288. ฝักชิ้นกระบี่แรก
ณ แคว้นจ้าวนอกหุบเขาจูหมิง ทุกสิ่งทุกอย่างสงบนิ่งราวกับเหตุการณ์ที่เซียนคนหนึ่งพึ่งบรรลุขั้นตัดวิญญาณไม่เคยเกิดขึ้นที่นี่
ในอีกไม่กี่ทศวรรษ หุบเขาจูหมิงจะเปิดขึ้นอีกครั้งเพื่อให้ผู้คนเข้าไปค้นหาสมบัติในสนามรบต่างแดน
ร่างหวังหลินปรากฎตัวข้างนอกหุบเขาและมองลงไป เขาถอนหายใจพลันโบกแขนและรอยแยกยาวสามฟุตเปิดขึ้นเบื้องหน้า
หากมองเข้าไปใกล้ๆแล้วจะรับรู้ได้ว่ารอยแยกนี้คือจุดที่หวังหลินถูกทำลายตนเอง
หลังจากบรรลุขั้นตัดวิญญาณแล้ว เป้าหมายแรกของหวังหลินก็คือหากระเป๋าที่หายไปตอนที่เขาตายในครั้งนั้น
หวังหลินไม่สนใจของส่วนใหญ่ในกระเป๋าใบเดิมแต่เขาต้องได้รับฝักกระบี่เมื่อตอนนั้นกลับคืนมา ตอนนี้หวังหลินเจอฝักกระบี่สองชิ้นและเชื่อว่าต้องมีความลับซ่อนอยู่ข้างในแน่นอน
ร่างเขาเคลื่อนไหวและปรากฎตัวข้างนอกรอยแยก สายลมรุนแรงที่สามารถพัดเป่าชีวิตได้ง่ายๆพลันออกมาจากรอยแยกแต่มันไม่มีผลต่อหวังหลิน
ฝ่ามือขวายื่นเข้าไปในรอยแยกและควานหาสิ่งของรอบๆด้วยวิญญาณดั้งเดิม ลำแสงรวบรวมในฝ่ามืออย่างช้าๆและกระเป๋าใบหนึ่งปรากฎขึ้น
ขณะที่หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกไป แววตาพลันเคร่งขรึม กระเป๋ามีของหายไปมากรวมถึงฝักกระบี่ด้วย
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและเดาได้ว่าเป็นเพราะมันผ่านการคืนรูปด้วยเวลานานมาก สิ่งของบางส่วนจึงหายไปในรอยแยกอวกาศแห่งนี้
แต่เขาได้หลอมฝักกระบี่นั้นด้วยแกนพลังของเขาและตอนนี้หวังหลินบรรลุขั้นตัดวิญญาณแล้วจึงสามารถสัมผัสมันได้อย่างเบาบาง เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปในรอยแยกอวกาศ
หลังจากเข้าไป รอยแยกปิดลงอย่างรวดเร็ว มันเลือนหายไปและพื้นที่นอกหุบเขาจูหมิงเงียบสงัดอีกครั้งนึง
มิติภายในรอยแยกไม่ได้ว่างเปล่า มันเต็มไปด้วยชั้นบรรยากาศอึดอัดและสายลมหนาวพร้อมกับมีของหลายชิ้นที่ปลดปล่อยแสงหลากสีแตกต่างกัน
มีแม้กระทั่งก้อนหินยักษ์สีดำลอยอยู่รอบๆ
ขณะที่เขาเข้าไปในพื้นที่นี้ หวังหลินรู้สึกคล้ายคลึงกับพื้นที่ในความทรงจำของตู่ซือ เพียงแต่ไม่มีดวงดาวอยู่ที่นี่เท่านั้น
หวังหลินโบกแขนและทิ้งสัญลักษณ์ไว้ เขาเคลื่อนตัวผ่านมิติแห่งนี้ราวกับอุกกาบาตเข้าไปหาตำแหน่งที่เขาสัมผัสถึงฝักกระบี่ได้
ขณะที่เคลื่อนไหว ช่องว่างหลายแห่งในอวกาศปรากฎขึ้นและพยายามดูดสิ่งของเข้าไป แต่แรงดึงดูดนี้ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อสิ่งของในมิติแห่งนี้
ความเร็วของหวังหลินค่อยๆเร็วขึ้นและเร็วขึ้นขณะที่หวังหลินกระพริบผ่านช่องว่างพวกนี้ ในพื้นที่ห่างไกลมีฝักกระบี่ฝังอยู่ในก้อนหินดำก้อนหนึ่ง
ฝักกระบี่นี้คือชิ้นที่เป็นของหวังหลิน
รอบๆฝักกระบี่มีเงาคล้ายมนุษย์อยู่สี่ตน ทั้งสี่เงากำลังนั่งอยู่รายล้อมฝักกระบี่ พวกเขากำลังฝึกฝนพร้อมกับเสี้ยวพลังงานสสีแดงเล็ดลอดออกมาจากฝักกระบี่และถูกเงาทั้งสี่ดูดซับไป
เมื่อหวังหลินเห็นฉากนี้ในระยะไกล เขาพลันหยุดกึก แววตาสงบนิ่งพร้อมกับสะบัดแขนขวา
ทันใดนั้นฝักกระบี่สั่นไหวและข้างในก้อนหินดำเริ่มเคลื่อนที่ ทว่าเงาทั้งสี่หันไปมองหวังหลินด้วยแววตามุ่งร้ายทันที
หวังหลินมีแววตาสงบนิ่งและไม่ได้เอ่ยคำใด
เมื่อเห็นว่าฝักกระบี่ถูกยกสูงขึ้นและสูงขึ้น และดูเหมือนกระทั่งเปล่งเสียงออกมา ปากของเงาทั้งสี่อ้าขึ้นและสูดพลังงานสีทองเข้าไปมากยิ่ง
ในเวลาเดียวกันเงาร่างหนึ่งยืนขึ้นทันที ร่างมันเติบโตจนกลายเป็นก้อนเมฆยักษ์สีดำพุ่งไปที่หวังหลิน
สายตาหวังหลินสว่างขึ้นและเยาะเย้ย “สมบัติวิเศษภูติผีแท้ๆ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” เช่นนั้นหวังหลินชี้ด้วยฝ่ามือซ้ายและลำแสงพลังปราณพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว
แม้ว่าพลังปราณนี้จะไม่รุนแรงมากแต่มันบรรจุเขตแดนของหวังหลินเข้าไปด้วย ความรู้สึกแห่งความตายปรากฎในพลังปราณเข้าไปในร่างเงา ภายในพลังอำนาจของเขตแดน พลังชีวิตของร่างเงาหายไปอย่างรวดเร็ว
ร่างเงาตัวนั้นส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนขณะที่ควันสีดำไหลออกจากร่างของมัน หากมองดูใกล้ๆแล้วจะเห็นพลังลึกลับกำลังล้อมรอบร่างเงาตัวนี้ทำให้มันหดลง ในไม่กี่ลมหายใจ มันก็หายตัวไปโดยสิ้นเชิง
ทว่าขณะที่มันกำลังจะหายไป หวังหลินยิงลำแสงพลังปราณอีกเส้นเข้าไปในร่างเงาที่กำลังสลายทำให้มันคืนร่างและเปลี่ยนไปเป็นรูปปั้นมารตนหนึ่ง
รูปปั้นนี้มีพื้นฐานมาจากอสุรกายที่รู้จักกันในนามว่า “โหยว” มาจากความทรงจำของตู่ซือ เมื่อถูกสร้างผ่านเขตแดนชีวิตและความตายไปแล้ว หลังจากที่มันปรากฎตัวขึ้นพลันส่งเสียงคำรามและพุ่งเข้าหาร่างเงาที่เหลือสามร่าง
ร่างกายหวังหลินยังไม่ได้เคลื่อนไหวขณะที่วิญญาณดั้งเดิมยังคงโผล่ขึ้นมาจากข้างในเขตแดนชีวิตและความตาย หวังหลินควบคุมรูปปั้นที่เขาสร้างขึ้นมาผ่านเขตแดนของตนเอง
เป็นครั้งแรกที่หวังหลินได้ใช้วิชาขั้นตัดวิญญาณของจริงซึ่งมันใช้พลังอำนาจแห่งสวรรค์ ส่วนวิชาที่ทรงพลังของเซียนขั้นตัดวิญญาณนั้นมีไม่มากนักที่จะใช้ได้อย่างกว้างขวาง
วิชาทั้งหมดมีพื้นฐานมาจากเขตแดนของตนเองและถูกสร้างขึ้นมาด้วยตัวพวกเขาเอง
เงาทั้งสามร่างรอบๆฝักกระบี่ส่งเสียงแหลม หนึ่งในนั้นกระโดดเข้าใส่ฝักกระบี่และนำมันหนีออกไปด้วย
ส่วนอีกสองรายหันสายตาชั่วร้ายมาและกระโดดใส่รูปปั้น หนึ่งในเงาพวกนั้นระเบิดเป็นเศษสีดำนับไม่ถ้วนและเข้าไปในรูปปั้นจากทุกทิศทาง
อีกร่างเงาหนึ่งใช้โอกาสนี้เพื่อผ่านรูปปั้นและกระโดดเข้าใส่หวังหลิน ขณะนั้นเองแววตาของมันปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายออกมา
สายตาจดจ้องของหวังหลินสงบนิ่งขณะชี้ไประหว่างคิ้วตนเองอย่างเบามือ วิญญาณดั้งเดิมออกมาพร้อมกับมองร่างเงาอย่างเยือกเย็นและยื่นมือขวาออกไป
เมื่อร่างเงาเห็นวิญญาณดั้งเดิม มันกรีดร้องและหันตัวกลับเพื่อหลบหนีโดยไม่ลังเล ทว่ามันช้าเกินไปจนถูกหวังหลินจับตัว มันขัดขืนและกรีดร้องขณะที่โดนวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินกลืนกินเข้าไป
ส่วนตัวที่หลบหนีไปพร้อมกับฝักกระบี่ มันไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเส้นตรงแต่คดเคี้ยวไปมา ชัดเจนแล้วว่ามันพยายามหลบหนีการเคลื่อนที่พริบตาของหวังหลิน
หวังหลินเหยียดยิ้ม วิญญาณดั้งเดิมหายไปและเป็นส่วนหนึ่งของมิตินี้ ดังนั้นมันจึงราวกับสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าฝักกระบี่กำลังไปที่ไหน
วิญญษณดั้งเดิมปรากฎถัดจากฝักกระบี่อย่างเงียบเชียบและคว้ามันไปจากนั้นกลับไปที่ร่างของหวังหลิน
นี่คือความสามารถเคลื่อนไหวฉับพลันของเหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณซึ่งสามารถใช้ได้ด้วยการรวมเข้ากับสวรรค์ ไม่ใช่เซียนขั้นตัดวิญญาณทุกคนสามารถทำเช่นนี้ได้ แต่มันแค่ทรงพลังมากกว่าการเคลื่อนที่พริบตาของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด
เมื่อหวังหลินกลืนกินร่างเงา เขาดูดซับความทรงจำของมันเช่นกัน ร่างเงานี้ถูกสร้างขึ้นโดยเซียนผู้ทรงพลังคนหนึ่งโดยการแบ่งความคิดของตนเองออกมาจากนั้นนำพวกมันมาที่นี่เพื่อหลอมรวมกับลมหนาวเย็นให้กลายเป็นวิญญาณสำหรับสมบัติวิเศษ
ความคิดพวกนี้ไม่ได้มีสติปัญญามากนัก พวกมันพบฝักกระบี่ด้วยความบังเอิญขณะที่เดินเตร็ดเตร่ไปรอบๆ พวกมันรู้สึกถึงความผันผวนประหลาดจากฝักกระบี่และเริ่มฝึกฝนรอบๆมัน
เมื่อถือฝักกระบี่ ฝ่ามือขวาของหวังหลินชี้ไปที่รูปปั้น ทันใดนั้นเงาที่เข้าไปในรูปปั้นจึงพังทลายและกลายเป็นพลังปราณพร้อมกับสลายไป
ส่วนเงาที่ซ่อนตัวอยู่ในฝักกระบี่ มันถูกหวังหลินบังคับให้ออกมา เขาคว้าร่างเงาและส่งพลังปราณเข้าไปจนร่างเงานั้นแตกสลาย
หวังหลินสังหารร่างเงาทั้งสี่ตัวดังนั้นจึงไม่มีคนไหนจะไปสามารถกลับไปบอกเจ้าของเพื่อเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ได้
ร่างหวังหลินขยับและหายตัวไป เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งเขามาอยู่ในจุดที่ทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้ หวังหลินเปิดรอยแยกอีกแห่งขึ้นและเข้าไปข้างใน
เขาปรากฎตัวข้างนอกหุบเขาจูหมิง หวังหลินไม่หยุดลงชั่วขณะและเหาะเหินอย่างรวดเร็ว
หนึ่งเดือนต่อมาหวังหลินเดินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากแคว้นจ้าว
เขาพึมพำ “ด้วยการปรากฎของหม้อพิรุณ การเปิดประตูสวรรค์จะอยู่อีกไม่ไกล แม้ข้าพึ่งจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณและยังห่างไกลจากขั้นแปลงวิญญาณแต่นับว่ายังมีโอกาส เมื่อข้าบรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้แล้ว ซือถูหนานจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ ครั้งหนึ่งเขาพูดว่าเป็นเซียนอันดับหนึ่งของซูซาคุ ดังนั้นเขาต้องรู้เรื่องผลึกดาวเคราะห์เซียนแน่นอน เขาต้องสามารถช่วยข้าได้รับสมบัติชิ้นนี้เป็นแน่”
“มันแค่ว่าข้าไม่รู้จะสามารถคืนชีพท่านพ่อและท่านแม่ได้อีกครั้งหรือไม่เมื่อข้าบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ…แต่เขตแดนของข้าคือเขตแดนชีวิตและความตาย ยิ่งข้าเข้าใจวัฎจักรการเกิดใหม่ ข้าก็ยิ่งเข้าใจว่าการฝืนกฎของมันนั้นยากเย็นแค่ไหน เป้าหมายในการฟื้นคืนชีพครอบครัวของข้านี้ยากที่จะประสบความสำเร็จได้…” หวังหลินถอนหายใจ
“ช่างเถอะ ค่อยกังวลเรื่องนี้ทีหลัง หากไม่มีทางฟื้นคืนชีพได้จริง เช่นนั้นข้าจะค้นพบพวกเขาในสถานที่ที่รอการกลับชาติมาเกิดใหม่ ความเมตตานี้ยังไม่ได้ตอบแทนท่านเลย อาห์…”
ณ ตอนนี้หวังหลินยังจำเป็นต้องสร้างธงกฎเกณฑ์ขึ้นอีกผืน มีหินหมึกเหลืออยู่เพียงก้อนเดียวดังนั้นเขาจึงใช้มันอย่างระมัดระวังและไม่ทำให้มันเสียหาย หวังหลินพยายามซ่อนแซมธงกฎเกณฑ์ที่เสียหายดูแล้วแต่ไม่สามารถทำได้ ตอนนี้มีเพียงทางเดียวคือใช้มันเพื่อเรียกทัณฑ์สวรรค์ออกมาเท่านั้น
“นอกเหนือจากทั้งหมดนี้ แม้ว่าข้าจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณไปแล้ว กลับมีสมบัติวิเศษน้อยเกินไป เขตแดนสวรรค์สามารถเปิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นข้าต้องเตรียมการ ข้าต้องนำปราณสวรรค์มาให้ได้!”