547. ค่ายทหารเกราะทมิฬ
เต๋าของเซียนนั้นมั่นคงจนไม่อาจถูกพลังภายนอกกระทบได้ง่ายๆเพราะนี่คือจิตใจแห่งเต๋า!
การเดินบนเส้นทางแห่งมารเหมือนกับอากาศในสายลมหนาวที่ชำแรกผ่านร่างกาย โจมตีจิตใจและครอบงำดวงวิญญาณ!
ขณะที่สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นกระจ่างชัดจึงแฝงความประหลาดใจ ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาและจิตใจแห่งเต๋าอันมั่นคงนั้น สิ่งที่เขาพึ่งประสบพบเจอก็เหมือนกับหายนะ
การจมกับความคิดไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลังก็คือเมื่อคนผู้นั้นสมไปในความคิดอย่างสมบูรณ์และไม่สามารถนำตัวเองออกมาได้ หากเป็นตอนปกติเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับหวังหลิน แต่หวังหลินพึ่งก้าวเดินลงบนเส้นทางแห่งมารร้าย แม้เขาจะหักห้ามเอาไว้ก็ยังมีตัวตนมารร้ายในร่างกายและนั่นเป็นต้นตอของการหวนรำลึกนี้!
ในยุคโบราณกาล เหล่าเซียนเชื่อว่าพวกปิศาจรุกล้ำร่างกายของผู้คน พวกเขาเชื่อเรื่องนี้ก็เพราะคิดว่าพวกปิศาจมาจากไหนไม่มีใครรู้ คาดเดาไม่ได้และพยายามครอบงำร่างเซียนที่กำลังรู้แจ้งสวรรค์
อีกมุมหนึ่งนั่นหมายความว่าพวกมันอยู่ทุกที่!
ปิศาจนอกเหนืออำนาจได้เข้าสู่ร่างกาย กระตุ้นเต๋าของเซียนให้ลุกไหม้ เผาวิญญาณต้นกำเนิดของเขาและได้รับชีวิตของเซียนมาและทำลายจิตใจแห่งเต๋าผู้นั้น ในสายตาของเซียนโบราณ พวกมารปิศาจเหล่านี้น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก หากผิดพลาดเพียงครั้งเดียวจะทำให้พวกมันเข้าสู่ร่างกายและทำลายพวกเขาไปตลอดกาล
ขณะที่เหล่าเซียนโบราณต่างตายกันไปและถึงยุคสมาพันธ์เซียน เรื่องราวของปิศาจนอกเหนืออำนาจขอบเขตได้เลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยการคิดวิเคราะห์และคิดคำนวนอย่างเป็นเหตุผล
สมาพันธ์เซียนลบล้างตัวตนของปิศาจเหล่านี้แทน พวกเขาเชื่อว่าตัวตนมารร้ายของจริงนั้นเกิดในร่างของตนเอง ตัวตนปิศาจไม่ได้อยู่ในเส้นที่เหล่าเซียนจะรู้แจ้งจากสวรรค์ได้และทำให้เกิดความไม่สมดุลขึ้น เมื่อหยินและหยางไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างถูกต้อง จิตใจแห่งเต๋าจึงไม่สเถียรทำให้เกิดภาพมายาจากผลของจิตใจนั้น
นี่เป็นสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นกับหวังหลิน แรงกระตุ้นให้กลับสู่ดาวซูซาคุคือจุดสูงสุดของตัวตนแห่งมารร้ายของเขา หากดำเนินต่อไปหวังหลินจะรู้สึกตัวด้วยตัวเองอยู่ที่เวลาจะสั้นหรือจะยาวเท่านั้น
การปรากฎตัวของทหารปิศาจและพลังปราณปิศาจของพวกเขาทำให้หวังหลินค้นหาทางออกจากการคุมขังตนเองได้ ขณะที่ปราณปิศาจของทั้งหกปิศาจกระตุ้นออกมา หวังหลินก็เกิดความกระจ่างขึ้นในทันที แม้จะเป็นเพียงชั่วขณะแต่ก็เป็นเวลาเหลือเฟือสำหรับเขา
หวังหลินไม่มีความลังเล ใช้พลังปราณปิศาจกระตุ้นออกมาจากผลึกปิศาจและเคลื่อนไหวภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว เมื่อปราณปิศาจปะทะกับปราณสวรรค์ในร่างจึงเกิดวังวนขึ้นซึ่งทำให้เกิดการหลอมรวมปราณปิศาจกับปราณสวรรค์
สำหรับคนต่างถิ่นในดินแดนวิญญาณปิศาจแล้ว พลังปราณปิศาจเป็นเสมือนพลังงานทดแทนให้กับพลังปราณสวรรค์ เมื่อปราณปิศาจรวมเข้ากับปราณสวรรค์ มันสามารถเพิ่มปราณสวรรค์ได้
ที่หวังหลินยังไม่ได้รวมพวกมันเพราะเขากำลังรอคอยโอกาสอันเหมาะสม เหตุผลที่เขารวมกันตอนนี้ก็เพราะต้องการกลืนกินปราณปิศาจของทหารปิศาจทั้งหกนาย
แม้จะดูเหมือนใช้เวลายาวนาน ทว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
เมื่อฉือซานเห็นหวังหลินกลับคืนเป็นปกติจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ในใจเขาตราบใดที่หวังหลินอยู่ที่นี่จะไม่มีสิ่งใดมีปัญหา เขามายืนข้างหวังหลินทันทีและมองทหารปิศาจด้วยสายตาเยือกเย็น
ฮัวเป่าคลายความกังวลใจเช่นกัน เขาสะบัดแขนถอนดวงวิญญาณกลับมาและยืนข้างหวังหลิน
ทหารปิศาจทั้งหกนายที่พึ่งสูญเสียปราณปิศาจของตนเองจึงอ่อนแออย่างมาก พวกเขาเผยใบหน้าไม่เชื่อสายตาและมองหวังหลินด้วยความหวาดกลัว
ชายใบหน้ามืดมนยืนขึ้นและเอ่ยถามน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านเป็นใคร?!”
หวังหลินหยิบสุราไหที่สามที่ยังไม่ได้เปิดขึ้นมา เขาไม่ได้มองคนอื่นและเริ่มเดินออกจากเหลาอาหาร ฉือซานนำหินปิศาจออกมาเล็กน้อยและวางมันบนโต๊ะก่อนจะติดตามหวังหลินไป
ส่วนฮัวเป่า เขาเหยียดยิ้มมองทหารปิศาจในเหลาอาหารและติดตามหวังหลินไป
ชายใบหน้ามืดมนตบโต๊ะและตะโกนเสียงดัง “หยุด!” สิ้นคำเขาก้าวมาข้างหน้าและกระจายปราณแข็งแกร่งออกมา เหลาอาหารทั้งร้านถูกล้อมรอบด้วยกลิ่นอายปิศาจ
ปราณปิศาจก่อตัวเป็นกระบี่และพุ่งเข้าใส่กลุ่มของหวังหลินอย่างรวดเร็ว
หวังหลินหันกลับมาเผยดวงตาเย็นชา มองคนที่เข้ามาและสะบัดแขน สายลมประหลาดพลันปรากฎขึ้นและปราณปิศาจที่ก่อเกิดเป็นกระบี่พลันเลือนหายไปเมื่อกระทบกับสายลม
“เราจะเจอกันอีกครั้ง!” หลังจากทิ้งด้วยประโยคนั้น หวังหลินจึงเดินออกจากเหลาอาหารไป
ชายใบหน้ามืดมนพลันสายตาหรี่แคบ จากนั้นมองหวังหลินและเริ่มขบคิด
หลังจากออกมาจากเหลาอาหาร หวังหลินไม่ได้ไปที่อื่นต่อและเดินตรงกลับโรงเตี๊ยม เขานั่งสมาธิลงและเริ่มค้นคว้า พลังปราณสวรรค์เคลื่อนไหวในร่างกายเขาอย่างช้าๆ
ตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะมารร้ายก่อนหน้านี้มันทำให้เขารู้สึกถึงวิกฤตขึ้นมา หวังหลินประเมินตัวตนมารร้ายต่ำไป ตอนนี้เขากำลังค้นคว้าหาจุดที่มีตัวตนมารร้ายในร่างกายอย่างละเอียด
ทุกครั้งที่เขาพบร่องรอยของตัวตนมารร้าย เขาจะขับไล่มันออกทันที ยามเช้าของวันที่สองหวังหลินโคจรปราณสวรรค์ผ่านร่างกายหลายครั้งจนในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ลูกแก้วสีดำสามลูกกำลังลอยอยู่ด้านหน้าเขา ลูกแก้วเล็กๆสามลูกราวกับสำลีนี้คือตัวตนมารร้ายที่เขาขับออกมาจากร่างกาย
“ทำลายตัวตนมารร้ายนี้คงเสียเปล่า หากใช้มันอย่างถูกวิธีจะสามารถทำลายจิตใจแห่งเต๋าของคนอื่นและเอามันมาคุ้มกันได้!” หวังหลินเผยดวงตาสว่างวาบก่อนจะเก็บลูกแก้วทั้งสามกลับไป
“ใกล้จะได้เวลาเจ็ดวันแล้ว แม่ทัพปิศาจกล่าวไว้ว่าจะมีคนพาข้าไปที่ค่ายทหาร…” ขณะที่หวังหลินขบคิด ใบหน้าก็เปลี่ยนไปและเงยศีรษะขึ้นมองไปที่ประตู
หลังจากนั้นไม่นานน้ำเสียงของฉือซานดังออกมาจากข้างนอก
“ท่านบรรพชน มีคนอยากพบท่าน!”
หวังหลินกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “เข้ามา!“
หลังกล่าวเช่นนั้น ประตูก็ถูกปิดขึ้น ฉือซานและฮัวเป่าเข้ามาข้างในพร้อมกับอีกคนหนึ่ง คนผู้นี้อายุราวสี่สิบปี สวมชุดสีดำ ร่างกายผอมบางและขณะที่เข้ามาในห้องก็เกิดกลิ่นอายเยือกเย็นรอบๆตัวเขา
เมื่อเข้ามาในห้อง สายตาจรดลงบนหวังหลินที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง หลังจากตรวจสอบหวังหลินเขาจึงคำนับฝ่ามือและเอ่ยขึ้น “สวัสดี ท่านผู้บัญชาการหวัง!”
หวังหลินสัมผัสกระเป๋าและปรากฎป้ายสีเขียวขึ้นในฝ่ามือ เขาโยนป้ายนั้นออกไป
ผู้จัดการของกองทัพรับเอาป้ายสิทธิ์ไว้ มองมันอย่างละเอียดพลันพยักหน้าและส่งมันกลับคืน จากนั้นเขากัดฝีปากเล็กน้อยและวาดอะไรบางอย่างกลางอากาศ ในไม่ช้าค่ายกลสีแดงโลหิตก็อุบัติขึ้นกลางอากาศ ค่ายกลนี้ดูซับซ้อนอย่างมากแต่หวังหลินสามารถมองออกได้เล็กน้อย
หวังหลินรับป้ายสิทธิ์กลับไปและเอ่ยเสียงเบา “ค่ายกลเคลื่อนย้าย!”
ผู้จัดการกองทัพยกสายตาขึ้นมองหวังหลิน “ผู้บัญชาการหวังเก่งนัก นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายจริงๆทว่าแตกต่างจากค่ายกลเคลื่อนย้ายของเซียนเช่นท่าน มันถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิปิศาจเพื่อระบุตำแหน่งการเคลื่อนย้าย”
เช่นนั้นเขาก้าวเข้าไปในค่ายกลสีโลหิตและหายตัวไป
เหลือเพียงกลุ่มของหวังหลินสามคน ฉือซานก้าวเข้าไปในค่ายกลด้วยความมุ่งมั่น เขามีชีวิตเพื่อหน้าที่ในการปกป้องท่านบรรพชน และค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ประหลาดมากเขาจึงเสี่ยงชีวิตเพื่อสอดส่องมันก่อน
เมื่อเห็นการกระทำของฉือซาน หวังหลินลอบพยักหน้าในใจ เขายืนขึ้นและเดินเข้าไปในค่ายกล
ฮัวเป่าสาปแช่งในใจและติดตามหวังหลินอย่างรวดเร็ว
ขณะที่หวังหลินเดินออกมาจากอีกฝั่งของค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาได้ยินเสียงจัดระเบียบสั่นสะเทือนพื้นดินออกมาจากทุกทิศทางราวกับฟ้าร้อง
ฉือซานซึ่งอยู่ด้านหน้าตกตะลึงไปทันทีและถูกบังคับให้ถอยหลังกลับมาหลายก้าวด้วยเสียงเหล่านี้ เขาได้รับบาดเจ็บอยู่แล้วจากที่เกิดขึ้นครั้งก่อนและเสียงนี้ทำให้โลหิตในร่างกายเดือดปุดๆ บังคับให้เขากระอักโลหิตคำโตออกมา
ส่วนฮัวเป่าแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ร่างกายไม่ได้ทนทานเหมือนฉือซาน ภายการทำร้ายนี้พลังปราณปิศาจในร่างกายเขาหลุดจากการควบคุมและอาละวาดในร่างอย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้าซีดเผือดโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่ว่าท่านบรรพชนอยู่ที่นี่และไม่ต้องการให้ท่านบรรพชนเสียหน้า เขาคงนั่งลงเพื่อควบคุมพลังปราณในร่างกายไปแล้ว แต่ว่ายิ่งเขาพยายามรั้งมันไว้เท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ปราณปิศาจในร่างยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ชั่วขณะนี้เองพลังอ่อนโยนสายหนึ่งเข้ามาจากภายนอกและปราณปิศาจในร่างฮัวเป่ากลับกลายเป็นเชื่อฟังราวกับเจอบรรพชน ปราณปิศาจกลับคืนเส้นชีพจรอย่างรวดเร็วและกลับเป็นปกติ
หวังหลินเลื่อนมือขวาออกจากไหล่ฮัวเป่าและก้าวไปข้างหน้า ปราณสวรรค์สายหนึ่งเข้าสู่ฉือซานและโคจรในร่างกายเขาหนึ่งครั้ง ฉือซานรู้สึกร่างกายเบาโหวงและอาการบาดเจ็บฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง
หลังเสร็จสิ้นทั้งหมดนี้ หวังหลินมองไปรอบๆและสำรวจพื้นที่ ที่นี่คือค่ายที่สร้างขึ้นด้วยหินสีดำกว้างห้าสิบลี้ สุดปลายของค่ายมีกำแพงสูงหลายสิบฟุต มีปราณปิศาจผันผวนบนกำแพงนี้นั่นหมายถึงมีวิชาเสริมกำลังใส่เข้าไปด้วย
หวังหลินปรากฎตัวกลางค่ายทหาร ด้านหน้าเขาหนึ่งร้อยฟุตมีทหารปิศาจหลายเท่ายืนตั้งตรงอยู่ในชุดเกราะ พวกเขาทั้งหมดปลดปล่อยกลิ่นอายสีดำราวกับทั้งหมดเป็นเทพปิศาจ!
หนึ่งกองมีทหารปิศาจหนึ่งพันนาย และตอนนี้มีสิบกองยืนอยู่รอบหวังหลิน จิตสังหารรุนแรงทรงพลังกระจายออกอย่างรวดเร็ว
จิตสังหารของคนนับหมื่นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถจินตนาการถึง โดยเฉพาะเมื่อทหารปิศาจทั้งหมดมีระดับพลังปราณปิศาจอย่างน้อยสามสิบระดับ และมียังมีคนที่มีระดับมากกว่าหนึ่งร้อยอีก
นอกจากนี้เหล่าทหารยังมีประสบการณ์รบโชกโชนและสังหารผู้คนมาจำนวนมาก ทั้งหมดมีชีวิตอยู่เพื่อการฆ่าจนกระทั่งมาถึงตอนนี้ จิตสังหารจึงฝังลึกเข้ากระดูก
ภายใต้จิตสังหารเข้มข้นเช่นนี้ สิ่งต่างๆโดยรอบจึงเงียบสนิท ความเงียบแบบนี้ช่างน่าสะพรึงกลัว
สายตาคนนับหมื่นจับจ้องบนคนคนเดียว ตำแหน่งสายตาแต่ละคนคือตำแหน่งที่พวกเขากำลังมุ่งจิตสังหารเข้าใส่ สายตาทั้งหมื่นคู่นี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากระบี่เหินนับหมื่นเล่มเลย
หวังหลินยืนอยู่ตรงกลางด้วยท่าทางสงบนิ่งโดยสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่มองกลับไปยังสายตาหมื่นคู่ก็คือสายตาเยือกเย็นของเขา