51. ลงสนาม (1)
ในขณะเดียวกันที่ร่างเขาเคลื่อนตัวออกมาปรากฎบนสนามประลอง เขามองไปยังเล่าศิษย์สำนักเหิงยั่วด้วยใบหน้าเย้ยหยัน “เจ้าพวกศิษย์สายในสำนักเหิงยั่วเข้ามาพร้อมกันทั้งหมดนั่นแหละ ข้าโจวเผิง(周鵬 Zhōu péng) จะจัดเป็นคู่ต่อสู้ให้ทั้งหมด”
เหล่าศิษย์เหิงยั่วตกอยู่ในความโกลาหล กระทั่งผู้อาวุโสสำนักเหิงยั่วยังต้องขมวดคิ้ว
ผู้คนจากสำนักซวนต้าวไม่ได้พูดอะไรอีก เผยแต่เพียงท่าทางเคารพซึ่งดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะไม่ได้มีสถานะต่ำต้อยในสำนักซวนต้าว
ผู้อาวุโสโอวหยางไอเบาๆพลันตะโกนขึ้น “สหายฮวงหลง นี่คือโจวเผิง เป็นหัวหน้าศิษย์ของสำนักซวนต้าว! ส่งใครสักคนมาตัดสินเถอะ ถ้าหากศิษย์เหิงยั่วสามารถอยู่รอดได้สิบวินาที เมื่อนั้นสำนักเหิงยั่วก็ชนะไป”
จางขวงเผยดวงตาเบิกกว้าง เขาเคลื่อนร่างไปบนลานประลองจากนั้นก็พูดอย่างหนักหน่วง “เจ้าเด็กหยิ่งยโย ข้าจะทดสอบเจ้าเอง!”
โจวเผิงปล่อยเสียงหัวเราะ “เจ้าน่ะหรือ? เข้าเห็นได้ว่าอยู่ระดับหกขั้นรวบรวมลมปราณแต่กลับซ่อนงำพลังที่แท้จริงไว้ ความจริงเจ้าอยู่ระดับแปด แต่ก็ยังแข็งแกร่งไม่พอ” เมื่อเขาพูดขึ้น แสงเย็นยะเยือกผ่านวาบทางสายตาเขา โบกมือขวาครานึงจากนั้นงูสีดำก็กระโดดออกมากลายเป็นงูเหลือมยักษ์
หัวงูเหลือมตัวนี้มองอย่างเยือกเย็นไปที่ใบหน้าหวาดกลัวของจางขวง มันง้างปากและสูดอากาศเข้าด้วยพลังมิอาจจินตนาการได้
การสูดอากาศนี้แปลกประหลาดนัก มีเพียงจางขวงที่ได้รับผลกระทบ
จางขวงไม่มีพลังพอที่จะต่อต้าน ก่อนที่เขาจะได้วิชาเซียนออกมา ร่างกายเขาก็เหมือนว่าวที่สายป่านขาดและถูกดูดเข้าไปหางูเหลือมตัวนั้น
โจวเผิงหัวเราะเยาะ เขายกมือขวาและจับคอจางขวงขึ้นมา “กลับไปฝึกมาใหม่สักสิบยี่สิบปีก่อนที่จะมาเจอข้า!” เมื่อพูดเช่นนี้เขาก็โยนจางขวงออกไปด้วยมือเดียว
ชายชุดม่วงคนที่เหลือออกไปรับจางขวง แต่ไม่สามารถต่อต้านพลังงานลึกลับได้ ดังนั้นทั้งคู่จึงไถลไปบนพื้นอย่างยาวไกลก่อนจะหยุดลง
ใบหน้าจางขวงซีดเผือก เขาหลับตาลงและร่างกายสั่นสะท้าน ลำคอเป็นรอยฝ่ามือสีดำราวกับถูกบีบอย่างแน่นหนา
ชายชุดม่วงที่ออกมารับตัวเขาต่างมีใบหน้าหวาดกลัวและนิ่งเงียบ
ใจฮวงหลงขมขื่นอย่างที่สุด หัวหน้าศิษย์ของสำนักซวนต้าวช่างแข็งแกร่งเกินไป จากพลังที่เกิดขึ้นตอนนี้ อย่างน้อยคนคนนี้อยู่ขั้นที่สิบ เพราะเขาใช้ยันต์เซียนปดปิดระดับฝึกตนดังนั้นจึงไม่อาจรู้ระดับที่แน่นอน
จากนั้นเขามองไปยังเหล่าศิษย์สายในรอบๆ ฮวงหลงถอนหายใจออกมา แม้แต่หัวหน้าศิษย์ที่อยู่กับผู้อาวุโสขั้นแตกหน่อก็ไม่มีโอกาสชนะเพราะว่าเขาอยู่ที่ระดับสิบ ถ้าเขาแพ้ในการต่อสู้เมื่อนั้นสำนักเหิงยั่วจะพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
ฮวงหลงยิ้มขึ้นจางๆ “ก็ดี ดูเหมือนว่าสำนักเหิงยั่วจะไม่มีความหวังแล้ว รีบไปบอกท่านบรรพบุรุษทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าเฒ่าโอวหยางพูดมาให้ท่านตัดสินใจ ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ไม่มีหวังที่จะอยู่บนยอดเหิงยั่วต่อ”
โจวเผิงมองอย่างเยาะเย้ยไปที่ผู้คนรอบๆก่อนจะถามขึ้น “ใครจะเป็นรายต่อไป?”
เหล่าศิษย์ของเหิงยั่วกลายเป็นตกใจจนพูดไม่ออก ไม่มีใครกล้าพูดออกมาและทุกคนต่างก็ก้มหัวลงเมื่อโจวเผิงจ้องมอง เพราะไม่มีใครต้องการออกไปตาย
โจวเผิงหัวเราะเยาะ แม้ว่าเขาจะกวาดสายตาผ่านไปบนเหล่าศิษย์นั้น ก็พลันตกตะลึงที่สังเกตได้ว่ามีศิษย์ระดับสามคนหนึ่งที่ไม่กลัวการเพ่งมองของเขา
หวังหลินสงบนิ่งเมื่อมองไปยังโจวเผิง
โจวเผิงจ้องไปที่หวังหลินและถามขึ้นอย่างเยือกเย็น “อะไร? เจ้าต้องการขึ้นมาหรือ?”
คำพูดของโจวเผิงดึงดูดความสนใจของทุกคน เมื่อเขาเห็นได้ว่าโจวเผิงส่งคำพูดไปที่หวังหลิน ใบหน้าของทุกคนก็ฉายแววประหลาด
ฮวงหลงถอนหายใจ หวังหลินเพียงอยู่ระดับสามและปกติไม่เป็นที่สังเกตในหมู่ศิษย์แต่ตอนนี้แม้ระดับฝึกตนเขาจะต่ำเตี้ยขนาดไหน ความกล้าหาญของเขาถือว่าน่ายกย่อง
โจวเผิงเห็นว่าหวังหลินไม่ตอบสนอง จึงเยาะเย้ยขึ้น “ผ่านไปสี่การประลอง ยังมีเหลืออีกหนึ่ง สำนักเหิงยั่วเป็นสำนักใหญ่แต่กลับไม่มีใครกล้าขึ้นมา ข้าผิดหวังจริงๆ! ศิษย์สายในของพวกเจ้าไม่มีใครกล้าขนาดนี้เชียว?”
ผู้อาวุโสซิ่วที่ยืนอยู่ถัดจากฮวงหลงพูดขึ้น “ขอโทษด้วยน้องซุน หวังหลิน ออกไป!”
ซุนต้าซื่อตกตะลึงและตั้งสติได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดอย่างโกรธเคือง “ต้าวซิ่ว แม้ท่านจะเป็นพี่ใหญ่ของข้า ท่านก็อย่าทำให้ข้าอับอายเช่นนี้! ศิษย์ของข้าเพียงอยู่ระดับสาม! ให้เขาออกไปมีแต่ทำให้ข้าเสียหน้าเท่านั้น! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่! หัวหน้าศิษย์คนนี้แข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นท่านกลัวว่าศิษย์ของท่านจะพ่ายแพ้ อับอายขายหน้า ดังนั้นท่านจึงส่งศิษย์ของข้าให้เป็นแพะรับบาป ศิษย์ของข้าเป็นขยะในสำนักมาตลอดอยู่แล้ว ถึงแม้เขาจะแพ้ ท่านก็เพียงหาข้อแก้ตัว ข้าปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องน่าอายเช่นนี้”
ต้าวซิ่วขมวดคิ้ว เขารู้สิ่งที่คิดทั้งหมดแต่ซุนต้าซื่อไม่ไว้หน้าเขาและพูดสิ่งพวกนี้ด้านหน้าเหล่าสำนักซวนต้าว
เขาหัวเราะเย้ย พลันสายตามองไปจ้าวสำนักฮวงหลงและส่งข้อความบางอย่าง
ฮวงหลงถอนหายใจและพูดขึ้น “น้องซุน อย่าพูดเรื่องน่ารำคาญอีก หวังหลิน เจ้าเข้าไป!”
ซุนต้าซื่อสบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเคืองพลันมองไปบนฟ้าด้วยรอยยิ้มเสเแสร้งบนใบหน้า
หวังหลินคำนับด้วยสองมือและพูดด้วยความเคารพ “น้อมรับคำสั่ง!”
ด้วยคำพูดนั้นเขาสูดหายใจลึก จากนั้นเดินไปบนลานประลองอย่างเชื่องช้า
ศิษย์สำนักซวนต้าวทั้งหมดเยาะเย้ยเขาเสียงดัง
“สำนักเหิงยั่วหน้าไม่อาย ส่งขยะเพื่อจบการประลองกับศิษย์พี่”
“ศิษย์พี่ของเราไม่ต้องการจัดการกับขยะแบบนี้! ข้ายังสามารถฆ่าเขาด้วยมือข้างเดียว!”
“ศิษย์พี่ พวกมันยอมแพ้ไปแล้ว แค่ส่งใครสักคนมาประลองด้วย เขาช่างเป็นคนสุภาพ เรียบร้อยจริงๆ เป็นคนดีที่แค่ส่งเขาออกไปโดยไม่ต้องบาดเจ็บ”
ผู้อาวุโสโอวหยางออกไปยังสองอาวุโสและเผยแววตาดูถูก เขาหัวเราะและพูดขึ้น “ข้าได้รู้ธาตุแท้ของฮวงหลงและสำนักเหิงยั่วก็วันนี้นี่หละ!”
ใบหน้าฮวงหลงต่ำลงโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เขาโบกแขนเสื้อและจากไป เขาไม่มีความหวังในตัวหวังหลิน และเพียงแต่ส่งเขาไปเป็นเหยื่อในการประลองครั้งสุดท้าย การประลองนี้เขายอมรับว่าพ่ายแพ้เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนั้นแม้ว่าเขาจะแพ้ คำพูดที่เขาพูดก็กระจายเป็นวงกว้างซึ่งมันก็ดูไม่แย่นัก แต่ถ้าเขาเอาคนที่ไม่กล้าสู้ด้วยออกไป นั่นก็คงเป็นเรื่องน่าละอายยิ่งกว่า
ไม่มีศิษย์สายในคนอื่นกล้าออกไป ดังนั้นจึงเหลือแต่ส่งหวังหลิน
ด้านหลังเขา เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเหิงยั่วส่ายหัวและออกจากไป
แม้แต่ศิษย์สายในก็เริ่มเดินออกไป ไม่เต็มใจที่จะอยู่ต่อและเสียหน้ามากกว่านี้