548. ความเงียบอันน่ากลัว
เมื่อหวังหลินเดินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย เหล่าทหารปิศาจนับหมื่นนายต่างร้องคำรามเต็มไปด้วยจิตสังหาร เสียงคำรามรวมกันเต็มไปด้วยปราณปิศาจซึ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเสียงคำรามของเซียนขั้นแปลงวิญญาณเลย
ผู้ดูแลกองทัพแฝงท่าทางหัวเราะเยาะเล็กๆพลันกระแอมออกมา “ผู้บัญชาการซือหม่าอยู่ไหน?”
สิ้นคำเสียงม้าก็ดังออกมาจากระยะไกล อสูรยักษ์ตนหนึ่งมีหนึ่งเขาพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นกระแทก
มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนหลังอสูรตัวนั้น เขาสวมชุดเกราะสีดำแต้มด้วยสีม่วง สวมหมวกเหล็กสีดำและมีจิตสังหารเข้มข้นออกมาจากดวงตาคู่นั้น
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเห็นหวังหลินปรากฎตัวครั้งแรกจึงตกใจเล็กๆแต่ในไม่ช้าก็ถูกแทนที่ด้วยจิตสังหาร
ขณะที่คนผู้นี้พุ่งตรงเข้ามาในบริเวณ เหล่าทหารทั้งหมดเคลื่อนตัวออกห่างเปิดทางให้เขาพุ่งตรงใส่หวังหลิน
ผู้ดูแลกองทัพสะบัดแขนเสื้อจนเกิดสายลมพัดพาฝุ่นออกไป เขาหันเข้าหาชายเกราะดำและเอ่ยขึ้น “นี่คือผู้บัญชาการที่ได้แต่งตั้งขึ้นใหม่ รองผู้บัญชาการซือหม่า ท่านจะไม่ทักทายเขาสักหน่อยหรือ?” เขาจงใจเน้นคำว่า ‘รองผู้บัญชาการ’
ชายเกราะดำมองหวังหลินด้วยสายตามืดมนและเอ่ยเย็นชา “ซือหม่าหยาน ขอทักทายท่านผู้บัญชาการ!”
หวังหลินมองเขาด้วยท่าทีสงบนิ่ง “เราพบกันแล้ว!”
ซือหม่าหยานพ่นลมหายใจเย็นเฉียบและถอดหมวกออกมา เขาคือชายใบหน้ามืดมนจากเหลาอาหาร!
ผู้ดูแลกองทัพเผยสายตาล้ำลึกพลันคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน “ผู้บัญชาการหวัง ในเมื่อข้าพาท่านมาที่นี่แล้วข้าก็ต้องขอตัวกลับก่อน ข้ายังต้องรายงานกลับไปให้ท่านแม่ทัพ!”
หวังหลินยิ้มเบาๆ “ขอบคุณมาก ท่านผู้ดูแล!”
ผู้ดูแลยิ้มและพยักหน้า จากนั้นก้าวเดินเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย หลังจากที่เขาจากไป ทั้งค่ายทหารก็เงียบสงัด เหลือเพียงเสียงลมหายใจดังขึ้นก้องในบริเวณ
ซือหม่าหยานมองหวังหลินด้วยความเฉยชา “นอกจากหกคนนั้นที่ไม่ได้สติและลุกขึ้นไม่ได้แล้ว ทหารปิศาจเกราะทมิฬทั้งหมื่นนายอยู่ที่นี่แล้ว!”
หวังหลินมองเหล่าทหารปิศาจด้วยสายตาสงบนิ่ง สิ่งที่เขาเห็นคือความเป็นปรปักษ์และดูถูก สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเฉยชาและเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทั้งหมดไปได้!”
ไม่มีทหารปิศาจคนใดขยับเคลื่อนไหวแม้เพียงหนึ่งนิ้ว สายตาแต่ละคนตกลงบนซือหม่าหยาน
ตราบใดที่ซือหม่าหยานไม่กล่าวอะไร พวกเขาจะไม่ฟังคำพูดคนอื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นผู้บัญชาการคนใหม่ก็ตาม!
หวังหลินเดินผ่านสิบกองพันตรงเข้าไปโดยที่ไม่ได้มองทหารปิศาจรอบด้าน ฉือซานและฮัวเป่าติดตามไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางแต่ละคนมืดมนและไร้เสียงคำเอ่ย
เมื่อทั้งสามคนจากไป เหล่าทหารปิศาจทั้งหมื่นนายระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนี้เต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม มีเพียงซือหม่าหยานเท่านั้นที่ไม่ได้หัวเราะ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ซือหม่าหยานไม่ได้รู้เรื่องผู้บัญชาการคนใหม่มากนักแต่เขารู้ว่าหากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่สามารถเดินสงบนิ่งจากไปโดยไม่ให้เกิดเรื่องได้แน่นอน!
ซือหม่าหยานขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทั้งหมดไปได้และฝึกฝนต่อไป!” แม้ว่าน้ำเสียงเขาจะเบาแต่ในหูของทหารปิศาจทุกนายมันเหมือนกับประกาศิต สิบกองพันแยกตัวอย่างรวดเร็วและเริ่มฝึกฝนของตนเอง
ภายในค่ายทหาร นอกจากกระท่อมหลายแถวแล้วยังมีบ้านเรียบง่ายแห่งหนึ่งตั้งอยู่ แต่มีค่ายกลกำลังปกป้องมันเอา ผืนธงสีดำขนาดใหญ่อยู่ถัดจากบ้านและมีชื่อว่า ‘ซือหม่า’ เย็บด้วยด้ายทอง!
เป็นเรื่องแน่ชัดว่าบ้านหลังนี้คือที่ที่ซือหม่าหยานพักอาศัย
ด้านข้างบ้านหลังนั้นยังมีเศษซากอาคารหลายแห่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งก่อสร้างมาก่อน
ฮัวเป่ามองทุกอย่างเบื้องหน้า และหลังจากได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากด้านหลัง เขาก็กล่าวอย่างโกรธแค้น “ท่านบรรพชน ทหารปิศาจพวกนั้นอยู่ไกลเกินไป!”
หวังหลินกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “อย่าไปก่อกวนพวกเขา เมื่อไม่มีที่ให้เราอยู่ เราเพียงแค่ฝึกฝนข้างนอก!” สิ้นคำเขาพบพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งและนั่งลงฝึกฝน
ฮัวเป่าฝืนระงับความโกรธลงในจิตใจขณะมองไปที่เหล่าทหารปิศาจที่กำลังกระจายตัวอย่างเย็นชา เขาพ่นลมหายใจขณะเดินไปด้านซ้ายของหวังหลินและนั่งลงระวังให้เขา
แม้ว่าท่าทางของฉือซานจะดูมืดมน แต่ดวงตาสงบนิ่งมาก เขาไม่ได้เรื่องการเผยอาการดูถูกของเหล่าทหารปิศาจ เขารู้เพียงว่าตราบใดที่หวังหลินกล่าวขึ้นมา เขาจะโจมตีโดยไม่ลังเลแม้จะมีค่าเท่าชีวิต
ฉือซานนั่งลงด้านขวาของหวังหลิน จากนั้นหลับตาและเริ่มฝึกฝนวิถีปรับแต่งร่างกายของเผ่ามารยักษ์
เวลาค่อยๆผ่านไปจนถึงกลางคืน ช่วงเวลาตลอดทั้งวันนี้เสียงตะโกนจากเหล่าทหารปิศาจในค่ายทหารมีขึ้นไม่เคยหยุด การฝึกฝนแต่ละคนพึ่งพาการรบจริงๆระหว่างกันและมุ่งเน้นด้านการใช้ค่ายกลในการต่อสู้ บางครั้งพวกทหารปิศาจที่ผ่านหวังหลินไปก็มองเขาด้วยท่าทางดูถูกรุนแรง
การแสดงออกของหวังหลินไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขาเหมือนกับสายน้ำในบ่อที่ไม่มีคลื่นให้กระทบ!
ฉือซานทำการเลียนแบบหวังหลินและดำเนินการฝึกฝนต่อไป แม้จะเกิดระลอกคลื่นในใจเขาแต่ทั้งหมดก็ถูกระงับไว้
ฮัวเป่าเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่สามารถสงบได้เลย เขาจ้องทหารปิศาจทุกนายที่ผ่านไปด้วยสายตาเย็นชา
ไม่เพียงแต่สีหน้าหวังหลินที่สงบนิ่งแต่จิตใจเขาก็สงบนิ่งด้วยเช่นเดียวกัน หวังหลินไม่เร่งรีบที่จะเป็นผู้คุมของที่นี่และใช้การสังเกตการณ์ทั้งหมดแทน แม้ดวงตาเขาจะหลับแต่หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและสังเกตการณ์ทหารทั้งหมื่นนายที่นี่อย่างละเอียดยิบ
ทหารทุกพันนายจะมีหัวหน้าหนึ่งคนและทั้งหมดเป็นคนสนิทของซือหม่าหยาน ส่วนหกคนที่เหลาอาหารแม้ว่าระดับบ่มเพาะไม่ได้สูงมากแต่ทั้งหมดเป็นคนสำคัญของที่นี่
เหตุผลที่หวังหลินไม่ลงมือทันทีเพราะเขารู้เรื่องกฎของกองทัพภายในแคว้นที่นี่ดี เขาได้รับความรู้ความเข้าใจมาจากความทรงจำของลั่วหยุน
เก้าแคว้นที่นี่ต่างทำตามกฏกองทัพและแตกต่างอย่างมากกับโลกแห่งเซียน ท่านต้องทำตามกฎของแคว้นหากต้องการหยิบยืมพลังของคนอื่น เว้นแต่ว่าจะมีพลังอำนาจพอจะต่อกรจักรพรรดิปิศาจ!
คนต่างถิ่นที่มาดินแดนวิญญาณปิศาจต้องเข้าเป็นหนึ่งในเก้าแคว้นและได้รับอำนาจสั่งการกำลังพล นั่นเป็นหนทางเดียวในการตั้งหลักที่นี่ หากอยู่ตัวคนเดียวและเจอคนที่มีทหารปิศาจหมื่นนายภายใต้คำสั่งของตนเช่นนั้นไม่มีทางต่อสู้ได้เลย แม้ว่าระดับบ่มเพาะของทหารปิศาจเหล่านี้ไม่ได้สูงส่งแต่การอยู่เป็นกลุ่มนับว่าทรงพลังจริงๆ รวมถึงความพิเศษด้านค่ายกลของทหารปิศาจที่ลึกลับและประหลาดซึ่งทำให้ผู้คนจะระมัดระวังยากจะตามทัน
ยิ่งไปกว่านั้นหากสังหารทหารปิศาจไปมากมาย หัวหน้าผู้บัญชาการหรือคนที่แข็งแกร่งเทียบเท่าแม่ทัพปิศาจ เซียนคนนั้นจะไม่อาจตั้งหลักในแคว้นแห่งนั้นอีกต่อไป! เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องรีบหนีไปแคว้นถัดไป หากกระทำตัวเช่นนี้จะถูกบังคับให้หนีจากแคว้นหนึ่งไปอีกแคว้นหนึ่งจนยากจะไปไหนต่อไหนได้ในแดนวิญญาณปิศาจ ต้องหาสถานที่โดดเดี่ยวเพื่อบ่มเพาะแต่ก็ไม่มีโอกาสได้รับกำลังทหารและไม่มีโอกาสหลอมรวมกับปิศาจโบราณได้!
ด้วยเหตุผลเหล่านี้เซียนทั้งหมดที่เข้ามาที่นี่จึงพยายามได้รับตำแหน่งภายในแคว้น!
หวังหลินต้องทำตามกฏกองทัพ หากเขาแหกกฏกองทัพเขาจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง!
หวังหลินรู้ชัดในเรื่องนี้ หากเขากระทำการโดยไม่คิดให้ดีก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการสังหารตอนที่พยายามควบคุมกำลังพล รวมถึงเมื่อเหล่าทหารปิศาจพวกนี้ยอมรับคนอื่นไปแล้ว แม้เขาจะสังหารคนผู้นั้นไปก็ไม่อาจจะควบคุมกองกำลังได้ ท้ายที่สุดหวังหลินต้องแหกกฏกองทัพ ล้มเหลวในการควบคุมกำลังพลและทำได้เพียงแค่ยอมแพ้เท่านั้น!
เซียนทรงพลังหลายคนล้มเหลวที่ก้าวนี้ คนทั้งหมดหลายพันคนที่เข้ามา หลังจากผ่านการคัดกรองออกไปเหลือเพียงไม่กี่คนที่ตั้งหลักได้!
เซียนบางคนมีอารมณ์ร้าย เมื่อเผชิญกับการขัดขืนคำสั่งของทหารปิศาจ พวกเขาจะเข้าโจมตีตรงๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบกับทหารปิศาจแล้ว เหล่าเซียนคือคนนอก ดังนั้นจักรพรรดิปิศาจจึงไม่ชื่นชอบพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลว่าเมื่อไหร่ที่คนนอกมาเอาตำแหน่งไปจึงมีกฏระเบียบของกองทัพเพิ่มขึ้นมา
หากมีคนเดียวไม่เชื่อฟังคำสั่งก็คือความผิดของคนผู้นั้น แต่หากมีสิบคนแข็งข้อนั่นหมายถึงความผิดของผู้บังคับบัญชา!
การตีความของคำว่าสิบคนนับว่ากว้างมาก มันสามารถหมายถึงสิบหน่วยหรือคนสิบคน!
นั่นเป็นเหตุผลที่หวังหลินไม่เร่งรีบ เขาเหมือนนักล่าที่กำลังรอเหยื่อ!
รอโอกาส!
โอกาสที่เขาจะลงมือเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหมด!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หวังหลินฝึกฝนบนพื้นที่เปิดแห่งนี้มาสามวัน ฉือซานยังคงสงบนิ่ง สองวันก่อนหวังหลินให้หินหยกเขาและบอกให้จดจำเนื้อความข้างใน ตอนนี้เขากำลังอยู่ในกระบวนการจดจำข้อความหินหยกอยู่
ทว่าในระหว่างสามวันนี้ ความโกรธเกรี้ยวของฮัวเป่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกทหารทำท่าทีเหมือนไม่มีอะไรมากขึ้นจนในสายตาแต่ละคน ผู้บัญชาการคนใหม่แท้จริงก็ไม่มีอะไร
ทว่าซือหม่าหยานยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เขายังรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งผิดปกติเพราะผู้บัญชาการคนใหม่อยู่นอกเหนือสิ่งที่เขาคาดคิดโดยสิ้นเชิง ในสามวันนี้ไม่เพียงแต่เขาไม่แทรกแทรงเรื่องราวในค่าย เขาทั้งยังไม่กล่าวอะไร เพียงแต่นั่งฝึกฝนเหมือนคนที่ตายไปแล้ว
หากไม่ใช่ว่าหนึ่งในนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวมากขึ้นและยิ่งเสียประสาทขึ้นทุกวัน ซือหม่าหยานก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เขาไม่ได้กลัวหวังหลินจะโกรธหรือแทรกแทรงเรื่องในค่าย เขาเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ไว้หมดแล้ว เขาอยากทำให้หวังหลินดูแย่หรือเตะออกจากที่นี่ สิ่งที่เขากลัวก็คือความเงียบที่ไม่อาจมองเห็นเช่นนี้
“ผู้บัญชาการคนใหม่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…” ซือหม่าหยานอยู่ในบ้านและข้างใต้เขามีคนนั่งอยู่แปดคน ทั้งแปดคนนี้คือหัวหน้ากองพัน!
ชายหัวล้านร่างกายกำยำหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “ท่านผู้บัญชาการ ซิ่วหยู่และโจวไค่ติดต่อกับพวกเราน้อยมาก ตอนที่ท่านผู้บัญชาการเรียกทุกคนไปพูดคุย พวกมันกลับไม่มา ท่านคิดเห็นอย่างไร?“
คนคนนี้สวมชุดเกราะสีดำและปลดปล่อยความรู้สึกแห่งความมีอำนาจ มีรอยสักรูปแมงป่องประหลาดบนศีรษะล้านของเขา แมงป่องดูราวกับมีชีวิตและให้ความรู้สึกอึดอัด
ซือหม่าหยานบีบขมับของตนเอง สามวันที่ผ่านมาเหมือนทั้งปีสำหรับเขา ยิ่งหวังหลินเงียบก็ยิ่งรู้สึกเหมือนภัยพิบัติลูกใหญ่กำลังเข้ามา
ซือหม่าหยานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เราจะพูดเรื่องสองคนนี้ทีหลัง ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่เพื่อฟังว่าพวกเจ้าคิดอย่างไรก็ผู้บัญชาการที่แต่งตั้งคนใหม่ เราทั้งหมดอยู่ฝั่งเดียวกันดังนั้นจงพูดสิ่งที่พวกเจ้าคิดมา!”