541. เข้าเมือง
ผู้คนของเผ่าหลอมวิญญาณค่อยๆเดินออกมา บางคนคุกเข่าลงทันทีและในไม่นานนักสมาชิกทุกคนของเผ่าก็คุกเข่าลงไปยังตำแหน่งที่หวังหลินเหาะเหินไป
ในใจแต่ละคน หวังหลินคือบรรพชนของทั้งเผ่าหลอมวิญญาณ ตราบใดที่เขาอยู่ที่นี่ เผ่าหลอมวิญญาณไม่มีวันถูกทำลาย
โอวหยางฮัวคุกเข่าลงด้วยเช่นกัน สี่ปีที่ผ่านมาในจิตใจเขา ระดับบ่มเพาะของเขาเพิ่มสูงขึ้นเทียมฟ้าในสี่ปีนี้และทั้งหมดเขารู้สึกเหมือนฝันไป
เมื่อมองชนเผ่ามากกว่าห้าพันคนด้านหลัง คำพูดเดียวที่โอวหยางฮัวสามารถใช้อธิบายความรู้สึกนี้ต่อหวังหลินได้นั่นคือความเทิดทูน!
หวังหลินเดินออกไปทีละก้าวและค่อยๆเลือนหายไปจากสายตาทุกคน แต่ไม่มีใครยืนขึ้น
ระยะห้ากิโลเมตรนอกเผ่าหลอมวิญญาณ หวังหลินตบกระเป๋าและแสงสีม่วงทองสายหนึ่งลอยออกมาเปลี่ยนเป็นอสูรยักษ์ร่างกว้างสามสิบฟุตและปากแหลมของน่าอึดอัดมาก
มันคืออสูรยุง!
มันตื่นขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน ความแข็งแกร่งของมันเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล ตอนนี้แม้แต่เซียนขั้นตัดวิญญาณธรรมดาก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้
หวังหลินคำนวณได้ว่าเจ้ายุงแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายสูงสุด
นอกจากรากวิญญาณทองแล้วมันยังมีสายเลือดอสูรด้วย ตอนนี้ยังมีกลิ่นอายอสูรราชาค่อยๆขยายออกมาจากร่างสีม่วงทอง
หากไม่ได้มองอย่างละเอียดคงยากที่จะตรวจพบกลิ่นอายนี้
จากความทรงจำของเทพโบราณตู่ซือ เหล่าอสูรเช่นนี้ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวแต่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม หากพวกมันอยู่ในกลุ่มเมื่อนั้นจะต้องมีตัวหัวหน้า
อสูรตัวนี้กำลังพัฒนาในทางเดียวกับผู้นำของพวกมัน
ทว่าตอนนี้มันยังห่างไกลจากตรงนั้น
กล่าวได้ว่าเจ้าอสูรยุงจากความทรงจำเป็นสิ่งที่แม้แต่เทพโบราณตู่ซือยังหวาดกลัวและหลีกเลี่ยง
หลังเจ้าอสูรยุงปรากฎร่าง มันร้องคำรามเสียงแหลมออกมาทันที เสียงคำรามนี้ดังสะท้อนไปทั้งแผ่นดินและทำให้ฉือซานและฮัวเป่าใบหน้าซีดเผือดทันที เป็นที่แน่ชัดว่าด้วยระดับบ่มเพาะของพวกเขาไม่สามารถทนรับเสียงคำรามเสียดแทงเช่นนี้ได้
หลังจากส่งเสียงคำราม เจ้าอสูรยุงก็ร่อนลงด้านข้างหวังหลินและเริ่มลูบเขาด้วยปากของมันเหมือนกำลังอ้อน
หวังหลินยิ้มเบาๆและลูบเจ้ายุงก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนแผ่นหลังของมัน
จากนั้นหวังหลินเอ่ยท่าทีสงบนิ่ง “พวกเจ้าทั้งสองก็ขึ้นมาด้วย!”
ฉือซานกัดฟันแน่น เขาลอบคิดว่าไม่สามารถทำให้ขายหน้าต่อหน้าท่านบรรพชนได้และกระโดดขึ้นไป เมื่อเขาร่อนไปถึง กลิ่นอายเยือกเย็นแทรกผ่านแผ่นเท้าของเขาตรงๆ
วิชาปรับแต่งร่างกายของเขาไม่มีผลต่อกลิ่นอายหนาวเย็นนี้ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าทั้งร่างกำลังเจ็บปวด หากไม่ใช่ว่าเขามีความมุ่งมั่นก็คงแตกสลายไปแล้ว
หลังฮัวเป่าเห็นฉือซาน เขาไม่ยอมตกอยู่เบื้องหลังและกระโดดขึ้นไปเช่นกัน ทว่าเมื่อร่อนลงถึง กลิ่นอายเยือกเย็นแทรกผ่านร่างกายด้วย
หลังจากทนรับกลิ่นอายเยือกเย็น ฮัวเป่ายิ้มอย่างเจ็บปวด เขาคิดว่าท่านบรรพชนแข็งแกร่งจริงๆเพราะเพียงแค่อสูรที่ท่านบรรพชนเลี้ยงดูก็น่าหวาดกลัวขนาดนี้
เมื่อหวังหลินเห็นการกระทำของฉือซานและฮัวเป่า เขายิ้มขึ้นมาด้วยแววตาแฝงการชื่นชม เพียงแค่คิดเจ้าอสูรยุงก็พุ่งออกไปรวดเร็วราวกับสายฟ้า
สายลมรุนแรงปะทะกับทั้งสามคนทันที สายลมไม่มีผลกระทบต่อหวังหลิน มันกระทั่งทำให้เขารู้สึกสะบายจริงๆ
ส่วนฉือซานและฮัวเป่า พวกเขารู้สึกเหมือนกำลังถูกพายุเฮอร์ริเคนรุนแรงตีเข้าใส่ หากพวกเขาสูญเสียสมาธิไปหนึ่งจังหวะ คงถูกพัดออกไปไกลแน่
ฉือซานร้องคำรามต่ำขณะโคจรปลังปราณปิศาจในร่างอย่างรวดเร็วเพื่อกระตุ้นวิชาปรับแต่งร่างกายอย่างต่อเนื่องให้ต้านกับแรงลมนี้ ฮัวเป่าทำเช่นเดียวกัน เขาหลับตาและใช้พลังปราณปิศาจในร่างกายเพื่อต้านแรงลม
ที่นี่ห่างจากเมืองปิศาจโบราณถึง 15 ล้านลี้ ดังนั้นเจ้าอสูรยุงจึงต้องใช้เวลาอยู่สักพักจากที่นี่ หวังหลินไม่ได้เร่งรีบดังนั้นจึงไม่เสียพลังปราณสวรรค์ในร่างเพื่อให้วิชาเทพเคลื่อนที่พริบตา
ส่วนเจ้าอสุรยุงที่พุ่งผ่านท้องฟ้าไป ทุกเผ่าพันธุ์ที่มันผ่านจะกระตุ้นค่ายกลปกป้องของตนขึ้นมา ในสายตาพวกเขา เจ้ายุงตัวนี้แข็งแกร่งเกินไป มันสร้างคลื่นกระแทกจากการบินเร็วเหนือเสียงเพียงแค่ผ่านท้องฟ้า เสียงดังสนั่นทำให้มันเหมือนฟ้าร้องที่กำลังตกลงบนผืนดินจนเกิดเหตุการณ์ตื่นตระหนกกันทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ตอนที่หวังหลินเข้ามาในดินแดนวิญญาณปิศาจครั้งแรก เขาไม่รู้การคงอยู่ของค่ายกลและเผ่าพันธุ์เหล่านี้ ค่ายทั้งยังมีความสามารถในการซ่อนคนไว้ภายใน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหาใครเจอ ทว่าตอนนี้เขามีความเข้าใจบางส่วนเรื่องดินแดนวิญญาณปิศาจ ดังนั้นเมื่อมองลงไปตอนนี้หวังหลินจึงเห็นเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน
มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก จำนวนประชากรแตกต่างกันอย่างมากระหว่างเผ่าพันธุ์
“หากเผ่าหลอมวิญญาณของข้าสามารถรวมกับทุกเผ่าพันธุ์ในดินแดนวิญญาณปิศาจได้ มันจะกลายเป็นกองกำลังที่สั่นสะเทือนเก้าแคว้นที่นี่!” ดวงตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
เมื่อผ่านไปเจ็ดวัน เมืองปิศาจโบราณปรากฎในระยะสายตา ตอนที่พวกเขาอยู่ห่างจากเมืองไปห้าสิบลี้ หวังหลินเก็บอสูรยุงกลับไป เขา ฉือซานและฮัวเป่าร่อนลงบนพื้น
ฉือซานมีอารมณ์มั่นคง ที่ที่เขาเคยเดินทางไปไกลที่สุดที่ผ่านมาห่างจากเผ่าตนเองเพียงไม่กี่หมื่นลี้ แต่ตอนนี้เขาอยู่สถานที่ที่ห่างไกลถึง 15 ล้านลี้ แม้กระทั่งในความฝันเขาก็ไม่เคยจินตนาการถึงว่าสักวันจะมาที่นี่ อีกทั้งเขายังยอมให้ตัวเองตื่นเต้นอยู่เล็กๆก่อนจะรีบระงับความรู้สึกนี้อย่างรวดเร็ว ใบหน้านิ่งและดวงตาเยือกเย็นไม่เผยอารมณ์ที่กำลังประสบพบเจอออกมา
ท่าทางของเขาคล้ายกับหวังหลิน สี่ปีก่อนเขาไม่ใช่แบบนี้ ความเทิดทูนต่อหวังหลินทำให้เขาคัดลอกหวังหลินโดยไม่รู้ตัว
ที่นี่คือหนึ่งในเมืองของแคว้นปิศาจฟ้า เมืองปิศาจโบราณ!
ในสายตาของเผ่าพันธุ์ทั้งหมดเหล่านั้น เมืองปิศาจโบราณอาจถือได้ว่าเป็นสวรรค์ มันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในความฝันของทุกคน
ทั้งหมดนี้อาจจะมีผลกระทบต่อฉือซานมาก่อน แต่สำหรับเขาแล้วหวังหลินคือเทพแห่งสวรรค์ เผ่าพันธุ์คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขา และความฝันของเขาคือการได้รับการยอมรับจากหวังหลิน!
ส่วนฮัวเป่า เขายังเทียบไม่ได้กับฉือซาน ตอนที่เขาเห็นเมืองปิศาจโบราณเขาอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงและสักการะอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นสักพักเขาจึงคืนสัมผัสมาได้ พลันยืนขึ้นและเผยใบหน้าละอาย ตอนที่เขาเห็นท่าทางเฉยชาของฉือซานโดยไม่ได้แฝงอาการตื่นเต้นนั้น เขารู้สึกพ่ายแพ้ เขาสูดหายใจลึกพ่นน้ำลายใส่เมืองปิศาจโบราณ พึมพำเล็กน้อยและเผยใบหน้าดูถูก
หวังหลินยิ้มให้กับการกระทำของฉือซานและฮัวเป่า จากนั้นก้าวเข้าออกและเคลื่อนที่เข้าหาราวกับควันเมฆ
ฉือซานและฮัวเป่าติดตามไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามคนข้ามผ่านระยะห้าสิบลี้มาอย่างรวดเร็วและมาถึงเบื้องหน้าเมืองปิศาจโบราณ!
เมืองปิศาจโบราณมีขนาดใหญ่อย่างมากดังนั้นจึงไม่อาจเห็นปลายสุดได้เพียงแค่ชำเลืองมอง แม้ว่ามันจะเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่หวังหลินข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่ เขาเคยเห็นพวกดวงดาวและกลุ่มดาวเคราะห์มาแล้ว ไม่ว่าเมืองนี้จะกว้างใหญ่มากขนาดไหนมันก็เทียบไม่ได้
เมื่อเข้าไปในเมือง เขาไม่ได้ซ่อนพลังปราณสวรรค์และท่าทีสงบนิ่งอย่างมาก
ที่นี่เป็นประตูฝั่งเหนือและด้วยคนจำนวนมากที่เข้าออกเมืองจึงมีทหารรักษาการณ์ประจำอยู่เป็นธรรมดา
หวังหลินรู้เรื่องนั้นในโลกเซียน ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับพลังอำนาจและไม่ใช่เรื่องดีที่จะมีระดับต่ำ แถวที่นี่ยาวมากและหากเขารอคงใช้เวลาหลายชั่วโมงก่อนจะเข้าไปได้
เขาข้ามแถวและเดินตรงไปที่ประตูพร้อมกับฉือซานและฮัวเป่าติดตามด้านหลัง เปรียบความกังวลใจของฮัวเป่าแล้ว ความเย็นชาของฉือซานทำให้เขาดูสงบนิ่งมากกว่าเดิม
หวังหลินเข้ามาใกล้ประตูโดยทันทีทำให้ทหารรักษาการณ์จับความสนใจ ทหารทั้งหมดคือทหารปิศาจภายใต้แม่ทัพปีกซ้ายของเมืองปิศาจโบราณ
ระดับบ่มเพาะทั้งหมดเทียบเท่ากับเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณและในสายตาแต่ละคน หวังหลินเป็นคนป่าเถื่อนธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณปิศาจใดในร่างกาย
แต่ฉือซานและฮัวเป่าที่อยู่ด้านหลังหวังหลินกลับเต็มไปด้วยพลังปราณปิศาจและควรจะมีระดับสามหรือสูงกว่าขึ้นไป
การมีคนเช่นนี้เป็นผู้คุ้มกัน หวังหลินจึงยิ่งลึกลับในสายตาพวกเขา ทว่านี่มันยังไม่พอให้พวกทหารรักษาการณ์ต้องทำลายกฏ
เมื่อหวังหลินเข้ามาใกล้ ทหารนายหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำก้าวมาข้างหน้า เขาตวัดหอกชี้ไปที่หวังหลินและกล่าวเยือกเย็น “ถอยกลับไป!”
“อวดดี!” ไม่ต้องรอให้หวังหลินพูด ฉือซานก้าวเข้ามาและโยนกำปั้นออกไป ในความคิดของเขา ใครก็ตามที่กล้าหยาบคายใส่หวังหลินคือศัตรู
เขาไม่ได้รั้งกำปั้นนี้เลยและวิชาปรับแต่งร่างกายของเผ่ามารยักษ์ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า กำปั้นนี้ราวกับกระบี่เหินและทำลายกำแพงเสียงออกไป แม้แต่อากาศรอบกำปั้นก็พร่ามัวขณะที่มันพุ่งเข้าหาทหารปิศาจ
ท่าทางของทหารปิศาจคนนั้นเปลี่ยนไปมหาศาล ในสายตาเขา กำปั้นของฉือซานที่กำลังเข้ามาเหมือนกับอุกกาบาตและบรรจุพลังลึกลับเอาไว้ข้างใน เขาต้องการหลบเลี่ยงแต่พบว่ามีบางสิ่งรั้งเอาไว้ เขารู้สึกทั้งร่างอยู่ใต้น้ำและการเคลื่อนไหวช้าลง
แต่เขาผ่านการต่อสู้มาหลายสนามและมีประสบการณ์มาก เขารีบขยับหอกด้านหน้าร่างกายอย่างรวดเร็วและก้าวถอยกลับช่วงใหญ่
กำปั้นของฉือซานร่อนเข้าใส่พลันเกิดเสียงปังพร้อมกับเกิดรอยร้าวบนตัวหอก จากนั้นสลายกลายเป็นฝุ่นผงเนื่องจากพลังที่ถูกกระทบ
ใบหน้าทหารปิศาจซีดเผือด แม้ว่าพลังที่รั้งเขาเอาไว้จะหายไป เขาก็ถูกถอยกลับหลายก้าวพร้อมโลหิตซึมออกมาจากมุมปาก
หากไม่ใช่ว่าทหารปิศาจคนอื่นๆจับเอาไว้ เขาคงได้รับบาดเจ็บสาหัสมากกว่านี้ ทว่าแม้แต่คนที่จับเขาก็เกิดอาการสั่นเทาและใบหน้าแต่ละคนซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บเช่นกันเนื่องจากการช่วยดูดซับทหารคนนั้นจากพลังของกำปั้น