256. หนาวเหน็บ
หวังหลินยิ้ม “ถูกต้อง เมื่อลุงมีเงินมากพอ ก็จะกลับไปแต่งงาน”
ต้าหนิวกำลังจะพูดต่อแต่ท่านพ่อเรียกเข้าเสียก่อน ต้าหนิวตอบรับและพูดกับหวังหลินด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าต้องไปทำงานเหล็กอีกแล้ว” เช่นนั้นเขากลับบ้านอย่างช่วยไม่ได้
เสียงตะโกนของพ่อต้าหนิวดังออกมาจากในร้านเหล็ก หวังหลินดื่มไปหนึ่งจิบและนั่งข้างนอกต่อไป ในไม่ช้าหิมะก็เริ่มตกลงมาและปีนี้เป็นปีแรกที่เกิดหิมะขึ้นอย่างเงียบเชียบ
อุณหภูมิลดลงทันที
เกล็ดหิมะตีเข้ากับใบหน้าหวังหลินและเปลี่ยนไปเป็นน้ำแข็ง หวังหลินเงยศีรษะขึ้นและมองไปที่ท้องฟ้าสีหม่น เขายกแขนขึ้นและกำไว้อย่างลวกๆ เกล็ดหิมะทั้งหมดเริ่มรวบรวมเข้าหาเขา
หวังหลินสูดหายใจลึกและปล่อยแขนออก เกล็ดหิมะกระจายและลอยไปทุกทิศทุกทางทันที เรื่องที่เกิดขึ้นนี้รวดเร็วมากจนไม่มีคนธรรมดาคนใดสังเกตมันในขณะที่พวกเขาเดินผ่านไปตามถนนพร้อมกับกดหัวศีรษะลง
ขณะที่ท้องฟ้ามืดหม่น มีคนเดินรอบๆน้อยลงและน้อยลงเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ไม่มีใครเหลือยู่บนถนน แม้กระทั่งร้านค้าก็ปิดลงเนื่องจากความเหน็บหนาว ทุกคนเข้าไปอยู่ในบ้านกับครอบครัวเพื่อล้อมวงกันรอบเตาผิง
ความอบอุ่นรูปแบบนี้นอกจากความอบอุ่นทางกายแล้วก็ยังอบอุ่นทางใจด้วย ความหนาวเหน็บแบบไหนก็ตามถูกขับไล่ออกไปด้วยคำว่าครอบครัว
แววตาหวังหลินเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอย่างช้าๆ ความหนาวเหน็บของหิมะความจริงไม่กระทบกระเทือนต่อเขา แต่ขณะนั้นเมื่อเขามองไปที่แสงไฟจากร้านค้าทั้งหมดและต้านค้าของตัวเองที่เป็นเพียงร้านเดียวที่มืดสนิท เศษเสี้ยวความหนาวเหน็บปรากฎในใจเขา
ความหนาวเย็นนี้ไม่มีไฟหรือวิชาใดสามารถลบล้างออกไปได้ ความหนาวเย็นรูปแบบนี้มาจากการเข้าใจสวรรค์และต้องพบเจอเพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิตเท่านั้น
การจะเป็นเซียนอมตะได้ อันดับแรกต้องไปเป็นคนธรรมดาเสียก่อน
แม้ว่าการเป็นคนธรรมดานับว่าง่ายดาย มันจะง่ายอย่างที่ว่ากันได้อย่างไรเล่า? ตอนนี้หวังหลินกำลังพบประสบการณ์โดดเดี่ยว เขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องเก็บประสบการณ์นี้เอาไว้
ความโดดเดี่ยวนี้เทียบไม่ได้กับอีกหลายปีต่อจากนี้ เมื่อทุกคนที่เขารู้จักตายไปทีละคนจนเหลือเขาเพียงคนเดียว นั่นนับว่าเป็นความโดดเดี่ยวที่แท้จริง
หวังหลินเริ่มครุ่นคิด หลังจากเวลาผ่านไปนานเขายืนขึ้น ราวกับว่าเขาดูแก่ขึ้นไปมาก เขาค่อยๆเก็บเก้าอี้กลับเข้าไปร้านและปิดประตูอย่างช้าๆ
หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ กองไฟจุดขึ้นในร้าน แม้ว่าไฟนี้จะดูเหมือนไฟที่ร้านค้าแห่งอื่นๆ แต่ไฟนี้กลวงโบ๋และสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวซ่อนอยู่ข้างในลึกๆ
หวังหลินนั่งถัดต่อกองไฟ ร้านค้าข้างในอบอุ่นแต่ในใจเขาหนาวเหน็บ หลังครุ่นคิดเป็นเวลานานหวังหลินนำไม้แกะสลักขึ้นมาและวางมันไว้ด้านข้าง
ไม้แกะสลักนี้คือพ่อของเขา
เมื่อมองไปที่ไม้แกะสลัก ความหนาวเย็นในใจหวังหลินลดลงเล็กน้อย จากนั้นเขานำไม้แกะสลักรูปแม่ของตัวเองออกมา จากนั้นค่อยๆหยิบไม้แกะสลักออกมาทีละชิ้นและวางพวกเขาใกล้ๆกับเตาผิง
มีไม้แกะสลักทั้งบุรุษและสตรี คนหนุ่มและคนแก่ พวกเขาคือชาว้านในหมู่บ้านเล็กๆที่หวังหลินเติบโต
มองไปที่ไม้แกะสลักเหล่านี้ หวังหลินจึงยิ้มออกมา แม้ว่ารอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยควาพอใจ แต่หากใครเห็นรอยยิ้มนี้พวกเขาคงพูดว่า “นั่นจะเรียกว่ารอยยิ้มได้ยังไง? มันเป็นการร้องไห้อย่างเงียบๆนี่นา”
แสงไฟประทุขึ้น บางครั้งก็ส่องบนใบหน้าหวังหลิน บางครั้งมันก็หมองหม่น เมื่อแสงเข้าหาไม้แกะสลักกลับรู้สึกแปลดประหลาด
เขาจับไม้แกะสลักอย่างอ่อนโยนพร้อมกับความหนาวเย็นในใจลดลง แม้ว่ามันจะลดลงแต่ความเศร้าของเขาเพิ่มขึ้น
หวังหลินพึมพำกับตัวเอง “ปล่อยไปไม่ได้ ปล่อยไปไม่ได้…” ในช่วงต้นของการฝึกฝนเซียน เขาไม่สามารถละจากครอบครัวได้ แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถละทิ้งได้
แต่ความรู้สึกนี้นับว่าแตกต่างจากเมื่อก่อน การกลายเป็นเซียน เขาต้องเป็นคนธรรมดา หากเขาต้องละทิ้งอารมณ์ทั้งหมดต่อครอบครัว เช่นนั้นไม่มีทางที่เขาจะกลายเป็นคนธรรมดาได้
เซียนขั้นตัดวิญญาณทุกคนแข็งแกร่งไม่เพียงเพราะระดับฝึกฝนของพวกเขาเท่านั้นแต่เพราะจิตใจพวกเขาซ่อนอารมณ์ความรู้สึกลึกลงไป พวกเขาใช้อารมณ์นี้เพื่อทะลวงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดและบรรลุขั้นตัดวิญญาณ
มันเป็นเพราะอารมณ์เช่นนี้ หวังหลินจึงไม่เจอความยากเย็นใดๆในการเป็นคนธรรมดาและค่อยๆเริ่มรู้สึกเหมือนคนทั่วไป
ณ ขณะนั้นความคิดของเขายึดติดกับครอบครัวและรับรู้ประสบกาณณ์นี้อย่างเงียบเชียบ พลังปราณในร่างเริ่มพรั่งพรูขึ้นอีกครั้ง พลังปราณค่อยๆออกมาจากร่างกาย เศษเสี้ยวพลังปราณออกมาจากไม้แกะสลักในห้องทั้งหมดและหมุนไปพร้อมกับพลังปราณของหวังหลิน
พลังปราณที่หมุนวนนี้ค่อยๆหมุนเร็วขึ้นและขยายออกนอกร้านค้า
เมื่อเกล็ดหิมะตกลงบนหลังคาร้าน มันเริ่มหมุนวนเช่นกัน พวกมันค่อยๆเปลี่ยนป็นพายุเกล็ดหิมะและลอยออกไปไกล
หิมะเริ่มตกลงหนักขึ้นและหนักขึ้น หวังหลินเริ่มตื่นขึ้นอย่างช้าๆและเมื่อเขาตื่น รอยร้าวปรากฎบนไม้แกะสลักบางชิ้น
แม้ว่าไม้แกะสลักพวกนี้จะมีรอยร้าว แรงกดดันของพวกมันยิ่งรุนแรง กระทั่งคุณภาพกลับเพิ่มพูนขึ้น
หวังหลินมองไปและสูดหายใจลึก
เขายืนขึ้นจากนั้นผลักประตูออกไป ลมอันหนาวเหน็บปะปนกับหิมะปะทะเข้ากับใบหน้าเขา หวังหลินมองขึ้นไปบนฟ้าและกระซิบ “ขั้นตัดวิญญาณ ข้า หวังหลินจะรับไว้เองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”
หิมะเริ่มตกหนักขึ้นและชั้นหิมะหนาเริ่มรวบรวมกองไว้บนพื้น ขณะนั้นเองประตูร้านเหล็กตรงข้ามหวังหลินเปิดขึ้นทันที ต้าหนิวและพ่อของเขากำลังจะออกไปพลันเห็นหวังหลินยืนอยู่ตรงนั้น พวกเขาตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ ต้าหนิววิ่งผ่านหิมะจนส่งเสียงกระทืบเท้าแต่ละก้าว เขามาถึงถัดจากหวังหลินและร้องตะโกน “ลุงหวัง ท่านรู้หรือว่าเราจะไปไหน?” เช่นนั้นเขาเข้าไปในห้องและนั่งถัดจากกองไฟ
พ่อของต้าหนิวคว้าตระกร้าไม้และยิ้มขึ้น “น้องหวัง ท่านไม่ยุ่งหรือ?”
หวังหลินยิ้มเบาบางขณะเคลื่อนไปด้านข้างและพูดขึ้น “ข้าไม่ได้ยุ่ง เข้ามาคุยกันข้างในก่อน”
พ่อของต้าหนิวเข้าไปในห้อง เขามองไม้แกะสลักในห้องและมีใบหน้าอิจฉา เขาวางตระกร้าไม้ลงบนพื้นจากนั้นลูบแขนต้องการจะเอ่ยอะไรสักคำแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
ขณะนั้นต้าหนิวซึ่งนั่งถัดจากกองไฟเห็นไม้แกะสลักของครอบครัวหวังหลินและพลันตะโกนขึ้นทันที “ลุงหวัง ทำไมข้าไม่เคยเห็นไม้แกะสลักพวกนี้มาก่อนเล่า? ท่านพึ่งสร้างมันไม่นานนี้หรือ?”
หวังหลินปิดประตู จากนั้นนั่งลงและเอ่ยขึ้น “ข้าสร้างมันมาพักนึงแล้ว”
ต้าหนิวมองไม้แะสลักอย่างละเอียดและถามขึ้น “ลุงหวัง คนคนนี้เป็นใคร”
แววตาหวังหลินเผยความคิดถึงและพูดช้าๆ “พวกเขาคือครอบครัวของข้าเอง”
ต้าหนิวตกตะลึงและไม่ถามอะไรต่อ เขาเดินไปที่ตระกร้าและเปิดมันขึ้นมา ข้างในมีจานงดงามสามใบและเหล้าผลไม้สองไห
เขามองพ่อต้าหนิวและมองดูพลันยิ้มบาง เขารู้จักชายคนนี้มานานแล้วและนี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินเห็นเขาทำเช่นนี้ ชัดเจนแล้วว่าพ่อของต้าหนิวมาหาเพื่อขอให้เขาช่วยเหลือแต่ไม่รู้ว่าจะขออย่างไร
หวังหลินเอ่ยขึ้น “พี่เซิ่ง ถ้าท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถิด”
พ่อของต้าหนิวลังเลเล็กน้อย เขาลูบแขนตนเองและพูดอย่างงุ่มง่าม “ไม่มี ไม่มี”
ต้าหนิวมองจานในตระกร้า เขากลืนคำพูดลงคอและยื่นมือเข้าไป เมื่อสังเกตว่าพ่อตนเองมองมาจึงชักมือกลับอย่างรวดเร็วและพูดอย่างไม่พอใจ “แค่ยืมเหรียญเงิน ทำไมต้องอายด้วยเล่า?”
พ่อต้าหนิวใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงและดุด่าลูกชายตนเอง “เด็กน้อย รอจนกว่าเราจะกลับบ้านก่อนเถอะ”
ต้าหนิวพูดติดอ่าง “เมื่อพ่อไม่พูด ข้าจะพูดเอง ท่านแม่ต้องการจะซื้อร้านถัดไปเพื่อทำให้ร้านเราใหญ่ขึ้นแต่ไม่มีเงินมากพอ”
พ่อของต้าหนิวถอนหายใจ เขามองหวังหลินและเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “น้องหวัง น้องสะใภ้ของเจ้าคิดว่าร้านเรามันเล็กเกินและมีขีดจำกัดที่กิจการของเราทำได้ นางเห็นว่าร้านค้านเก่าลี่กำลังเปิดเช่า ดังนั้นจึงต้องการเช่ามันทันที”
หวังหลินพยักหน้าเบางบาง เขาหยิบเหล้าขึ้นมาจากตระกร้าและดื่มไปหนึ่งอึกจากนั้นเอ่ยขึ้น “ท่านต้องการเท่าไหร่?”
พ่อของต้าหนิวลังเลชั่วครู่และเอ่ยขึ้น “ร้านค้าใหญ่โตและเราต้องจ่ายค่าเช่าสองปีในครั้งเดียว ดังนั้นน่าจะเป็นห้าสิบเหรียญเงิน…เอ่อ…สามสิบ…สามสิบเหรียญเงินก็พอ”
ต้าหนิวบุ้ยหน้าและกระซิบ “ท่านแม่พูดชัดเจนว่าแปดสิบเหรียญเงิน…” ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ พ่อของเขาจ้องเขม็ง
หวังหลินพยักหน้า เขายืนขึ้นและเดินกลับเข้าไปหลังร้านโดยไม่ได้เอ่ยคำพูด มีตระกร้าหนึ่งเต็มไปด้วยเหรียญเงินและเหรียญทอง หวังหลินหยิบเหรียญออกมาอย่างลวกๆและวางมันเบื้องหน้าพ่อของต้าหนิว
เมื่อพ่อของต้าหนิวเห็นเหรียญทอง เขาตกตะลึงและเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มากนัก น้องหวังเอากลับไปเถอะ ข้าต้องการยืมเพียงสามสิบเหรียญเงินเท่านั้น” จากมุมมองของเขามีเรียญทองมากกว่าสิบเหรียญเบื้องหน้า มากกว่าที่เขาต้องการนัก
หวังหลินหยิบเหล้าไหหนึ่งขึ้นมาและยิ้ม “พี่เซิ่ง ข้าไม่ได้ให้ท่านกู้ยืมเงินนี้ นี่คือค่าเหล้า ตั้งแต่วันนี้ต่อไปข้าขอซื้อเหล้าหนึ่งไหท่านทุกวัน และเงินนี้สำหรับค่าเหล้าผลไม้เป็นเวลาสิบปีนับว่าคุ้มค่า”
พ่อของต้าหนิวลังเลเล็กน้อย ใบหน้าเผยอาการตื่นเต้น เขาเอ่ยขึ้น “น้องหวัง สิ่งนี้…”
ต้าหนิวกรอกตาและเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ รับมันไว้เถอะ ลุงหวังสามารถขายไม้แกะสลักได้ชิ้นละสิบเหรียญทองเชียว”
พ่อของต้าหนิวจ้องลูกชายตัวเองอีกครั้ง เขาหยิบไหเหล้าขึ้นและดื่มไปอีกใหญ่จากนั้นเอ่ยออกมา “น้องหวัง จะสิบปีหรือแปดปี ตราบใดที่เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ ข้าจะส่งเหล้าหนึ่งไหให้เจ้าทุกวัน!”
หวังหลินหัวเราะ มองไปที่พ่อและลูกชายของเขาเบื้องหน้า จิตใจหวังหลินไม่หนาวเหน็ฐอีก เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
คืนนั้นพ่อของต้าหนิวดื่มไปมาก สองไหนับว่าไม่พอ ต้าหนิวบริการพวกเขาไว้ด้านข้างและจนถึงไหที่สิบจึงเมามาย
ในที่สุดพ่อของต้าหนิวสลบลงไป แต่ในมือกำเหรียญทองไว้แน่นขณะที่ถูกต้าหนิวหามกลับไป
ก่อนที่เขาจะจากไป ต้าหนิวพูดกับหวังหลินอย่างเงียบๆ “ลุงหวัง เรามีเหล้านี้เยอะมาก พ่อของข้าไม่ต้องการบอกคนอื่นแต่ความจริงมีเหล้าหลายโอ่งในชั้นใต้ดินบ้านของเรา และบอกได้ว่ามีกระทั่งฝังดินลงไปอีก หากไม่ใช่ว่าท่านพ่อไม่ขาย ท่านแม่คงไม่ให้เขามาที่นี่เพื่อยืมเงินท่านแล้ว”