57. ลงสนาม (7)
เหล่าศิษย์สำนักซวนต้าวกลายเป็นโกรธเกรี้ยวพวกเขาลอบสาปแช่งหวังหลินว่าหยิ่งยโสเกินไปแต่กลับไม่ไม่มีใครกล้าออกไปข้างหน้าผู้อาวุโสโอวหยางและอีกสองคนก็ขมวดคิ้วเช่นกันมองไปยังหวังหลินด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร
หวังหลินเชิดหน้าและหัวเราะออกมาการกระทำของเขาตอนนี้เหมือนกับที่โจวเผิงทำครั้งที่แล้วอย่างเห็นได้ชัดพลางถามขึ้น “สำนักซวนต้าวพวกเจ้าทั้งหมดต่างก็กลัวที่จะออกมาพร้อมกันเนี่ยนะ?”
ศิษย์สำนักเหิงยั่วทั้งหมดกลายเป็นตื่นเต้นทันที พลันส่งเสียงเชียร์อย่างบ้าระห่ำ
“ขยะอย่างสำนักซวนต้าวขี้กลัวเป็นกับเขาด้วยหรือ? ความจองหองและหยิ่งสโยของพวกเจ้าไปไหนซะหล่ะ? ออกมาสิ!”
“พี่ใหญ่หวังหลินท่านหนังเนียวยิ่งนัก! ทั้งเตะทั้งต่อยสำนักซวนต้าวลงไปกองกับพื้น!”
“พี่ใหญ่พวกเจ้าไม่คู่ควร! พี่สองพวกเจ้าก็ไม่คู่ควรอีก! พวกเจ้ามีพี่สามไหม? ทั้งหมดนั่นแหละออกมาพร้อมกัน!”
“หลิวเฟิงออกมาหาความตายสิ!”
เหล่าศิษย์เหิงยั่วเริ่มหาเรื่องพาลและใบหน้าฮวงหลงกลายเป็นยิ้มกว้างและยิ่งกว้างมากขึ้นจนเมื่อหนึ่งในศิษย์ซวนต้าวทนอยู่เฉยไม่ได้และตะโกนกลับมา “หวังหลินเจ้าช่างจองหองนัก! เป็นเจ้าที่อยากให้เราทำแบบนี้เองนะ!เหล่าพี่น้องทั้งหลายออกไปและเอาชนะมันด้วยกันทั้งหมดเถอะ!”
“ใช่แล้ว! นี่เป็นคำขอของเขาเองไม่ใช่กฎซะหน่อย ผู้อาวุโส ให้พวกเราออกไป!”
“ผู้อาวุโส หวังหลินคนนี้ช่างอวดดีนัก! ให้พวกเราออกไปปปป!!”
ศิษย์สำนักซวนต้าวถามขึ้นทีละคน ผู้อาวุโสโอวหยางกัดฟันกรอด “เมื่อสำนักเหิงยั่วขอร้องมาแบบนั้น ก็ทำตามที่ต้องการเถอะ เข้าไป!”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ศิษย์สามคนก็กระโดดไปบนลานประลองทันทีทันใด ในไม่ช้าก็มี 7-8 คนอยู่บนลานประลองแล้ว มีศิษย์สตรีสองสามคนในหมู่พวกเขาที่ตะโกนขึ้นเรียกทั้งหมดหยิบเอาสมบัติวิเศษของตัวเองออกมาโจมตีไปที่หวังหลิน
หวังหลินไม่ได้คิดอะไรมากเขาเปิดใช้งานวิชาแรงโน้มถ่วงสร้างเป็นมือยักษ์หลายข้างและกวาดเหล่าฝูงชนออกไปทั้งหมดทันใดนั้นคนจำนวนมากก็ลอยละล่องออกไปทันทีจากนั้นเขาก็ถอยหลังสองสามก้าวและใช้แขนยักษ์จับไปที่เหล่าศิษย์ซวนต้าวที่บินเข้ามาโยนออกไปไกลโพ้น
เสียงกรีดร้องดังขึ้นระงม ศิษย์ซวนต้าวต่างถูกโยนออกมาจากลานประลองทีละคน และเมื่อถึงพื้นก็ไม่อาจยืนอย่างมั่นคงได้
ยิ่งหวังหลินต่อสู้ก็ยิ่งชำนาญมากขึ้นการควบคุมวิชาเซียนแรงโน้มถ่วงของเขาขัดเกลามากขึ้นกว่าแต่ก่อนหลังจากนั้นไม่นานนักก็เหลือเพียงคนอยู่สามคน หนึ่งในนั้นคือหลิวเฟิง
หวังหลินหัวเราะออกมาและโยนระเบิดกลิ่นเหม็นชิ้นสุดท้ายออกไป
ใบหน้าหลิวเฟิงเปลี่ยนไปทันทีเขาไม่ระวังอีกสองคนต่อไปแล้วพลันตะโกนขึ้น “พี่หวังขอความเมตตาเถิด!ข้ายอมแล้ว! ข้ายอมแล้ว!” ขณะที่พูดไปด้วยก็ถอยหนีอย่างรวดเร็วไปด้วยและก้าวออกไปจากลานประลองเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับโจวเผิงและยางยี่ไปแล้วดังนั้นไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นแบบเดียวกันกับเขาเอง
สองคนสุดท้ายคือฉิวมู่และหลี่ชาน
ฉิวมู่เห็นท่าทางไม่ดี เขารีบยอมแพ้อย่างรวดเร็วและออกจากลานประลองอย่างเก้ๆกังๆ
ใบหน้าของหลี่ชานเต็มด้วยความทุกข์ใจเขาตะโกนขึ้นหาหวังหลินเสียงดัง “หวังหลิน มาสิใช้ระเบิดอันสุดท้ายนั่นกับข้า!” ด้วยความแข็งแกร่งของเขาโดยปกติจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่แต่เมื่อเขาอยู่บนลานประลองจึงได้แกล้งตายทันทีแม้ว่าเขาขึ้นมาประลองไม่กี่ครั้ง มันก็ช่วยประโยชน์ได้มากในอนาคต
หลี่ชานวางแผนไว้อย่างดี ถ้าหากเขาโดนระเบิดขึ้นมาเหมือนพี่ใหญ่และพี่สอง เขาอาจะเรียกความสงสารได้และพ่ายแพ้อย่างไม่เลวร้ายนัก
หวังหลินยิ้มให้เขา จากนั้นเก็บระเบิดออกไป “นี่เป็นของวิเศษ ดังนั้นมันจึงไม่ควรใช้อย่างไม่ระวัง เจ้าสามารถออกไปได้แล้วหละ”
ด้วยวิชาเซียนแรงโน้มถ่วงของเขา สามารถจับหลี่ชานเหมือนลูกแก่ในกำมือและโยนออกไปนอกลานประลองอย่างง่ายๆ
ผู้อาวุโสโอวหยางและอีกสองคนต่างโกรธเคือง พวกเขาอยากจะกระทืบมันเป็นโพรงให้ได้นับตั้งแต่นี้
ใบหน้าของฮวงหลงเต็มไปด้วยความปลื้มปิติยินดีพลางพูดขึ้น “สหายโอวหยาง ใครเป็นผู้ชนะระหว่างการประลองทั้งสองสำนักของพวกเรากันหนอ?”
ผู้อาวุโสโอวหยางเหยียดยิ้ม “สำนักเหิงยั่วของพวกเจ้าเคราะห์ดีที่มีศิษย์เก่งการประลองนี้ถือว่าเจ้าชนะ! แต่เรื่องที่ข้าพูดคราวก่อนนเป็นความจริงบรรพบุรุษขั้นผลิดอกของเหิงยั่วทั้งหมดตายไปแล้ว!ของทั้งหมดที่เจ้าต้องการอยู่ในถุงนี้ ลาก่อน!”
ด้วยคำพูดนี้เขาได้โบกแขนเสื้อพลันถุงชิ้นหนึ่งลอยออกมา ฮวงหลงจับถุงนั้นไว้อย่างครุ่นคิด
ผู้อาวุโสโอวหยางตะโกนขึ้นอีกครา และในไม่ช้าเมฆาสีดำก็มาเยือนตำแหน่งเขา
หวังหลินมองใกล้ๆและพบว่านั่นเป็นตะขายหมื่นขา
ผู้อาวุโสโอวหยางก้าวหนึ่งครั้งและกระโดดขึ้นไปบนตะขาบตัวนั้นโดยไม่พูดอะไรอีกเหล่าศิษย์ของสำนักซวนต้าวลอยไปบนตำขาบด้วยแววตาอับอาย โกรธแค้นหลายอารมณ์ปะปนกันไป
เมื่อเห็นคนอื่นๆต้องการจะออกไปสายตาของหวังหลินเบิกกว้างและตัดสินใจได้ เขาตะโกนขึ้น “เพื่อนฝูงสำนักซวนต้าวและผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องไร้เหตุผลจะขอร้อง!”
ด้วยคำพูดนี้ร่างเขาทะยานไปข้างหน้าด้วยวิชาเซียนแรงโน้มถ่วงและหยุดก่อนจะถึงตะขาบตัวนั้นผู้อาวุโสโอวหยางไม่เปลี่ยนสีหน้า หากมันเป็นศิษย์คนอื่นของเหิงยั่วเขาคงไม่สร้างความรำคาญได้ แต่นี่พลังของหวังหลินช่างน่าทึ่งดังนั้นจึงได้หักห้ามใจไว้ “พูดมา!”
หวังหลินมองไปที่ตะขาบหมื่นขาและพูดอย่างซื่อตรง “ข้าอยากจะขอยืมพิษตะขาบสักเล็กน้อย ข้าหวังว่าผู้อาวุโสโอวหยางจะตกลง!”
ก่อนที่ผู้อาวุโสโอวหยางจะพูดขึ้นเหล่าศิษย์ซวนต้าวทั้งหมดกลายเป็นโกรธเคือง หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้น “หวังหลินอย่าผลักให้พวกเราต้องห่างกันไกล!”
“หวังหลิน ตะขาบนี้เป็นสัตว์วิญญาณองครักษ์ของสำนักซวนต้าวของเรา! เจ้าคิดว่าจะขอยืมพิษเพียงแค่กล่าวขึ้นมาได้เช่นนั้นหรือ?!”
“เจ้ามันโอหังเกินไป! ผู้อาวุโส คนผู้นี้หยาบคายกับสำนักซวนต้าวของเรามากเกินไป! ข้าขอให้ผู้อาวุโสสั่งสอนเขาเสียหน่อย!”
ผู้อาวุโสอีกทั้งสองคนไม่อาจหยุดการเยาะเย้ยนี้ได้
ผู้อาวุโสโอวหยางจ้องไปที่หวังหลินและยิ้มอย่างขนลุก “เจ้าหนุ่ม ไปซะเถอะ ข้าไม่อาจให้มันกับเจ้าได้!”
ฮวงหลงและผู้อาวุโสคนอื่นๆของเหิงยั่งก้าวไปบนกระบี่เหินและบินไปถัดจากหวังหลินฮวงหลงพูดขึ้นน้ำเสียงแจ่มชัด “สหายฮวงหลงสำนักซวนต้าวของเจ้าขี้เหนียวจริงๆ แค่พิษตะขาบเท่านั้นไม่ได้จะเอาชีวิตของมันซะหน่อย!”
ผู้อาวุโสโอวหยางใบหน้ามืดหม่นเขามองรอบๆและจ้องลงกลับไปที่ฮวงหลง “สหายฮวงหลงนำพิษไปเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เจ้าหนุ่มคนนี้กล้าหยิ่งยโสไม่เคารพสำนักซวนต้าวเกินไป!”
ฮวงหลงลังเลชั่วขณะเขาไม่ต้องการทำให้สำนักซวนต้าวลำบากใจมากเกินไปเพราะว่าข่าวที่พวกเขานำมาทำให้รู้สึกตกใจเกินพอแล้วถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นจริงเมื่อนั้นสมดุลพลังของผู้ฝึกเซียนแคว้นจ้าวจะถึงการตาลปัตร
หวังหลินลังเลเขาอยากได้พิษจากตะขาบตัวนี้จริงๆจึงพูดกับผู้อาวุโสโอวหยางขึ้น “ผู้อาวุโสโอวหยาง ข้าเพียงต้องการพิษตะขาบเล็กน้อยข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้มันบาดเจ็บ ถ้าท่านตกลงข้าจะแลกเปลี่ยนกับของบางอย่างก็ได้”