459. บุรุษเหล็ก
ไม้แกะสลักทั้งหมดหน้าตาเหมือนกันและเป็นชายหนุ่มรูปร่างหล่อเหลา
“คำขอของผู้อาวุโส ผู้น้อยทำเสร็จสิ้นแล้ว” หลังจากนั้นหวังหลินนั่งลงในมุมหนึ่งและไม่พูดอะไรอีกนาน
ดวงตาหยุนเซว่จื่อสว่างวาบ เขาโบกแขนและไม้แกะสลักทั้งหมดหายวับไป พลันมองหวังหลินอีกครั้งก่อนจะหันสายตากลับไปที่ประตู
หวังหลินไม่ได้สนใจว่าหยุนเซว่จื่อสามารถเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร นอกจากนั้นเผ่าละทิ้งอมตะอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานและเขาไม่ใช่คนที่ต้องหาคำตอบให้ทุกอย่างที่สงสัย
หวังหลินล้มเลิกการคิดจะเอาผลึกดาวเซียนแล้ว เขาเพียงต้องการเสี้ยววิญญาณของตนเองคืนมา
ผลึกนี้เชื่อมต่อกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนดาวซูซาคุ หวังหลินไม่ได้ถึงจุดที่เสียสละชีวิตทุกอย่างในโลกเพื่อความเห็นแก่ตัว
แน่นอนว่าหากมีคนเกลียดชังเขาถือว่าเรื่องราวแตกต่างกัน การสังหารทุกคนที่มีสายเลือดตระกูลเถิงแสดงให้เห็นว่าหวังหลินไม่ใช่นักบุญที่ยืดมั่นอะไร
ขณะที่นั่งลงพลันดวงตาสว่างขึ้นมองไปทางเฉียนเฟิง ขณะนั้นเฉียนเฟิงก็มองมาทางหวังหลินเช่นกันและสายตาสวนทางกันและกัน
หวังหลินเผยรอยยิ้มเย็นชาก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางชายสวมหน้ากาก ชายผู้นั้นดูไม่คุ้นเคยและหวังหลินไม่อาจนึกจดจำเขาได้ ท้ายที่สุดสายตาก็เลื่อนไปหาชายชราประหลาดที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มน่าขนลุกนั่น
“เขาเป็นใครกัน…” อันตรายที่หวังหลินสัมผัสจากชายชรามีมากกว่าที่สัมผัสจากหยุนเซว่จื่อหลายเท่า ร่องรอยความหนาวเย็นแล่นผ่านสายตาหวังหลินขณะจ้องมองชายชรา
เมื่อชายชรารับรู้การจ้องของหวังหลิน เขามองมาทางหวังหลินและเผยรอยยิ้มชั่วร้าย รอยยิ้มนี้ช่างคุ้นเคยต่อหวังหลินยิ่งนักแต่เขามั่นใจว่าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อนในชีวิต
ขณะนั้นเองลำแสงหนึ่งออกมาจากพื้นที่ห่างไกล ร่างงดงามอยู่ภายในลำแสงนั้น นางหลบเลี่ยงรอยแยกและร่อนลงบนภูเขาวิญญาณ
สตีนางนี้งดงามอย่างมาก ปลายขอบล่างชุดราตรีของนางดูคล้ายพริ้วไหวขึ้นลง ทำให้นางดูราวกับเทพธิดาที่ยืนอยู่บนยอดภูเขาวิญญาณ
ขณะที่หวังหลินวางสายตาบนสตรีคนนี้ ใบหน้าเขาจมลง สตรีนางนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหลิวเหมย!
ตามจริงแล้วสิ่งหนึ่งที่หลิวเหมยกล่าวไว้ถูกต้อง นางและหวังหลินเป็นคนประเภทเดียวกัน ลึกๆข้างในแต่ละคนมีเสี้ยวความโหดเหี้ยมอยู่ภายใน
หวังหลินมองเพียงครั้งเดียวก่อนจะถอนสายตา ท่าทางเย็นชาไม่แตกต่างไปจากที่เขาเผชิญกับหลิวเหมยก่อนหน้านี้
หลังเฉียนเฟิงเห็นหลิวเหมย เขาเผยใบหน้าแห่งความสุข เขาคิดว่าเมื่อมีนางอยู่ที่นี่ โอกาสที่เขาจะได้เสี้ยววิญญาณของตัวเองคืนมาเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งเท่า
หลิวเหมยร่องรอยแห่งความเศร้าใจขณะที่ยกเท้าและเดินไปทางหวังหลิน
หวังหลินขมวดคิ้ว เขาไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรต่อนาง สิ่งที่เกิดขึ้นในสภาวะความฝันเป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญเท่านั้น เขามองนางด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ต้องการให้ใครมารบกวนข้า อย่ามาเข้าใกล้!”
หลิวเหมยหยุดลง นางมองหวังหลินและเอ่ยถามขึ้น “ท่านเกิดจากหินและเหล็กรึยังไงกัน?”
หวังหลินเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ไปซะ!”
หลิวเหมยเริ่มหัวเราะใส่เขา “เช่นนั้นลี่มู่หวานจะมีสถานะอะไรในหัวใจท่านกันนะ?”
สายตาหวังหลินเต็มไปด้วยจิตสังหาร “ไปซะ! แม้เขตแดนของเจ้าจะบรรลุขั้นสมบูรณ์แล้ว หากข้าต้องการสังหารเจ้ามันก็คงไม่ยาก อย่าเริ่มมารนหาที่ตาย!”
จุดประสงค์ของคำพูดหลิวเหมยคือทำลายจิตใจแห่งเต๋าของหวังหลิน แต่นางไม่รู้ว่าลี่มู่หวานคือคำต้องห้ามสำหรับเขา เขาคงสังหารใครทุกคนที่กล่าวถึงชื่อนาง หากไม่ใช่ว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดี เขาคงเอาธงวิญญาณออกมาและสังหารผู้หญิงคนนี้ซะ
หวังหลินห่วงใยเรื่องความสัมพันธ์ของเขาอย่างมากแต่กับคนแปลกหน้าเขาจะเย็นชาใส่
เขาเป็นบุรุษหัวใจแข็งดั่งหินและเหล็กกล้า นั่นไม่ใช่ผิดเพี้ยนไปเลย!
หลิวเหมยยิ้มบางจากนั้นหันกลับมาและเดินไปทางเฉียนเฟิง
หวังหลินถอนสายตาและมองชายชราที่กำลังมองเขา
“หรือคนผู้นี้ถูกครอบครองร่าง?” จิตใจหวังหลินเต้นผิดจังหวะ
เขาคิดว่านั่นเป็นโอกาสหนึ่ง หากไม่ใช่ไม่มีทางที่คนผู้นี้จะทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยแบบนี้ได้ หากหวังหลินเป็นคนธรรมดาเขาคงไม่คิดมากเนื่องจากมันเพียงแค่รอยยิ้ม หากเขาเป็นเซียนระดับต่ำเขาคงไม่ต้องคิดว่ามันมีความเป็นไปได้อะไร
แต่หวังหลินเป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับต้น แม้กระทั่งท่ามกลางดวงดาว พวกเขาก็คิดเสมอว่ามันทรงพลังและไม่ควรประเมินต่ำเกินไป
หากเป็นก่อนที่ดินแดนสวรรค์จะถูกทำลาย เหล่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณคงเหมือนกับพวกเทวดา ร่างกายคงสร้างขึ้นจากพลังปราณสวรรค์และครอบครองสัมผัสลึกลับบางอย่าง
สัมผัสเหล่านี้ประหลาดมาก มีเพียงเซียนทรงพลังเท่านั้นที่สามารถรู้สึกได้
หากระดับฝึกเซียนสูงส่งพอ เพียงแค่คิดแวบเดียวพวกเขาก็เห็นเหตุการณ์อนาคตจำนวนมากได้แล้ว ความลึกลับของวิชาเหล่านี้มิอาจอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้
ขณะที่หวังหลินสัมผัสความรู้สึกนี้ เขารู้สึกว่ามันไม่ผิดพลาด รอยยิ้มน่าขนลุกนั้นช่างคุ้นเคยจริงๆ
“ข้าฝึกเซียนมาหกร้อยปีและพบศัตรูมานักต่อนัก แต่คนที่สามารถทำให้ข้ารู้สึกเช่นนี้ด้วยแค่รอยยิ้ม…มีเพียงแค่คนเดียว!” แม้ว่าหวังหลินจะเผยใบหน้าเยือกเย็นแต่จิตใจระส่ำระส่าย
เขาสูดหายใจลึกและก้มศีรษะลง จากนั้นรูม่านตาหดเล็กและดวงตาเผยร่องรอยความกลัว
‘ปิศาจของตู่ซือ ต้าวเสิน!’ หวังหลินรู้สึกร่างกายเย็นเฉียบ เมื่อพูดถึงคนที่หวังหลินกลัวที่สุดบนดาวซูซาคุ จูเซว่จื่อไม่ใช่อันดับหนึ่ง อันดับหนึ่งเป็นของมารร้ายในร่างชายหนุ่มในดินแดนเทพโบราณตอนที่เขายังเป็นแค่เซียนขั้นแกนลมปราณ ต้าวเสิน!
มรดกของเทพโบราณถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน มรดกแห่งพลังและมรดกแห่งภูมิปัญญา
ท่ามกลางสองมรดกนี้ มรดกแห่งภูมิปัญญาบรรจุความรู้ทั้งหมดของตู่ซือเอาไว้เช่นการกลายเป็นเทพโบราณ วิชาเทพโบราณและอื่นๆอีกมาก
มีแม้กระทั่งแผนที่ดวงดาวในความทรงจำของตู่ซือ เป็นแผนที่ที่เขาเดินทางไปทุกหนแห่ง
ความทรงจำเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อหวังหลิน หากไร้ซึ่งมรดกแห่งภูมิปัญญา ร่างเดิมของหวังหลินคงไม่สามารถฝึกฝนจนกลายเป็นเทพโบราณสามดาวได้
แต่ความทรงจำเป็นเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น มันไร้ซึ่งพลังอำนาจ มีหลายวิชาในความทรงจำของตู่ซือที่สามารถใช้ทำลายดาวซูซาคุได้ทันที
เขารู้บทร่ายและวิธีการใช้วิชาทั้งหมดแต่กลับไม่มีพลังเพื่อใช้มัน หวังหลินจำเป็นต้องมีขั้นเจ็ดดาวเป็นอย่างน้อยเพื่อใช้วิชาเหล่านี้
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงก้าวไปที่ก้าวเพื่อให้ร่างหลักแข็งแกร่งขึ้นและท้ายที่สุดเขาก็จะใช้ความทรงจำของตู่ซือได้เต็มพลัง
คล้ายกับต้าวเสินที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เขาสืบทอดมรดกแห่งพลังของตู่ซือ พลังความแข็งแกร่งจึงเป็นเทพโบราณแปดดาว
แต่ว่าแม้จะมีพลังกลับไม่สามารถใช้มันเป็นประโยชน์ได้เต็มที่ เหมือนกับร่างที่ไม่มีเส้นชีพจร ไม่ว่าจะถือครองความแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ไม่อาจใช้มันได้
วิชาทั้งหมดที่เขาควบคุมได้คือวิชาที่เรียนรู้หลังจากเกิดขึ้นมา แม้เขาจะสามารถใช้มรดกแห่งพลังได้น้อยนิดแต่เป็นเพราะตอนนี้เท่านั้นจึงมิอาจแสดงพลังอำนาจของมรดกได้เต็มที่
กล่าวให้ชัดก็คือขีดจำกัดพลังของต้าวเสินที่ควบคุมได้คือพลังเทียบเท่ากับเทพโบราณห้าดาวเท่านั้น เปรียบกับตู่ซือซึ่งครั้งหนึ่งเป็นเทพโบราณแปดดาว พลังอำนาจนี้นับว่าอ่อนแอมาก
แต่ว่าเมื่อเปรียบกับทุกชีวิตบนซูซาคุ เทพโบราณห้าดาวเป็นตัวตนของตำนาน ตัวตนนั้นสูงส่งมากกว่าเหล่าเซียนขั้นเทวะเสียอีก
ต้าวเสินต้องการได้รับมรดกแห่งปัญญามากที่สุด หลังจากนั้นเขาเพียงแค่ใช้เวลาดูดซับมัน ปรับแต่งร่างกายและกลายเป็นเทพโบราณแปดดาวของจริง
ถึงตอนนั้นแม้แต่เจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าในสมาพันธ์เซียนก็ต้องกลัวเขา
หากไม่ใช่ว่าหวังหลินอยู่ในดินแดนเทพโบราณวันนั้น ต้าวเสินคงหลบหนีออกมาได้แล้ว
กล่าวให้แม่นยำก็คือเขาคือตู่ซือ แต่เป็นเสี้ยวความคิดชั่วร้ายที่ปรากฎตอนที่ตู่ซือใช้วิชาแบ่งสัมผัสวิญญาณล้มเหลวเท่านั้น
เขาตั้งมั่นจะจับตัวหวังหลิน!
หวังหลินเงยศีราะขึ้นและตรวจสอบชายชราอย่างละเอียด คราวนี้สายตาเพ่งพินิศบนเจ้าลิงน้อย
หลังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา หวังหลินจึงมองออกทันที แสงสีแดงนั้นปรากฎในสายตาเจ้าลิงน้อยซึ่งเป็นรัศมีเฉพาะตัวของคนที่อยู่ในทะเลโลหิต
หวังหลินรู้สึกขมขื่นอย่างมากในใจ เขาคิดเรื่องจ้าวปิศาจหกปรารถนา เมิ่งหลังค่อม จักรพรรดิโบราณและคนที่เหลือ ทั้งหมดล้วนตายไม่ก็กลายเป็นเซียนในทะเลโลหิต
นอกจากนั้นยังมีเหล่าเซียนโบราณ พวกเขาเกิดก่อนเซียนใดๆที่มาถึงบนดาวซูซาคุ ระดับบ่มเพาะของเซียนพวกนั้นสูงส่งอย่างยิ่ง
แต่ว่าด้วยประสบการณ์ของหวังหลินในปัจจุบัน เขาจึงเดาได้ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ผ่านขั้นเทวะ มันต้องเนื่องจากมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ดินแดนเทพโบราณวางเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับบ่มเพาะเพิ่มสูงขึ้น
ทว่าภายในมือแต่ละคนมีวิชาบางอย่างที่ชนรุ่นหลังไม่มีใครรู้จัก เมื่อพวกเขาใช้มัน พลังแต่ละคนจะแหลมคมมากขึ้น
“ต้าวเสิน…เขายังไม่ควรได้รับอิสระเต็มที่ไม่เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องครองร่างคนอื่นเช่นนี้ เขาควรจะออกมาหาด้วยตัวเอง ทว่าทำไมถึงมาที่นี่แทนที่จะไล่ล่าข้ากัน? หรือเป็นเพราะผลึกดาวเซียนด้วย?” จิตใจหวังหลินสั่นเทา
“เป็นไปได้ว่าผลึกดาวเซียนจะสามารทำให้เขาเป็นอิสระจากกรงขังของดินแดนเทพโบราณ?” สายตาหวังหลินสว่างวาบ
ขณะนั้นเองภูเขาวิญญาณเริ่มสั่นสะเทือนอีกรั้งและเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วฟ้า การล่มสลายครั้งที่สามปรากฎขึ้น
พื้นที่ชั้นในจำนวนมหาศาลของสุสานซูซาคุได้ล่มสลายกลายเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน เหล่าเซียนและเผ่าละทิ้งอมตะที่ไม่สามารถค้นหาภูเขาวิญญาณเจอต่างก็ตายกันทั้งหมด