576. หวังหลิน โจมตีข้าด้วยพลังเต็มที่!
เสียงระเบิดออกมาจากคุกเมืองฮ่องอีกครา ฝุ่นดินโคลนฟุ้งขึ้นกลางอากาศ กระบี่เงินส่งเสียงหึ่งๆอย่างอวดดีและลอยออกไปไกล
หวังหลินมองทิศทางที่กระบี่จักรพรรดิเหาะเหินออกไป เขายิ้มบางๆขึ้น “ทำไมกระบี่ถึงทำตัวเหมือนเด็กๆเช่นนี้? มันหาข้าไม่เจอเลยไปลงกับคุกเมืองฮ่อง มันทำมากี่ครั้งแล้ว สิบครั้ง?”
โม่ลี่ไฮ่นั่งตรงข้ามกับหวังหลิน เขาทำได้แค่ยิ้มอย่างขมขื่น แต่ขณะเดียวกันก็ชื่นชมหวังหลินไปในตัวด้วย หากไม่ใช่ว่าเขากำลังเพ่งสายตามองหาหวังหลินก็คงไม่สามารถหาตัวเจอได้เลย
วิธีการเช่นนี้พิสูจน์ได้ว่าเรื่องที่กระบี่จักรพรรดิผ่านไปมาหลายครั้งและก็ยังไม่สามารถหาตัวหวังหลินเจอได้
เมื่อคิดว่าเขากระทั่งไม่จำเป็นต้องขุดหลุมให้หวังหลินเมื่อสองสามวันก่อนเลย เขาประเมินค่าหวังหลินเพิ่มขึ้นมากแล้วในตอนนี้
นอกจากนี้หลังจากที่หวังหลินกลับมาจากคุกเมืองฮ่อง โม่ลี่ไฮ่รู้สึกราวกับหวังหลินเป็นคนละคน โดยเฉพาะตอนที่เขามองสัญลักษณ์ที่กำลังกระพริบบนหน้าผากหวังหลิน สัญลักษณ์นี้ทำให้จิตใจเขาเต้นกระดอน
เขาไม่ได้ถามรายละเอียดแต่เดาว่าเรื่องที่หวังหลินทำให้กระบี่จักรพรรดิโกรธเกรี้ยวนนั้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาของเขาหรือไม่ก็บังเอิญเผชิญหน้ากัน
“ตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งแค่ไหนแล้ว? เปรียบกับตอนที่เจ้าเข้าเมืองปิศาจโบราณมาใหม่จะสักเท่าไหร่?“ หลังขบคิดอยู่สักพัก โม่ลี่ไฮ่จึงตัดสินใจถามขึ้น เขาต้องการรู้ว่าตำแหน่งไหนที่สมควรได้รับในการประลองของแม่ทัพปิศาจ!
มีโอกาสอยู่สองครั้งระหว่างการประลองแม่ทัพปิศาจ หากแม่ทัพพ่ายแพ้จะสามารถเอาตัวช่วยมาสู้แทนได้! ทว่ามีข้อกำหนดอยู่หนึ่งอย่างนั่นคือคนผู้นั้นต้องไม่เป็นคนที่นี่และต้องเป็นคนต่างถิ่น!
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแม่ทัพปิศาจถึงเลือกหวังหลิน
หวังหลินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้ายังสามารถเอาชนะท่านได้โดยไม่ต้องใช้ฝ่ามือนั่น!”
โม่ลี่ไฮ่จ้องหวังหลิน หลังจากนั้นสักพักจึงหัวเราะและเอ่ยออกมา “เยี่ยมมาก ด้วยประโยคนี้ดูเหมือนว่าความพยายามของข้าไม่สูญเปล่า! น้องหวัง จักรพรรดิปิศาจจะลงมาดูการแข่งขันของแม่ทัพเป็นการส่วนตัวในอีกครึ่งเดือน หากเจ้าทำได้ดี ข้าจะเสนอชื่อเจ้า เจ้าจะได้รับตำแหน่งแม่ทัพปิศาจแน่นอน!”
หวังหลินยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอันใด
โม่ลี่ไฮ่ครุ่นคิดและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “น้องหวัง เจ้าต้องกลับเร็วหน่อย คืนนี้ข้าจะพาเจอไปพบเจอคนสำคัญ!”
หวังหลินพยักหน้า จากนั้นยืนขึ้น “พี่โม่สบายใจได้!”
ทั้งสองมองหน้ากันเองและต่างหัวเราะ โม่ลี่ไฮ่รู้สึกมีความสุขและยิ้มออกมา “งั้นพี่ชายคนนี้จะไม่รบกวนเจ้าแล้ว เจ้าไปฟังเสียงพิณเถอะ”
เรื่องที่หวังหลินฟังเสียงพิณข้างแม่น้ำไม่ใช่ความลับ ดังนั้นโม่ลี่ไฮ่จึงรู้เป็นธรรมดา
หวังหลินเดินออกมาจากคฤหาสน์แม่ทัพโม่
เขาเดินเงียบๆไปข้างแม่น้ำพร้อมกับยกดื่มเหล้าเป็นพักๆ หวังหลินดูสงบนิ่งมากและจิตใจเกิดความสงบสุข
ตลอดช่วงเวลานี้ หวังหลินนั่งที่นี่ทุกวัน รอคอยเรือผ่านมาเพื่อให้เขาได้ยินเสียงพิณ ทว่าเสียงเพลงได้เปลี่ยนจากก่อนหน้านี้ไปมากมายกลายเป็นเสียงเพลงแห่งความสุขที่ซ่อนความเศร้าอันล้ำลึกเอาไว้
หวังหลินไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลงมันด้วยกำลัง เขาเพียงแค่เป็นคนที่เดินผ่านไปผ่านมาและเฝ้ามองอารมณ์หลากหลายอย่างด้วยความคิดของคนที่ผ่านไปมาเช่นกัน
จนกระทั่งตอนนี้หวังหลินไม่รู้ว่าสตรีคนนั้นรูปร่างหน้าตาแบบไหน นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือเขากำลังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
เมื่อไหร่ที่เสียงพิณเข้าไปสัมผัสกับผนึกความทรงจำในใจเขา หวังหลินรู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานมาก จิตใจหวังหลินสงบนิ่งอย่างที่สุด
เสียงพิณดังขึ้นได้ยินก่อนที่เรือหลายลำปรากฏออกมา เสียงพิณสนุกสนานนี้ดูเหมือนจะเผยความเศร้าหมองและไร้พลังอำนาจ หากมองตามเสียงพิณจะมีเรือค่อยๆมาถึงอย่างช้าๆ
ผู้ที่ดีดพิณอยู่บนหัวเรือซึ่งนางยังหันหลังให้กับหวังหลิน นิ้วมือขาวเนียนราวกับหยก นางเคลื่อนมือสร้างเสียงพิณแพร่กระจายเข้าสู่บรรยากาศอย่างช้าๆ วันนี้มีเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ด้านหน้านาง
ชายหนุ่มคนนี้อายุราวๆยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดปี เขาสวมชุดคลุมสีเขียวและแม้จะดูรูปร่างธรรมดาแต่ให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้าน เขานั่งดื่มเหล้าและฟังเสียงพิณไปด้วยโดยที่ไม่มีพลังปราณปิศาจใดรอบตัว
ชายหนุ่มวางถ้วยลงและเอ่ยถามเบาๆ “เจ้า…เจ้าไม่เล่นแบบนี้ได้ไหม? ข้าอยากฟังเสียงเพลงของเจ้า!”
นางหยุดเล่น หลังจากคิดอยู่สักพักจึงพยักหน้าและนิ้วมือบรรจงเล่นเพลงอีกครั้ง เสียงเพลงเศร้าค่อยๆดังก้องไปทั่วพื้นที่ราวกับเสียงเพลงนั้นได้รวมกับคลื่นกระทบฝั่งและกระจายสู่สองฟากแม่น้ำ
คลื่นน้ำหยุดลงเมื่อมาถึงด้านหน้าหวังหลิน แต่เสียงเพลงไม่ได้หยุดตามและเข้าสู่หูของเขา
ชายหนุ่มบนเรือค่อยๆหลับตาอย่างช้าๆและดื่มดับกับความเศร้าและความเจ็บปวดในเสียงพิณอย่างละเอียด
หวังหลินหลับตาลงด้วยเช่นกันและเริ่มจมลึกลงในเสียงพิณ ราวกับเสียงเพลงรวมเข้าสู่จิตใจเขาและไม่เลือนหายไปอยู่สักพัก
ทั้งสองคน หนึ่งในนั้นอยู่บนเรือและอีกหนึ่งอยู่บนริมแม่น้ำ แม้ว่าทั้งคู่จะมีความรู้แจ้งแตกต่างกันแต่ตอนนี้เกิดการเชื่อมกันบางอย่าง
หวังหลินลืมตาและมองไปที่เรือในครั้งแรก สายตาจรดลงบนหญิงสาวและจากนั้นเลื่อนไปที่ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มคนนี้ลืมตาและมองมาที่หวังหลินเช่นกัน
ทั้งสองมองหน้ากันเองชั่วครู่ก่อนที่หวังหลินจะยกเหล้าขึ้นแสดงท่าทางและดื่มไปอึกใหญ่ เด็กหนุ่มบนเรือเผยรอยยิ้มยกแก้วขึ้นมาดื่มหมดในอึกเดียว
เรือนั้นค่อยๆห่างออกไปไกลและเลือนหายไปจากสายตาหวังหลิน มีเพียงเสียงพิณจางๆที่ยังสะท้อนไกลๆ
เมื่อเรือห่างออกไปไกลแล้วสตรีบนเรือที่กำลังเล่นพิณได้หันกลับมามองฝั่งแม่น้ำ ในสายตาทุกสิ่งทุกอย่างยังคงมืดสนิท
เด็กหนุ่มวางจอกเหล้าตัวเองและเอ่ยอย่างนุ่มนวล “มีคนอยู่ตรงนั้น!”
หมิงซวนไม่ได้พูดออกมา นางหันศีรษะไปรอบๆและดำเนินการเล่นเพลงโศกเศร้าต่อไป
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “สหายน้อยสนใจอันใดเล่า…”
เมื่อหวังหลินกลับมาคฤหาสน์แม่ทัพโม่ในยามดึก เขาและโม่ลี่ไฮ่ออกไปด้วยกันและเข้าสู่เมืองซวน
แม้ว่าเมืองซวนจะมีขนาดเท่ากับเมืองฮ่อง ทว่ามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมืองแห่งนี้ส่องสว่างและท่ามกลางคนเดินถนนก็ยังมีเหล่าทหารชุดเกราะมากกว่า
โม่ลี่ไฮ่หยุดด้านนอกคฤหาสน์แห่งหนึ่งในเมืองซวน จากนั้นนำจดหมายออกมาส่งให้ทหารรักษาการณ์ด้านนอก ทหารรับจดหมายและส่งเข้าไปข้างในคฤหาสน์ทันที
หวังหลินสำรวจคฤหาสน์ด้วยสายตาและหยุดลงบนป้ายทางเข้าคฤหาสน์
“คฤหาสน์รองหัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุด ซวน”
“”แปดหัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุดจะมีชื่อเดียวกับแปดเมืองของปิศาจฟ้า ทว่าคฤหาสน์ของแต่ละคนไม่ได้มีคำว่า ‘รองหัวหน้า!’ อยู่ในชื่อเหมือนของเมืองซวน” หลังจากโม่ลี่ไฮ่กล่าวเช่นนี้เขาลังเลเล็กน้อยและกล่าวเสริม “หัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุดของเมืองชวนมีความสัมพันธ์อันดีกับจักรพรรดิปิศาจ…”
หวังหลินพยักหน้า โม่ลี่ไฮ่อธิบายเรื่องการเลือกรองหัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุดระหว่างการแข่งขันของแม่ทัพปิศาจครั้งนี้ไว้แล้ว และทั้งหมดเป็นสิ่งสำคัญ
หลังจากนั้นไม่นาน ทหารรักษาการณ์ได้กลับมาและกล่าวอย่างเคารพ “แม่ทัพโม่ ท่านรองผู้บัญชาการสูงสุดยินดีต้อนรับท่าน!”
โม่ลี่ไฮ่เดินเข้าไปข้างในด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและหวังหลินเดินตามเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ ภายใต้การนำทางของทหารคนนั้น โม่ลี่ไฮ่และหวังหลินจึงเข้าสู่ลานข้างในได้
“ท่านรองผู้บัญชาการสูงสุดจะพบกับแม่ทัพตรงนี้!” นายทหารหยุดกึกและชี้ไปที่ทางโค้ง หลังจากนั้นเขาก็จากไปด้วยท่าทีเคารพ
โม่ลี่ไฮ่เดินผ่านทางเดินที่มีหลังคาตรงนั้นอย่างสงบนิ่งพร้อมกับหวังหลิน ข้างในเป็นสวนดอกไม้แปลกใหม่อยู่เต็มพื้นที่ กลิ่นหอมของดอกไม้ได้ชำระล้างทั้งสองคน
บุรุษสวมชุดคลุมสีม่วงผู้หนึ่งยืนไพล่หลังให้กับทั้งสองคนและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขายืนอยู่งตรงนี้ราวกับได้หลอมรวมกับสิ่งแวดล้อมรอบด้าน หวังหลินเพียงชำเลืองหนึ่งครั้งก่อนจะถอนสายตาออกมา ระดับบ่มเพาะของเขาเท่ากับเซียนขั้นเทวะระดับต้นสูงสุดซึ่งพร้อมจะทะลวงด่านได้ทุกเวลา!
ทว่าจนกว่าเขาจะทะลวงขั้นจริงๆ เขายังห่างไกลนักหากจะเปรียบเทียบกับเซียนขั้นเทวะระดับกลาง
โม่ลี่ไฮ่สูดหายใจลึกและกล่าวอย่างนอบน้อม “โม่ลี่ไฮ่ขอคารวะท่านรองผู้บัญชาการสูงสุด!”
คนผู้นั้นไม่ได้กล่าวตอบ เขายังไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวเลยและเพียงแค่ยืนนิ่งๆมองไปบนท้องฟ้า
สิ่งแวดล้อมรอบด้านเงียบสนิท
ความเงียบนี้ได้เปลี่ยนเป็นแรงกดดันล้อมรอบพื้นที่โดยไม่รู้ตัว แม่ทัพปิศาจโม่ลี่ไฮ่สงบนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวและยืนนิ่งอย่างเงียบๆ
ส่วนหวังหลินนั้นเขาเป็นเซียนที่ฝ่าฝืนกฏสวรรค์มาตลอด ดังนั้นจะให้หวังหลินมาพังง่ายๆภายใต้แรงกดดันแบบนี้ได้อย่างไร? หวังหลินมีท่าทางสงบนิ่ง แม้แต่ตอนที่เผชิญกับเทียนหยุนเขาก็ยังสงบ คนผู้นี้เพียงแค่ขั้นเทวะระดับต้นแท้ๆ ยังอ่อนแอกว่าจูเซว่จื่อและซือถูหนานด้วยซ้ำ
ความสงบนิ่งของหวังหลินและท่าทางไม่เคลื่อนไหวของโม่ลี่ไฮ่ได้สลายแรงกดดันนี้อย่างเงียบๆ
ชายชุดคลุมสีม่วงหันกลับมา มองทั้งสองคนด้วยดวงตาเปล่งประกายราวกับสายฟ้า เขามองราวกับเป็นผู้อาวุโสกำลังมองชนรุ่นหลังและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหนือกว่า “สามารถสงบนิ่งภายใต้แรงกดดันของข้าได้ ไม่เลว!”
“โม่ลี่ไฮ่ เจ้ามั่นใจแค่ไหนว่าจะรักษาตำแหน่งรองผู้บัญชาการสูงสุดไว้ได้?” ชายชุดคลุมม่วงเอ่ยตรงไปตรงมาและเข้าประเด็น
โม่ลี่ไฮ่ครุ่นคิดเล็กน้อยและตอบอย่างเคร่งขรึม “สี่ในสิบส่วน!”
“โอ้?” ดวงตาชายชุดคลุมม่วงหรี่แคบและเอ่ยอีกครั้ง “ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพปิศาจมากมายที่มาหาข้าที่นี่ เจ้ามีความเชื่อมั่นน้อยที่สุด!”
โม่ลี่ไฮ่ชี้ไปที่หวังหลินและเอ่ยขึ้น “เพิ่มคนผู้นี้ไปด้วย ข้ามั่นใจถึงเก้าในสิบส่วน!“
สายตาชายชุดคลุมม่วงจรดลงบนหวังหลิน ดวงตาสงบนิ่งไร้ความผันผวน ราวกับหวังหลินเป็นเพียงมดในสายตา
เขามีคุณสมบัติในการที่จะมองหวังหลินเช่นนั้นเพราะเขาเป็นรองหัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุด เป็นสหายที่ดีกับจักรพรรดิปิศาจและมีปราณปิศาจเกือบถึงระดับหนึ่งล้านซึ่งเทียบเท่ากับเซียนขั้นเทวะระดับต้น เขายังเกือบจะทะลวงด่านอีกด้วยซึ่งจะทำให้เขาเหนือกว่าแม่ทัพปิศาจคนอื่นๆทั้งหมดและเพียงแค่รอคอยการเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุดตัวจริงเท่านั้น ในสายตาเขาหวังหลินเป็นเพียงผู้ติดตามของโม่ลี่ไฮ่เท่านั้น
เขากระทั่งไม่พิจารณาว่าโม่ลี่ไฮ่คู่ควร ดังนั้นเขาจะสนใจผู้ติดตามของโม่ลี่ไฮ่ทำไม?
หากไม่ใช่ว่าเขารู้เรื่องที่จักรพรรดิปิศาจมีสายตาบนตัวโม่ลี่ไฮ่คนนี้ เขาคงไม่ต้องมาพบโม่ลี่ไฮ่หรอก เพราะในสายตาเขาแล้วโม่ลี่ไฮ่ยังไม่มีคุณสมบัติพอ แทนที่จะพบโม่ลี่ไฮ่ เขาเอาเวลามาดื่มด่ำกับดอกไม้เสียดีกว่า ในเมืองปิศาจฟ้าแล้วแทบทุกคนรู้ว่าท่านรองผู้บัญชาการสูงสุดซวนคนนี้ชื่นชอบดอกไม้มากแค่ไหน โดยเฉพาะดอกไม้แปลกใหม่ เขาไม่ใช่แค่ชอบดอกไม้เท่านั้นแต่ยังหวงแหนอย่างมาก หากคนรับใช้คนใดไปแตะต้องดอกไม้เข้าโดยบังเอิญ เขาจะเตะออกจากคฤหาสทันที หากใครคนใดกล้าทำให้ดอกไม้เสียหาย เขาจะถูกตัดหัว!
ชายชุดคลุมม่วงใจร้อนเล็กน้อยแต่ไม่ได้เผยออกมา
“จงแสดงวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าออกมา ให้ข้าได้เห็นว่าทำไมโม่ลี่ไฮ่ถึงคิดว่าเจ้าสามารถเพิ่มโอกาสให้เขาถึงห้าส่วน!” ชายหนุ่มผ้าคลุมม่วงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ในสายตาเขาชายหนุ่มคนนี้เป็นเพียงแค่เซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายเท่านั้นและไม่คิดว่าจะมีค่าพอให้เขาสนใจ
เขาไม่ได้ดูถูกหวังหลิน แต่เหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจหวังหลินเลย
“จงใช้พลังเต็มที่ของเจ้า หากเจ้าสามารถทำให้ข้าเคลื่อนไหว ข้าจะถือว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอ!” เขายังคงมองเข้าไปในท้องฟ้าและกระทั่งไม่ชายตามองหวังหลิน
หวังหลินมองคนผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา พลันยกฝ่ามือขึ้นโดยไม่ลังเล พลังสังหารรวบรวมไว้บนมือพร้อมกับชี้ไปข้างหน้า
เศษเสี้ยวพลังสังหารนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาจากแขนเขาทันที ตอนนี้พลันเกิดพายุจิตสังหารขึ้นรายล้อมไปทั้งพื้นที่
พลังสังหารนับสองพันสายระเบิดออกมาจากหวังหลินและพุ่งเข้าใส่ชายชุดคลุมม่วงราวกับมังกรที่กำลังโกรธเกรี้ยว!
ในตอนเริ่มต้น ท่าทางของชายชุดม่วงยังมีท่าทีเช่นเดิมเหมือนก่อน ซึ่งเมินเฉยตัวตนหวังหลินอย่างสิ้นเชิง ทว่าหลังนั้นพริบตา ท่าทางจึงเปลี่ยนไปเมื่อพลังสังหารสองพันสายเข้ามาใกล้เขา
ชายชุดคลุมม่วงถอยหลังโดยไม่ลังเล จากนั้นปราณปิศาจระเบิดออกมาจากร่างและเกิดเป็นรูปร่างพยัคฆ์ปิศาจตัวหนึ่ง ทว่าขณะที่พยัคฆ์ปิศาจตัวนั้นก่อร่างขึ้นมามันก็ถูกพลังสังหารหลายเส้นแทงทะลุผ่านทันที พลังสังหารมุ่งตรงไปบนหน้าอกของชายชุดคลุมม่วงโดยพลัน
ชายชุดม่วงสีหน้าเปลี่ยนไปมหาศาลพร้อมกับถอยหลังขึ้นอีก เขาไม่สนใจดอกไม้และก้าวไปเยียบพวกมันเสียแล้ว เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องดอกไม้ในตอนนี้ เส้นผมทั้งหมดบนร่างตั้งขึ้นและเขากำลังเพ่งสมาธิในการต่อต้านวิชานี้
ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาหากเตรียมตัวมาคงไม่ตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แต่เขาดูถูกหวังหลินมากเกินไป วิชานี้แม้แต่เขาเองก็อาจจะไม่สามารถต้านทานมันได้ถึงจะเตรียมตัวมาเต็มที่ ตอนนี้มันสายเกินไปที่เขาจะนึกเสียใจแล้ว
ม่านแสงสีฟ้าบนเกราะปิศาจปรากฎห่างจากร่างเขาออกมาเจ็ดนิ้ว แต่ขณะที่มันปรากฏขึ้นมันถูกพลังสังหารสองพันสายระดมเข้าใส่และถูกบังคับให้ถอยร่นกลับมา
เมื่อเห็นว่าเกราะกำลังถูกดันให้กลับมาในระยะสามนิ้ว ชายชุดม่วงส่งเสียงคำราม เส้นโลหิตปูดโปนบนศีรษะพร้อมกับล่าถอยอีกครั้ง เขาก้าวไปบนดอกไม้ที่หวงแหนนับไม่ถ้วน
แต่เกราะปิศาจไม่สามารถทนต่อพลังสังหารสองพันสายได้เลย ดังนั้นมันจึงพังทลายทันที!
พลังสังหารสองพันสายเข้าไปในร่างเขาและหมุนวนผ่านร่างกายหนึ่งครั้ง เมื่อหวังหลินโบกแขน พลังสังหารก็ออกจากร่างชายชุดม่วงผ่านรูขุมขนทั้งหมดและกลับเข้าสู่มือหวังหลิน
ใบหน้าชายชุดม่วงซีดเผือดถึงที่สุดและทันใดนั้นหวังหลินกลายเป็นตัวตนที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ด้วยระดับขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายสูงสุดและพลังสังหารสองพันสาย มัไม่ยากที่เขาจะต่อกรกับเซียนขั้นเทวะระดับต้นเลย!
“เยี่ยมมาก! เจ้ามีคุณสมบัติ!” ชายชุดม่วงสูดหายใจลึกพร้อมกับบังคับให้ตนเองแสดงใบหน้าสงบนิ่งและเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวราวกับผู้อาวุโสกำลังมองผู้เยาว์รุ่นหลัง
โม่ลี่ไฮ่มีสีหน้าประหลาดใจ เขาระงับอาการตื่นเต้นในใจพร้อมกับนำหวังหลินออกห่างอย่างรวดเร็ว
หลังจากมั่นใจว่าทั้งสองคนจากไปไก้ไกลแล้ว ชายชุดม่วงไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปและกระอักโลหิตคำโตออกมา คนรับใช้เข้ามาด้วยความตื่นตระหนกเมื่อเห็นฉากเหตุการณ์เบื้องหน้า
“ข้าจะไม่พบใครอีกสามเดือน ข้าจะไปปิดด่านฝึกตน!” หลังจากเอ่ยจึง ร่างชายชุดม่วงพลันเลือนหายไป