540. จากกัน
หวังหลินยื่นมือขวาออกไปทำให้ร่างฉือซานลอยขึ้น เขาชี้ไปที่หน้าผากฉือซานและพลังปราณปิศาจสายหนึ่งเข้าไปในร่าง
“เอ๊ะ?” หวังหลินเปลี่ยนใบหน้าเคร่งขรึม
หนึ่งปีก่อนเขาประเมินเส้นชีพจรทั้งหมดของฉีซานไว้ว่าแตกเสียหายหมดแล้วและไม่สามารถฝึกฝนได้อีก ทว่าตอนนี้เขาพบบางสิ่งที่ลึกลับกว่านั้น
แม้เส้นชีพจรของฉือซานยังแตกกระจายเหมือนเมื่อปีก่อนและมีบางส่วนหดลด ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างกลับมีพลังปราณปิศาจกักเก็บในร่างเขา
พลังปราณปิศาจนี้ไม่ได้อยู่ในเส้นชีพจรแต่อยู่ในเลือดเนื้อและกระดูก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปร่างของฉือซานจะเข้ากระบวนการปรับแต่งร่างกายโดยธรรมขาติ
อย่างไรก็ตามคนผู้นี้ไม่ได้เข้าในวิชาปรับแต่งร่างกาย ดังนั้นพลังปราณปิศาจจำนวนมากจึงสูญเสีย ฉือซานทั้งยังไม่รู้วิธีการโคจรพลังปราณปิศาจเลยด้วยซ้ำดังนั้นแม้จะเดินบนเส้นทางการปรับแต่งร่างกาย เขาก็ไม่สามารถไปได้ไกลนักก่อนที่ร่างกายจะแข็งตัวและเสียชีวิต
“ประหลาดนัก เมื่อปีก่อนร่างฉือซานไม่มีพลังปราณปิศาจ แต่ตอนนี้เขากลับบรรลุระดับสองดาวแล้ว” ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขารู้มาจากความทรงจำของลั่วหยุนว่าสามดาวคือระดับหนึ่งและระดับสามเทียบเท่ากับเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณ
หวังหลินยกมือขวาขึ้นและนั่งลง หลังจากนั้นสักพักดวงตาส่องประกาย วิญญาณดั้งเดิมของเขาลอยออกมาและเข้าสู่หน้าผากของฉือซาน
เมื่อเทียบวิญญาณฉือซานกับวิญญาณหวังหลินแล้วเปรียบเสมือนหิ่งห้อยกับดวงอาทิตย์ หวังหลินสามารถเห็นความทรงจำเมื่อปีที่ผ่านมาของฉือซานได้อย่างง่ายดาย
หวังหลินมองเห็นฉือซานทนรับความเจ็บปวดที่คนธรรมดาไม่สามารถทนได้ และเขาประสบความเจ็บปวดเช่นนี้ทุกคืน เขาทนรับความเจ็บปวดของการพยายามดูดซับพลังปราณปิศาจตอนที่เส้นชีพจรทั้งหมดถูกทำลายไปแล้ว จากนั้นก็ความเจ็บปวดตอนที่ปราณปิศาจเข้าสู่เลือดเนื้อ ความเจ็บปวดนี้เสมือนแมลงเล็กๆนับล้านกำลังชอนไชร่างกายเขา
เขาทนรับความเจ็บปวดเช่นนี้มามากว่าหนึ่งปีและไม่เคยหยุดเลยสักครั้ง
ทั้งหมดเป็นเพราะไม่ต้องการยอมแพ้ เขาต้องการแข็งแกร่งและต้องการให้หวังหลินมองเขาอีกครั้ง!
หวังหลินถอนวิญญาณดั้งเดิมของตัวเองออกมา เขาขยับตัวออกไปพลันจ้องร่างฉือซานที่กำลังลอยอยู่ด้วยสายตาเคร่งเครียด
ความมุ่งมั่นของฉือซานได้ถูกหวังหลินรับรู้แล้ว แต่มีหนทางเดียวที่ฉือซานจะฟื้นฟูได้คือวิชาเทพโบราณ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินจะยกให้ใครได้ง่ายๆ
หลังจากครุ่นคิดสักพัก หวังหลินชี้ไปที่หน้าอกของฉือซานและใส่พลังปราณปิศาจบางส่วนเข้าไปทำให้ฉีซานอ้าปากออกมาและหวังหลินโยนเม็ดขาเข้าไปข้างใน หลังจากช่วยฉีซานดูดซับเม็ดยา หวังหลินจึงกลับไปนั่งลง
ร่างฉีซานค่อยๆร่อนลงบนพื้น
หลังเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฉีซานเริ่มไออย่างรุนแรงและในที่สุดก็ตื่นขึ้น เขากระอักโลหิตสีดำออกมาจำนวนมาก หลังจากนั้นสักพักทั้งร่างก็รู้สึกเบา
จนเมื่อรับรู้ได้ว่าเขาอยู่ในหุบเขา ฉือซานเป็นคนฉลาดดังนั้นจึงรู้ว่าหวังหลินอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก เขารีบลุกขึ้นคุกเข่าและเคารพเชื่อฟังตลอดเวลา
“ฉือซานขอคารวะท่านบรรพชน!”
หวังหลินมองฉือซานด้วยใบหน้าสงบนิ่งและตะโกน “เจ้าได้รับพลังปราณปิศาจในร่างกายได้อย่างไร?”
ร่างฉือซานสั่นสะท้าน เขาเคารพหวังหลินมากดังนั้นจึงรีบเล่าทุกอย่างที่ทำในปีที่ผ่านมาจนหมด สิ่งที่เขาเล่าเป็นสิ่งเดียวกับที่หวังหลินเห็นในความทรงจำและเขาไม่ได้ซ่อนอะไรไว้เลย
หวังหลินลอบพยักหน้าแต่ท่าทางยังปกติ “ฉือซาน พลังปราณปิศาจทั้งหมดในร่างกายเจ้าเป็นสิ่งไร้ประโยชน์เมื่อไม่มีเส้นชีพจรให้โคจร เมื่อเจ้ารวบรวมพลังปราณปิศาจในร่างมากเกินไป เจ้าจะตายแน่นอน!”
ใบหน้าฉือซานซีดขาวและเผยรอยยิ้มน่าสงสาร เขาสูดหายใจลึกและเอ่ยขึ้นมา “ท่านบรรพชน ฉือซานไม่ต้องการกลายเป็นคนไร้ค่า…ฉือซานรู้ว่าการรวบรวมพลังปราณปิศาจในร่างกายอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดี ทว่ามันเป็นหนทางเดียวที่ข้าจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ไร้ค่า ข้าต้องมีพลังปราณปิศาจเหมือนคนอื่นๆ…”
ในตอนท้ายน้ำเสียงของฉือซานเบาลงและเขากำหมัดแน่น
หวังหลินมองฉือซาน หลังจากนั้นสักพักก็เอ่ยขึ้น “ข้ามีวิธีฝึกฝนที่สามารถทำให้เจ้าแปลงพลังปราณปิศาจในร่างให้เข้าสู่เลือดเนื้อได้ จากนั้นมันจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายเจ้าด้วยระดับที่ไม่อาจจินตนาการถึง แม้เจ้าจะไม่สามารถใช้วิชาใดได้ ร่างของเจ้าจะแข็งแกร่งและทรงพลังขึ้น นี่คือวิธีปรับแต่งร่างกาย เจ้าจะเรียนรู้ไหม?”
ร่างกายฉือซานสั่นสะท้านรุนแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข เขาไม่ลังเลและรีบพยักหน้า
“อย่ารีบตกลงเร็วเกินไป การฝึกวิธีปรับแต่งร่างกายเป็นเรื่องยากมากและอันตรายมาก หากเจ้าผิดพลาดไปแม้แต่ข้าก็ไม่สามารถช่วยได้ การฝึกวิธีปรับแต่งร่ายกายนั้นยังเจ็บปวดอย่างมาก เจ้าสามารถรับได้ไหม?”
“ท่านบรรพชน ฉือซานจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน!” ฉือซานมองหวังหลินด้วยสายตาที่แน่วแน่อย่างไม่เคยมีมาก่อน
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยจากนั้นแตะกระเป๋า นำหินหยกชิ้นหนึ่งออกมาแตะหน้าผาก ประทับข้อมูลใส่เข้าไปและโยนให้ฉือซาน “เจ้ามีพลังปราณปิศาจในร่างกายแล้ว ดังนั้นเจ้าน่าจะสามารถเห็นข้างในได้”
เมื่อฉือซานรับหินหยกจึงก่อเกิดความตื่นเต้นในใจที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้ เขาหมอบกราบให้หวังหลินหลายครั้งก่อนจะจากไป
จนเมื่อฉือซานจากไปแล้วหวังหลินจึงถอนหายใจออกมา ท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่ได้ให้วิชาเทพโบราณแก่ฉือซาน เขาจัดสิ่งที่เขารู้เรื่องเผ่ามารยักษ์และยกให้แทน
“หากเขาสามารถสำเร็จวิชาปรับแต่งร่างของเผ่ามารยักษ์ ข้าจะสอนขั้นแรกของวิชาเทพโบราณให้ หากเขาไม่สำเร็จนั่นหมายความว่าเขาไม่มีชะตาที่จะเรียนรู้วิชาเทพโบราณ”
พริบตาเดียวอีกสองปีก็ผ่านไปแล้ว สองปีนี้เผ่าหลอมวิญญาณเติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ขนาดของเผ่าเพิ่มต่อเนื่องจากยี่สิบลี้จนกว้าง 150 ลี้และมีบุรุษมากกว่าห้าพันคน
ภายในพื้นที่รัศมีห้าหมื่นลี้ นอกจากสองเผ่าพันธุ์ที่มีคนนับหมื่น เผ่าอื่นๆต่างถูกเผ่าหลอมวิญญาณกลืนกินไปเสียสิ้น
สองปีที่ผ่านมาหวังหลินลงมือออกไปสามครั้งเพราะมีเผ่าศัตรูบางแห่งที่มีคนแข็งแกร่ง ทว่าในดินแดนไร้ค่าแห่งนี้ไม่ว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถเปรียบกับหวังหลินได้
กล่าวได้ว่าแผนการเริ่มต้นของหวังหลินในดินแดนไร้ค่าแห่งนี้กำลังไปได้สวย ตอนนี้เขาสามารถสั่งการกองกำลังห้าพันคนที่เรียนรู้วิชาหลอมวิญญาณได้แล้ว แม้พวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งโดดเด่นเฉพาะ แต่เมื่อรวมกันเป็นกลุ่มก้อนก็จะปลดปล่อยดวงวิญญาณรวมกันได้
หากมีเวลาเพียงพอให้พวกเขาเติบโต หวังหลินจะควบคุมกองกำลังทรงพลังมาก!
สถานการณ์จนมุมระหว่างสามเผ่าพันธุ์ภายในพื้นที่ห้าหมื่นลี้กำลังอุบัติขึ้น
เดิมทีโอวหยางฮัวต้องการโจมตีหนึ่งในเผ่าพันธุ์ใหญ่ แต่เขาถูกหวังหลินหยุดเอาไว้ เขาต้องการให้สมาชิกเผ่าหยุดการโจมตีเผ่าอื่นๆและมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝน
คำพูดของหวังหลินคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนในเผ่า
สิ่งที่คู่ควรกล่าวถึงคือฉือซาน ความอุตสาหะของเด็กคนนี้น่าทึ่งมากและเขาสามารถเรียนรู้วิชาปรับแต่งร่างกายของเผ่ามารยักษ์ได้เล็กน้อยแล้ว ร่างกายเขาทนทานดั่งเหล็กและในระหว่างการต่อสู้เขามักจะนำอยู่ข้างหน้าเสมอ ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้!
ในเวลาสี่ปี หวังหลินเปลี่ยนเผ่าเล็กในหุบเขากลายเป็นเผ่าขนาดใหญ่ที่มีคนมากกว่าห้าพันคน หวังหลินสั่งการพวกเขาให้มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนเพราะเขามีแผนอื่น เขาตัดสินใจจะจากเผ่าแห่งนี้ไปสักพัก!
เป้าหมายของเขาคือเมืองปิศาจโบราณ!
สี่ปีก่อนหวังหลินมีโอกาสไปแต่เขาก็ไม่ไปเพราะเขามีเบื้องหลังและไม่มีกองกำลังของตนเอง แม้เขาจะไปมันก็คงไร้จุดหมาย
หลังผ่านไปสี่ปีในที่สุดหวังหลินเลือกที่จะไปเมืองปิศาจโบราณโดยไม่มีความกังวลใดๆ แม้เขาจะไม่สามารถตั้งหลักในเมืองปิศาจโบราณได้ เขายังมีความสามารถในการเปลี่ยนสถานการณ์ให้ดีขึ้น
เพื่อให้การสื่อสารง่ายขึ้น เขาใช้เวลาครึ่งเดือนสร้างหยกสื่อสารออกมาสองก้อน เขาเก็บหนึ่งชิ้นไว้กับตัวและทิ้งอีกหนึ่งอยู่ข้างในเผ่าหลอมวิญญาณ
หากไม่ใช่ว่าเขาขาดวัตถุดิบ เขาคงสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายข้างในเผ่าหลอมวิญญาณไปแล้ว วิธีนั้นเขาจะสามารถกลับมาได้ในทันที
หวังหลินไม่ได้จากไปคนเดียวในครั้งนี้ เขามีผู้เยาว์สองคนติดตามไปด้วยและหนึ่งในนั้นคือฉือซาน!
อีกคนเรียกว่าฮัวเป่า เขามาจากเผ่าเล็กๆและพลังปราณปิศาจตื่นขึ้นมาแล้ว เขามีพลังปราณปิศาจสองดาวตอนที่เข้าร่วมเผ่าและเป็นอันดับหนึ่งในเผ่าเล็กๆนั้น
โอวหยางฮัวจับคนผู้นี้มาเป็นการส่วนตัวและบังคับให้เขาดื่มน้ำซุปล้างความทรงจำ จากนั้นเขาก็กลายเป็นสมาชิกของเผ่าหลอมวิญญาณ คนผู้นี้มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะอย่างมาก ด้วยการที่เริ่มต้นพลังปราณปิศาจสองดาว ในไม่ช้าเขาก็ก้าวข้ามคนอื่นๆและเข้าใกล้ระดับโอวหยางฮัว
ตอนนี้เขาบรรลุระดับห้าแล้วและมีธงวิญญาณ 97 ผืนพร้อมกับวิญญาณหลัก 31 ดวง ความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขาไม่ต่างกับเซียนขั้นแกนลมปราณ
หวังหลินเห็นแววอัจฉริยะในคนผู้นี้ แม้วิชาหลอมวิญญาณจะเรียนรู้ง่ายแต่การบรรลุขั้นแกนลมปราณในเวลาเพียงแค่สี่ปีถือว่าเป็นสิ่งที่หวังหลินไม่เคยคาดคิดมาก่อน
หนึ่งในเหตุผลหลักที่เป็นเขาเพราะคนผู้นี้มีพลังปราณปิศาจสองดาวไปแล้ว ทั้งยังมีเรื่องที่ต้องทำมากมายในดินแดนนี้แต่นี่คือครั้งแรกที่หวังหลินเห็นคนที่พรสวรรค์เช่นฮัวเป่า!
หากเขาสามารถบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้ภายในร้อยปี ในแง่ของพรสวรรค์เขาจะไล่ทันผีเสื้อสีชาดได้! ความจริงแล้วเขาคงเหนือกว่าผีเสื้อสีชาดเลยด้วยซ้ำ!
หวังหลินใส่ใจเรื่องพรสวรรค์แบบนี้เป็นอย่างมากดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเก็บคนคนนี้เอาไว้รอบๆเพื่อให้ง่ายในการสั่งการแทนที่จะทิ้งเอาไว้ในเผ่า
เด็กหนุ่มนามฮัวเป่าเคารพหวังหลินไม่น้อยไปกว่าฉือซาน ตอนที่ได้ยินว่าท่านบรรพชนจะนำเอาไปข้างนอกด้วยเขาตื่นเต้นอย่างมาก
ส่วนฉือซาน ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเด็กหนุ่มคนนี้บรรลุระดับน่าตื่นตกใจ กระทั่งหากเขากระทั่งต่อสู้กับฮัวเป่าก็คงไม่เสียเปรียบ
ความพยายามและความตั้งใจของเขามีมากล้น หลังจากได้รับวิธีการปรับแต่งร่างกาย เขาก็ใช้เวลาหลายวันหลายคืนเพื่อฝึกฝน ในมุมของการเคร่งฝึกฝนแล้ว เขาเป็นอันดับหนึ่งในเผ่าพันธุ์
ยามเช้าของวันนี้ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นสู่ท้องฟ้า หวังหลินเดินออกมาจากเผ่าหลอมวิญญาณโดยมีฮัวเป่าและฉือซานติดตามเหมือนองครักษ์