644. หมอกม่วงรวมเป็นหนึ่ง
หวังหลินเผยรอยยิ้มเบาบาง คำนับมือให้กับโจวยี่และกล่าวออกมา “ผู้อาวุโสโจวยี่ ผู้น้อยมีเรื่องจะขอร้อง”
โจวยี่มองหวังหลินอย่างพินิจและเอ่ยถาม “เรื่องอะไร?”
แววตาหวังหลินฉายแววแห่งปัญญาพลางกล่าวขึ้น “ให้ผู้อาวุโสกระจายสัมผัสวิญญาณกระบี่ของท่านภายในหมอกม่วงและทำให้ตัวตนของท่านกว้างมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ข้าจะไปพบกรีดกับพวกนั้น”
โจวยี่พยักหน้า “เจ้าต้องระมัดระวังตัวเองให้ดี” น้ำหนักในคำพูดหวังหลินได้เปลี่ยนความคิดเขาไปอย่างมากหลังจากได้ยินคำพูดก่อนหน้านั้น
หวังหลินยิ้มบาง “ผู้อาวุโสสบายใจได้ ก่อนหน้านี้กรีดคนนั้นเพียงแค่ตะโกนออกมาแทนที่จะไล่ล่าพวกเราเหมือนว่ากำลังกังวลอะไรบางอย่าง เขาเป็นคนระมัดระวังตัว”
โจวยี่ถอนหายใจและเผยสายตาชื่นชมหวังหลินอย่างตรงไปตรงมา หวังหลินสามารถสรุปเช่นนี้ได้จากเบาะแสเล็กๆน้อยๆ นี่เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถทำได้!
หวังหลินคิดอีกครั้งและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส ผู้น้อยเดาว่ามีโอกาสมากที่กรีดจะมาที่นี่เพื่อป้ายสิทธิ์ ป้ายสิทธิ์นี้เป็นหนทางเดียวในการไปเจอบิดาของผู้อาวุโสฉิงซวน ดังนั้นผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องรั้งมือ!”
โจวยี่เปลี่ยนสายตาเป็นเย็นเยียบและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หวังหลิน เจ้าสบายใจได้!”
หวังหลินไม่กล่าวต่ออีก พลางคำนับฝ่ามือให้กับโจวยี่ก่อนจะก้าวเข้าไปในหมอกเข้าหากรีดและพรรคพวก
ในความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เป็นความคิดที่แย่นักที่พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ในหมอกม่วง และโจวยี่สามารถสังเกตการณ์พวกเขาด้วยสัมผัสวิญญาณกระบี่ได้ ทว่าตั้งแต่ที่กรีดสำรวจไปทั่วแล้ว แทนที่จะซ่อนตัวอยู่ห่างๆกลับเลือกที่จะเข้าไปและสังเกตการณ์ด้านในแทน
อีกเหตุผลสำคัญที่หวังหลินอยากรู้ก็คือกรีดรู้จักเขาได้หรือไม่!
หวังหลินมั่นใจว่าเขาไม่เคยพบกรีดมาก่อน
ณ ข้างในสายหมอก หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ระยะห้าลี้ไม่ได้ไกลสำหรับเขา แม้จะมีสายหมอกหวังหลินก็สามารถเข้าไปในพื้นที่แห่งนั้นในเวลาไม่นาน
ขณะที่หวังหลินปรากฏตัวขึ้น สายตาทั้งหกคู่ต่างจับจ้องลงบนเขาทันที
“เจ้า…หวังหลิน!” หนึ่งในห้าศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวจดจำหวังหลินได้ทันที
จิตสังหารพลันออกมาจากเหล่าศิษย์สำนักกระบี่ทันที สำนักกระบี่ต้าหลัวและสำนักชะตาสวรรค์มักจะไม่ถูกกันมาตลอด แต่ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะเริ่มไล่ฆ่ากัน
หวังหลินกวาดสายตาผ่านทุกคนอย่างสงบนิ่ง สายตาไม่ได้หยุดลงบนกรีดแต่กวาดผ่านเขาไป
ท่าทางของกรีดไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขาเพียงมองมาทางหวังหลินในตอนที่ปรากฏตัวเท่านั้นและจากนั้นก็หลับตาลง
เสียงต่ำดังออกมาจากปากเฉินหลง “ข้าเฉินหลง เจ้าคือหวังหลินแห่งกองกำลังสีม่วงสำนักชะตาสวรรค์ใช่ไหม?”
หวังหลินมองเฉินหลงด้วยท่าทีธรรมดา เขาไม่ได้กล่าวขึ้นมาและกำลังรอดูว่าคนที่พักอยู่ที่นี่หรือถูกขังอยู่ที่นี่จะมีท่าทีเช่นไร นี่เป็นเรื่องสำคัญมากเนื่องจากหากพวกเขาอยากจะพักอยู่ที่นี่เช่นนั้นการคาดเดาก่อนหน้านี้ของหวังหลินถือว่าผิดพลาดไป
“โอหังเสียจริง ศิษย์พี่ของข้าถามเจ้าและเจ้ากล้าไม่ตอบเชียว!?” หนึ่งในศิษย์เหล่านั้นราวกับขาดความอดทนเมื่อถูกขังในนี้มาร้อยปี ตอนนี้เมื่อพบโอกาสเขาจึงตะโกนออกไปและก้าวเท้าออก กระบี่สมบัติด้านหลังลอยขึ้นและเมื่อเขาตวัดกระบี่ลง อาชาสีดำแดงตัวหนึ่งปรากฏด้านหลัง!
จมูกเขียวของอาชาปลดปล่อยกลิ่นอายปิศาจ มันหลอมรวมกับกระบี่และผสานเข้ากับปราณกระบี่พุ่งใส่หวังหลินในจังหวะเดียวกัน
ระดับบ่มเพาะของคนผู้นี้เป็นเพียงขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายเท่านั้น แต่เขาไม่คิดอะไรมาก ที่นี่มีแต่เพียงคนจากสำนักเขาเท่านั้นทั้งยังมีศิษย์พี่อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ระมัดระวังตัว
“นี่คือวิธีรับแขกของท่านหรือ?” หวังหลินกระทั่งไม่หันไปมองปราณกระบี่และมองเฉินหลงด้วยท่าทีเยือกเย็น เขามั่นใจว่าพวกศิษย์สำนักกระบี่ถูกขังไว้ที่นี่แล้ว หากไม่ได้ถูกขังมานานจะเกิดความระวนกระวายใจได้อย่างไร?
ดวงตาเฉินหลงส่องสว่างขึ้นแต่ขณะที่กำลังจะเอ่ยออกมา หวังหลินก็ลงมือ
ผนึกชีวิตบนหน้าผากกระพริบวาบและเริ่มกระจายออกมาจากร่างกายดุจม่านแสงขยายออกมาและปะทะกับปราณกระบี่อาชาปิศาจตัวนั้น
เกิดเสียงดังสนั่นและดวงตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ผนึกชีวิตบางส่วนลอยออกมาและเปลี่ยนกลายเป็นพลังสังหาร พลังสังหารอันกดขี่กระจายออกมาและล้อมรอบปราณกระบี่อาชาอย่างรวดเร็ว
ศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวทั้งหมดยืนขึ้นและเตรียมการโจมตี ทว่าในชั่วขณะนั้นเสียงเฉินหลงดังตะโกนทันที “พวกเจ้าทั้งหมดนั่งลง!”
ขณะที่เอ่ยออกมา นิ้วของเฉินหลงสร้างกระบี่ขึ้น กระบี่แทงเข้าใส่พลังสังหารดุจสายฟ้าฟาดและบรรจุพลังลึกลับเอาไว้ด้วย หลังจากมันเข้าไปในพลังสังหารก็เตะกระบี่ของหวู่ม่าออกจากวงโคจร
เขาหันกลับมาเมินเฉยพลังสังหารรอบตัวอย่างสิ้นเชิงและยิ้มให้กับหวังหลิน “สหายเซียนหวัง ศิษย์น้องของข้าวู่วามจนเกินเหตุ ขออภัยที่ท่านเห็นแบบนั้น”
“ไม่มีปัญหา!” หวังหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งขณะที่พลังสังหารอ้อมผ่านเฉินหลงพร้อมกับห่อหุ้มรอบกระบี่ของหวู่ม่า จากนั้นพลังสังหารวกกลับหาหวังหลินพร้อมนำกระบี่มาด้วย
หวังหลินคว้ากระบี่ต่อหน้าเฉินหลงและคนอื่นๆ เขาตะปบกระบี่เพื่อลบสัมผัสวิญญาณออกไปและเก็บใส่กระเป๋าเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
หลังจากถูกเฉินหลงเตะออกไปแล้ว หวู่ม่าที่ถูกเอากระบี่ไปและกวาดสัมผัสวิญญาณออกก็พลันวิญญาณได้รับความเสียหาย ทำให้เขากระอักโลหิตคำโตและจ้องหวังหลินด้วยสายตาเคียดแค้น “เจ้า!”
หวังหลินกล่าวอย่างเยือกเย็นด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “เมื่อเจ้าเป็นศิษย์น้องของสหายเซียนเฉินหลง ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าที่มาโจมตีข้า ข้าจะเก็บกระบี่เล่มนี้ไว้เป็นคำเตือน”
เฉินหลงยิ้มบางโดยที่สายตาไม่เปลี่ยนไปเลย “ควรเป็นเช่นนั้น!” เขาหันกลับมามองหวู่ม่าด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “เจ้าหุบปากไปซะ! สหายเซียนหวังไม่ใช่คนที่เจ้าจะไปตอแยได้ หากเจ้าทำอีกข้าจะทำลายระดับบ่มเพาะของเจ้าซะ!”
เห็นได้ชัดว่าหวู่ม่าหวาดกลัวเฉินหลง ดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างเงียบๆ
รูม่านตาหวังหลินหดลงเล็กน้อย หลังจากเข้ามาที่นี่เขามีเป้าหมายเพื่อให้คนของสำนักกระบี่ต้าหลัวโกรธเพื่อดูว่าพวกเขาถูกขังไว้ที่นี่จริงหรือไม่ จากนั้นเขาก็นำกระบี่ของหวู่ม่ามาซึ่งทั้งหมดนี้ต้องให้เฉินหลงอดทนโดยที่มีสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปน้อยที่สุด
นอกจากเรื่องที่เฉินหลงเป็นคนมีไหวพริบอย่างยิ่งแล้ว สิ่งสำคัญก็คือมันพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของหวังหลินว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ
ชั่วขณะนี้เองกรีดก็ลืมตาขึ้นมา เขามองหวังหลินและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เด็กน้อย ทำไมสหายของเจ้าไม่ออกมาด้วยกันเล่า?”
กรีดลอบสาปแช่ง หากไม่ใช่ว่าเขากลัวสัมผัสวิญญาณที่ซ่อนไว้ในหมอกม่วงก็คงขัดขวางหวังหลินตั้งแต่ตอนที่ปรากฏตัวไปแล้ว
ตั้งแต่ตอนที่หวังหลินปรากฏตัว แม้เขาจะหลับตาอยู่แต่กลับร่ายวิชาไปสามครั้งแล้ว
ทว่าทั้งหมดสามครั้งนั้น ในขณะที่กำลังจะลงมือ สัมผัสวิญญาณในสายหมอกกลับปรากฏขึ้นราวกับมันกำลังเตือนเขา
กรีดลังเลและล้มเลิกทันที
หวังหลินกล่าวด้วยท่าทางเยือกเย็น “สหายของข้ามีนิสัยเย็นชาและเขาไม่ชอบผู้คน ผู้อาวุโสก็เป็นคนจากสำนักกระบี่ต้าหลัวด้วยหรือ?”
กรีดมองหวังหลินและเผยสีหน้าเยาะเย้ย
เฉินหลงยิ้มบางและแนะนำตัวเขา “สหายเซียนหวัง ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงนี้ชื่อว่ากรีด เขาเป็นผู้เก่งกาจในรุ่นของอาจารย์เรา น่าเสียดาย หากไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสได้รับบาดเจ็บและอยู่ที่ขั้นเทวะระดับปลายสูงสุดเท่านั้น เราคงไม่ต้องถูกขังอยู่ที่นี่เป็นร้อยปี!”
หวังหลินคิด ‘เฉินหลงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา!’ สามารถบอกข้อมูลสำคัญทั้งหมดในเพียงแค่ไม่กี่ประโยค
เฉินหลงกล่าวอีกทันที “ผู้อาวุโสกรีด เมื่อสหายเซียนหวังหลินเพื่อร่วมทางของเขามาที่นี่ เรามาเข้าร่วมกลุ่มกันและพยายามทะลวงผ่านไปด้วยกันไหม? บางทีเราอาจจะสามารถฝ่าวงล้อมของฝูงอสูรปิศาจพวกนั้นได้!”
“ฝูงอสูรปิศาจ…” หวังหลินมีท่าทางปกติแต่กลับให้ความสำคัญ
ท่าทางของกรีดยังคงเดิมและกำลังปฏิเสธ แต่ดวงตาหรี่แคบทันที เขารู้สึกว่าในตอนนั้นเองเขาเห็นหมอกม่วงเคลื่อนไหวเหมือนมันกำลังหมุนเล็กน้อย
หลังจากมองเฉินหลง กรีดจึงพยักหน้าและเอ่ยออกมา “เมื่อเจ้ากังวลที่ข้าจะปฏิเสธอีกครั้ง เจ้าก็ต้องคิดว่าข้ามันไม่ดีพอ ช่างมันเถอะ งั้นเรามาพยายามทะลวงมันอีกครั้ง!”
เฉินหลงรีบส่ายศีรษะและเอ่ยออกมา “ผู้น้อยมิกล้า แต่เขาถูกขังที่นี่มานานเกินไป ข้ากังวลเรื่องศิษย์น้องที่อยู่ในดินแดนวิญญาณปิศาจ…”
กรีดเหยียดยิ้มและกระโดดจากบนพื้น เขานำทางและพุ่งตรงเข้าไปในหมอก
เฉินหลงสูดหายใจลึก คำนับฝ่ามือให้กับหวังหลินและกระซิบ “น้องหวัง ตราบใดที่เข้าไปในสายหมอกจะไม่สามารถหนีออกมาได้ ในหมอกนี้มีทางออกเพียงแห่งเดียว แต่น่าเสียดายที่มันถูกฝูงอสูรปิศาจล้อมรอบเอาไว้ หากเราต้องการออกไปจะต้องทะลวงผ่านไปให้ได้!”
หวังหลินพยักหน้าและเหาะเหินออกไปพร้อมกับเฉินหลงและศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวคนอื่นๆ ขณะที่หวังหลินเหาะเหินเขาก็นำผนึกชีวิตล้อมรอบร่างกายเพื่อปกป้องตนเองอีกชั้น
ความจริงแล้วไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้น เฉินหลงยังลอบใช้วิชาปกป้องตนเองในกรณีที่หวังหลินตัดสินใจลอบโจมตี ศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวที่เหลือโดยเฉพาะหวู่ม่าต่างมองหวังหลินด้วยสายตาชั่วร้าย
ทุกคนต่างมีแผนของตนเองขณะที่พุ่งเข้าไปในหมอกม่วงและเหาะเหินเข้าหาทางออก
กรีดอยู่ด้านหน้าและระมัดระวังเป็นอย่างดี เขารู้สึกสัมผัสวิญญาณอันเลือนลางที่ปรากฏและเลือนหายภายในสายหมอก เขารู้สึกเหมือนว่าหากลดความระมัดระวังลงในชั่วขณะ สัมผัสวิญญาณนั้นจะโจมตีเขา
“บัดซบ! เจ้าหวังหลินคนนี้ไปได้ผู้ช่วยที่เก่งกาจตอนไหนกัน?!”
ทุกคนเคลื่อนที่รวดเร็ว ดังนั้นในไม่นานก็มาถึงขอบทางออกของหมอกม่วง ที่นี่หมอกม่วงไม่ได้หนามากและสามารถเห็นทางออกริบหรี่อยู่ไม่ไกล
แต่ละคนกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและมองเห็นทุกอย่างด้านนอกได้
หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมา เมื่อเขาเห็นสิ่งที่อยู่ด้านนอก พลันตกตะลึงและเกิดสายตาตกใจ
“นี่…นี่มัน…” เขาสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บเข้าไป
ฉากเหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้หวังหลินแทบไม่เชื่อสายตา เขารู้สึกเหมือนกลับมาตอนที่เห็นความทรงจำเทพโบราณอีกครั้ง มันคือดาวเคราะห์ลึกลับที่เต็มไปด้วยอสูรยุง
อาการตกใจของหวังหลินอยู่ในความคาดคิดของเฉินหลงและคนอื่นๆ แต่พวกเขาไม่ได้รู้ว่าไม่ใช่แค่หวังหลินจะจำอสูรพวกนี้ได้เท่านั้น แต่ยังคุ้นเคยกับพวกมันเป็นอย่างดี
แม้แต่กรีดก็ไม่คาดคิดเรื่องนี้ได้!
กลุ่มอสูรยุงขนาดใหญ่เกาะกันอย่างหนาแน่นและพวกมันทั้งหมดต่างส่งเสียงดังออกมา เมื่อพวกมันเห็นผู้คนปรากฏตัว จึงยกปากยาวขึ้นมาและเผยลักษณะท่าทางดุร้ายและกดขี่!
ตอนนี้ ณ อีกฝั่งของหมอกม่วง อสูรยุงของหวังหลินเผยร่างครึ่งหนึ่งของมันออกมา มันจ้องกลุ่มอสูรยุงหนาแน่นเบื้องหน้าและตกอยู่ในอาการมึนงง
ตอนที่อสูรยุงอยู่ในกระเป๋า มันสามารถสัมผัสกลิ่นอายความกังวลที่ไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนในชีวิต แต่ว่ากลิ่นอายนี้เป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างยิ่งราวกับออกมาจากวิญญาณของมัน
หลังจากบินออกมาจากกระเป๋า มันเตร็ดเตร่ในหมอกม่วง มันลังเลราวอยากเข้าไปใกล้แต่ก็หวาดกลัวไปด้วย
ราวกับเป็นคนที่เร่ร่อนมานานหลายปี มันกลายเป็นคนขี้อายเมื่อมาเห็นครอบครัวตัวเองอีกครั้ง
เหล่าอสูรยุงที่อยู่ปลายขอบต่างเห็นตัวตนที่คล้ายกับพวกมันและต่างก็ตกใจ สายตาดุร้ายแต่ละตัวเปลี่ยนไปทันทีและถูกแทนที่ด้วยความสงสัย
อสูรยุงร้องออกมาและเหาะเหินไปหา พวกมันบินเป็นวงกลมรอบอสูรยุงของหวังหลินสองสามครั้งและใช้ปากแต่ละตัวสัมผัสเป็นบางครั้ง จากนั้นบินกลับไปที่ฝูงและส่งเสียงเรียกให้ตามไปด้วย
อสูรยุงของหวังหลินลังเลชั่วขณะก่อนจะติดตามพวกมันและหายเข้าไปในฝูงยุง ไม่มีใครทราบเหตุการณ์เช่นนี้…
กรีดแทงทะลุผ่านก้อนเมฆและหยุดที่ปลายหมอกในชั่วขณะ ทว่าตอนนั้นเองเขาหันศีรษะกลับมาและจ้องไปที่สายหมอก สายหมอกเริ่มหมุนปั่นทันที
การหมุนปั่นนี้ไม่ได้แค่เกิดขึ้นในส่วนเดียวแต่ทั้งหมอกม่วงเริ่มหมุนปั่น เสียงดังสนั่นออกมาจากภายในหมอกราวเป็นเสียงแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจากหมอกถูเข้ากันเอง
ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผู้คนสำนักกระบี่ต้าหลัวและหวังหลินต่างสนใจทันที
ในสายตากรีดแฝงความปิติยินดี เขารับรู้ว่าสายหมอกมีบางอย่างผิดปกติซึ่งทำไมจึงตกลงรับคำขอของเฉินหลง ในตอนนี้เขาสูดหายใจลึกและตบกระเป๋านำเตาปรุงยาขนาดเล็กออกมา!
เตาปรุงยานี้มีหมอกสีม่วงบางส่วนที่ห่อหุ้มรอบๆร่างกรีด จากนั้นเขาก้าวเท้าและเดินออกไปจากหมอกม่วง
ในชั่วจังหวะนี้เอง เขาได้สั่งการทางความคิดและอสูรยุงนอกหมอกม่วงพลันร้องออกมาทันที เสียงของมันส่งผลกระทบต่อวิญญาณ ส่งผ่านหมอกม่วงและทำให้ศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวต่างกระวนกระวายใจ
หมอกม่วงเริ่มหมุนปั่นมากขึ้นจากปลายขอบ หากมองจากอีกมุมหนึ่งจะเห็นได้ว่าหมอกม่วงกำลังหดลงในอัตราที่เร็วขึ้น!
เฉินหลงและคนอื่นๆต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปและต้องการจะพุ่งออกมา แต่ทันใดนั้นขณะที่กำลังเคลื่อนไหวกลับได้ยินเสียงหัวเราะของกรีด เขาสะบัดแขนเสื้อและเกิดคลื่นสายลมออกมาทันทีทำให้คนของสำนักกระบี่ต้าหลัวหยุดชะงัก
“ข้ารอเวลานี้มาร้อยปีและในที่สุดหมอกม่วงก็กลายเป็นหนึ่งอีกครั้ง! พวกเจ้าทั้งหมดจะกลายเป็นเครื่องสังเวยเพื่อเติมเต็มความต้องการของข้า!” น้ำเสียงของกรีดดังสะท้อนในสายหมอก
หวังหลินมีสายตาเยือกเย็นและในชั่วขณะนั้นเสียงของโจวยี่ก็ดังในสมอง
“หวังหลิน ข้าเจอปราณสวรรค์อยู่ที่ขอบของหมอกม่วงซึ่งสามารถกักขังเซียนได้ทั้งหมด พวกเจ้าจะไม่สามารถหนีออกมาได้เว้นแต่จะมีรากสวรรค์ แต่มันไม่มีผลกระทบต่อข้า ดังนั้นข้าจะพาเจ้าออกมา!”
หวังหลินมองศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวและตัดสินใจทันที เขาไม่ได้ปล่อยให้โจวยี่พาออกไปแต่ถอยกลับหลังอย่างช้าๆ