533. ผลึกพลังปราณปิศาจ
หลังเสร็จเรื่องกับหินหยก สัมผัสวิญญาณหวังหลินกระจายออกมาปกคลุมทั้งหุบเขา ชาวบ้านทุกคนในหุบเขาไม่รับรู้การสังเกตการณ์ของหวังหลิน เขาพบว่าส่วนใหญ่ทุกคนมีพรสวรรค์ดีเยี่ยม ร่างกายแข็งแกร่งมากกว่าตอนที่เขาเริ่มฝึกฝน
ขณะที่รู้สึกเศร้า หวังหลินก็รู้สึกมีความสุขด้วย แม้จะไม่มีพลังปราณมากมายที่นี่แต่มันมีพลังปราณปิศาจอยู่ การใช้พลังปราณปิศาจเพื่อฝึกฝนธงวิญญาณอาจจะได้รับประโยชน์บางอย่างเสียอีก
ด้วยความคิดนี้ในใจ สัมผัสวิญญาณของหวังหลินจึงพบโอวหยางฮัวที่กำลังวางแผนโจมตีชาวบ้านคนอื่นๆและกำลังหาสถานที่อยู่อาศัยที่ดีพอ
หลังจากส่งข้อความเข้าสู่โสตประสาทของโอวหยางฮัว หวังหลินจึงถอนสัมผัสวิญญาณออกมา
หลังจากนั้นไม่นานนัก โอวหยางหัวรีบวิ่งมาหาหวังหลินด้วยใบหน้าเคารพยิ่ง ตอนที่เขากำลังขบคิดก่อนหน้านี้เขาพลันได้ยินเสียงของหวังหลิน เขาตะลึงงันไปชั่วขณะและจึงรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
หวังหลินโยนหินหยกสองชิ้นให้โอวหยางฮัว
โอวหยางฮัวตกตะลึง เขาตรวจสอบหินหยกทั้งสองอย่างละเอียดจากนั้นเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “ท่านเทพสูงสุด หรือว่านี่จะเป็นหยกปิศาจ?”
“หยกปิศาจ…เยี่ยมมาก!” หวังหลินค้นผ่านความทรงจำของลั่วหยุนและพบว่าบรรพชนของเขามีบันทึกคำว่า ‘หยกปิศาจ’ เอาไว้
โอวหยางฮัวถือหินหยกและสูดหายใจลึก หลังจากมองมันอยู่นาน ใบหน้าแก่ชราของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เขากระซิบอย่างละอายเล็กน้อย “ท่านเทพสูงสุด ข้ารู้เพียงแค่ว่าสิ่งนี้บันทึกบางอย่างไว้เท่านั้น ข้าไม่รู้วิธีการอ่านมัน…”
“กดมันเข้ากับหน้าผากของเจ้าและจินตนาการว่าเจ้ากำลังมองข้างในมัน หากจิตของเจ้ามั่นคงเจ้าก็จะอ่านมันได้ หากไม่ได้ก็ลองมันอีกสองสามครั้ง!” เช่นนั้นหวังหลินจึงหลับตาลง
โอวหยางฮัวสูดหายใจลึกและนั่งสมาธิลงพร้อมกับกดหินหยกเข้ากับหน้าผากเพื่อพยายามจินตนาการว่ากำลังมองมัน หลังจากนั้นชั่วครู่เขาเผยรอยยิ้มขมขื่น ไม่ว่าเขาพยายามจินตนาการแค่ไหนก็ไม่อาจมองเห็นข้างในได้
แม้หวังหลินจะหลับตา เขายังมองโอวหยางฮัวอย่างลับๆ
คนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสของหุบเขาเพราะตอนที่เขาเคยเข้าไปในเมืองปิศาจโบราณเพื่อศึกษาหาความรู้ เขาถูกพบว่ามีระดับพลังปราณปิศาจอยู่ที่ระดับหนึ่ง แม้จะไม่เพียงพอให้อาศัยอยู่ในเมือง สถานะของเขาในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นมหาศาล
หวังหลินสามารถเห็นรัศมีราวกับผ้าไหมบางๆค่อยๆเคลื่อนไหวในตันเถียนของโอวหยางฮัวอย่างชัดเจน ทว่าเส้นโลหิตของเขาทั้งหมดถูกขวางกั้น ไม่เพียงแต่การโคจรเสี้ยวรัศมีจะเชื่องช้าเท่านั้น ระยะการเคลื่อนไหวยังถูกจำกัดด้วย
แม้กระนั้นรัศมีนี้ยังสามารถเร่งกระตุ้นค่ายกลรอบหุบเขาได้ เขาสามารถควบคุมค่ายกลและกระทั่งสร้างร่างปลอมๆขึ้นมาได้
หนึ่งชั่วโมงต่อมา โอวหยางฮัวอดไม่ได้ที่จะยอมแพ้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่นขณะส่ายศีรษะอย่างเงียบๆ
หวังหลินลืมตาขึ้นและส่องสว่าง จากนั้นโบกแขนพลันทำให้โอวหยางฮัวลอยเข้าหาหวังหลินจนส่งเสียงอุทานออกมา หวังหลินถือสองนิ้วขึ้นและชี้ไปที่ตันเถียนของโอวหยางฮัวทันที
เพียงหนึ่งจุด โอวหยางฮัวร้องคร่ำครวญออกมาทันที เกิดความเจ็บปวดบาดลึกออกมาจากตันเถียนและเม็ดเหงื่อก้อนใหญ่จากหน้าผากตกลงพื้น
แม้ว่ามันจะเจ็บปวด เขากัดฟันแน่น เขารู้ว่าหากหวังหลินต้องการฆ่าเขาก็คงไม่ต้องทำเรื่องทั้งหมดนี้ หากหวังหลินทำเช่นนี้นั่นคือการช่วยเหลือเขาจริงๆ
คนอายุแบบเขาปกติแล้วควรจะติดอยู่ที่ระดับหนึ่งตลอดกาล และเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับพลังปราณปิศาจเพิ่มอีกต่อไป ทว่าเขามีความรู้สึกว่าหากคว้าโอกาสนี้ไว้ การทะลวงผ่านจะไม่ยาวนานเพียงแค่ฝันไป
นิ้วที่หวังหลินชี้ตันเถียนของโอวหยางฮัวค่อยๆเลื่อนขึ้นช้าๆ ทุกครั้งที่เขาเลื่อนขึ้นครึ่งนิ้ว ความเจ็บปวดที่โอวหยางฮัวสัมผัสจะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า เม็ดเหงื่อจากหน้าผากเขาหล่นลงราวกับเม็ดฝน ทั้งร่างสั่นเทารุนแรงและใบหน้าซีดเผือดอย่างที่สุด
ใบหน้าหวังหลินยังคงปกติดี หลังจากยกนิ้วขึ้นไปได้สามนิ้ว เขามองโอวหยางฮัวอย่างเย็นชาและเอ่ยออกมา “อดทนไว้!”
เช่นนั้นมือซ้ายพลันชูขึ้นจากจุดห่างสามนิ้วขึ้นไปบนหน้าผากโอวหยางฮัว
เสียงคำรามโหยหวนออกมาจากปากโอวหยางฮัวและเกิดเสียงดังกึกก้องไปทั้งหุบเขา
สายตาโอวหยางฮัวเหลือบลงขณะที่ฟุบลงกับพื้นและแน่นิ่งไป
หวังหลินไม่ได้มองเขาแต่นั่งอยู่ที่เดิมต่อไป ชาวบ้านทั้งหมดได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของโอวหยางฮัวแต่ไม่มีใครกล้าออกมาตรวจสอบ กฎของเผ่าเหมือนกระบี่จ่อเหนือศีรษะ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าแหกกฎ
หลายชั่วโมงต่อมา โอวหยางฮัวค่อยๆลืมตาขึ้น ชั่วขณะที่เขารู้สึกตัวนั้นจึงพลันตกตะลึงโดยสิ้นเชิง โลกทั้งใบดูแตกต่างสำหรับเขาโดยทันที ดอกไม้ยังคงเป็นดอกไม้ ต้นหญ้ายังคงเป็นต้นหญ้าและกำแพงยังคงแข็งมาตลอด แต่ในสายตาเขา ทุกอย่างแตกต่างกันโดยสิ้น
ความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่ดังก้องในหูโอวหยางฮัว เขาอดไม่ได้ที่จะมีหยดน้ำตาไหลรินออกมาสองฝั่ง เขาไม่จำเป็นต้องตรวจสอบว่าบรรลุสองดาวหรือไม่ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เขาคุกเข่าด้านหน้าหวังหลินและโขกลงสามครั้ง
“ขอบคุณท่านมาก ท่านเทพสูงสุด!”
แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรมากเนื่องจากความตื่นเต้นและความตกใจในคำพูดนี้จนไม่อาจอธิบายได้
หวังหลินพยักหน้า “ตรวจสอบดูว่าเจ้าเห็นข้างในหยกปิศาจได้ไหม”
โอวหยางฮัวรีบหยิบหินหยกวางบนหน้าผากตนเองและเริ่มจินตนาการ บทร่ายในหินหยกประทับเข้าไปในความทรงจำของเขาอย่างรวดเร็ว
ร่างโอวหยางฮัวสั่นเทาขณะสูดหายใจลึกระงับความตื่นเต้นในใจ “ผู้น้อยเห็นมันแล้ว” เขาเปลี่ยนวิธีเรียกตัวเองโดยไม่รู้ตัว
หวังหลินพยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาใช้ดัชนีเพื่อเปิดเส้นชีพจรให้กับโอวหยางฮัวด้วยกำลัง วิธีนี้โหดร้ายเกินไปและมีผลต่อความสามารถในอนาคต แต่มันก็เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเพิ่มระดับฝึกตนของเขาเช่นกัน
หวังหลินมองโอวหยางฮัว “บทร่ายนี้เรียกกันว่า ‘หลอมวิญญาณ’ จงฟังให้ดีเพราะข้าจะอธิบายมันให้เจ้าครั้งเดียว เมื่อเจ้าเรียนมันแล้วเจ้าจะสอนมันให้กับชาวบ้านที่นี่”
ความตื่นเต้นของโอวหยางฮัววันนี้เหมือนกับคลื่นทรงพลังกระทบต่อกันมาอีกคลื่น
การเพิ่มระดับบ่มเพาะของตนเองทำให้เขาตื่นเต้นมากแล้ว หลังจากเห็นบทร่ายข้างในหินหยกจึงอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นรัว เขาเดาในใจเพราะไม่เชื่อว่าเป็นความจริง เนื่องจากวิชาต่างๆเป็นสิ่งหายากมากในดินแดินวิญญาณปิศาจ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่คนธรรมดาจะได้รับพวกมัน
โอวหยางฮัวสูดหายใจลึกและถามอย่างไม่เชื่อ “ท่านเทพสูงสุด…ท่านเทพสูงสุด หมายความว่าท่านจะสอนวิชานี้ให้ข้างั้นหรือ?”
ท่าทางของหวังหลินยังคงเหมือนเดิมพลางพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่แค่เจ้า ข้าจะสอนมันให้กับชาวบ้านทั้งหมดที่นี่”
ร่างโอวหยางฮัวสั่นเทาพลันโค้งคำนับอย่างเคารพ “ข้าโอวหยางฮัวจะไม่มีวันลืมสิ่งที่ท่านเทพสูงสุดกระทำไว้!” คำพูดนี้ออกมาจากใจและเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
กล่าวได้ว่าสิ่งที่เหมือนวิชาพวกนี้ถูกควบคุมด้วยคนจำนวนน้อยมาก ด้วยความสามารถของโอวหยางฮัว เขาไม่เคยมีโอกาสจะเรียนรู้สักวิชา ไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านทั้งหมดเลย
หวังหลินชี้ให้เห็นจุดสำคัญของการฝึกวิชานี้ โอวหยางฮัวฟังอย่างตั้งใจเหมือนนักเรียนดีเด่นและความกตัญญูต่อหวังหลินยิ่งมากขึ้น
หลังจากหวังหลินพูดจบ โอวหยางฮัวทำพิธีเคารพเหมือนเป็นศิษย์และจากไป
การกระทำของโอวหยางฮัวทำให้หวังหลินรู้สึกตกใจเล็กน้อย ทว่าเขาพึ่งสอนการฝึกฝนให้ไป ดังนั้นที่โอวหยางฮัวทำพิธีเช่นนี้จึงไม่ผิด
เวลาค่อยๆผ่านไปและในพริบตาเดียวสามเดือนก็ผ่านไปแล้ว
โอวหยางฮัวเป็นคนขยันมาก เขาใช้เวลาทั้งหมดของตนเองฝึกฝนและเรียนรู้วิชาหลอมวิญญาณ เขาระงับแผนการโจมตีหมู่บ้านอื่นและมุ่งเน้นการฝึกฝนวิชานี้อย่างเดียว
พรสวรรค์ของเขาเยี่ยมมากอยู่แล้วและด้วยวิชาสำนักหลอมวิญญาณเรียนรู้ง่ายแต่ยากจะเชี่ยวชาญ ดังนั้นหลังจากผ่านไปสามเดือนเขาจึงมีความคืบหน้าอยู่บ้าง
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่ชายหนุ่มในหมู่บ้านต่างก็ฝึกฝนภายใต้คำสั่งสอนของโอวหยางฮัว แต่ละคนบรรลุผลสำเร็จแตกต่างกัน
หวังหลินใช้เวลาสามเดือนทั้งหมดนี้เพื่อศึกษาผลึกปิศาจ ในช่วงเวลาสามเดือนเขาสามารถรวมสองผลึกให้กลายเป็นหนึ่งได้แล้ว
ผลึกปิศาจนี้บรรจุพลังปราณปิศาจอันทรงพลังเอาไว้ และรอบๆมันมีหนวดหลายเส้นกำลังเคลื่อนไหรอบๆด้วยทิศทางประหลาด
“ผลึกปิศาจระดับสาม…” ดวงตาหวังหลินสว่างวาบขึ้นพลันอ้าปากและกลืนผลึกเข้าไป ผลึกลงเข้าสู่ตันเถียนของเขาจากนั้นเกิดคลื่นพลังปราณปิศาจออกมาจากผลึกและกระจายไปทั่วร่างกาย
หลังจากยอมให้ปราณปิศาจโคจรผ่านร่างกายไปหนึ่งสัปดาห์ กลิ่นอายของหวังหลินก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เขาไม่มีสัมผัสของเทพอีกต่อไปแล้วแต่กลับปกคลุมด้วยพลังปราณปิศาจและดูแปลกประหลาด กระทั่งใบหน้ากลับดูชั่วร้ายยิ่งขึ้น ดวงตาเขาทำให้จิตใจใครต่อใครสั่นเทาเพียงแค่มองมา
นี่คือเนตรปิศาจหนึ่งคู่! สายตาวงรีแหลมคมทำให้จิตใจผู้คนสั่นสะท้าน
หวังหลินยกมือขวาขึ้นกอดอกและขมวดคิ้ว
“ร่างกายข้าเต็มไปด้วยพลังปราณปิศาจแต่น่าเสียดายมันยังไม่พอ แม้จะใช้ทั้งหมดนี้ข้าก็ได้พอๆกับขั้นพื้นฐานลมปราณเท่านั้น…”
เพียงแค่คิด พลังปราณปิศาจทั้งหมดในร่างได้ถอนกลายเป็นผลึกปิศาจและไม่มีเสี้ยวพลังปล่อยออกมา
เมื่อพลังปราณปิศาจถูกถอน พลังปราณสวรรค์เคลื่อนไหวผ่านร่างกายอย่างรวดเร็วทำให้เขาเกิดความรู้สึกราวกับเป็นเทพอีกครั้ง
“พลังปราณปิศาจน่าสนใจ!” ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง
ในสามเดือนนี้เขาเดินออกไปจากหุบเขาสามครั้งและสอนคนที่ฝึกฝนวิชาหลอมวิญญาณในแต่ละครั้ง
ผู้คนในหุบเขาทั้งหมดรู้ว่าวิชานี้มาจากหวังหลินและเป็นหวังหลินที่ให้โอกาสพวกเขาเรียนรู้วิชา ความกลัวและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับหวังหลินทั้งหมดหายไปโดยสิ้นเชิง ถูกแทนที่ด้วยความเคารพและความกตัญญู
ทั้งสามครั้งที่หวังหลินออกมา ชาวบ้านทุกคนที่เห็นเขาต่างก้มให้และทักทายเขาไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่
ในหมู่คนที่ฝึกฝนวิชาหลอมวิญญาณ นอกจากโอวหยางฮัวที่มีความก้าวหน้ารวดเร็วแล้วยังมีอีกคนที่ทำให้หวังหลินสนใจ
เขาคือชายหนุ่มที่หวังหลินติดตามมาจนเจอหุบเขาแห่งนี้!
ชายหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์อย่างมากในการฝึกฝนวิชาหลอมวิญญาณ ในเวลาสั้นๆเพียงแค่สามเดือนเขาก็บรรลุระดับสามไปแล้วซึ่งสามารถสร้างวิญญาณของตนเองได้