385. ธงวิญญาณทอง
กฎเกณฑ์วิญญาณโบราณเป็นกฎเกณฑ์โบราณที่หายากที่สุด กฎเกณฑ์นี้ใช้วิญญาณเป็นตัวกลาง ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ให้มีหน้าตาประหลาดเท่านั้นมันยังแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย
กฎเกณฑ์ธรรมดาที่สามารถมองเห็นได้จะเป็นสิ่งของไม่มีชีวิต ซึ่งมันจะปิดไว้โดยจำเป็นต้องใช้กุญแจในการปาก
แต่กฎเกณฑ์วิญญาณไม่เหมือนกัน มันถือว่าเป็นสิ่งของที่มีชีวิต ความจริงแล้วมันใช้เศษเสี้ยววิญญาณที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นค่ายกล
สายตาหวังหลินสว่างวาบ หลังขบคิดสักพักเขาหายตัวไป พลันปรากฎตัวอีกครั้งอยู่ใกล้กับกฎเกณฑ์วิญญาณโบราณ
เพียงแค่ร่างกายปรากฎขึ้น สายหมอกสีดำเริ่มขยับและดวงตาชั่วร้ายสองข้างปรากฎขึ้น ในเวลาเดียวกันเสียงครวญครางอันน่าหวาดกลัวก็เกิดขึ้นในสายหมอก
วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินสั่นสะท้านหลังได้ยินเสียงครวญครางนี้ ดังนั้นเขาจึงรีบถอยร่น จดจ้องควันสีดำและขบคิดอย่างเงียบๆ
เสียดคำรามนั้นเป็นเพียงแค่คำเตือน
“มันต้องมีสมบัติที่จำเป็นถึงขนาดใช้กฎเกณฑ์วิญญาณผนึกเอาไว้!” สายตาหวังหลินสว่างขึ้น ใบหน้าเคร่งเครียดพลางขยับมืออย่างรวดเร็ว กฎเกณฑ์มายารูปวงกลมปรากฎขึ้นและวนรอบร่างกาย
“ทำลาย!” หวังหลินตะโกนพลันชี้สายหมอกสีดำ กฎเกณฑ์รอบตัวเปลี่ยนไปเป็นมังกรและพุ่งเข้าหามัน
สายตาชั่วร้ายสองข้างเต็มไปด้วยความโกรธและสายหมอกเริ่มเคลื่อนไหว จากนั้นเสียงคำรามที่แข็งกร้าวกว่าครั้งก่อนดังออกมา
เสียงคำรามเข้าสู่วิญญาณของหวังหลินและเขารู้สึกปวดร้าวจากรอยร้าวในวิญญาณดั้งเดิมได้ในทันที หวังหลินรีบถอยร่นด้วยใบหน้าปวดร้าว
ขณะนั้นเองสายหมอกดำเริ่มเคลื่อนไหวรุนแรงมากกว่าเดิมและหดตัวเล็กลง หมอกสีดำควบแน่นอยู่ตรงกลาง ในพริบตาเดียวสายหมอกก็ควบแน่นเป็นอสูรตัวหนึ่ง
เมื่อมันปรากฎหวังหลินเห็นได้ว่ามีธงสีทองขนาดเล็กในสายหมอกนั้นซึ่งสายหมอกสีดำออกมาจากธงผืนนี้
อสูรร่อนลงบนพื้น ศีรษะมันเผชิญหน้ากับหวังหลิน มันอ้าปากและจ้องหวังหลินด้วยสายตาดุร้าย
กฎเกณฑ์มายาที่พุ่งออกไปก่อนหน้ายังคงกระพริบบนร่างกายของมัน
เจ้าอสูรสะบัดศีรษะและอากาศร้อนสองสายพ่นออกมาจากจมูก จากนั้นมันมองไปยังหวังหลินและพุ่งเข้าหาทันที
“กิเลน?” หวังหลินเคลื่อนที่พริบตาหายไปโดยไม่ลังเล
เจ้าอสูรพลาดเป้า มันมองออกไปไกลและส่งเสียงคำราม เสียงคำรามเดินทางไปหาสายแร่วิญญาณแต่ถูกป้องกันไว้ด้วยพลังสายหนึ่งหลังออกห่างไปหนึ่งพันฟุต
มันร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิมก่อนจะหันตัวกลับเข้าไปในสายหมอกและหายตัวเข้าไปในธงสีทองผืนเล็ก
หวังหลินปรากฎตัวในสายแร่วิญญาณที่ห่างออกไปมากกว่าพันฟุต เขาขมวดคิ้วบางพลันมองกลับไปยังคำแหน่งที่หมอกสีดำตั้งอยู่
“มันไม่ใช่กิเลน แต่มันคล้ายกับกิเลนที่หลิงเทียนฮัวมีตอนที่อยู่ในดินแดนสวรรค์ ธงวิญญาณทองนั่นต้องเป็นสมบัติของสำนักหลอมวิญญาณ อสูรตัวนั้นคือผู้พิทักษ์ของธงวิญญาณซึ่งเป็นหนึ่งในวิญญาณข้างใน”
“ดูเหมือนวิธีสร้างธงวิญญาณของสำนักหลอมวิญญาณสัมพันธ์กันอย่างมากกับกฎเกณฑ์วิญญาณโบราณเพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรกันแน่” สายตาหวังหลินเป็นประกาย
“พลังของอสูรตัวนี้คราวๆเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับต้น ระดับฝึกฝนของข้ายังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ดังนั้นข้าไม่เร่งรีบที่จะจับมันเสียดีกว่า” หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะกลับไปบ่มเพาะ
หลังเห็นหลิวเหมย ความรู้สึกอันตรายที่หวังหลินสัมผัสได้ต่อซูซาคุพลันปรากฎอีกครั้ง แย่นักที่หลิวเหมยสามารถค้นหาเขาเจอ
เขาลอบคิดอยู่นานแต่ยังไม่อาจค้นเจอได้ว่านางมีแรงจูงใจอะไร เขาไม่สามารถมองเห็นระดับฝึกตนของนางได้ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาไม่สังหารนางก่อนหน้านี้
“เรื่องทั้งหมดประหลาดนักและการตัดสินใจของซูซาคุดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย…หากมันจวนตัวจริงๆข้าจะออกจากซูซาคุไปค้นหาเทียนหยุนจื่อและทิ้งเรื่องพวกนี้ไว้เบื้องหลัง” หวังหลินเริ่มคิด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวอีกหลายเดือนได้ผ่านไปแล้ว
ตอนที่เขามาถึงครั้งแรก พื้นที่นอกถ้ำของหวังหลินเต็มไปด้วยหญ้ารกชันและค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว นอกจากนั้นสถานที่ที่เขาเลือกก็อยู่ไกลเกินไป
แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่มีหญ้ามากมายแต่ถึงกับมีดอกไม้กลิ่นหอมเกิดขึ้นใกล้ๆ หินทั้งหมดถูกโละออกไปและแทนที่ด้วยหินเรียบๆ มีแม้กระทั่งหินที่มีกันสาดยื่นออกมากระจายอยู่โดยรอบ
ใครสักคนได้สร้างบ่อน้ำอยู่ตรงกลางซึ่งมีปลาทองตัวเล็ก ซึ่งสร้างละลอกคลื่นเป็นครั้งคราวตอนที่มันแหวกว่าย
พื้นที่แห่งนี้ราวกับดินแดนสรวงสวรรค์
ซื่อหยุนและลิ่วเว่ยนั่งอยู่ใต้หลังคาผลไม้ พวกนางพูดคุยกันและกันและมองไปทางประตูถ้ำเป็นครั้งราว
คิ้วของหลิวเว่ยสั่นเทาขณะที่นางเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ซื่อหยุน ท่านคิดว่าเมื่อไหร่ศิษย์พี่เฉียนมู่จะออกมา เขาจะเกลียดเราไหมเมื่อเราทำเรื่องพวกนี้โดยไม่ขออนุญาต?”
หลิวเว่ยเป็นหนึ่งในสองสาวเมื่อคราวก่อน นางตัวเล็กและผมสั้นกว่าซื่อหยุนแต่ร่างกายนางงดงามและประณีตมาก
“เรื่องนั้นไม่ควรจะเป็นอะไรเมื่อเซียนทุกคนต่างก็ชื่นชอบสภาพแวดล้อมที่ดี เราสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาให้มันสวยงาม แม้มันไม่ได้แสดงภาพแห่งความสุขเจ้าก็ไม่ควรจะโกรธ ศิษย์น้องหลิวเว่ย ผ่อนคลายเถอะ” ซื่อหยุนยิ้มพร้อมกับหยิบผลไม้ชิ้นนึงขึ้นมากัด
หลิวเว่ยเผยความยินดีบนใบหน้า “หลายเดือนที่ผ่านมา ชื่อเสียงของศิษย์พี่ฉิงมู่กระจายออกไปเพราะสองเราพี่น้อง ดังนั้นชีวิตของเราจะต้องดีขึ้น หากเรื่องนี้ดำเนินต่อไปก็คงดี ข้าสามารถเก็บรวบรวมวิญญาณที่เสียหายได้มากขึ้นในหลายเดือนมานี้มากกว่าหนึ่งปีก่อนเสียอีก”
ซื่อหยุนพยักหน้า “แม้จะไร้พรสวรรค์ ตราบใดที่ไม่มีใครขโมยไปจากพวกเรา เรามั่นใจได้ว่าสามารถสร้างธงวิญญาณร้อยดวงได้ เมื่อนั้นเราสามารถบ่มเพาะและบรรชั้นแกนลมปราณระดับปลายได้แน่!”
หลิวเว่ยกระซิบ “ศิษย์พี่ ข้ายังคงกังวลเล็กน้อยเพราะเรามีผู้มาแวะเวียนเพิ่มขึ้นทุกวัน หากศิษย์พี่ฉิงมู่พบว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะเรา เขาอาจจะไม่ปล่อยเราไว้ง่ายๆ”
“เขาไม่ควร…” ก่อนซื่อหยุนจะพูดจบ ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพลันคล้อยลงมาจากปลายภูเขาและร่อนลงเบื้องหน้าทางเข้าถ้ำ ลำแสงนั้นเผยตัวตนออกมาเป็นชายวัยกลางคนหน้าต่อหล่อเหลา เส้นผมยาวพริ้วไสวในสายลมทำให้เกิดความรู้สึกอันน่าเลื่อมใสยิ่ง
“ศิษย์น้องฉิงมู่ ข้ากัวตงเจียน หวังว่าเราจะคุยกันได้”
ซื่อหยุนยืนขึ้นและเอ่ยออกมา “ศิษย์พี่กัวตง โปรดกลับไปเถิด ศิษย์พี่ฉิงมู่ยังคงปิดด่านฝึกตน”
กัวตงเจียนขมวดคิ้ว เขาหันกลับไปมองซื่อหยุนและเอ่ยถาม “เจ้าทั้งสองเป็นนางสนมของฉิงมู่งั้นรึ?”
หลิวเว่ยใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงและนางไม่ได้เอ่ยอะไร ใบหน้าซื่อหยุนยังคงปกติขณะเอ่ยออกมา “ศิษย์พี่ เราเป็นนางสนมของศิษย์พี่ฉิงมู่จริงๆ”
สายตากัวตงเจียนแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและร้องตะโกน “เรื่องไร้สาระอันใด! หลอกคนอื่นข้าไม่ถือสาแต่เจ้ากล้าหลอกลวงข้างั้นรึ?! ไปซะทั้งสองคน!”
เช่นนั้นเขาหันกลับมาและยกฝ่ามือขึ้น ลำแสงพลังปราณพุ่งออกมาจากฝ่ามือแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างมังกรและพุ่งเข้าไปหาถ้ำ
จังหวะที่มังกรปรากฎตัว สายลมเริ่มกู่ร้อง เมื่อมังกรปะทะเข้ากับประตูถ้ำ กฎเกณฑ์บนประตูกระพริบเพื่อหยุดมังกรและในเวลาเดียวกันฝ่ามือยักษ์ปรากฎขึ้น ฝ่ามือนั้นจับมังกรและบิดเกลียวมัน เจ้ามังกรร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดก่อนจะสลายไป
ใบหน้ากัวตงเจียนเปลี่ยนไป เขาถอยกลับหลายก้าวและจดจ้องถ้ำแห่งนั้น
หวังหลินค่อยๆเดินออกมาจากถ้ำ เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องหวังหลินพลันเห็นหมอกควันสีดำ หมอกควันสีดำค่อยๆรวบรวมไว้เบื้องหลังเขาจนเกิดเป็นหัวกะโหลกยักษ์
“ภาพมายาธงวิญญาณพันดวง!!” สีหน้ากัวตงเจียนเปลี่ยนไปอีกครั้งและถอยกลับขึ้นอีก
หวังหลินตรวจสอบกัวตงเจียนด้วยสายตาเยือกเย็น ระดับฝึกตนของเขาคือขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น
“ยอมจำนนด้วยธงวิญญาณของเจ้าซะและข้าจะปล่อยไป” หวังหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
สีหน้ากัวตงเจียนแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนพร้อมกับนำธงผืนเล็กที่มีแสงสีทองสองเส้นออกมา เขาสะบัดธงและเสี้ยววิญญาณดวงหนึ่งลอยออกมา มันล้อมรอบกัวตงเจียนและร้องคำรามใส่หวังหลิน
เขาพึมพำขณะก้าวถอยหลังกลับไปและเอ่ยกับหวังหลิน “ข้าก็มีธงวิญญาณพันดวงเช่นกัน หากเจ้าชนะ ข้าจะยกมันให้!”
เศษเสี้ยววิญญาณรอบตัวเขาพุ่งเข้าหาหวังหลินทันที บางดวงระดับขั้นพื้นฐานลมปราณและอีกบางส่วนมีระดับขั้นแกนลมปราณ มีแม้กระทั่งที่เติบโตและปลดปล่อยกลิ่นอายของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด
หวังหลินสงบนิ่ง เขาชี้มือขวาและเอ่ยขึ้น “วังวน!”
ขณะเอ่ยนั้น เศษเสี้ยววิญญาณที่กำลังพุ่งเข้าหาเขาพลันกรีดร้องอย่างโหยหวนและดูดเข้าไปในวังวน ในไม่นานนักนอกจากวิญญาณขั้นแรกกำเนิด ดวงอื่นๆหายไปหมด
เสี้ยววิญญาณกลิ่นอายแรกกำเนิดกรีดร้องและใช้วิธีที่หวังหลินไม่ทราบเพื่อหนีออกมาจากวังวน มันพยายามหนีออกไปให้ไกลด้วยความรวดเร็ว
“นี่มันอะไรกัน?” สายตาหวังหลินสว่างวาบ เขายื่นมืออกไปและวิญญาณดวงนั้นถูกจับพร้อมกับกรีดร้องอย่างโหยหวน
หวังหลินมองวิญญาณดวงนั้นและจากนั้นหันไปมองกัวตงเจียน “เจ้าได้เสี้ยววิญญาณขั้นแรกกำเนดมาจากไหน?”
กัวตงเจียนลอบถอนหายใจ ตอนที่เขาเห็นหวังหลินใช้วังวนวิญญาณ เขาได้ยอมแพ้ไปแล้ว
“ศิษย์พี่ฉิงมู่ ยินดีด้วยในการเชี่ยวชาญวังวนวิญญาณ ท่านเป็นคนที่สามในภูเขาหลอมวิญญาณที่บรรลุวิชานี้ ส่วนเสี้ยววิญญาณแรกกำเนิด ข้าแลกเปลี่ยนมาด้วยธงวิญญาณเก้าร้อยดวงพร้อมกับคู่มือสร้างธงวิญญาณของภูเขาแยกวิญญาณ”