539. ขยายอาณาเขต
คนทั้งหมดจากเขตดินแดนห้าลี้ถูกดูดเข้าไปในเผ่าข้างในหุบเขา แม้กระทั่งชายชราชุดเทาก็ยอมรับและไม่ได้มีความคิดต่อต้านอันใด
มีผู้คนเริ่มเรียนรู้วิชาหลอมวิญญาณมากขึ้นและชายชราชุดเทาก็ต่างสนใจมาก
ขนาดของเผ่าพันธ์เพิ่มขึ้นมหาศาล เพิ่มเติมกับคนที่พึ่งถูกจับมาแล้วจำนวนของบุรุษในเผ่าเพิ่มขึ้นจนมีมากกว่าห้าร้อยคน ถือได้ว่าเป็นเผ่าขนาดกลางในแถบพื้นที่รอบๆ
เมื่อมีผู้คนรวมตัวกันมากมายในจุดเดียวจึงกลายเป็นว่าข้างในแคบลงถนัดตา ดังนั้นหวังหลินจึงวางค่ายกลใหม่ลงไป ค่ายกลนี้มีกฎเกณฑ์เป็นพื้นฐานและรวมพลังของหุบเขากับค่ายกลห้าลี้เข้าไปด้วย
ค่ายกลป้องกันพื้นที่อันใหม่นี้มีรัศมีสิบลี้และจึงแก้ไขปัญหาพื้นที่ได้อย่างลงตัว
เผ่าใหม่ทุกแห่งจำเป็นต้องมีชื่อ หลังจากถูกโอวหยางฮัวถามอยู่หลายครั้ง หวังหลินตั้งชื่อมันว่าเผ่าหลอมวิญญาณ
ใจกลางของพื้นที่รัศมีสิบลี้แห่งนี้คือหุบเขา ทุกคนถูกย้ายออกไปนอกหุบเขาและหุบเขากลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่มีเพียงหวังหลินเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้เว้นแต่จะถูกหวังหลินเรียก
นอกไปจากนี้ยังมีสมาชิกของเผ่าหลอมวิญญาณยืนอยู่ทางเข้าเหมือนกับผู้คุ้มกัน
หุบเขาแห่งนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจสูงสุดในเผ่า หวังหลินผู้ซึ่งอาศัยอยู่ข้างในเป็นคนที่ทุกคนในเผ่าหลอมวิญญาณให้การเคารพนับถือ
กฎของหวังหลินยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังมีสามวิธีเหมือนเดิมที่จะได้รับบทร่ายระดับที่สูงขึ้น
ทุกคนในเผ่าหลอมวิญญาณใช้เวลาทั้งหมดเพื่อฝึกฝน นอกจากคนลาดตระเวนแล้วคนส่วนใหญ่ไม่มีใครออกไปข้างนอกเพราะทุกคนฝึกฝนอยู่แต่ในบ้านของตนเอง
เผ่าหลอมวิญญาณแตกต่างจากเผ่าทั้งหมดในดินแดนวิญญาณปิศาจโดยสิ้นเชิง มันดูคล้ายกับสำนักเซียนเกิดใหม่อย่างแท้จริง
ชีวิตของหวังหลินสงบสุขอย่างมาก เขาเป็นคนเดียวที่อาศัยอยู่ข้างในหุบเขา บ้านทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ถูกหวังหลินลบล้างไป ตอนนี้สถานที่เกือบคล้ายคลึงกับดินแดนสวรรค์
ในพื้นที่คล้ายดินแดนสวรรค์นี้ หวังหลินสร้างบ้านไม้ขึ้นมาเป็นการส่วนตัว บ้านไม้หลังนี้เงียบง่ายมากแต่มีเต๋าอันยิ่งใหญ่ภายในความเงียบง่ายแบบนี้ หากเซียนคนใดผ่านไปพวกเขาจะสังเกตได้ว่าแม้ไม้แต่ละแผ่นจะแตกต่างกันแต่น้ำหนักแต่ละชิ้นไม่ต่างกันเลย
บ้านไม้หลักนี้คือที่ที่หวังหลินอยู่อาศัย เขานั่งข้างในบ้านด้วยท่านั่งดอกบัวและฝึกฝนอย่างเงียบๆ
สิ่งที่เขาดูดซับไม่ใช่พลังปราณสวรรค์แต่เป็นพลังปราณปิศาจ!
เวลาค่อยๆผ่านไปและในพริบตาเดียวฤดูหนาวก็เข้ามา ฤดูหนาวของที่นี่ไม่แตกต่างจากข้างนอก เกล็ดหิมะสีขาวหล่นจากท้องฟ้าและทั้งโลกกลายขาวโพลน
หวังหลินลืมตาขึ้นจากการฝึกฝน เมื่อเขาเดินออกมาจากบ้านไม้เขาเห็นหิมะที่กำลังตกลงจากท้องฟ้า พลันมองหิมะอย่างเงียบงันและจมอยู่กับความคิด
หลังจากนั้นไม่นานหวังหลินเงยศีรษะขึ้นและพึมพำกับตนเอง “ตอนนี้ก็สองปีแล้ว…”
เขาอยู่ในดินแดนวิญญาณปิศาจเกือบสองปี เมื่อฤดูหนาวผ่านไปมันจะกลายเป็นเวลาสองปีจริงๆ
เขายกมือขวาขึ้นและวางรับเกล็ดหิมะ ขณะที่เกล็ดหิมะร่อนลงบนมือพลันเกิดความหนาวเย็นจากหิมะก่อนที่มันละลายในมือและมีเศษเสี้ยวพลังปราณปิศาจในฝ่ามือเขาส่วนหนึ่ง
“ทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนวิญญาณปิศาจบรรจุพลังปราณปิศาจ…” หวังหลินสูดหายใจลึกก่อนจะนั่งลงหลับตา
เกล็ดหิมะค่อยๆหล่นลงบนร่างเขา จำนวนหิมะที่กำลังหล่นลงมาค่อยๆเพิ่มขึ้นและหลายชั่วโมงถัดไปหวังหลินเปลี่ยกลายเป็นมนุษย์หิมะไปแล้ว
เขาไม่ได้เคลื่อนไหวเลยขณะดูดซับพลังปราณปิศาจข้างในเกล็ดหิมะไปด้วย ผลึกในร่างกายเขาเพิ่มพูนขึ้นจากระดับ 5 ไปเป็นระดับ 34!
ยิ่งระดับสูงก็ยิ่งยากขึ้นตามลำดับ ระดับสามเทียบเท่ากับขั้นพื้นฐานลมปราณ และสิบเท่าขึ้นมาคือขั้นแกนลมปราณ และระดับถัดไปเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า
เหตุผลที่หวังหลินตัดสินใจดูดซับพลังปราณปิศาจเป็นเพราะมันสามารถรวมเข้ากับพลังปราณสวรรค์ได้ซึ่งหมายความว่ามันสามารถเพิ่มพูนพลังปราณสวรรค์ได้เช่นกัน
แม้เขาจะมีหยกสวรรค์ที่ทรงคุณค่าหลายร้อยปุ ของเหล่านี้แทบเพียงพอให้เขาก้าวเข้าสู่ระดับปลายได้เท่านั้น และจำนวนที่จะใช้เพื่อขึ้นสู่ขั้นเทวะถือได้ว่าเหนือจินตนาการ
ดังนั้นหากเขาต้องการยกระดับการบ่มเพาะของตนเอง เขาคงต้องหาวิธีลัดอื่น การเปลี่ยนพลังปราณปิศาจไปเป็นพลังปราณสวรรค์คือหนึ่งในวิธีที่หวังหลินคิดออก
หากหวังหลินคิดได้เช่นนี้ คนอื่นๆก็คงคิดได้แบบเดียวกัน ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครที่สามารถดูดซับพลังปราณปิศาจได้มากกว่า
ในสายตาหวังหลิน พลังปราณปิศาจคือทางเลือกของหินหยกสวรรค์เพราะมันสามารถช่วยเพิ่มระดับบ่มเพาะของเขาได้!
ในเวลาสองปีนี้เผ่าหลอมวิญญาณเติบโตขึ้นต่อไป ยิ่งจำเป็นต้องการบทร่ายระดับสูงขึ้นก็ยิ่งมีคนออกหุบเขาเพื่อฝึกฝนตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ทุกเดือนจะมีกลุ่มที่กลับมาจากการไปโจมตีเผ่าเล็กๆ พวกเขากลับมาพร้อมกับเชลยและผลึกปิศาจำนวนมากมาย
มีการกล่าวถึงกันว่าค่ายกลที่เคยใช้ต่อต้านกับคนต่างถิ่นแทบไร้ผลต่อคนที่นี่ ค่ายกลดูเหมือนสร้างมาเพื่อต่อต้านค่ำคืนวิญญาณปิศาจและให้คนต่างถิ่นอยู่ข้างนอก
ขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ประชากรของเผ่าหลอมวิญญาณเพิ่มขึ้นต่อไป และกระทั่งพื้นที่รัศมีสิบลี้ดูเหมือนจะไม่พอเสียแล้ว
เป็นผลให้จำเป็นต้องขยายค่ายกลขึ้นอีกครั้ง หวังหลินใช้เวลาสามวันเพื่อศึกษามันและเพิ่มรัศมีค่ายกลให้อีกสิบลี้ ตอนนี้เผ่าพันธ์ุมีอาณาเขตยี่สิบลี้ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในเผ่าที่ทรงพลังที่สุดภายในพื้นที่หลายหมื่นลี้แห่งนี้
การเพิ่มขึ้นของคนในเผ่าทำให้จำนวนคนที่ศึกษาวิชาหลอมวิญญาณเพิ่มขึ้นด้วย หวังหลินรู้ได้ว่าวิญญาณในธงวิญญาณจำเป็นต้องบำรุงหลายครั้งเพื่อให้บรรลุพลังเต็มเปี่ยม
แทนที่จะสอนวิธีบำรุงคนเหล่านี้ เขาเลือกจะใช้ธงวิญญาณล้านดวงเพื่อหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณ ธงวิญญาณขยายตัวออกและล้อมรอบท้องฟ้ารัศมียี่สิบลี้ในเมฆสีดำ
ขณะที่เมฆสีดำปรากฎขึ้น ทุกคนในเผ่าหลอมวิญญาณตกใจทันที หลายคนวิ่งออกข้างนอกและบางคนที่แข็งแกร่งล้อมตัวเองด้วยธงวิญญาณและพยายามลอยขึ้นไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“การปลดปล่อยดวงวิญญาณของพวกเจ้าเข้าไปในก้อนเมฆสีดำทุกวันจะเป็นการทำให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น!” น้ำเสียงหวังหลินดังกึกก้องภายในรัศมีพื้นที่ยี่สิบลี้
ขณะที่ได้ยินเสียงนี้ ทุกคนในเผ่าคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพและคุกเข่ามาทางหุบเขาที่หวังหลินอยู่ข้างใน
หลังจากก้อนเมฆดำปรากฎ ดวงวิญญาณจากชายในเผ่าต่างส่งเสียงหอนและเคลื่อนไหวภายในก้อนเมฆดำตลอดทั้งวัน
ผู้คนของเผ่าหลอมวิญญาณต่างปลดปล่อยดวงวิญญาณในธงของตนเพื่อหล่อเลี้ยงข้างในก้อนเมฆดำ และดังนั้นก้อนเมฆดำจึงกลายเป็นสัญลักษณ์พิเศษของเผ่าหลอมวิญญาณ
ข้างในเผ่าหลอมวิญญาณไม่ใช่ทุกคนที่กำลังฝึกฝนวิชาหลอมวิญญาณบางคนไม่ฝึกฝนเลยดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงออกล่าเพื่อหาอาหารให้กับทุกคน
ฉือซานเป็นหนึ่งในนักล่าเหล่านี้ด้วย
หลังจากการบ่มเพาะสูญสิ้นไป เขาไม่เคยพูดอะไรอีกสักคำเหมือนกับเป็นใบ้ ไม่มีพลังปราณในร่างกายเขาเลยราวกับเขาเป็นเพียงซากศพเคลื่อนไหวได้
มีเพียงกลางดึกระหว่างที่เขาพยายามฝึกฝนนับไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะเกิดความรู้สึกบนใบหน้า ทว่าความรู้สึกนั้นคือความเจ็บปวดไร้ก้นบึ้งและไม่เต็มใจยอมแพ้
เขาปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งนี้ ตอนนี้มีหลายคนในเผ่าที่บรรลุถึงระดับสี่แล้วและมีหลายคนที่มีธงวิญญาณมากกว่าสิบผืน มีอัจฉริยะหลายคนโผล่ออกมาและแทนที่ฉือซานพร้อมกับเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดใต้โอวหยางฮัว
ทั้งหมดนี้เป็นหนามแทงในใจเขาอย่างต่อเนื่อง
เพราะเรื่องนี้เองเมื่อไหร่ที่เขาออกล่า เขาจะต่อสู้โดยไม่สนใจชีวิตตนเอง เป็นผลให้เขาเกือบตายอยู่หลายครั้ง หากไม่มีสมาชิกเผ่าของเขาให้การช่วยเหลือเขาคงตายไปแล้ว
บางคนที่มองมาที่เขาต่างรู้ตำแหน่งเดิมของฉือซานในเผ่า เมื่อพวกเขาเห็นฉือซานเป็นเช่นนี้จึงทำได้เพียงถอนหายใจอยู่ในใจ
วันนี้หวังหลินกำลังมองเศษไม้ในมือ เศษไม้ชิ้นนี้เป็นสีดำล้วนและปลดปล่อยคลื่นแสงชั่วร้ายออกมา
ตอนที่หนึ่งในสมาชิกเผ่าโจมตีเผ่าเล็กๆแห่งหนึ่ง พวกเขาไม่เจอผลึกปิศาจอะไรเลย ทว่ามีคนหนึ่งพบเศษไม้ชิ้นนี้อยู่ในพื้นที่บูชาของเผ่าศัตรู ดังนั้นเขาจึงนำกลับมาด้วยและส่งให้หวังหลิน
ขณะที่มองมัน เขาเงยศีรษะขึ้นมองออกไปนอกหุบเขาซึ่งเป็นจุดที่เห็นร่างแก่ชราของโอวหยางฮัว
“ผู้น้อยมีเรื่องสนทนาและหวังจะพูดคุยกับท่านบรรพชน!”
ตำแหน่งบรรพชนมาจากทุกคนนเผ่า เมื่อหวังหลินไม่ปฏิเสธก็กล่าวได้ว่าเขาตกลงอย่างเงียบๆ
“เข้ามา!” หวังหลินก้มศีรษะลงมองเศษไม้
โอวหยางฮัวเข้ามาในหุบเขา เขากำลังถืออีกคนในอ้อมแขน คนผู้นี้ปกคลุมด้วยโลหิตและใบหน้าซีดเผือด
หลังจากมาถึงข้างหวังหลินอย่างรวดเร็ว โอวหยางฮัววางร่างนั้นไว้ด้านข้าง คุกเข่าลงกับพื้นและเอ่ยออกมา “ท่านบรรพชน ตอนที่ฉือซานออกล่า เขาพบกับอสูรปิศาจหายาก เมื่อข้าทราบเรื่องจึงรีบเร่งออกหา แต่มันสายเกินไป…”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในดินแดนวิญญาณปิศาจ เมื่อรวบรวมพลังปราณปิศาจได้เพียงพอจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นและความแข็งแกร่งเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล
หวังหลินวางเศษไม้ในมือลงและเงยศีรษะขึ้นมองฉือซาน
ฉือซานดูแก่กว่าที่เขาเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน มองดูเขาตอนนี้กลับดูไม่เหมือนชายหนุ่มแต่เป็นชายแก่ที่กำลังจะตายในอีกไม่กี่ปี
หวังหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าจากไปได้!”
โอวหยางฮัวลุกขึ้นและจากไปอย่างเคารพ
หลังออกไปจากหุบเขา เขาถอนหายใจขณะมองกลับมาที่หุบเขาและพึมพำ “ฉือซาน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าแล้ว…”
หวังหลินมองฉือซานและเริ่มขบคิด