492. มารโบราณ
จ้าวซิงชามองขึ้นไปทันที ภาพมายาของมารยักษ์ตนหนึ่งปรากฎเหนือศีรษะ มารตนนี้สูงมากกว่าหนึ่งพันฟุตและมีสองเขา แม้ว่ามันจะเป็นภาพพร่ามัวแต่กลับปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรง
มารตนนี้มีขนาดใหญ่และมีเส้นแสงสีครามอ่อนๆเรืองแสงอยู่บนร่างของมัน แขนขนาดใหญ่และเล็บมือคล้ายกระบี่
ตอนนี้ดวงตาของมันปิดสนิทแต่ศีรษะส่ายไปมาราวกับสามารถตื่นขึ้นมาเวลาไหนก็ได้
ส่วนล่างจากศีรษะของมันยิ่งพร่ามัว ด้านล่างมันเป็นจ้าวซิงชาที่มีใบหน้าซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าการใช้วิชาบทนี้ทำให้เกิดภาระอันใหญ่หลวง
สัญลักษณ์ประหลาดบนหน้าผากจ้าวซิงชาพลิกกลับ ทุกครั้งที่สัญลักษณ์นี้กระพริบ ร่างของมารตนนี้ก็จะมีรูปร่างมากขึ้นและในเวลาเดียวกันร่างของจ้าวซฺงชาก็อ่อนแอลง
ขณะที่สิ่งนี้ปรากฎ สมาชิกทั้งหมดของสำนักหลากหลายแห่งต่างตกใจและรีบกระจายตัวอย่างรวดเร็ว
แม้กระทั่งเซียนขั้นเทวะทั้งหกคนก็เผยแสงอันลึกลับในแววตา
มีคนหนึ่งซึ่งไม่ได้พูดออกมาเลยสักคำในเวลาที่ผ่านมาเจ็ดวัน เขาเพียงเลื่อนความสนใจไปที่หวังหลินเมื่อตอนที่ใช้เพลิงมาร มีเซียนขั้นเทวะระดับปลายอยู่ที่นี่คนเดียวเขาคือหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักเมฆาวารี เจียงเทียนซุน เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่ม “มารโบราณ!“
น้ำเสียงคลุมเครือและกระทั่งเขาก็ไม่มั่นใจนัก
ชายชราอยู่ถัดกับเจียงเทียนซุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “สหายเซียนเจียง หรือว่านี่จะเป็นมารโบราณในตำนานที่ปรากฎขึ้นในอดีตเพียงแค่ครั้งเดียว?”
เจียงเทียนซุนขบคิดก่อนจะตอบออกมา “มันคล้ายมาก!”
แม้ว่าวิญญาณหลักที่หวังหลินส่งออกมาจะเห็นมารยักษ์ พวกมันยังกระโจนเข้าใส่จ้าวซิงชา
ดวงตาจ้าวซิงชาเผยประกายแสงลึกลับขณะยกฝ่ามือขึ้นชี้ไปที่ความว่างเปล่า เมื่อเขาเคลื่อนไหวภาพมายายักษ์เหนือเขาก็เคลื่อนไหวด้วยเช่นเดียวกัน ฝ่ามือมารยักษ์ค่อยๆชูขึ้นชี้ไปที่อากาศว่างเปล่าเช่นที่จ้าวซิงชาทำ
รัศมีอันซับซ้อนเริ่มกระจายออกมาจากนิ้วมือจ้าวซิงชาทันที ความจริงแล้วรัศมีนี้ออกมาจากภาพมายาเหนือจ้าวซิงชาซะมากกว่า
รัศมีแห่งนี้ทรงพลังรุนแรงหลายชั้นมากกว่าพลังปราณและไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพลังปราณสวรรค์เลย มันเทียบเท่ากับแรงระเบิดของเพลิงมารของหวังหลิน
เจียนเทียนซุนสูดหายใจลึกและเอ่ยขึ้น “พลังมาร!”
สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเมื่อเขาเห็นวังวนสีแดงปรากฎตำแหน่งที่จ้าวซิงชาชี้ไป วิญญาณหลักสูญเสียการควบคุมและเริ่มถูกวังวนสีแดงนี้ดูดเข้าหา
ใบหน้าจ้าวซิงชาซีดเผือดแต่ใบหน้าภาพมายาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีคราม ดวงตาสั่นไหวราวกับสามารถตื่นขึ้นมาได้ทุกเวลา
ดวงตาหวังหลินเยือกเย็น เพียงแค่คิดธงวิญญาณก็ปรากฎในฝ่ามือ เมื่อสะบัดหนึ่งคราธงวิญญาณก็ขยายขนาดจากนั้นดูดวิญญาณหลักออกมาจากวังวนสีแดง
ขณะที่หวังหลินฟื้นคืนวิญญาณหลัก มารที่อยู่เหนือจ้าวซิงชาร้องคำรามสั่นสะเทือนฟ้าดิน ดวงตาของมันเปิดออกทันทีเผยสายตาที่สามารถทำให้จิตใจใครก็ตามสั่นไหวเมื่อมองมัน ดวงตาของมันเยือกเย็นและยิ่งหนาวเหน็บมากกว่าพวกเซียนที่ไร้ปราณีเสียอีก ความหนาวเย็นเสียดแทงลึกถึงกระดูก
หวังหลินสามารถสัมผัสสายตาเช่นนี้ได้จากผู้ส่งสาส์นแห่งสวรรค์เท่านั้น!
หลังมันลืมตาขึ้นมา ภาพมายามารยักษ์ยกฝ่ามือขวาขึ้นและยื่นเข้าหาหวังหลิน ขณะเดียวกันจ้าวซิงชาก็ยื่นมืออกไปราวกับสูญเสียการควบคุมร่างกาย
หวังหลินถอยกลับอย่างรวดเร็วและเริ่มสร้างผนึก จากนั้นถอยไปอยู่ใกล้กับราชรถสังหารเทพและตีมันด้วยฝ่ามือ
เสียงคำรามดังกึกก้องออกมาจากราชรถสังหารเทพพร้อมกับวิญญาณอสูรที่ปฏิเสธการนอบน้อมต่อทุกสิ่งปรากฎขึ้น ดวงตาดุร้ายของมันเพ่งไปที่มารยักษ์ทันทีและร้องคำรามออกมา วิญญาณอสูรพุ่งเข้าหามารยักษ์โดยไม่สนสิ่งใด
สายตาของมารยักษ์ส่องสว่างขึ้น มันยกเลิกหวังหลินและหันมาหาอสูรวิญญาณ หลังจากเปลี่ยนเป้าหมายมันก็ยื่นมือเข้าหาอสูรวิญญาณทันที
อสูรวิญญาณร้องเสียงคำรามอย่างไม่ยอมใครอยู่ทั่วพื้นที่พร้อมกับดึงราชรถสังหารเทพตรงเข้าปะทะกับมารยักษ์
อย่างไรก็ตามหลังเกิดเสียงคำรามกึกก้องเนื่องจากการปะทะ อสูรวิญญาณก็ผ่านฝ่ามือของมันและพุ่งตรงไปที่ร่างมารยักษ์
มารยักษ์เผยใบหน้าประหลาดใจและยื่นมือออกไปที่หน้าอก มันลากเจ้าอสูรวิญญาณออกจากหน้าอกและมองด้วยท่าทีเย็นชาและกำลังจะกลืนกิน
“อสูรปิศาจ! หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงคำรามดังออกมาจากสำนักหลักของสำนักชะตาสวรรค์
หลังเสียงนี้ดังขึ้น เจ้ามารเผยท่าทางสั่นเทาก่อนจะถอนหายใจและปล่อยอสูรวิญญาณไป ร่างมันลดเล็กลงทันทีจนกลายเป็นลำแสงสีเขียวและกลับเข้าร่างจ้าวซิงชา
สัญลักษณ์บนหน้าผากจ้าวซิงชากระพริบรุนแรงหลายครั้งจนในที่สุดก็เริ่มเลือนหายไป จ้าวซิงชากระอักโลหิตคำโตออกมาระงับอาการตีกลับ จากนั้นจ้องหวังหลินเผยรอยยิ้มน่าขนลุก
หลังจากอสูรวิญญาณถูกปลดปล่อย มันไม่ได้ดิ้นรนหรือคำราม มันชำเลืองจ้าวซิงชาก่อนจะกลับสู่ราชรถถและเปลี่ยนไปเป็นกับดักอสูร
ชั่วขณะนั้นก้อนเมฆสีแดงลอยข้ามมาจากเส้นขอบฟ้า ก้อนเมฆสีแดงเริ่มรวมตัวกันจนเกิดเป็นร่างชายชราสวมผ้าคลุมสีแดง ใบหน้าเขาสีแดงดั่งไฟปกคลุมไปด้วยกลิ่นเหล้าและกำลังคว้าน้ำเต้าใหญ่ไว้ด้านหลัง หลังจากปรากฎตัวเขาก็เรอออกมา กรอกสาตาและตำหนิ “พวกเจ้าสู่กันเพื่ออะไร? ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าต่อสู้กันข้าจะกระดูกผุเทียนหยุนนั่นมาลงโทษพวกเจ้าไหม? ข้าพึ่งดื่มเหล้าไปได้ครึ่งทางเองนะ!”
หวังหลินคว้ากับดักอสูรมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง จากนั้นเคลื่อนร่างไปที่โต๊ะและดึงเก้าอี้ห่างสามที่จากศิษย์ลำดับสี่ออกมา นี่คือที่นั่งของเขา
เขาสะบัดแขนเสื้อและนั่งลง
จ้าวซิงชามองชายชราใบหน้าแดง คำนับฝ่ามือและเอ่ยขึ้น “ศิษย์ขอคำนับท่านอาจารย์ลุง ฉีเลี่ย”
ชายชราใบหน้าแดงมองจ้าวซิงชาและถามออกมา “เจ้ารู้จักข้า?”
จ้าวซิงชาพยักหน้าและเอ่ยอย่างนอบน้อม “ตอนที่ศิษย์เข้ามาในสำนักชะตาสวรรค์เมื่อสองพันปีก่อน ศิษย์พบอาจารย์ลุงเพียงครั้งเดียว”
ชายชราพ่นลมหายใจ “แม้เจ้าจะรู้จักข้ามันก็ไร้ประโยชน์ วิญญาณมารในร่างเจ้าพึ่งเริ่มเติบโตและเจ้ายังต้องใช้กำลังบังคับมัน จงรอการลงโทษของอาจารย์เจ้า!” เช่นนั้นเข้ายื่นมืออกไปและคว้าจ้าวซิงชา สายตาเลื่อนมาหาหวังหลินเผยอาการสนใจและยิ้มแย้ม “สหายตัวน้อย อาจารย์ของเจ้าหวังกับเจ้าไว้สูงนัก ศิษย์พี่ของเจ้าจะไม่ปรากฎตัวในการแข่งขันเพื่อตำแหน่งศิษย์สายตรงของกองกำลังสีม่วง เจ้าผ่อนคลายได้!”
สิ้นคำชายชราคำนับฝ่ามือให้กับเซียนรอบๆและเอ่ยออกมา “ข้าเชื่อว่ามีเซียนไม่กี่คนที่นี่ที่รู้จักข้า วันนี้การต่อสู้ระหว่างผู้น้อยของกองกำลังสีม่วงทำเสียบรรยากาศ ข้าหวังว่าพวกท่านจะไม่ถือสาหาความ!”
เจียงเทียนซุนมองฉีเลี่ยและรีบเอ่ยอย่างเคารพ “ผู้อาวุโสคิดมากเกินไป เราจะเสียบรรยากาศด้วยเรื่องนี้ได้อย่างไรเล่า? ความจริงแล้วการต่อสู้ระหว่างผู้น้อยก็ทำให้พวกเราผ่อนคลายบ้างเพราะกองกำลังสีม่วงจะต้องมีผู้สืบทอดที่แข็งแกร่ง!”
หลังกล่าวจบคนอื่นๆก็ว่าตาม ในไม่นานเซียนแทบทุกคนก็เสนอความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน
ฉีเลี่ยหัวเราะพลางส่ายศีรษะ “อย่ายกย่องศิษย์ไม่เชื่อฟังสองคนนี้เลย พรุ่งนี้จะถึงวันที่ศิษย์พี่ของข้า เทียนหยุน จะมาชี้แนะเต๋า ทุกคนข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเช่นนั้นขอตัวจากไปก่อน”
สิ้นคำฉีเล่ยก็ขยับมือที่มีจ้าวซิงชาอยู่ด้วย เขาพุ่งออกไปด้วยก้อนเมฆสีแดงและหายเข้าไปในเส้นขอบฟ้า
หวังหลินไม่ได้กล่าวอะไรสักคำตั้งแต่ชายชราปรากฎ เขารินจอกเหล้าให้ตัวเองและดื่มมันหมดในคราเดียว สายตาเต็มไปด้วยประกายแสงครุ่นคิด
“จ้าวซิงชาพึ่งใช้วิชารูปแบบอะไรกัน? มันดูไม่เหมือนเป็นการโจมตีเขตแดนและคล้ายกับวิชาเทพโบราณ จากสิ่งที่ผู้เฒ่าพูดมันคือวิญญาณมารที่พึ่งก่อร่างในจ้าวซิงชาและไม่สามารถใช้ได้อย่างอิสระ”
ขณะที่ขบคิดพลันมีผู้คนจำนวนหนึ่งจากหลากหลายสำนักเข้ามาอื่มอวยพรกับหวังหลิน
การต่อสู้ของหวังหลิกก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถสังหารศิษย์ลำดับสองของกองกำลังสีม่วงได้ง่ายๆและบังคับให้ศิษย์พี่ใหญ่ใช้ไพ่ตาย แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าวิชาที่จ้าวซิงชาใช้ไปได้ทำให้เขาบาดเจ็บเองด้วยเช่นกัน ทุกคนสามารถบอกได้จากใบหน้าจ้าวซิงชาที่ได้รับบาดเจ็บจากพลังตีกลับรุนแรง
และศิษย์ลำดับเจ็ดใช้เพียงสมบัติวิเศษมาต่อสู้เท่านั้น แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ แต่จากที่ฉีเล่ยกล่าวขึ้นมาต่างก็บอกได้ว่าศิษย์ลำดับเจ็ดคนนี้สำคัญแค่ไหนต่อเทียนหยุน
ไม่เช่นนั้นทำไมถึงมีเพียงจ้าวซิงชาที่ถูกนำตัวไปขณะที่น้องเจ็ดยังอยู่?
เหล่าเซียนทั้งหมดยิ่งแก่ก็ยิ่งมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว คนที่มางานเลี้ยงเฉลิมฉลองไม่ใช่คนธรรมดา ในสายตาพวกเขาหวังหลินจะกลายเป็นศิษย์สายตรงแน่นอน ดังนั้นการเป็นสหายกับเขาจะได้รับประโยชน์ที่ดีมากในอนาคต
ด้วยเหตุผลนี้จึงมีหลายคนเข้ามาดื่มอวยพรกับหวังหลินจำนวนมาก
หวังหลินเก็บความคิดของตัวเองไว้และทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม เขาต้องการมีที่หยั่งเท้าที่มั่นคงในดาวเทียนหยุน ดังนั้นการมีสหายนอกสำนักไม่ถือว่าเป็นอันตราย
ท้ายสุดของการเฉลิมฉลองวันที่เจ็ด งานเฉลิมฉลองของกองกำลังสีม่วงได้มาถึงจุดสำคัญเมื่อหวังหลินแทนที่จ้าวซิงชาที่เป็นจุดศูนย์กลางความสนใจและดื่มกับทุกคน
ส่ายป๋ายเวยและศิษย์ลำดับสี่ มีคนไม่มากนักที่มาทักทายพวกเขา เปรียบกันแล้วพวกเขาดูค่อนข้างเหงาทีเดียว
ขณะที่กลางคนย่างกรายเข้ามา ผู้คนเริ่มกระจัดกระจาย หวังหลินถือจอกเหล้าดื่มฉลองกับเจียงเทียนซุน หลังจากเจียงเทียนซุนจากไปสายตาหวังหลินก็เลื่อนไปหาศิษย์พี่สี่