291. สนามรบต่างแดน
หลังวางกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันบนธงจำนวนมากกว่าสิบแปดชุด หวังหลินถอนหายใจออกมา เขาได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว หากต้องการดำเนินต่อไปเช่นนั้นจะต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์เพิ่มเติม ซึ่งเป็นเพียงทางเดียวในการเพิ่มจำนวนกฎเกณฑ์โจมตีแบบเดี่ยว
หวังหลินตั้งใจที่จะเรียนรู้กฎเกณฑ์เพิ่มในอนาคต เพียงแค่มันเสร็จระดับแรก ธงผืนนี้ก็มีพลังเพิ่มขึ้นมากแล้วดังนั้นเขาจึงมีความหวังที่จะเห็นมันตอนที่เสร็จระดับสอง ในขั้นนั้นมันอาจจะทำให้เซียนขั้นแปลงวิญญาณตกตะลึงก็เป็นไป
ขณะที่คิดเรื่องนี้หวังหลินตื่นเต้นมาก เขาเก็บธงที่เสร็จสิ้นและนำผืนที่ได้รับความเสียหายออกมา หลังจากมองมันคราหนึ่งจึงวางกฎเกณฑ์ชิ้นสุดท้ายเข้าใส่ จุดประสงค์หลักของการใช้ธงผืนนี้ก็เพื่อเรียกสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ออกมา
หลังเสร็จสิ้นธงกฎเกณฑ์ หวังหลินกระโดดขึ้นและเหาะเหินเข้าหาอุโมงค์อันมืดมิด
หวังหลินคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณนี้มาก นอกจากนั้นในคราก่อนเขาได้ผ่านไปยังพื้นที่อันตรายด้วย
แม้ว่าหวังหลินจะทำเช่นนั้นอีกครั้งเขาก็ไม่ได้ประมาทและเหาะเหินลงไปด้วยความระมัดระวัง
หวังหลินมาที่นี่เพื่อหาอสูรวิญญาณเพื่อแม้จะว่าจะไม่มีพวกมันมากมายที่นี่แต่มันก็ยังแข็งแกร่งกว่าอสูรที่อยู่ในทะเลปิศาจหลายชั้น
อีกทั้งมีอสูรเดียวดายบางส่วนด้วย แน่นอนกระทั่งหวังหลินก็ไม่ต้องการก่อกวนพวกมัน อสูรระดับสูงนั้นมีพลังเทียบเท่าเซียนขั้นตัดวิญญาณด้วยซ้ำ
เหตุผลที่เขาเลือกจะมาหาอสูรที่นี่เพราะเขามีสมบัติที่เรียกกันว่ากับดักอสูร กับดักนี้ทำให้เขาควบคุมอสูรตัวใดก็ได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังปราณจำนวนมาก
หวังหลินได้รับกับดักนี้ตอนที่เข้ามาดินแดนเทพโบราณครั้งแรกจากเซียนโบราณด้วยการใช้การช่วยเหลือเป็นการแลกเปลี่ยน
ในหลายปีหลังจากนั้นหวังหลินก็ได้พบอสูรระดับต่ำเพื่อทดสอบมัน และเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงมาที่นี่ตอนนี้
กล่าวได้ว่าหวังหลินต้องการเตรียมตัวทั้งหมดเท่าที่ทำได้ในการได้รับปราณสวรรค์จากดินแดนสวรรค์ เมื่อเขาจับอสูรระดับสูงได้ซึ่งมีระดับเดียวกับเซียนขั้นตัดวิญญาณ มันจะช่วยเขาเป็นอันมาก
อย่างไรก็ตามในระหว่างช่วงเวลานี้ เขาจะต้องใส่พลังปราณเข้าไปในสมบัติเพื่อป้องกันไม่ให้อสูรทำลายออกมาได้
หวังหลินใช้สัมผัสวิญญาณกระจายออกมาตลอดเวลาพร้อมกับจมดิ่งลงไป แต่เขากลับพบว่าไม่มีอสูรวิญญาณเลย เรื่องนี้ทำให้เขาสับสนเป็นอันมาก เท่าที่จำได้ตอนที่เขาเข้ามาครั้งล่าสุดมันมีอสูรวิญญาณอยู่หลายตัว
เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะจมดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อมาถึงจุดที่ลึกลงไปหนึ่งหมื่นเมตรซึ่งเป็นตำแหน่งที่มังกรตกลงไปครั้งล่าสุด หวังหลินยืนอยู่ที่นี่พร้อมกับลังเล หากเขาเคลื่อนไหวลงไปอีกอาจจะวิ่งไปเจออสูรเดียวดาย
แต่หวังหลินไม่เจออสูรวิญญาณสักตัวตลอดเส้นทางที่ลงมา ดูเหมือนว่าการเดินทางนี้จะไร้ประโยชน์เสียแล้ว หลังขบคิดเพิ่มขึ้นหวังหลินสส้างผนึกเพื่อจะออกไปจากดินแดนเทพโบราณ
เนื่องจากมันอันตรายเกินที่จะไปต่อ หวังหลินไม่ต้องการเสี่ยงเกินไปเพื่อแค่อสูรวิญญาณตัวเดียว
ทว่าขณะที่เขาสร้างผนึก ดวงตาสองดวงราวกับไข่มุกก้อนโตปรากฎในความมืดเบื้องล่างเขาจากนั้นมังกรแดงโผล่ขึ้นมาทันที
หวังหลินรับรู้ได้ทันทีว่ามังกรตัวนี้เป็นตัวเดียวกับเมื่อครั้งล่าสุด ขณะที่เขากำลังจะจากไปพลันหยุดลงและรับรู้ได้ว่ามีคางคกสีเขียวเบื้องหน้ามังกรตัวนั้น
คางคกตัวนี้สูงเพียงสิบเมตรและพร้อมกันนั้นมันแตะขาหลังและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไล่ล่ามังกรจากด้านหลังทันที
หวังหลินจมลงในก้อนหินโดยไร้คำพูด สัมผัสวิญญาณกระจายออกมาเพื่อตรวจสอบว่าเกิอะไรขึ้น เขาสร้างผนึกเสร็จแล้วและต้องการเพียงกระตุ้นเพื่อใช้งานเท่านั้นก็จะสามารถออกจากที่นี่ได้ ตอนี้เขาไม่เร่งรีบอยู่แล้วจึงสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาเห็นมังกรแดงอ้าปากและม้วนร่างของมันขึ้น เมื่อมันคลายออกพลันพุ่งไปเบื้องหน้าพร้อมกับสะบัดร่างเพื่อรัดรอบตัวคางคุก
เจ้าคางคุกหยุดกึกขณะที่มังกรพยายามรัดรอบมัน ทันดในั้นมีแสงกระพริบเจิดจ้าจากตัวคางคกซึ่งส่องสว่างในพื้นที่ทั้งหมด หลังแสงสลัวลงมีบอลสายฟ้ารอบๆตัวคางคุก
มังกรแดงร้องคำรามและหลบอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ามันจะกลัวสายฟ้านั้นมาก
หวังหลินสูดหายใจลึก เขาตกตะลึง แม้ว่าสายฟ้าของคางจะไม่ได้ดูพิเศษไปเสียทั้งหมด มันทำให้หวังหลินรู้สึกราวกับเผชิญกับสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ในครั้งแรก
เจ้าคางคกนี้อาจจะเป็นอสูรเดียวดายเช่นกันหากมันสามารถต่อกรกับมังกรแดงได้
แต่หวังหลินทิ้งความคิดนั้นทันทีเมื่อเห็นคางคกร่อนลงไปบนก้อนหินใกล้ๆพร้อมกับสายตาสิ้นหวัง
มองดูแล้วมันไม่ดูเหมือนจะเป็นอสูรเดียวดาย นอกจากนั้นการต่อสู้ระหว่างอสูรเดียวดายไม่ควรจะตัดสินกันในการโจมตีเดียว
หวังหลินรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาจะไม่ก่อกวนอสูรเดียวดายแต่หากเจ้าคางคกตัวนี้เป็นอสูรวิญญาณระดับสูง เช่นนั้นมันก็จะเหมาะสมกับที่เขาต้องการ
ในตอนนี้เจ้ามังกรแดงร้องคำราม ทันใดนั้นบอลโลหิตสีแดงสิบลูกปรากฎรอบๆตัวของมัน ข้างในบอลโลหิตเป็นวิญญาณของอสูรวิญญาณทั้งหมด
บอลโลหิตพุ่งเข้าหาคางคกอย่างเร่งรีบ
สายตาสิ้นหวังในแววตาคางคกลึกล้ำขึ้น หวังหลินกัดฟันแน่นและกระโดดออกไป…
ขณะที่เขาปรากฎตัว มังกรแดงพุ่งเข้าหาหวังหลินด้วยใบหน้าเยาะเย้ย บอลโลหิตสามลูกพุ่งเข้าหาหวังหลิน
หลังเห็นวิญญาณอสูรข้างในลูกบอล ในที่สุดหวังหลินก็เข้าใจว่าทำไมเขาไม่เจออสูรตัวใดตลอดที่เข้ามานี้ มังกรตัวนี้ต้องบ้าไปแล้ว สังหารอสูรวิญญาณทั้งหมดที่นี่เพื่อหลอมวิญญาณพวกมันเข้าใส่บอลโลหิต
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งดังเดิมเมื่อเผชิญกับบอลโลหิต เขาสะบัดแขนพลันปรากฎแสงกระพริบและเกิดเป็นวงกลมทองแดงขึ้น วงกลมทองแดงนี้มีขนาดเท่าสร้อยข้อมือ หากมองใกล้ๆแล้วจะเห็นใบหน้าอสูรหลายร้อยตัวที่ดูราวกับมีชีวิต
จังหวะที่วงกลมทองแดงปรากฎ วิญญาณอสูรทั้งหมดตื่นตกใจและหลบเลี่ยงวงกลม วงกลมเคลื่อนที่ไปเหนือเจ้าคางคกอย่างรวดเร็ว ขยายขนาดใหญ่ขึ้นและลดต่ำลงมา
หวังหลินตะโกนก้อง “หากเจ้าไม่ต้องการตาย อย่าขัดขืน!” ร่างหวังหลินหายไปในอุโมงค์โดยไม่ได้มองกลับไปดูวงกลมทองแดง
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เจ้ามังกรไม่เคยคิดว่าหวังหลินจะมีความสามารถในการออกไปจากที่นี่เวลาไหนก็ได้ หลังตระหนักได้ว่าตัวตนของหวังหลินหายไป เจ้ามังกรร้องคำรามและวงแหวนโลหิตขยายออกมา ทุกอย่างที่สัมผัสกับวงแหวนนี้จะสลายกลายเป็นฝุ่นผง
เจ้าคางคกกำลังจะหลบวงกลมทองแดง แต่หลังได้ยินคำพูดของหวังหลิน ดวงตาของมันว่างขึ้น แทนที่จะหลบเลี่ยง มันกระโดดเข้าไปในวงกลมทองแดงและถูกล๊อคไว้ที่คอของมันแทน เมื่อวงแหวนสีแดงเข้าใกล้ เจ้าคางคกก็หายไปแล้ว
เจ้ามังกรร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังกึกก้องทั่วทั้งอุโมงค์
หวังหลินปรากฎตัวที่ทางเข้า ขณะที่เขาปรากฎใบหน้าซีดเผือดทันทีและนำขวดยาออกมาหลายเม็ดก่อนจะนั่งลงฝึกฝน
ด้านข้างที่เขานั่งมีคางคกสีเขียวตัวใหญ่หนึ่งตัว มันมอบรอบๆอย่างระมัดระวัง รอบๆคอของมันมีปลอกคอทองแดงอยู่
เจ้าอสูรยุงรับรู้การคงอยู่ของหวังหลินและเข้ามาหาทันที ว่ามันรับรู้ได้ว่ามีคางคกด้วยจึงคำรามเข้าใส่
เจ้าคางคกกรอกตาและกระดกลิ้นออกมา ลิ้นของมันลอยออกไปราวกับสายฟ้าเข้าใส่อสูรยุง ทว่าเจ้ายุงหลบได้และแทงใส่เจ้าคางคกด้วยงวงแหลม
เจ้าคางคกดูถูกก่อนจะที่ร่างของมันจะพองขึ้นและบอลสายฟ้าพุ่งออกไปใส่เจ้ายุง
เจ้ายุงร้องคำรามขณะที่มันอ้าปากพ่นเส้นสีทองออกมาสิบเส้นก่อร่างเป็นตาข่ายและกักขังบอลสายฟ้าเอาไว้
ขณะนั้นหวังหลินลืมตา ขมวดคิ้วและร้องตะโกน “พอแล้ว!”
เจ้าคางคกสูดหายใจเข้าอย่างเกียจคร้านและกลืนสายฟ้าเข้าไป เจ้าอสูรยุงจดจ้องคางคกด้วยความชั่วร้ายแต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ
นอกจากนั้นนี่คือความแตกต่างเรื่องระดับขั้นระหว่างเจ้ายุงและคางคก
ใบหน้าหวังหลินซีดเล็กน้อย ตอนที่เขาส่งกับดักออกไปรอบๆคอของคางคก เขาถูกพลังปราณมหาศาลดูดออกไป เรื่องนี้เกือบทำให้เขากลายเป็นมัมมี่ก่อนที่จะควบคุมเจ้าคางคกได้สำเร็จ
จังหวะที่เขาได้รับการควมคุมเจ้าคางคก ทันใดนั้นพลันเกิดสิ่งหนึ่งในใจขึ้น มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับอสูรที่เขาจับได้
คางคกตัวนี้คือ คางคกสายฟ้า และมันคืออสูรวิญญาณระดับสูง
จากความรู้ของหวังหลิน สมบัตินี้จะใช้พลังปราณจากผู้ใช้เพื่อประทับประคองให้ควบคุมอสูรได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ช่วงเวลานี้ถูกตั้งไว้แล้ว ดังนั้นหลังจากเขาสั่งให้อสูรทั้งสองตัวเงียบลง จึงนั่งลงและเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง
หกวันต่อมา กับดับอสูรเริ่มดูดซับพลังปราณมากขึ้นแต่หวังหลินเตรียมตัวไว้แล้วจึงไม่ได้กลัวนัก
หลังมันหยุดดูดซับ หวังหลินจึงกินเม็ดยาเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ จากนั้นยืนขึ้นและโบกสะบัดแขน กับดักอสูรหดเล็กลง เจ้าคางคกร้องคำรามด้วยความไม่พอใจขณะที่มันหดเล็กกลับเข้าฝ่ามือหวังหลิน ใบหน้าอสูรทุกตัวตอนนี้หายไปจากสร้อยข้อมือ แทนที่ด้วยใบหน้าเจ้าคางคก
หลังยืนยันช่วงเวลาที่กับดับอสูรจะดูดพลังปราณจากเขา หวังหลินจึงยืนขึ้นและเตรียมตัวออกพื้นที่ดาราล่มสลาย
ทว่าเจ้ายุงร้องคำรามด้วยความร้อนใจทำให้ดึงดูดความสนใจจากหวังหลิน หวังหลินลอยเข้าไปพื้นที่ที่ในเส้นสีทองออกมาและหยุดลง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง รอยแยกขนาดเท่ากำปั้นปรากฎขึ้นอีกครั้ง
หวังหลินมองดูจากนั้นวิญญาณดั้งเดิมออกจากร่างกายและเข้าไปในรอยแยก ในพริบตาหวังหลินก็คว้าเส้นสีทองหลายสิบเส้น แต่ขณะที่กำลังจะออกไป มีเส้นสีทองหนาหลายร้อยเท่ายื่นออกมาจากสิ่งที่คล้ายกับดวงอาทิตย์
จังหวะที่เส้นหนานี้ปรากฎ ดวงอาทิตย์สีทองหดตัวเล็กลง ทุกแห่งที่เส้นหนาผ่านไป เส้นสีทองอื่นๆจะหลบมัน มันพุ่งตรงไปที่หวังหลินและก่อนที่มันจะเข้าใกล้ หวังหลินสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างรุนแรงสายหนึ่งเข้ามาทางเขา
แววตาหวังหลินสว่างขึ้นและมองดูของสิ่งนี้ หวังหลินไม่ได้โจมตีมันแต่ถอนวิญญาณดั้งเดิมกลับเข้าร่งกายอย่างรวดเร็วและหนีให้ไกล
เจ้าอสูรยุงดูเหมือนจะรับรู้บางสิ่งได้ขณะที่จับจ้องเส้นสีทองในมือหวังหลินและติดตามไปเบื้องหลัง
หวังหลินเพียงถอยกลับมาได้ระยะสั้นก่อนจะได้ยินเสียงดังสนั่นและพายุวนขนาดเท่ากำปั้นปรากฎถัดจากรอยแยกนับไม่ถ้วน พายุวนกระจายออกจนทำให้รอยแยกขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อมันขนาดใหญ่ขึ้นเส้นสีทองพุ่งเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินรีบหลบหนีอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้หันศีรษะกลับ พื้นที่ดาราล่มสลายไม่ได้ใหญ่นักดังนั้นในไม่ช้าหวังหลินจึงผ่านกฎเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ไป เขาคว้าอสูรยุงวางไว้และพุ่งเข้าใส่วงแหวนดาราล่มสลาย
ขณะที่เขาเข้าไปในวงแหวน เส้นสีทองขนาดใหญ่กระแทกใส่กฎเกณฑ์ของหวังหลินที่จัดตั้งไว้ ทว่ากฎเกณฑ์ของหวังหลินแตกสลายในทันทีโดยไม่ได้รั้งเส้นสีทองได้เลยสักเสี้ยววิ
หวังหลินเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยสัมผัสวิญญาณทำให้ขมวดคิ้วพลางเหาะเหินออกมาจากวงแหวนของดาราล่มสลาย
เส้นสีแดงดูเหมือนจะกลัววงแหวนของดาราล่มสลาย ราวกับมีพลังสายหนึ่งป้องกันไม่ให้มันออกมาได้ มันขดตัวราวกับอสรพิษและพุ่งใส่หวังหลิน
หวังหลินยืนอยู่ข้างนอกวงแหวนดาราล่มสลายและมองไปที่เส้นสีทองก่อนจะจากไป หวังหลินรู้ว่าการเดินทางเข้าไปในรอยแยกสองครั้งนี้ได้รับมามากแล้ว ซึ่งทำให้สิ่งที่คล้ายกับผู้คุ้มกันของเส้นสีแดงปรากฎขึ้นเพื่อหยุดเขา
นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมชายชราเต่ามังกรถึงใช้เวลาเพียงเจ็ดวันและออกมา
หลังล้อมรอบเส้นสีทองด้วยเขตแดนแห่งความตาย หวังหลินนำอสูรยุงออกมาและเอาพวกมันให้ เจ้าอสูรยุงกลืนกินทีละเส้น หลายวันที่ผ่านมาเจ้าอสูรตัวนี้ได้รับอาหารอย่างดีเนื่องจากเส้นสีทองมีคุณค่าทางสารอาหารอย่างสูง ต้องขอบคุณเส้นสีทองพวกนี้การเปลี่ยนไปสู่อสูรระดับสูงจึงอยู่ไม่ไกล
หลังออกมาจากพื้นที่ดาราล่มสลาย หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและค่อยตบกระเป๋าเพื่อนำหม้อเล็กๆออกมา หม้อนี้เป็นสิ่งของที่จำเป็นในการเข้าสู่ดินแดนสวรรค์พิรุณ มันคือหม้อพิรุณ
หม้อนี้ไม่ได้ใหญ่มาก สามารถถือได้ด้วยมือข้างเดียว มันดูธรรมดามากโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วนหรือสัญลักษณ์ใดๆ แต่หากมองดูด้วยสัมผัสวิญญาณจะรับรู้ได้ถึงเสี้ยวกลิ่นอายที่ทรงพลังมากกว่าพลังปราณ
ชัดเจนว่ากลิ่นอายนี้บริสุทธิ์มากกว่าพลังปราณหลายเท่า หวังหลินรู้ได้ทันทีว่ามันคือปราณสวรรค์
ทว่ากลิ่นอายนี้อ่อนแรงเกินกว่าจะใช้เพื่อฝึกฝน กล่าวได้ว่ามันใช้เป็นกุญแจสู่การเปิดประตูสวรรค์
หลังได้รับหม้อพิรุณนี้มา หวังหลินศึกษามันอยู่หลายครั้ง เขามองดูมันชั่วขณะก่อนจะเก็บกลับไป
ตามปกติแล้วเมื่อหม้อพิรุณปรากฎนั่นหมายถึงประตูสวรรค์กำลังจะเปิด หลายปีมาแล้วนับตั้งแต่ที่พวกมันปรากฎขึ้นนั่นหมายถึงวันนั้นใกล้จะมาถึงเร็วๆนี้
น่าเสียดายที่ชายชราสกปรกผู้นั้นไม่ได้ให้เวลาที่แน่นอน ไม่เช่นนั้นคงไม่ยุ่งยากแบบนี้
หวังหลินถอนหายใจและนำหินหยกออกมาจากกระเป๋า เขาตรวจสอบมันเล็กน้อยก่อนจะกระโดดไปลนหลังอสูรยุงและเข้าหาทิศทางของแคว้นฮัวเฝิน
จุดประสงค์ถัดไปของเขาคือเข้าไปในพื้นที่สนามรบโบราณเพื่อรวบรวมวิญญาณเร่ร่อนให้เพียงพอในการสร้างปิศาจเพื่อเตรียมการขั้นสุดท้ายในการเข้าดินแดนสวรรค์
มีค่ายกลขนาดใหญ่ในศูนย์กลางของแคว้นฮัวเฝิน ที่นั่นมีค่ายกลเคลื่อนย้ายทางเดียวที่เปิดขึ้นทุกห้าร้อยปีสำหรับเหล่าศิษย์ที่อยู่ในสนามรบโบราณให้กลับมา
ในวันนี้คนผู้หนึ่งปรากฎตัวข้างนอกค่ายกลแห่งนี้ เขาสวมชุดสีขาวดูสุภาพและดูเหมือนลูกชายตระกูลร่ำรวย
ดวงตาใสราวกับดวงดาวและผิวหนังขาวราวกับไข่มุก เขาศึกษาโครงสร้างของค่ายกลแห่งนี้
คนผู้นี้คือหวังหลิน!
มันยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีก่อนที่ค่ายกลนี้จะเปิดขึ้น แต่หวังหลินไม่สามารถรอปีพวกนั้นได้ เขาตัดสินใจใช้ค่ายกลนี้และใช้สถานะของวิญญาณกลืนกินเพื่อชี้นำให้เคลื่อนย้ายย้อนคืน
หลังศึกษาค่ายกลเคลื่อนย้ายหลายวัน เขาขบคิดเล็กน้อยและดวงตาสว่างขึ้นเปลี่ยนค่ายกลเล็กน้อยและเดินเข้าไปข้างใน หวังหลินกระจายวิญญาณดั้งเดิมออกและรวมเข้ากับค่ายกลอย่างช้าๆ สัญลักษณ์บนค่ายกลสว่างขึ้นอย่างช้าๆและรวบรวมไปบนร่างของเขา หวังหลินค่อยๆหายตัวไป
ขณะที่เขาหายตัวไป ค่ายกลแตกกระจายและไม่สามารถใช้มันได้อีก
หลายปีผ่านไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายของแคว้นอันดับสามแห่งหนึ่งในทิศใต้ เซียนทั้งหมดรวมกันอยู่ที่นี่เพื่อรอผู้ส่งสาส์นจากแคว้นอันดับสี่ให้เปิดอุโมงค์เข้าสู่สนามรบต่างแดน
ซุนเว่ยเป็นเซียนผู้หนึ่งจากแคว้นกงซุนซึ่งเป็นแคว้นอันดับสี่ เขามาที่นี่เพื่อเป็นผู้ส่งสาส์น แม้ว่าเขาจะมีระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย ตระกูลของเขาเป็นตระกูลใหญ่ในแคว้นกงซุน ดังนั้นจึงส่งเขามาที่นี่เพื่อหาประสบการณ์
วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดอุโมงค์สู่สนามรบต่างแดน ดังนั้นจึงเคร่งเครียดเล็กน้อยแต่เขาถูกคนอื่นๆชื่นชมจึงภูมิใจมาก