Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 335

Cover Renegade Immortal 1

335. เซียนขั้นตัดวิญญาณแห่งอาศรมหลอมสมบัติ

เหล่าศิษย์ของอาศรมหลอมสมบัติต่างนำผลไม้ที่ผลิตขึ้นในทะเลปิศาจโดยเฉพาะเข้ามาในห้องบนชั้นสามแต่ไม่มีใครสัมผัสมัน

เมื่อนั่งอยู่ในห้องนี้สิ่งเดียวที่ขาดไม่ได้ก็คือมองลงไปดูเทวีใหญ่ตำแหน่งที่การประมูลจัดขึ้นมา

หวังหลินและลี่มู่หวานพูดคุยกันอย่างเงียบๆ ลี่มู่หวานยิ้มขึ้นมาเป็นครั้งคราวเผยรอยยิ้มนุ่มนวลและพึงพอใจ

ลิ่วเฟยและเที่ยหยานนั่งขัดสมาธิตรงประตู ทั้งคู่กำลังฝึกฝนไปด้วย

ถึงจุดหนึ่งหวังหลินชี้แนะบางอย่างให้ทั้งสองคน กระตุ้นให้พวกเขาฝึกฝนอย่างกระตือรือร้น พวกเขาฝคกฝนแทบตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ จากคำพูดของหวังหลินเพียงแค่แยกแยะความวุ่นวายในพลังปราณของตัวเองออกก็สามารถเริ่มต้นการรู้แจ้งขั้นตัดวิญญาณได้

แม้ว่าทั้งสองคนมีระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายมายาวนาน พวกเขายังไม่ได้บรรลุขั้นสูงสุดเลยด้วยซ้ำ

มีเพียงหนทางเดียวที่จะบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายสูงสุดได้คือก้าวทีละก้าวและพยายามทะลวงผ่านขั้นตัดวิญญาณ เว้นแต่ว่าจะได้ความเข้าใจพิเศษบางอย่าง

ตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มต้นติดตามหวังหลิน พวกเขารู้สึกมั่นใจมากในการบรรลุขั้นตัดวิญญาณ แม้ว่าทั้งสองคนจะมีชีวิตอยู่ได้มากกว่าลี่มู่หวานแต่มันไม่ได้มากมายนัก หากไม่สามารถบรรลุขั้นตัดวิญญาณภายในร้อยปีได้ พวกเขาจะต้องตาย

นี่คือหนึ่งเหตุผลหลักที่ทำไมถึงตัดสินใจติดตามหวังหลิน

ขณะนั้นเองสัมผัสวิญญาณหนึ่งเข้ามาจากห้องถึงทางซ้าย ลิ่วเฟยและเที่ยหยานพลันลืมตาขึ้นทันที ลิ่วเฟยกระจายสัมผัสวิญญาณออกเพื่อทุบสัมผัสวิญญาณที่กำลังเข้ามา

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากห้องซ้ายและสัมผัสวิญญาณกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว

หวังหลินไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เลย เขาพูดคุยกับลี่มู่หวานต่อไป นี่เป็นเพราะเขาแทบไม่ได้ใช้เวลาร่วมกับนางเลย

และยิ่งไปกว่ารอยยิ้มอันนุ่มนวลของนางนั้น หวังหลินรู้สึกว่าเขาติดหนี้ค้างกับนางไว้มากมายนัก

สัมผัสวิญญาณออกมาจากห้องทางซ้ายอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันเป็นสัมผัสวิญญาณหลายอย่างที่พัวพันเข้าด้วยกัน ดวงตาเที่ยหยานสว่างขึ้นและรวมไปถึงลิ่วเฟย ทั้งคู่กระจายสัมผัสวิญญาณออกและทุบเข้าใส่สัมผัสวิญญาณที่กำลังย่างกรายเข้ามา

“กล้าหาญนัก! ข้าต้องการเห็นว่าใครกล้าอวดดีเช่นนี้!” น้ำเสียงเยือกเย็นดังออกมาจากห้องทางซ้าย สัมผัสวิญญาณของลิ่วเฟยและเที่ยหยานขาดหายไปแต่พวกเขาไม่ได้บาดเจ็บทว่าเยาะเย้ยแทน

“ท่านจ้าวสำนัก คนผู้นี้ไม่ใช่เซียนขั้นตัดวิญญาณ เขาเป็นเพียงเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายที่อยู่มานานมากกว่าเราสองคนเท่านั้น เขาต้องเป็นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายขั้นสูงสุด”

จังหวะที่ลิ่วเฟยพูดจบ คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องทางซ็าย เขาสวมชุดสีม่วงและผมศีรษะขาวโพลนเดินมาทางห้องหวังหลิน

คนผู้นี้โกรธเกรี้ยวมาก เดิมทีศิษย์ของเขาเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นเพราะไปเห็นซิ่วลั่วนำทางคนผู้หนึ่งเข้ามาเป็นการส่วนตัวและต้องการเห็นว่าเขาเป็นใคร

ทว่าเขาไม่คาดคิดว่าคนผู้นั้นได้ป่นปี้สัมผัสวิญญาณของลูกศิษย์และทำให้บาดเจ็บดังนั้นจึงเดินออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

หลังมาถึงภายนอกห้องชายชราเปิดม่านและมองเข้าไปข้างใน ทว่าสิ่งที่เขาพบก็คือหวังหลินถลึงตาใส่อย่างเย็นชา

แววตาชายชราพบกับหวังหลินเข้าและจากนั้นก้าวถอยหลังไปหลายก้าวทันที หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและวิญญาณแรกกำเนิดแทบแตกสลายสิ้น เขาตระหนักได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนั้นต้องเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณ

ชายชราลอบก่นด่า เขาไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับเซียนขั้นตัดวิญญาณ

แต่เขาหวาดกลัวเกินกว่าจะขยับเขยื้อน เขาเพียงยิ้มอย่างขื่นขมเท่านั้นและเอ่ยขึ้น “ผู้น้อยไม่ทราบว่าผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ ข้ามันจร้อนและหวังว่าผู้อาวุโสจะยกโทษให้”

หวังหลินเริ่มขบคิด เมื่อวางสายตาบนชายชราชุดม่วงเขาสัมผัสความคุ้นเคยได้ มันต้องเป็นคนที่เขารู้จัก

ทว่ามันนานเกินไปและเขาไม่สามารถนึกได้ตอนนี้

ขณะนี้เองเสียงหัวเราะดังออกมาจากข้างนอกเป็นชายชราจากอาศรมหลอมสมบัติเดินขึ้นมายังชั้นสาม เขากระทั่งไม่มองชายชราชุดม่วงที่มาถึงข้านอกประตู พลันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าเซียนจากแคว้นฮู่ ได้ยินว่ามีสหายเซียนขั้นตัดวิญญาณมาการประมูลในครั้งนี้ ข้าแค่มาดูแต่ไม่คาดคิดว่าจะพบคนที่ข้ารู้จัก”

ขณะที่เขาเอ่ย ผ้าม่านเปิดขึ้นด้วยตัวมันเองและชายชราเดินเข้ามาข้างใน

ใบหน้าลิ่วเฟยและเที่ยหยานเปลี่ยนไป พวกเขาถอยกลับอย่างรวดเร็วและยืนเบื้องหลังหวังหลิน

“นั่งสิ!” หวังหลินยิ้มบาง

ชายชรามองลี่มู่หวานและยิ้มแย้ม “ดูเหมือนว่าสหายเซียนจะสร้างมันขึ้นมาเอง ข้าสงสัยว่าท่านใช้ด้ายเปลวเพลิงมากเท่าไหร่ได้ถึงมันมา”

หวังหลินตื่นตะลึง เมื่อตอนที่เขาพบกันครานั้นหวังหลินสวมหมวกฟางและไม่ทำให้ชายชรามองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ ชายชราผู้นี้ต้องมีวิธีพิเศษของตัวเองเพื่อสามารถจดจำหวังหลินได้ หวังหลินยิ้มและเอ่ยขึ้น “หลุมมันเล็กเกินไปข้าเลยไม่ได้มามากนัก”

ชายชราพยักหน้าก่อนจะเอ่ยออกมา “ข้าถูกหลุมนั้นจำกัดเช่นกันและไม่ได้มามากนัก ทว่าเมื่อข้าไปที่นั่นไม่กี่ปีก่อนข้าพบเส้นใยที่ตกทอดมาได้เติบโตขึ้นเล็กน้อย”

หลังพูดจบเขามองไปทางหวังหลิน เขาระมัดระวังหวังหลินอย่างมากหากไม่ใช่ว่าเขาฝึกฝนวิชาลับที่ทำให้สามารถระบุตัวตนจากกายหยาบได้ เขาคงไม่รู้ว่าหวังหลินคือเซียนขั้นตัดวิญญาณสวมหมวกฟางคนนั้น

ตอนนี้ชายชราชุดม่วงอยู่ในตำแหน่งที่อึดอัด ก้าวต่อก็ไม่ได้ให้เดินกลับไปก็ไม่ถึง

ขณะที่ชายชราผมขาวและหวังหลินพูดคุยกัน การประมูลชั้นล่างได้เริ่มต้นขึ้น ในตอนเริ่มต้นมีเพียงสมบัติและเม็ดยาที่โด่งดังมากเท่านั้น

ลี่มู่หวานนั่งด้านข้างหวังหลินอย่างเงียบเชียบ บางครั้งนางก็มองลงไปที่การประมูลแห่งนั้นด้วยรอยยิ้ม

แววตาชายชราสว่างขึ้น “สหายเซียน หน้าตาเจ้าดูคุ้นตาอย่างยิ่ง นอกจากนอกพื้นที่ดาราล่มสลายครั้งนั้น เราต้องเคยพบกันมาก่อน”

ตอนที่เขาเข้ามาในห้องครั้งแรกและจดจำได้ว่าหวังหลินเป็นเซียนจากนอกพื้นที่ดาราล่มสลายเมื่อตอนนั้นเขาพลันสับสน เมื่อมองดูหวังหลินเขากลับสัมผัสความคุ้นเคยได้แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก

เรื่องนี้หาได้ยากยิ่งสำนักเซียนขั้นตัดวิญญาณคนหนึ่ง ชายชราผมขาวเชื่อว่าหากเขาเคยเห็นกันมาก่อนเขาจะไม่ลืมมันแน่ๆ

หวังหลินยิ้มเบาบางแต่ไม่ได้ตอบสนอง จากนั้นโบกแขนไปที่ชายชราชุดม่วงข้างนอก ชายชราชุดม่วงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเดินเข้ามาและพูดขึ้น “ผู้น้อยฉิวซื่อผิงขอคำนับผู้อาวุโส”

เช่นนั้นเขาหันไปทางชายชราผมขาวและพูดแบบเดียวกัน

ชายชราผมขาวตอบรับอย่างสุภาพแต่ชัดเจนว่าแฝงความไม่พอใจไปด้วย เขาคิดว่ามันคงดีหากหวังหลินไม่ต้องการตอบคำถามของเขา เพราะทั้งคู่ต่างเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณแต่ทำไมถึงเรียกตนเองว่าผู้น้อย?

หวังหลินยิ้ม “สหายซิ่ว เราไม่ได้เจอกันมาหลายปี ข้าหวังว่าท่านสบายดีนะ”

ฉิวซื่อผิงตกตะลึง แม้กระทั่งชายชราผมขาวก็ดวงตาสว่างขณะมองไปทางฉิวซื่อผิง

ฉิวซื่อผิงมองหวังหลินอย่างละเอียด ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นเคยแต่ไม่อาจจำสิ่งใดได้ เขาถามขึ้นให้แน่ชัด “ผู้อาวุโสรู้จักผู้น้อยหรือ?”

หวังหลินยิ้ม “มันนานมากแล้ว ข้ากลัวว่าท่านจะลืมเลือนไป หากข้าไม่ได้ยินชื่อท่านข้าก็ลืมเช่นกัน เมื่อตอนนั้นเราแบ่งวิญญาณแรกกำเนิดกันคนละดวงและรวมถึงแผนที่ด้วย ตอนนี้ท่าจำได้ไหม?”

ฉิวซื่อผิงเผยใบหน้าไม่เชื่อสายตา เขาสูดหายใจอันหนาวเน็บเข้าไปและร้องตะโกน “หวังหลิน! ท่าน….ท่านบรรลุขั้นตัดวิญญาณแล้ว!”

หวังหลินพยักหน้าและจากนั้นมองไปที่ชายชราผมขาวพลันยิ้มแย้ม “สหายเซียนฮู่จดจำสิ่งใดได้หรือ?”

ดวงตาชายชราผมขาวเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เขามองหวังหลินเป็นเวลานานก่อนจะยิ้มอย่างบูดเบี้ยวพลางเอ่ยออกมา “ข้านึกออกแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเซียนขั้นแกนลมปราณเมื่อก่อน จากนั้นบรรลุขั้นตัดวิญญาณ…”

ตอนนี้เขาจำได้แล้ว ตอนนั้นเขาวิ่งเข้าหาหวังหลินกับฉิวซื่อผิงและจึงสังเกตพลังแปลกประหลาดภายในหวังหลินได้ทันที มันดูเหมือนขอบเขตจวี่ในตำนาน ดังนั้นเขาจึงโลภมากจึงต้องการบังคับให้หวังหลินเป็นศิษย์และดูว่าเขาจะสามารถแยกขอบเขตจวี่ออกมาได้หรือไม่

ทว่าเขาไม่เคยคิดว่าเพียงผ่านไปไม่กี่ร้อยปี คนผู้นั้นจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณ มีระดับฝึกฝนเท่าเทียมกับเขา ความคิดเมื่อตอนนั้นได้สูญสลายหายไปโดยสิ้นเชิง

ฉิวซื่อผิงตกตะลึงยิ่งกว่าเมื่อนึกถึงความทรงจำที่ผ่านมาของเขา หวังหลินยังคงอยู่เหนือเขาไปอีก

ระหว่างขั้นแกนลมปราณ เขาไม่สามารถเอาชนะหวังหลินได้

หลังจากบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด เขายังไม่สามารถเอาชนะหวังหลินอีก

ตอนนี้เขาบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายแต่เมื่อเจอหวังหลินอีกครั้ง เขาก็บรรลุขั้นตัดวิญญาณไปแล้ว

ชายชราผมขาวหัวเราะและเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นข้าบ้าบิ่นจริงๆ ข้าหวังหว่าสหายหวังจะไม่ถือสาหรอกนะ!” จากนั้นเขาเปลี่ยนหัวข้อในทันทีและเอ่ยถามขึ้น “ข้าสงสัยว่าสมบัติแบบไหนที่สหายหวังถึงมาที่นี่กัน?”

หวังหลินยิ้ม “ตำรับยาระดับหก!”

ชายชราเผยใบหน้าอันซับซ้อน “หากเป็นสิ่งอื่นข้าคงสามารถช่วยท่านได้แต่ตำรับยาอันดับหกนี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีไว้ขาย”

หวังหลินส่ายศีรษะ “ไม่มีปัญหา! หากข้าไม่ชนะก็แค่ขโมยและทำฉบับคัดลอกเท่านั้นเอง!”

ชายชราผมขาวหัวเราะและไม่พูดอีกเลย

ชั้นแรกได้ขายเม็ดยาและสมบัติไปจำนวนมาก หลังจากนั้นไม่นานซิ่วลั่วเดินขึ้นไปบนเวทีและตะโกนขึ้น “ของชิ้นต่อไปเป็นสมบัติที่มีมูลค่ามากมาย ข้ามั่นใจว่าทุกคนที่นี่ต่างรู้อยู่แล้วว่ามันคือตำรับยาระดับหก! สูตรของมันไม่เคยเปิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ที่มาถึงอาศรมหลอมสมบัติของเรา มันยังมีผนึกที่เจ้าของวางไว้อยู่เพื่อให้ทุกคนสามารถเห็นมันได้”

“เม็ดยาอันดับหกเป็นสิ่งที่มีเพียงแค่แคว้นซูซาคุสามารถผลิตออกมาได้แต่ท่านสามารถทำได้เช่นกันหากมีสูตรยา ทุกคนเข้าใจมูลค่าของมันดังนั้นข้าจะไม่กล่าวเพิ่มเติม แต่มีการเปลี่ยนแปลงกฎข้อนึง เสนอสิ่งของที่สร้างด้วยหินวิญญาณระดับสูง แต่เราจะรับสมบัติอื่นด้วยยิ่งดี อาศรมหลอมสมบัติจะประเมินราคาเอง ”

ทั้งสามชั้นเริ่มเงียบกริบทันที หลายคนมาที่นี่เพื่อตำรับยานี้ ในไม่ช้าผู้คนก็เริ่มตะโกนเสนอราคา

ลี่มู่หวานเคร่งเครียดเล็กน้อย หวังหลินลูบมือนางเบาๆ เขามองไปที่ชั้นหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

ฉิวซื่อผิงเผยรอยยิ้มอย่างขื่นขม เขามาที่นี่เพื่อตำรับยานี้เช่นกันและเขาเตรียมการไว้อย่างดี ทว่าเขาไม่กล้าประมูลราคามันเลยในตอนนี้

ในไม่ช้าราคาได้พุ่งสูงขึ้นถึงหินวิญญาณระดับสูงจำนวนหมื่นก้อน ราคานี้ถือได้ว่าเป็นการซื้อขายที่มูลค่าสูงมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version