวง หวังหลินเอ่ยอำลากลุ่มลิ่วซิง แม้ว่าลิ่วซิงไม่ได้อยู่ด้วยกันกับหวังหลินนานนัก เขาชอบหวังหลินมาก พลันตบหน้าอกตนเองและบอกหวังหลินว่าหากมีปัญหาใดให้ไปหาเขาได้ทุกเมื่อ
ส่วนเล่าเอ๋อร์คนที่ให้ม้ากับหวังหลิน กลับยอมรับหวังหลินโดยสมบูรณ์หลังจากดื่มด้วยกันหลายครั้ง
ลิ่วซิงทั้งยังกล่าวว่าหากใครแกล้งหวังหลิน เขาจะให้เจ้านายลงมือเป็นการส่วนตัว
ในที่สุดชายชราเดินออกมาจากรถม้า เบื้องหลังเขาเป็นสตรีเยาว์วัยพร้อมกับผ้าคลุมหน้าสีขาวปกคลุมศีรษะ ถัดจากนางเป็นสาวรับใช้น่ารักคนนั้น
เมื่อเห็นว่าหวังหลินกำลังจะจากไป แววตาสาวรับใช้เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ
ชายชราพูดคุยกับหวังหลินเล็กน้อยและสตรีภายใต้ผ้าคลุมหน้ายิ้มขึ้น นางไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนาด้วย หลังจากโค้งคำนับ นางหันกลับและจากไปโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดเลยสักคำ
สาวรับใช้โต้ตอบเล็กน้อยกับหญิงสาว จากนั้นนางนำกระเป๋าเงินใบเล็กออกมาและเดินมาหาหวังหลิน นางยื่นกระเป๋าให้และเอ่ยขึ้น “พี่สาวต้องการให้ข้าส่งคำขอบคุณ มีเศษทองในนี้สิบชิ้น นี่คือค่าธรรมเนียมการปรึกษาท่าน”
หวังหลินไม่ได้ปฏิเสธ มากกว่าสี่ร้อยปีแล้วตั้งแต่ที่เขาจับเงินของคนทั่วไป
หวังหลินคำนับและหันกลับ
จนเมื่อหวังหลินห่างออกมาได้ไกลแล้วหญิงรับใช้คนนั้นถอนหายใจและกลับไปที่รถม้า กลุ่มของพวกเขาผ่านสะพานและเข้าไปในส่วนเมืองทิศใต้
หวังหลินกำเศษทองสิบชิ้นไว้ในมือขณะเดินผ่านเมืองหลวง ที่นี่คือเมืองหลวงอย่างแท้จริง มีคนมหาศาลและขายของข้างทางจำนวนมาก
หลังจากนั้นไม่นานแววตาหวังหลินสว่างขึ้นเล็กน้อย ในเมืองหลวงของโลกคนทั่วไปนี้เขาเห็นเหล่าเซียนหลายคนในหมู่คนทั่วไป
ระดับฝึกฝนสูงสุดของพวกเขามีราวๆระดับรวบรวมลมปราณ 12 จนถึง 14 ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในแคว้นอื่นๆ
หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่หวังหลินคิดเรื่องเสาสีดำ เขาเดาว่านี่เป็นสิ่งที่เรียกกันถึงความพิเศษของแคว้นอันดับสี่
หวังหลินเดินผ่านถนนหนทางจนเป็นเวลาบ่าย เขาเห็นชัดเจนว่าบางร้านไม่ใช่ตั้งขึ้นสำหรับคนธรรมดาเพราะพวกเขาขายสมบัติวิเศษสำหรับเหล่าเซียน
มีกฎเกณฑ์ภายนอกร้านค้าพวกนี้เพื่อป้องกันคนทั่วไปไม่ได้เข้ามาได้
คนทั่วไปของเมืองหลวงดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้ดังนั้นจึงไม่มีใครจะเดินเข้าไปในร้านเหล่านี้ได้
ขณะที่หวังหลินเดินผ่าน เขาเดินเข้าไปในร้านค้าเพื่อตรวจสอบ ทันใดนั้นขณะที่เดินออกมาจากร้านมีเสียงตะโกนมาจากทิศทางหนึ่ง เขามองออกไปและเห็นชายชราสกปรกกำลังถูกตี
เสียงครวญครางของชายชราดังออกมาไม่หยุด เขาร้องเสียงหลงในขณะเดียวกันก็หัวเราะดังก้องพร้อมกับไอออกมาเป็นโลหิตตามจังหวะกำปั้น ทุกครั้งที่โดนกำปั้นเขาจะไอเป็นโลหิตออกา
หลังชายคนนั้นชกหมัดใส่ชายชราหลายครั้ง เขายืนขึ้นและสาปแช่ง “เรื่องเดิม อย่าเข้ามาที่ร้านข้าอีก ข้าจะตีแกทุกครั้งเลยถ้าเข้ามา อายุปูนนี้แล้วยังโง่อีก” หลังพูดจบเขาถุยน้ำลายใส่ชายชรา
ชายชราคนหนึ่งที่นั่งถัดจากหวังหลินถอนหายใจ “ตาเฒ่านั่นถูกตีทุกครั้งเพียงแค่จะไปดูสาวใช้ มันคุ้มกันไหมนั่น? อ่าห์!!”
หวังหลินมึนงง เขามองชายชราเบื้องหน้าก่อนจะหันกลับจากไป
แต่ก่อนที่เขาจะเดินไปได้มากกว่านี้ เขาหันกลับมาและเห็นชายชราเดินเข้าหาหวังหลินอย่างภูมิใจขณะปาดโลหิตออกมาจากมุมปาก
หวังหลินหลบไปด้านข้างและแววตาเยือกเย็น
ชายชราเดินผ่านหวังหลินไป เขาไม่ได้หยุดแต่หันกลับมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจขณะตรวจสอบหวังหลินอย่างละเอียด “น้องชาย ข้าเห็นเจ้าเต็มไปด้วยพรสวรรค์และพลังงาน เจ้าดูเหมือนไม่ใช่คนทั่วไปนะ!”
หวังหลินขมวดคิ้ว ด้วยสัมผัสวิญญาณของเขาจึงเห็นได้ง่ายๆว่าชายชราคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพลังฝึกตน ร่างกายของชายคนนี้มีรอยบาดแผลเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าเป็นผลจากการถูกตีอย่างต่อเนื่อง
หวังหลินไม่มีความสนใจอะไรต่อคนผู้นี้ดังนั้นเขาจึงกลับและจากไป หากชายชราก่อกวนเขา หวังหลินจะไม่คิดมากที่จะช่วยเขาลงนรก
ชายชราเผยแววตาสงสารขณะส่ายศีรษะและเอ่ยขึ้น “หากไม่มีเส้นทางไหนที่จะชี้ทางให้เจ้าได้ เมื่อนั้นเจ้าอาจจะไม่บรรลุขั้นตัดวิญาณตลอดชีวิต เฮ้อ!”
หวังหลินหยุดลงทันที ความกดดันทั้งหมดในร่างปลดปล่อยออกมา เขาหันกลับไปจ้องมองชายชรา “ท่านเป็นใคร?!”
ชายชราไม่ได้รู้สึกถึงแรงกดดันของหวังหลินเลย เขาวางสองแขนไว้เบื้องหลัง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสมวัย “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าข้าเป็นใคร เจ้าเพียงแค่รู้ว่าข้าสามารถช่วยเจ้าบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้”
แววตาหวังหลินสว่างขึ้น ไม่ว่าเขาจะมองชายชราคนนี้ยังไง เขาเป็นเพียงคนธรรมดาแต่ชายชรากลับสามารถบอกระดับฝึกฝนของเขาได้ทันที มีความเป็นไปได้เดียวก็คือระดับฝึกฝนของชายชราสูงกว่าขั้นตัดวิญญาณ ดังนั้นจึงสามารถซ่อนไว้จนหวังหลินไม่สามารถตรวจสอบเจอได้
หวังหลินขมวดคิ้วและถามขึ้น “ข้าจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้อย่างไร?”
ชายชรามองหวังหลินและเอ่ย “ข้าแก่แล้ว ตอนที่ข้าหิว ข้านึกอะไรไม่ออก ข้ารู้จักร้านอาหารดีดี ไปที่นั่นและกินไปด้วยคุยไปด้วย” เขาเลียริมฝีปากขณะลูบท้องร้องส่งเสียงดัง
ร้านอาหารโชคชะตาเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง ชายชราเดินมุ่งหน้าเข้าไปและหน้าอกพองโต
ดูเหมือนความตั้งใจของชายชราคือกินอาหารในห้องโถงหลัก หลังจากเขาเข้าไปเขากลับเดินไปที่ห้องส่วนตัว เมื่อบริกรเห็นชายชรา ใบหน้าเขาแปลกใจแต่เมื่อเห็นหวังหลินเดินมาข้างหลังจึงรีบออกไปบริการทั้งสอง
หวังหลินขมวดคิ้วปั้นยาก เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่
ชายชราดูคุ้นเคยกับร้านอาหารแห่งนี้ เขาสั่งอาหารหลายชุดที่หวังหลินไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและชายชราเริ่มสวาปามราวกับไม่เคยกินมาก่อน
หวังหลินไม่ได้พูดอะไรขณะที่ดื่มเหล้าไปด้วย สายตากวาดผ่านชายชราและยิ่งหนาวเย็นขึ้น
หลังชายชรากินไปได้ชั่วครู่ หวังหลินพูดอย่างเยือกเย็น “ข้ากำลังฟังอยู่”
ชายชราคว้าขาหมูและกัดไปคำโต “นี่ รอจนกว่าข้าจะกินเสร็จก่อนสิ”
หลังจากนั้นชายชรากินขาหมูไปในเพียงไม่กี่คำ เขาเรอออกมาพร้อมกับลูบท้องตัวเอง “ขั้นตัดวิญญาณต้องการความเข้าใจสวรรค์แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าเข้าใจเรื่องนั้นแล้ว นอกจากนี้เจ้าต้องสร้างขอบเขตของตนเอง เจ้ารู้ไหมว่าขอบเขตคืออะไร? หนุ่มน้อยเมื่อเข้าเข้าใจว่าขอบเขตคืออะไร เจ้าก็ไม่ไกลจากขั้นตัดวิญญาณแล้ว ส่วนเรื่องขอบเขต….เมื่อข้าเข้าห้องน้ำเสร็จเราจะคุยกันต่อ” ชายชราลูบท้องทันทีและยืนขึ้นด้วยใบหน้าเจ็บปวด
เขาดูเหมือนจะกลัวว่าหวังหลินไม่ปล่อยให้เขาไปดังนั้นจึงตดออกมาเสียงดัง กลิ่นสยดสยองคลุ้งไปเต็มห้อง
ชายชรายิ้มเขินอายและรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
หวังหลินสะบัดแขนและสายลมหนึ่งพัดกลิ่นเหม็นในห้องออกไป ในเวลาเดียวกันสัมผัสวิญญาณของเขาก็ได้จับไปบนชายชราแล้ว การกระทำทั้งหมดของชายชรามีพิรุธอย่างมากแต่สิ่งที่เขาพูดเรื่องขั้นตัดวิญญาณตรงกับที่หวังหลินรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถรู้เรื่องนี้ได้
เขามองด้วยความสงสัยขณะที่แสงเยือกเย็นปรากฎในแววตาพร้อมกับยืนขึ้น เขาสังเกตได้ว่าชายชรากำลังจะออกจากห้องอาหารผ่านประตูด้านหลังและปะปนเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
ร่างหวังหลินหายไปจากภัตตาคารและปรากฎตัวด้านนอก เขาติดตามชายชราพร้อมกับมีแววตาเยือกเย็น
ขณะที่ชายชราเดินไป เขาหยุดกึกและมองไปที่ชายวัยกลางคนที่กำลังสวมชุดคลุมสีม่วง ดวงตาสว่างขึ้นขณะยิ้มออกมาและเดินตรงเข้าหาชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว
ชายวัยกลางคนหันกลับและขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเมินชายชราไป
ชายชราพลันเอ่ยทันที “น้องชาย ข้าเห็นเจ้าเต็มไปด้วยพรสวรรค์และพลัง เจ้าดูเหมือนไม่ใช่คนธรรมดา!”
ชายวัยกลางคนตกตะลึง เขาหันกลับมาและมองชายชราด้วยแววตาเยือกเย็น
ชายชราเผยแววตาเศร้าโศกขณะที่ส่ายศีรษะ “น่าเสียดาย หากไม่มีใครชี้ทางเจ้า เจ้าอาจจะไม่บรรลุขั้นแกนลมปราณตลอดชีวิต”
แววตาชายวัยกลางคนส่องสว่างขึ้นขณะถามออกมา “เจ้าเป็นใคร?”
ชายชราส่ายศีรษะและเอ่ยตอบ “เป็นใครไม่สำคัญ เราไปหาสถานที่ผ่อนคลายกันก่อนว่าอย่างไร? เมื่อเราผ่อนคลาย เราถึงคุยกันได้”
ใบหน้าหวังหลินมืดครึ้ม ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็เป็นเซียนเช่นเดียวกันแต่ระดับของเขามีเพียงขั้นพื้นฐานลมปราณเท่านั้น กล่าวได้ว่าชายชราคนนี้ศึกษาเรื่องการรีดไถเหล่าเซียนมาดีมาก
แต่ชายชราคนนั้นยังมีชีวิตรอด ซึ่งเรื่องนี้ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่ว่าหวังหลินจะเป็นคนแรกที่เขาหลอกลวง ไม่อย่างนั้นชายชราคงไม่รอดมาจนถึงวันนี้ได้แน่
หากเซียนคนหนึ่งถูกคนทั่วไปเล่นงาน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร เขาคงไม่ปล่อยชายชราไว้ได้ง่ายๆ
เรื่องอยากรู้ที่สุดทั้งหมดก็คือชายชราคนนี้ดูเหมือนจะมีความสามารถในการเห็นระดับฝึกฝนของเซียนได้ทันที หากคนผู้นั้นมีขั้นพื้นฐานลมปราณ เขาจะพูดถึงขั้นแกนลมปราณ หากคนผู้นั้นมีขั้นแกนลมปราณ เขาจะพูดขั้นวิญญาณแรกกำเนิด หากคนผู้นั้นเป็นเหมือนหวังหลิน เขาจะพูดเรื่องขั้นตัดวิญญาณ
หวังหลินติดตามชายชราคนนี้มาตลอดช่วงบ่าย เขาต้องการเห็นว่าชายชราคนนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่
ในเวลาช่วงบ่ายนี้ ชายชราหลอกคนทั้งหมดสี่คนรวมกับหวังหลินด้วย เรื่องน่าสนใจก็คือเขาเพียงถามเรื่องอาหารและน้ำเท่านั้น ที่เลวร้ายที่สุดก็คือพาไปโรงเรือนโสเภณี
แต่สามคนนั้นรวมถึงชายชุดม่วงไม่มีความตั้งใจแก้แค้น ดูเหมือนประโยชน์ที่ชายชราพูดไว้กลับมีผลลัพธ์รูปแบบพิเศษต่อพวกเขา
ยิ่งหวังหลินเห็นก็หยิ่งตกใจมากขึ้น ชายชราดูเหมือนจะมีความเข้าใจอย่างดีในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนถัดไป เพียงแค่เอ่ยไม่กี่คำและสอนพวกเขาเท่านั้น
เป็นผลให้ไม่มีใครเชื่อว่าเขาเป็นพวกต้มตุ๋น พวกเขากลับรู้สึกว่าเจอกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งจึงมีความเคารพอย่างยิ่งแทน
หลังจากนั้นชั่วครู่ หวังหลินเริ่มขบคิด เขาถอนสัมผัสวิญญาณออกมาและหยุดติดตามชายชรา ชายชราคนนี้ลึกลับเกินไปและหวังหลินรู้สึกว่าคงดีกว่าที่เขาไม่ขุดคุ้ยเรื่องนี้ลึกเกิน
ชายชรากำลังถือสตรีสาวไว้ในอ้อมแขนข้างในโรงเรือนโสเภณี ขณะที่สัมผัสวิญญาณของหวังหลินถอนออกมา แววตาเขาสว่างขึ้น เขายิ้มบางๆมอไปทิศทางของหวังหลินและพึมพำ “วิญญาณเซียนและขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง ข้าควรจะช่วยเขาไหม?”
ขณะที่กำลังคิด หญิงสาวในอ้อมแขนเรียกหาอย่างยั่วยวน ชายชราโยนความคิดหวังหลินในหัวออกไปและสนุกสนานกับตัวเอง
หลังหยุดคิดเรื่องชายชรา หวังหลินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หวังหลินเข้าไปในพื้นที่ห่างไกลด้านทิศตะวันตกของเมืองและเช่าร้านแห่งหนึ่งด้วยราคาแปดเหรียญทอง หลังทำความสะอาดเล็กน้อยจึงย้ายตัวเองเข้าไป
หากต้องการบรรลุขั้นตัดวิญญาณ เช่นนั้นเขาต้องเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาก่อนอันดับแรกเพื่อรับรู้ประสบการณ์ชีวิตและเข้าใจสวรรค์ นี่เป็นวิธีหนึ่งที่หวังหลินคิดเรื่อกงารทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมาได้ เขามองไปที่ร้านค้าอย่างสงบนิ่งจากนั้นนั่งลงขัดสมาธิหลังห้องและเริ่มต้นประสบการณ์ในโลกของคนธรรมดา
ปัจจุบันหวังหลินอำพรางตัวอยู่ในเมืองหลวงที่มีประชากรหนาแน่นขณะที่เขาเริ่มเข้าใจสวรรค์ ชีวิตและความตายมากขึ้น เขาเตรียมพร้อมให้ตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อทะลวงผ่านขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดไปถึงขั้นตัดวิญญาณให้ได้