532. สำนักหลอมวิญญาณแห่งใหม่
หวังหลินยืนอยู่นอกรอยร้าว ดวงตาส่องสว่างขึ้นและยื่นมือขวาออกไป “รวบรวม!”
หลังกล่าวเช่นนั้นจึงเกิดเสียงโกรธโหยหวนเป็นชุดออกมาจากภูติสวรรค์ ในเวลาเดียวกันลำแสงสีดำเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากรอยแยกและกระโจนใส่หวังหลิน
หวังหลินรีบถอยตัวกลับแต่แสงสีดำไล่ตามเขามาด้วย
หวังหลินพ่นลมหายใจเย็นพลันตบกระเป๋านำแส้ฟาดวิญญาณออกมา เขาสะบัดแส้ทำให้ภูติสวรรค์กรีดร้องอย่างเจ็บปวดและชะลอตัวลง
แส้ฟาดวิญญาณทำให้วิญญาณบาดเจ็บโดยเป็นการเฉพาะและภูติสวรรค์สวรรค์ไม่มีร่างจริง เป็นเพียงวิญญาณชั้นสูงเท่านั้น
ภูติสวรรค์ยิ่งดุร้ายมากขึ้นภายใต้ความเจ็บปวด มันตัดสินใจเมินความเจ็บปวดและพุ่งเข้าหาหวังหลินต่อไป ใบหน้ามันแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ควันสีเทาสองสายเคลื่อนผ่านร่างกายของมันราวกับเข็มและดูดพลังชีวิตจำนวนมากของมันอย่างต่อเนื่อง แต่ชั่วขณะนั้นเจ้าภูติสวรรค์ไม่สนใจอย่างอื่นและพุ่งใส่หวังหลินอย่างเดียว ทุกหนแห่งที่ภูติสวรรค์ผ่านไป ต้นไม้ใบหญ้าจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองดูประหลาดยิ่งนัก
หวังหลินดวงตาเย็นชา เขาหยุดถอยหลังและสะบัดแส้ฟาดวิญญาณ ด้วยการฟาดหลายชุด เจ้าภูติสวรรค์เริ่มกรีดร้องโหยหวนจนในที่สุดก็ทนกับความเจ็บปวดไม่ได้อีกต่อไปและหันตัวกลับเพื่อหลบหนี
หวังหลินรู้อยู่แล้วว่านี่เป็นตอนที่ภูติสวรรค์อ่อนแอที่สุด เมื่อมันหลบหนีและฟื้นฟูได้มันจะจัดการลำบากมาก หลังค้นคว้าความทรงจำของลั่วหยุนหวังหลินจึงทราบว่าภูติสวรรค์ตัวนี้ครั้งแรกต้องใช้เวลาเจ็ดวันและจากนั้นใช้อีก 49 วันเพื่อฟื้นฟูตนเอง
หวังหลินโยนแส้ฟาดวิญญาณออกไปโดยไม่ลังเลเลย แส้ฟาดวิญญาณพุ่งออกไปหาภูติสวรรค์ราวกับมังกรดุร้าย
ภูติสวรรค์ชั่วร้ายมาก เมื่อเห็นว่าหลบหนีไม่ได้มันจึงหันกลับมาและอ้าปากพ่นเพลิงสีเขียวออก เพลิงสีเขียวจำนวนมากปรากฎขึ้นและล้อมรอบแส้ฟาดวิญญาณจนกลายเป็นทะเลเพลิง
เพลิงสีเขียวนี้คือเพลิงชีวิตของภูติสวรรค์และยังเป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของมันด้วย ความเกลียดที่มันมีต่อหวังหลินยังน้อยนักเมื่อเทียบกับความเกลียดที่มันรู้สึกจากแส้ฟาดวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งที่มันเกลียดชังจริงๆ
ในสายตามัน แส้นี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นการเฉพาะเพื่อต่อกรกับเหล่าภูติสวรรค์ แม้มันจะตายมันก็ต้องทำลายแส้นี้ ในความทรงจำของมันได้ยินเรื่องสมบัติเช่นนี้อยู่ครั้งเดียว แต่สมบัติชิ้นนั้นหายไปนานแล้วและไม่ควรมีอยู่อีก
มันตัดสินใจว่ามันต้องทำลายสมบัติประหลาดที่ออกแบบมาเพื่อต่อกรกับเหล่าภูติสวรรค์ นั่นเป็นเหตุผลว่าแม้มันจะอ่อนแอมากมันก็ยังใช้เพลิงชีวิตของตนเอง
ในขณะที่พ่นเพลิงชีวิตออกไป สีหน้าหวังหลินเปลี่ยนไป เขารู้ความแข็งแกร่งของภูติสวรรค์เป็นอย่างดีและจึงเกิดการลังเล ทว่านี่เป็นภูติสวรรค์ที่อ่อนแอที่สุดที่เคยเป็นมาซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงอยากจับมัน
ชั่วขณะที่เขาเห็นเพลิง จิตใจหวังหลินสั่นเทา แม้เขาจะไม่ถูกมันโจมตีตรงๆ หวังหลินยังรู้สึกถึงพลังนั้นได้ แทนที่จะเผาผลาญร่างกาย เพลิงนี้เผาวิญญาณแทน
หวังหลินรู้สึกถึงความเจ็บปวดราวกับวิญญาณกำลังไหม้ในวิญญาณดั้งเดิมของตนเอง ตอนนี้เขาไม่มีเวลาพอให้เก็บแส้ฟาดวิญญาณกลับมา จึงรีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว
แต่ชั่วจังหวะนั้นเกิดเสียงแตกร้าวขึ้นจากแส้ฟาดวิญญาณ จากนั้นลำแสงสีทองเส้นหนึ่งออกมาจากแส้ แสงสีทองปรากฎเพียงครั้งเดียวในเสี้ยววินาทีและหายไปโดยไร้ร่องรอย
หนึ่งแสงกระพริบนั้นทำให้สายตาหวังหลินหรี่แคบ
หนึ่งแสงสีทองกระพริบทำให้เพลิงสีเขียวมอดดับทันที พวกมันไม่ได้ค่อยๆดับแต่กลับเหมือนมีมือยักษ์ทุบลงมาและทำให้พวกมันดับลงในทันที
หลังจากเพลิงดับลง ภูติสวรรค์เผยสีหน้าประหลาดใจราวกับไม่เชื่อสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้น มันกรีดร้องเสียงแหลมก่อนจะรีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
แต่มันสายเกินไป แสงสีทองไม่เพียงแต่ทำให้เพลิงดับลง มันยังทำให้ร่างภูติสวรรค์โปร่งแสงมากยิ่งขึ้น ภูติสวรรค์กรีดร้องอย่างหวาดกลัวขณะที่มันแตกสลายอย่างรวดเร็ว
หวังหลินเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าและยื่นมือออกเข้าหาแส้ฟาดวิญญาณ แส้ฟาดวิญญาณสั่นเทาก่อนจะลอยกลับเข้าไปในมือหวังหลิน
เมื่อถือแส้เอาไว้ หวังหลินถอนหายใจอย่างโล่งอก แสงสีทองจากแส้ก่อนหน้านี้มันประหลาดเกินไป
เขามองภูติสวรรค์อีกครั้ง หากไม่ใช่ว่าหวังหลินรีบคว้าแส้อย่างรวดเร็ว เจ้าภูติตนนี้คงตายไปแล้ว แม้แต่ตอนนี้มันกำลังสูญสลายและร่างกายค่อยๆเลือนหายไป
หวังหลินตบกระเป๋านำธงวิญญาณออกมา เพียงสะบัดหนึ่งครั้งเขาก็จับภูติสวรรค์ไว้ได้ และเนื่องจากสภาพแวดล้อมอันพิเศษข้างในธง เจ้าภูติสวรรค์จึงหยุดการแตกสลาย
หลังทำเช่นนี้ หวังหลินมองแส้ฟาดวิญญาณอย่างละเอียด มีบางสิ่งเปลี่ยนไปหลังถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงเขียว ตอนนี้มีเศษหนังบางส่วนขดขึ้นและแข็งมาก
ขณะที่กำลังตรวจสอบ หวังหลินพลันเกิดความรู้สึกประหลาด หลังถูกเพลิงเผาไหมมันดูเหมือนงูกำลังลอกคราบ เพียงแต่มันพึ่งเริ่มและยังไม่เสร็จสมบูรณ์
หลังจากนั้นไม่นานนักหวังหลินเก็บแส้กลับไป เขามองออกไปไกลและเมื่อแน่ใจทิศทางแล้วจึงพุ่งตัวออกไป
สามวันต่อมาหวังหลินเห็นหุบเขาห่างออกไปไกล ตอนนี้ค่ายกลรอบหุบเขากำลังปลดปล่อยแรงกดดันแข็งแกร่ง
หวังหลินคุ้นเคยกับแรงกดดันนี้มาก มันออกมาจากธงกฎเกณฑ์!
ตอนที่หวังหลินจากไปเขานำธงกฎเกณฑ์ออกมาด้วย เมื่อมีธงกฎเกณฑ์ช่วยเหลือค่ายกล ผู้คนในหุบเขาจึงปลอดภัยจากคลื่นพลังปราณปิศาจ
หวังหลินมาถึงนอกหุบเขาอย่างรวดเร็ว ด้วยหนึ่งก้าวที่เดินผ่านค่ายกล หวังหลินได้ทำลายค่ายกลอีกครั้งเรียบร้อยและเมื่อมีธงกฎเกณฑ์อยู่ภายใน จึงกล่าวได้ว่าหวังหลินสามารถทำให้มันก่อตัวใหม่ได้อีก
ขณะที่เขาปรากฎตัวในหุบเขา หวังหลินเห็นผู้คนที่อาศัยอยู่ข้างใน พวกเขากำลังฟังสิ่งที่โฮวหยางฮัวพูดอยู่ตรงกลางหุบเขา
โอวหยางฮัวเห็นหวังหลินอย่างรวดเร็วและเผยใบหน้ายินดี เขาเดินผ่านผู้คนทั้งหมดและคำนับให้หวังหลินที่ห่างออกไป “ยินดีต้อนรับกลับมาท่านเทพสูงสุด!”
ไม่มีแววดูหมิ่นในตัวเขาเลย เขาเห็นหวังหลินจากไปพร้อมกับคนต่างถิ่นอีกคนและตอนนี้หวังหลินกลับมาด้วยตัวเอง นั่นหมายความสิ่งเดียวเท่านั้น หวังหลินสังหารอีกฝ่ายไปแล้ว!
ในสายตาของโอวหยางฮัว เมื่อคนนอกสองคนมาเจอกัน พวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเท่านั้น
“ส่วนลึกที่สุดของหุบเขาเป็นพื้นที่ต้องห้าม อย่าเข้าไปที่นั่น!” หลังจากหวังหลินทิ้งคำพูดไว้ เขาหายตัวไปจากสายตาทุกคนและเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา
โอวหยางฮัวเผยแววยินดี การมีท่านเทพสูงสุดประจำการอยู่ที่นี่มั่นใจได้ว่าปลอดภัย! รวมไปถึงมันยังทำให้การขยับขยายได้ง่ายมาก!
เมื่อคิดเรื่องนี้โอวหยางฮัวจึงเผยใบหน้าคลั่งไคล้ออกมา เขาหันกลับไปมองชาวบ้านและตะโกน “ไม่มีใครอนุญาตให้เข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา! พวกเจ้าทั้งหมดจงดูแลเด็กๆให้ดี อย่าฝ่าฝืนกฎของเผ่า!”
ชาวบ้านรอบๆพยักหน้ากันทั้งหมดแต่มีบางส่วนไม่พอใจ หนึ่งในนั้นพึมพำขึ้นมา “ทำไมเราไปไม่ได้? นั่นเป็นที่แห่งเดียวที่เย็นในหุบเขานี้”
โอวหยางฮัวจ้องเขาและตะโกน “นี่คือกฎของเผ่า! จากวันนี้ต่อไปกฎนี้จะเพิ่มเข้ามา ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนจะถูกเตะออกไปให้ดูแลตัวเอง!”
เช่นนั้นทุกคนที่อยู่ตรงข้ามก็เงียบสนิทและไม่มีใครกล้าพูดอะไรเรื่องนี้อีก
รู้สึกได้ว่าคำพูดเขารุนแรงไปหน่อย โอวหยางฮัวกระแอมและเอ่ยขึ้น “หุบเขาแห่งนี้เล็กเกินไป เราควรเคลื่อนไหว…ครอบครัวเจ้าควรมีหญิงมากขึ้น…เผ่าของเราน่าจะใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย…”
ชาวบ้านรอบๆดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงและเผยอาการบ้าคลั่งออกมา หนึ่งในนั้นก้าวออกมาข้างหน้าและเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส เราจะเข้าสู่สงครามหรือ?”
โอวหยางฮัวพยักหน้าไร้ความปราณี
หวังหลินกำลังนั่งสมาธิในส่วนลึกของหุบเขา เหตุผลที่หวังหลินตัดสินใจพักอยู่ที่นี่เพราะเขามีแผนอื่น การอาศัยอยู่ในดินแดนวิญญาณปิศาจ เขาจำเป็นต้องมีที่ตั้งหลัก ความแข็งแกร่งและได้รับประโยชน์ของกองทัพ
เขาต้องไปเมืองปิศาจโบราณ แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นได้เขาต้องทำการเตรียมการบางอย่าง
มีความยากประมาณหนึ่งในการตั้งหลักในเมืองปิศาจโบราณ อีกทั้งจากความทรงจำของลั่วหยุน คฤหาสน์ของแม่ทัพปีกซ้ายมีคนเก่งๆหลายคน พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นลูกหลานดั้งเดิมของที่นี่ ระดับบ่มเพาะมุ่งเน้นไปที่พลังปราณปิศาจและรวมไปถึงวิชาของตนเอง
แม้ว่าหวังหลินไม่เคยเจอใครที่ใช้พลังปราณปิศาจ ลั่วหยุนเจอพวกเขามาแล้วและบรรพชนของลั่วหยุนมีความสัมพันธ์กับผู้คนพวกนั้นในช่วงเวลายาวนาน
หากเป็นก่อนที่จะค้นในความทรงจำของลั่วหยุน หวังหลินคงไปที่เมืองปิศาจโบราณโดยไม่ลังเล แต่ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่
“แทนที่จะไปเมืองปิศาจโบราณเพื่อเข้าร่วมกองกำลังของแม่ทัพปีกซ้าย ข้าอยากอยู่ที่นี่และสั่งสอนคนที่อาศัยอยู่ที่นี่เพื่อให้ฟังคำสั่งของข้า ข้าจะสอนวิชาให้พวกเขาตั้งแต่ตอนนี้ ข้าจะมีกองกำลังที่เป็นของข้าเอง”
หวังหลินเผยใบหน้าขบคิดจากนั้นเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่น
“ผู้คนที่ประสบผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่จะไม่กังวลเรื่องเล็กน้อย ข้าจะสอนวิชาธงวิญญาณให้พวกเขา วิชานี้ใช้ง่ายและใช้สังหารได้ดีเยี่ยม ยิ่งสังหารมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรวบรวมวิญญาณได้มากและความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”
“ข้าสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อดูว่าสามารถซ่อมแซมธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงได้หรือไม่ หากข้าสามารถซ่อมมันได้ ข้าคงไม่ต้องเกรงกลัวพวกเซียนขั้นเทวะ ข้ามั่นใจว่าจะกลายเป็นสิบคนชั้นยอดของทั้งหมดที่เข้ามาที่นี่!”
“มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นที่ข้าจะมีโอกาสได้รับวิญญาณปิศาจโบราณในตอนท้าย!”
เมื่อคิดเช่นนี้ หวังหลินสูดหายใจลึกและจับกระเป๋า หินหยกสองชิ้นปรากฎในฝ่ามือ เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและทิ้งบทร่ายบางส่วนไว้ข้างใน
สำนักหลอมวิญญาณมีอยู่สามวิชานั่นคือ หลอมวิญญาณ แยกวิญญาณ และผนึกวิญญาณ!
ผนึกวิญญาณคือสิ่งที่ศิษย์ของสำนักที่แท้จริงเท่านั้นที่จะเรียนรู้ได้ ความจริงแล้ววิชาผนึกวิญญาณถูกสร้างขึ้นสำหรับธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงให้สามารถควบคุมมันได้
ส่วนการหลอมวิญญาณและแยกวิญญาณ ทั้งสองเป็นวิชาพื้นฐานของสำนักหลอมวิญญาณ
นอกจากการเรียนรู้สองวิชานี้ การสร้างธงวิญญาณของตนเองขึ้นมาถือว่าเป็นส่วนสำคัญของการเป็นศิษย์สำนักหลอมวิญญาณ มีเพียงหลังจากหลอมธงวิญญาณได้เท่านั้นจึงจะนับว่าเป็นศิษย์ที่แท้จริง
วิชาหลอมวิญญาณคือการหลอมวิญญาณที่คงอยู่ ส่วนวิชาแยกวิญญาณคือการแยกวิญญาณออกมาจากคนที่มีชีวิต
หวังหลินเพียงแค่ทิ้งคำร่ายระดับต้นของวิชาหลอมวิญญาณและแยกวิญญาณไว้ในหินหยก จากนั้นเขาขบคิดเล็กน้อยและทิ้งคำแนะนำเบื้องต้นในการสร้างธงวิญญาณไว้ให้ การใช้วิธีนี้ในการสร้างธงวิญญาณจะเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงที่มีเพียงหวังหลินเท่านั้นที่รู้
กล่าวได้ว่าด้วยข้อผิดพลาดนี้ เขาไม่ต้องปรับแต่งธงวิญญาณของคนที่ต้องการควบคุมเสมือนกับว่ามันเป็นของเขาเอง
หวังหลินเป็นคนระมัดระวังตัว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่สอนคนอื่นโดยไม่มีเงื่อนไข