Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 333

Cover Renegade Immortal 1

333. บ้านหลังใหม่

ท่าทางของลิ่วเฟยและเที่ยหยานเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นวงแหวนกำลังขยายตัว พวกเขารู้สึกราวกับกำลังเผชิญพลังอำนาจแห่งสวรรค์ วิญญาณแรกกำเนิดในร่างกายถูกบีบอัดด้วยแรงกดดันนี้และส่งสัญญาณแห่งการพังทลายออกมา

ทว่าหลังจากหวังหลินโบกแขน ความกดดันนี้หายไป ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก สายตาจดจ้องไปที่หวังหลินด้วยความเคารพยิ่งขึ้น

“สิ่งนี้คืออะไร?” ลี่มู่หวานมองดูเจดีย์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หวังหลินยิ้ม “ข้างในเจดีย์เป็นร่างศพสตรี นางเป็นภรรยาของผู้อาวุโสที่ขอให้ข้าดูแลนางต่อไปก่อนที่เขาจะสิ้นชีวิต”

จากนั้นหวังหลินเรื่องของถิงเอ๋อกับโจวยี่ให้ลี่มู่หวานฟัง ลี่มู่หวานเป็นคนอ่อนไหวอยู่แล้วดังนั้นนางจึงคล้อยตามเรื่องราวนี้ง่ายๆ

ลี่มู่หวานกระซิบ “ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสโจวยี่จะเป็นอย่างไรหลังจากเขาเปลี่ยนไปเป็นวิญญาณกระบี่และเข้าสู่สำนักกระบี่ต้าโหลว…”

หวังหลินขบคิดหลังผ่านไปพักใหญ่เขาส่ายศีรษะและเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร นั่นคือสิ่งที่เขาเลือก ข้าหวังว่าเขาสามารถได้สิ่งที่หวังไว้…”

ลี่มู่หวานพยักหน้า สายตาต่อเจดีย์เปลี่ยนไป

หวังหลินตัดสินใจสร้างบ้านหินไม่กี่หลังด้านข้างเจดีย์โดยใช้หินจากภูเขา ลี่มู่หวานช่วยไปด้วยอย่างมีความสุข เมื่อหวังหลินมองลี่มู่หวานเขายิ้มออกมาบางๆ

ลี่มู่หวานปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก วางหินก้อนสุดท้ายลงไปและพูดกับหวังหลินด้วยน้ำเสียงหอบ “จากวันนี้ต่อไป นี่คือบ้านหลังใหม่ของเรา!”

หวังหลินพยักหน้า การเห็นความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้านางทำให้หัวใจหวังหลินปวดร้าว ด้วยพลังของเขาไม่จำเป็นต้องให้นางช่วยแต่นางกลับยืนกรานจะช่วย ความมุ่งมั่นแบบนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง

ลี่มู่หวานดูสุภาพและอ่อนแอเล็กน้อยแต่ด้วยความอ่อนแอนี้จึงมีปณิธานอันกล้าแกล่ง เพราะนางยืนกรานหวังหลินจึงไม่ปฏิเสธและยอมให้นางช่วย

เขาเห็นได้ว่าลี่มู่หวานมีความสุขมาก เมื่อไหร่ที่นางมองเขา แววตาของนางจะเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและแฝงความเศร้า

อีกด้านหนึ่งของความเศร้านั้นมันเป็นสายตาเดียวกับที่ท่านแม่มองท่านพ่อ

มันเป็นสายตาเดียวกับที่โจวยี่มองถิงเอ๋อเมื่อเขาตื่นขึ้นมา…

หลังจากประทับประคองร่างลี่มู่หวานด้วยพลังปราณและเห็นได้ว่านางผลอยหลับลงไป หวังหลินถอนหายใจและเดินออกมาจากห้องหิน ตอนนี้ข้างนอกมืดมิดและดวงจันทร์ตั้งตระหง่านบนท้องฟ้า ลิ่วเฟยและเที่ยหยานกำลังฝึกฝนอยู่ข้างนอก เมื่อพวกเขาเห็นหวังหลิน ทั้งคู่จึงยืนขึ้น

“ท่านจ้าวสำนัก!”

หวังหลินมองไปยังทั้งสองและเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “พวกเจ้าทั้งสองอยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายมานานแค่ไหนแล้ว?”

ลิ่วเฟยและเที่ยหยานต่างมีความสุขเต็มเปี่ยม เหตุผลที่พวกเขาติดตามหวังหลินก็เพราะหวังจะให้เขาช่วยบรรลุขั้นตัดวิญญาณ ทว่าหวังหลินไม่เคยพูดเรื่องนี้ตลอดทั้งเดือน

ทั้งสองคนไม่กล้าถามดังนั้นจึงได้รออย่างเงียบเชียบเท่านั้น

ลิ่วเฟยหักห้ามความตื่นเต้นในใจและเอ่ยขึ้น “ผู้น้อยติดอยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายมาแล้ว 143 ปี”

เที่ยหยานสูดหายใจลึกและเอ่ยอย่างเคารพ “ผู้น้อยติดอยู่ระดับนี้เป็นเวลา 172 ปี”

แววตาหวังหลินสว่างขึ้นและสายตาตรวจสอบทั้งสองคน เขาส่ายศีรษะและเอ่ยขึ้น “เจ้าทั้งสองเดินผิดเส้นทางแล้ว”

ลิ่วเฟยและเที่ยหยานครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ หลังผ่านไปพักใหญ่เที่ยหยานยิ้มอย่างขื่นขมและเอ่ยขึ้น “ท่านจ้าวสำนัก แคว้นซูไม่เคยมีเซียนขั้นตัดวิญญาณมาก่อน เราเคยถามผู้ส่งสาส์นแต่เขาไม่ให้คำตอบ ความจริงหลายปีที่ผ่านมาข้าเดาได้ว่าการปิดด่านฝึกตนไม่ได้ช่วยให้พวกเราทะลวงผ่านไปสู่ขั้นตัดวิญญาณได้เลยแต่ข้าไม่รู้ว่ากุญแจสำคัญคืออะไร น้องลิ่วและข้าได้ศึกษาเรื่องนี้เป็นเวลานานและได้ข้อสรูปว่ามันต้องขึ้นอยู่กับการเข้าใจของตัวเอง…”

หวังหลินถอนหายใจ เขามองกลับไปที่ห้องหินเบื้องหลังและเอ่ยขึ้น “เซียนขั้นตัดวิญญาณทุกคนต้องรู้แจ้งด้วยตัวเอง ฟ้าดินนั้นโหดร้ายและเราพยายามเข้าใจฟ้าดิน ทว่าเจ้าจำเป็นต้องใช้อารมณ์เพื่อนำทาง อย่างน้อยก็เพียงพอให้ขับเคลื่อนตัวเอง พลังปราณในร่างพวกเจ้าทั้งสองเป็นระเบียบมากเกินไปและพื้นที่ห้าสิบลี้จากเจดีย์แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่เจ้าจำฝึกฝน ให้ออกห่างไปห้าสิบลี้ เมื่อเจ้าสามารถรับรู้ภายในระยะหนึ่งลี้ครึ่งโดยใช้ระดับฝึกฝนของเจ้าเอง ให้กลับมาที่นี่”

ทั้งสองคนตื่นตะลึงแต่ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง หนึ่งคนไปทางทิศตะวันออกและอีกหนึ่งไปทางทิศใต้ พวกเขานั่งลงห่างไปห้าสิบลี้และเริ่มตีความหมายสิ่งที่หวังหลินพึ่งพูดไป

หลังทั้งสองคนออกไป เขตแดนของโจวยี่ปรากฎขึ้นอีกครั้งและปกคลุมล้อมรอบห้าสิบลี้

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในวันนี้หวังหลินทำการประคับประคองร่างลี่มู่หวาน นางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากหวังหลินและกระซิบ “ข้าบอกไว้แล้วว่าร่างกายข้าไม่สามารถอยู่ได้อีกนานนัก นี่ก็ดีแล้ว”

หวังหลินส่ายศีรษะ เขาประคับประทองร่างของนางวันละครั้งเมื่อหนึ่งเดือนก่อนแต่ตอนนี้เขาทำมันวันละสามครั้งในสองวัน สิ่งนี้หมายความว่าร่างลี่มู่หวานเสื่อมลงเรื่อยๆ

หวังหลินพูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าจะไม่ตาย!”

ลี่มู่หวานพยักหน้าเบาๆและเผยรอยยิ้มสุดสวย นางมองหวังหลินอย่างเงียบๆราวกับไม่เคยเห็นเขามากพอ

หวังหลินลูบจมูกของนางและยิ้มแย้ม “ข้าลืมมอบสิ่งนี้ให้เจ้า มันเป็นของขวัญที่ข้าได้มาเพื่อเจ้าเลยนะ” เช่นนั้นเขานำหินหยกออกมาจากกระเป๋า

ลี่มู่หวานยิ้ม เมื่อนางรับาพลันตื่นตะลึง “สูตรตำรับยาระดับห้า! ของทั้งหมดนี้มีมูลค่ามากเลยนะ”

หวังหลินยิ้ม “เมื่อเจ้านำเตาหลอมยามาด้วยก็ลองดูตอนที่เจ้ามีเวลาว่าง”

แววตาลี่มู่หวานสว่างขึ้น ตอนนี้นางดูมีเสน่ห์อย่างมาก

ลี่มู่หวานมองหวังหลินด้วยดวงตาคู่งามและยิ้มขึ้น “ข้าต้องการถามว่าทำไมภาพลักษณ์ของท่านถึงเปลี่ยนไปอีกครั้ง รวมถึงท่านกลายเป็นเซิ่งหนิวได้อย่างไร?”

หวังหลินเล่าให้ลี่มู่หวานอย่างละเอียดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อร้อยปีก่อน ซึ่งทำให้ดวงตาลี่มู่หวานเบิกโพลง

ลี่มู่หวานพูดขึ้นด้วยความกังวลใจ “หากผีเสื้อสีชาดค้นพบว่าท่านคือเซิ่งหนิว นางจะมาหาท่านแน่นอน”

แววตาหวังหลินสว่างขึ้นพลันเอ่ยอย่างสุขุม “ด้วยระดับฝึกฝนของข้าตอนนี้ ข้าเป็นต้องใช้เวลาอีกไม่กี่ปีเพื่อบรรลุขั้นตัดวิญญาณระดับกลาง ข้ามั่นใจเจ็ดในสิบส่วนว่าข้าสามารถเอาชนะนางได้อีกครั้งในตอนนั้น!”

ลี่มู่หวานมองหวังหลินและเอ่ยทันที “ท่านยังจำถ้ำในทะเลปิศาจได้ไหม? หวังหลิน ข้าต้องการไปเห็นมัน…ข้าอยากเห็นฮัวเฝินด้วย”

หวังหลินเอ่ยขึ้น “ตกลง ศาลาหลอมสมบัติกำลังจะประมูลตำรับยาระดับหกในไม่ช้า ข้าจะไปและซื้อมาให้เจ้า”

“อื้อออออ!” ลี่มู่หวานเผยรอยยิ้มแห่งความสุข

เมื่อมองรอยยิ้มลี่มู่หวานแล้วหัวใจหวังหลินปวดร้าวเพิ่มขึ้นอีก เขามองลี่มู่หวานโดยไม่ละสายตาจากนางเลย

ใบหน้าเล็กๆน่ารักของนางค่อยๆขึ้นสีแดง

หวังหลินพูดทีละคำ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย! ข้าจะไม่ให้มันเกิดขึ้น!”

ลี่มู่หวานพยักหน้าเบาๆ

ตอนกลางคืนหลังจากลี่มู่หวานหลับไป หวังหลินออกไปข้างนอกและมองดวงจันทร์ด้วยความเศร้าโศก ร่างลี่มู่หวานดีขึ้นเล็กน้อยด้วยการช่วยเหลือจากพลังปราณแต่วงจรแห่งสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่คนเพียงคนเดียวสามารถเปลี่ยนได้ รัศมีแห่งความตายบนร่างนางยิ่งหนาขึ้นมากกว่าแต่ก่อน

“มีเพียงการบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดถึงจะสามารถขยายอายุขัยของนางได้ ทว่าด้วยร่างกายอ่อนแอของนางมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างวิญญาณแรกกำเนิด…หวานเอ๋อได้มาถึงจุดสิ้นสุดอายุขัยแล้วดังนั้นแม้ข้าจะดึงวิญญาณของนางออกมา นางก็ไม่สามารถครอบรองร่างกายได้ แตกต่างกับหวังจัวที่บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไปแล้วและแข็งแกร่งเพียงพอจะหลีกเลี่ยงกฎแห่งสวรรค์”

เขาต้องได้รับตำรับยาเซียนอันดับหกซึ่งจะช่วยให้ร่างกายหวานเอ๋อฟื้นฟูได้สักเล็กน้อย “ตราบใดที่ร่างกายของนางฟื้นฟู ข้าจะสามารถช่วยให้นางบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้”

ข้าติดค้างนางมากเกินไปตลอดเวลาที่ผ่านมา

หวังหลินจ้องมองบนท้องฟ้า ร่างเขาดูเติบโตขึ้นขณะที่สัมผัสแห่งความเหงาได้ชำระล้างออกไป เขาถอนหายใจจากนั้นใบหน้าเผยความมุ่งมั่นก่อนจะนั่งลง

เขาครุ่นคิดเป็นเวลานานก่อนจะสัมผัสกับดักอสูรบนข้อมูล หวังหลินโยนสร้อยข้อมืออกไปและมันเปลี่ยนเป็นคางคกสายฟ้าก่อนจะร่อนลงบนพื้น

ลมหายใจของคางคกสายฟ้าอ่อนแอมากและร่างมันเต็มไปด้วยบาดแผล มันมีพลังพอให้หายใจออกแต่ไม่พอให้หายใจเข้า

หวังหลินโบกแขนขวาและเม็ดยาขวดหนึ่งปรากฎบนฝ่ามือ เขาวางหนึ่งเม็ดลงบนปากของคางคกและใช้พลังปราณเพื่อช่วยให้มันย่อยสลาย

หวังหลินให้เม็ดยาหนึ่งเม็ดกับเจ้าคางคกทุกวัน เม็ดยานี้สร้างขึ้นโดยโอวหยางจื่อให้ลี่มู่หวานโดยเฉพาะแต่หลังจากกินไปได้หลายเม็ดมันก็ไม่มีผลลัพธ์อันใดอีก นอกจากนั้นอาการป่วยของลี่มู่หวานมาจากอายุขัยของนางที่ถึงขีดจำกัดไม่ได้มาจากอาการบาดเจ็บ

หลังเจ้าคางคกสายฟ้าดูดซับเม็ดยาไปมันจึงดูแข็งแรงขึ้น หวังหลินนำมันกลับเข้าไปในกับดับอสูร หากหวังหลินนำผนึกกับดักอสูรบนเจ้าคกคางสายฟ้าออกไปตอนนี้มันคงตาย ดังนั้นเขาจึงไม่เคยลบมันออกไป

หวังหลินหันกลับมาและมองไปที่บ้านหินก่อนจะนำกระบี่สมบัติจากศิษย์สำนักกระบี่ต้าโหลวออกมาเพื่อศึกษา

กฎเกณฑ์บนกระบี่สมบัติแตกต่างอย่างมากจากที่หวังหลินได้เรียนรู้ เขาศึกษาอยู่ชั่วครู่และในที่สุดก็พบเบาะแสบางอย่าง

ค่ำคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าและแสงจันทราค่อยๆสลัวลง เมื่อพระอาทิตย์ปรากฎในทิศตะวันออก ดวงจันทราก็ค่อยๆจางหายไป

ในคืนนี้หวังหลินเชี่ยวชาญกฎเกณฑ์เก้าชุดและทั้งหมดได้เพิ่มเข้าไปในธงกฎเกณฑ์ ธงกฎเกณฑ์ในตอนนี้มีทั้งหมด 145 ชุดซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายทั้งหมด 999 ชุด

สามวันถัดมาหวังหลินและลี่มู่หวานออกจากหุบเขา เที่ยหยานและลิ่วเฟยติดตามไปด้วย

หวังหลินไม่ได้นำเจดีย์กลับมาแต่ทิ้งไว้ที่นั่น ไม่มีใครในซูซาคุสามารถนำมันไปได้เว้นแต่ว่าจะเป็นเซียนขั้นเทวะ

ที่ขอบของแคว้นซู หวังหลินเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายและหายตัวไปพร้อมกับลี่มู่หวาน ลิ่วเฟยและเที่ยหยาน

ลิ่วเฟยและเที่ยหยานสัมผัสพลังอำนาจของหวังหลินได้อีกครั้ง พวกเขามีชีวิตมายาวนานแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีประสบการณ์กับค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ

ข้างในทะเลปิศาจใกล้เคียงกับเขตแดนของฮัวเฝิน ค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่งสว่างขึ้นและทั้งสี่คนเดินออกมา

บุรุษสามและหนึ่งสตรี บรุษและสตรีเดินออกมาด้วยกันเบื้องหน้าเห็นได้ชัดว่าเป็นคู่ฝึกฝนเซียนและอีกสองคนเบื้องหลังเป็นองครักษ์ของพวกเขา

ลี่มู่หวานถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ได้กลับมาที่นี่มาหลายปี หวังหลินเรากลับไปดูค่ายกลมังกรประจัญบานแห่งนั้นกันเถอะ ข้าสงสัยว่าผู้คนเมื่อตอนนั้นยังรอดชีวิตอยู่กี่คน…”

“ค่ายกลมังกรประจัญบาน” หวังหลินยังจดจำได้ว่าลี่มู่หวานให้หินหยกเขาหนึ่งเม็ดเมื่อตอนนั้นซึ่งบรรจุค่ายกลชนิดนี้เอาไว้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version