411. สหายเก่า
*ขอแก้จาก ‘สำนักละทิ้งอมตะ’ ไปเป็น ‘เผ่าละทิ้งอมตะ’ นะครับ ใครมีชื่ออื่นเสนอมาได้นะ
“หวังจัว…” หวังหลินพุ่งเข้าไปหาราวกับสายฟ้าพร้อมด้วยสายตาเคร่งขรึม
แม้ว่าภาพลักษณ์ของหวังจัวจะเป็นชายชรา หวังหลินยังสามารถจดจำเขาได้เพียงแค่มองผ่านๆเท่านั้น
จิตใจหวังจัวเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ระหว่างทางกลุ่มของเขาตายไปมากกว่าครึ่ง เขาผ่านการสู้รบเช่นนี้เกือบทุกวันและรู้สึกว่าเงาแห่งความตายกำลังมืดมากขึ้นและมากขึ้น
แคว้นรอบๆต่างพ่ายแพ้กันจนหมด บางส่วนถูกทำลายไม่ก็กลายเป็นทาสของเหล่าสำนักละทิ้งอมตะ
แคว้นระดับสามไม่ใช่สนามรบหลักของสำนักละทิ้งอมตะ พวกเขาใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนสมาชิกที่อ่อนแอ
แคว้นซูซาคุซ้ำร้ายยังไม่ห่วงใยแคว้นระดับห้า ครั้งแรกพวกเขาเพียงส่งเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับต้นมาบางส่วนเท่านั้นแต่เมื่อสงครามดุเดือดขึ้นจึงดึงเอาผู้ส่งสาส์นทั้งหมดกลับมาและละทิ้งแคว้นระดับสามทั้งหมดโดยสิ้นเชิง
ในสายตาของแคว้นซูซาคุ เหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอ่อนแอเกินไป
หวังหลินยิ้มอย่างเจ็บปวดขณะเฝ้าดูสหายของสำนักคนอื่นตายไป เขามองดูสมาชิกสำนักละทิ้งอมตะจำนวนสี่คนซึ่งมีพลังเท่ากับเซียนขั้นแกนลมปราณระดับปลายกำลังไล่ตามคนอื่นๆ
ขณะนั้นเองอุกกาบาตลูกหนึ่งพุ่งข้ามผ่านน่านฟ้าปลดปล่อยกลิ่นอายน่าหวาดกลัว สมาชิกทั้งสี่คนตื่นตกใจและมองขึ้นทันที
เพียงกระพริบตา อุกกาบาตหายวับไปและชายผมยาวสีขาวร่อนลงมาถึงเพียงก้าวไม่กี่ครั้ง
สีหน้าทั้งสี่คนเปลี่ยนไป พวกมันตระหนักได้ว่าชายผมขาวผู้ปลดปล่อยกลิ่นอายนี้จะสร้างปัญหาต่อพวกเขา พวกเขารู้สึกได้ว่ากลิ่นอายเช่นนี้ปกติจะออกมาจากชาแมนเจ็ดใบไม้ในสำนัก
“ขั้นแปลงวิญญาณ…” หนึ่งในสี่คนร่างสั่นเทาและอุทานออกมา เขาหันกลับและวิ่งหนีโดยไม่มีความลังเลใด อีกสามคนรีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาหวังหลินเยือกเย็นพลันตบกระเป๋านำอสูรยุงออกมา เจ้ายุงไม่รอให้ออกคำสั่งพลันพุ่งออกไปตามหลังทั้งสี่คน เสียงกรีดร้องดังออกมาไกลพร้อมกับร่างทั้งสี่คนกลายเป็นอาหารมื้อเย็นของเจ้ายุงไปเรียบร้อย
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมากมันเร็วเกินกว่าหวังจัวจะตั้งตัวทัน จึงตกตะลึงอย่างเงียบงัน
หวังหลินหันกลับมาหาหวังจัวและยิ้มแย้ม “หวังจัว เจ้าจำข้าได้ไหมท”
“ผู้อาวุโส…ท่าน….เป็นท่าน…” หวังหลินตกตะลึงและจดจำหวังหลินได้ทันทีว่าเป็นคนที่บรรลุขั้นตัดวิญญาณที่ภูเขาเหิงยั่ว
หวังหลินส่ายศีรษะ “เราไม่เจอกันมาหลายปี เจ้าบรรลุขั้นแกนลมปราณระดับปลายเสียแล้ว นี่นับว่าคู่ควรต่อการเฉลิมฉลองแต่ช่างมันเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิด!” สิ้นคำหวังหลินชี้ไปตรงระหว่างคิ้วของหวังจัว
ผนึกในใจของหวังจัวถูกลบล้างออกไปขณะที่ความทรงจำทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิตได้ไหลทะลักเข้าหาเขาส่งให้ร้องออกมา
หวังหลินมองไปที่สหายร่วมสำนักของหวังจัว ทั้งหมดต่างเป็นขั้นแกนลมปราณระดับต้นขณะที่คนสุดท้ายเป็นระดับกลาง คนผู้นั้นคือหนึ่งในคนที่หวังหลินทิ้งเมล็ดวิญญาณไว้ในตอนนั้น
หวังหลินเอ่ยถาม “พวกเจ้ากำลังจะไปไหน?”
คนที่มีเมล็ดวิญญาณเป็นชายชราผู้หนึ่ง ร่างกายสั่นเทาเมื่อหวังหลินมองมาหาและเอ่ยขึ้นตอบ “ผู้น้อยจำนวนสิบคนถูกส่งไปแคว้นหลินเพื่อช่วยเหลือ ทว่าพวกเขาพ่ายแพ้ต่อสำนักละทิ้งอมตะ ดังนั้นเรากำลังจะหาทางกลับแคว้นจ้าว”
หวังหลินตบกระเป๋าตนเอง หินหยกก้อนหนึ่งลอยออกมาและใส่เขตแดนของตัวเองเข้าไปข้างใน เขาโยนหยกให้ชายชราและพูดขึ้น “เอาหยกนี้ไป มันจะช่วยให้พวกเจ้าปลอดภัยจนถึงแคว้นจ้าว ไปได้”
ชายชราถือหินหยกราวกับสมบัติชิ้นหนึ่งและโค้งคำนับต่อหวังหลินหลายครั้ง สำหรับเขาแล้วหินหยกชิ้นนี้คือชีวิตของตนเอง
หวังหลินสะบัดแขนขวาเพื่อคว้าหวังจัวและจากนั้นหายตัวไป
ชายชราสูดหายใจลึกและโค้งคำนับตรงจุดที่หวังหลินหายตัวไป การน้อมคำนับครั้งนี้มีความเลื่อมใสไม่มีความคิดอื่น
ชายวัยกลางคนร่างกำยำอยู่ด้านข้างได้ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านลุงโหด ผู้อาวุโสคนนั้นคือใครหรือ?”
ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยสายตาหวนรำลึก “เขาคือเซียนขั้นตัดวิญญาณในแคว้นจ้าวของข้าเท่านั้น…”
“เซียนขั้นตัดวิญญาณ…เขามาจากแคว้นจ้าว?” ชายวัยกลางคนสูดหายใจลึก
“ฮี่ฮี่ เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อเขามาก่อน…” ชายชราเหาะเหินออกไปและคนอื่นๆของสำนักติดตามมาอย่างรวดเร็ว
“หวังหลิน เขาชื่อหวังหลิน!”
เมื่อคำว่า “หวังหลิน” เอ่ยออกมา คนอื่นๆรวมถึงชายร่างกำยำพลันสั่นสะท้านและสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ในโลกแห่งเซียนของแคว้นจ้าว ชื่อหวังหลินเป็นตัวแทนดาวแห่งการสังหารและเป็นหายนะราวกับโลกอวสาน
ในวันนั้นโลหิตไหลนองราวกับแม่น้ำ พื้นดินแคว้นจ้าวถูกย้อมด้วยสีแดงของโลหิต ไม่มีใครหลงลืมวันนั้นได้
แม้กระทั่งในวันนี้ ภัยพิบัติที่ตระกูลเถิงเผชิญยังคงส่งผ่านลงไปในโลกแห่งเซียนของแคว้นจ้าว มันคงอยู่ในใจผู้คนมาตลอดและกลายเป็นเป้าหมายของเหล่าเซียนวัยเยาว์
บนยอดภูเขา หวังจัวตื่นขึ้นอย่างช้าๆ คราแรกสายตาเต็มไปด้วยความสับสนแต่ก็ค่อยๆหายไป จากนั้นเขามองร่างสีขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“หวังหลิน…” น้ำเสียงขมขื่นดังออกมาจากหวังจัว
“หวังจัว” หวังหลินหันกลับมาและยิ้มขึ้น
หวังจัวจ้องหวังหลินพร้อมกับความทรงจำที่ผ่านมาผุดขึ้นในใจจนถึงตอนที่ภรรยาของเขาตายด้วยน้ำมือตัวเอง จากนั้นถอนหายใจ
“ขอบคุณ…”
หวังหลินส่ายศีรษะ “เหลือเพียงเจ้าและข้าเท่านั้นที่เหลืออยู่จากตระกูลหวังดั้งเดิม ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอกใ..”
หวังจัวลังเลเล็กน้อยและถามขึ้น “เจ้า…เจ้าบ่มเพาะระดับอะไร…เจ้าได้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณแล้ว?”
“ข้ายังไม่ได้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณ” หวังหลินมองออกไปไกล
“กาลเวลาผ่านไปรวดเร็วนัก…ข้ายังจำได้ตอนที่เราอยู่ที่สำนักเหิงยั่ว…” หวังจัวถอนหายใจ
สายตาหวังหลินสว่างขึ้นและเอ่ยถาม “หวังจัว เกิดอะไรขึ้นบนดาวซูซาคุในหลายปีที่ผ่านมานี้? เผ่าละทิ้งอมตะปรากฎขึ้นได้อย่างไร?”
หวังจัวตะลึง “เจ้าไม่รู้หรือ?”
หวังหลินส่ายศีรษะ “เจ็ดปีที่ผ่านมาข้าไม่ได้อยู่บนดาวซูซาคุ”
จิตใจหวังจัวสั่นไหว แม้ว่าหวังหลินได้จะพูดอย่างระมัดระวัง ทว่าเสียงที่ยินแทบทำให้เขาบ้าคลั่ง
ไม่อยู่บนดาวซูซาคุ… นั่นหมายความว่าระดับบ่มเพาะของหวังหลินสามารถทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศได้….
หวังจัวสูดหายใจลึกและบอกหวังหลินทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้
สีหน้าหวังหลินยังคงสงบนิ่งแต่จิตใจตกอยู่ในความยุ่งเหยิง เผ่าละทิ้งอมตะบุกรุกออกมาและเกือบทำให้แคว้นระดับสามทั้งหมดย่อยยับ
แคว้นระดับสี่ไม่ค่อยปลอดภัยนัก แคว้นซูซาคุกำลังต้านทานด้วยพลังเต็มที่แต่พวกเขายังถูกดันให้ถอยกลับไป
สำนักซากศพช่วยเหลือเผ่าละทิ้งอมตะเต็มกำลังและแคว้นระดับสี่ทั้งห้าแห่งได้ทรยศแคว้นซูซาคุ
เผ่าละทิ้งอมตะครอบครองดาวซูซาคุไปครึ่งดวง
หวังจัวเอ่ยขึ้น “มีข่าวลือว่าเผ่าละทิ้งอมตะส่งคนออกมาข้างนอกเก้าคนและมีห้าคนเปิดเผยตัวตนแล้ว ยังเหลืออีกสี่คนแต่ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร พวกเขาต้องมีตำแหน่งสูงๆในแคว้นระดับห้าขึ้นไปเป็นแน่”
หวังหลินขบคิด เขาไม่เคยคิดว่าเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่ปีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เช่นนี้
“สำนักหลอมวิญญาณ…” หวังหลินสูดหายใจลึก เขาต้องรีบกลับไปที่สำนักหลอมวิญญาณเพื่อดูว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงที่นั่นหรือไม่
ข้อมูลของหวังจัวส่วนใหญ่เป็นข่าวลือและไม่มีมูลความจริง ดังนั้นจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักหลอมวิญญาณ
หวังจัวครุ่นคิดเล็กน้อยและเอ่ยถาม “หวังหลิน เจ้ากลับไปแคว้นจ้าวและช่วยจากอันตรายได้หรือไม่…”
“รวมถึงตระกูลหวังของเรายังมีลูกหลานที่อาศัยอยู่ในแคว้นจ้าว หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าได้ลอบดูแลพวกเขา ข้าหวังเพียงว่าพวกคนธรรมดาจะไม่ได้ปะปนในสงครามแต่ตอนที่ข้าออกมา ข้าได้ยินว่าเผ่าละทิ้งอมตะกำลังมองหาคนธรรมดาที่มีรากวิญญาณ ข้ากังวลว่าตระกูลหวังอาจจะมีเด็กคนหนึ่งที่มีรากวิญญาณซึ่งได้รับความสนใจจากเผ่าละทิ้งอมตะ น่าเศร้าที่ข้าไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้วข้าจึงไม่รู้ว่ามีใครในตระกูลเป็นเช่นนั้นหรือไม่”
ดาวเคราะห์ซูซาคุ แคว้นจ้าว กลางคืนยามฝนพรำ
รถม้าคันหนึ่งกำลังควบออกไปนอกเมืองหลวงแคว้นจ้าว
ชายร่างกำยำดูกล้าหาญนั่งอยู่ข้างหน้ารถม้าและสะบัดแส้ “ย่าห์ ย่าห์!” เขาดูกระวนกระวายอย่างมากและมองไปด้านหลังตลอด
เมื่อม้ารู้สึกเจ็บปวดจากการโดนเฆี่ยน พวกมันร้องฮี้และวิ่งเร็วมากขึ้น
“ท่านแม่ เรากำลังจะไปไหน?” น้ำเสียงอ่อนโยนของเด็กคนหนึ่งดังออกมาจากข้างในรถม้า
“แม่จะพาเจ้าไปบ้านบรรพชนของเรา มีเพียงที่นั่นเยว่เอ๋อจะปลอดภัย” น้ำเสียงอ่อนโยนและลุ่มหลงตอบกลับเด็กน้อยจากในรถม้า น้ำเสียงแฝงความกังวลไปด้วย
เด็กน้อยนามเยว่เอ๋อพูดขึ้นต่อ “ท่านแม่! ข้ากำลังเรียนกับเจ้าชายลำดับสามเมื่อวานและเขาบอกข้าว่าแคว้นจ้าวตอนนี้อันตรายมาก…ดูเหมือนมีคนกำลังต่อสู้กับเหล่าเซียน มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ท่านแม่?”
“เยว่เอ๋อพักผ่อนเถอะ อย่าถามมากนักเลย” น้ำเสียงต่ำดังออกมาจากข้างในรถม้า
มีสามคนอยู่ในรถม้า คู่บุรุษสตรีและเด็กน้อย นางสวมชุดผู้สูงศักดิ์ดูน่ารักและมีจุดอยู่มุมปากของนางทำให้ดูมเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนบุรุษสวมผ้าคลุมสร้างขึ้นจากหนังงู เขาปลดปล่อยกลิ่นอายกดขี่แม้ไม่ได้กำลังโกรธอยู่ เขาอยู่ตำแหน่งสูงศักดิ์มาเป็นเวลานานดังนั้นจึงมีกลิ่นอายแห่งความมั่นใจ
ส่วนเด็กน้อย นางดูอายุราวกับหกถึงเจ็ดขวบ แก้มของนางสีชมพูบางและผมขาวเนียน นางน่ารักมาก
ข้างในรถม้าพลันเงียบสงัดทันที มีเพียงเสียงจากการขับรถม้าดังขึ้นและเสียงฝนพรำ
เยว่เอ๋อพยักหน้าอย่างเงียบงัน นางรู้สึกเหนื่อยดังนั้นจึงค่อยหลับใหลในอ้อมแขนมารดา
“ท่านพี่ เยว่เอ๋อ…” ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงและกลั้นไว้ไม่อยู่
บุรุษถอนหายใจและเอ่ยช้าๆ “เซียนทั้งหมดในเมืองหลวงต้องกลับสำนักตัวเองเพื่อเตรียมตัวต่อสู้ ผู้บุกรุกแข็งแกร่งมากและจากที่ข้ารู้มา เหล่าเซียนในแคว้นจ้าวพ่ายแพ้และต้องรวมตัวกันในสถานที่แห่งหนึ่ง”
นางปาดน้ำตาจากมุมสายตาและกระซับ “ทำไมคนพวกนั้นถึงมองหาเหล่าเด็กจากทุกที่เล่า…”
บุรุษสูดหายใจลึกและยิ้มอย่างขมขื่น “คืนก่อนข้าได้ลอบสนทนากับองค์ราชาและพบว่าพวกเขากำลังค้นหาเด็กๆที่มีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นเซียน ข้ากลัวว่าพวกเขาจะมีแผนการใหญ่ หากท่านปู่ทวดอยู่ที่นี่ทุกอย่างคงจะดี”