691. ลาจาก
ไม่มีสิ่งในโลกนี้จะรอดพ้นชีวิตและความตายไปได้ ซุนไท่มองสองพ่อลูกเบื้องหน้าและเผยรอยยิ้ม ตอนนี้เขาดูสงบสุขในขณะช่วงสุดท้ายของชีวิต
หลังได้ยินเสียงคำสัญญาของหวังหลิน ซุนไท่มองหวังหลินด้วยความสุดซึ้งที่ครั้งนึงเคยอาฆาตด้วย ดวงตาเขาพร่ามัวและรู้สึกกลับไปตอนหลายร้อยปีก่อน ในแดนสวรรค์พิรุณ…
เหตุการณ์หลายอย่างแล่นผ่านแววตาก่อนในที่สุดจะหยุดลงด้วยใบหน้าแก่ลงเล็กน้อยข้างหน้าเขา
“ระยะทางระหว่างชีวิตและความตาย ความจริงมันสั้นเช่นนี้…” ซุนไท่ยิ้มและหลับตาลง
ขณะนั้นกลิ่นอายแห่งความตายบนร่างกายได้ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดและเลือนหายไปอย่างสิ้นเชิงในวินาทีถัดมา
“ปู่ซุน…” หวังผิงหลั่งน้ำตามองใบหน้าสงบเงียบของซุนไท่และเริ่มร้องไห้
หวังหลินถอนหายใจและลูบศีรษะหวังผิง ดวงตาสงบนิ่ง เขามองผ่านชีวิตและความตาย มองผ่านวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ สิ่งเหล่านี้เป็นดังเช่นหมอกควันสำหรับเขา หวังหลินมองเห็นพวกมันแต่พวกมันไม่ได้เกาะกุมหัวใจเขา
หลุมฝังศพของซุนไท่ตั้งอยู่ด้านหลังหมู่บ้านจันทราร่วงหล่น ทุกคนที่ตายในหมู่บ้านจะถูกฝังอยู่ที่นั่น
หวังผิงแกะสลักป้ายฝังศพและเขียนไว้ว่า “ศพของซุนไท่ จารึกโดย หลานหวังผิง”
ตอนที่หวังผิงอายุสิบสองปี ซุนไท่รับหวังผิงเป็นหลานบุญธรรม หวังหลินไม่ได้หยุดซุนไท่ นอกจากนั้นซุนไท่ก็ยังแก่กว่าหวังหลินและแก่พอที่จะเป็นปู่ให้กับหวังผิง
ความสัมพันธ์ระหว่างหวังหลินและซุนไท่เท่ากับเพื่อนร่วมงาน ซุนไท่เคารพหวังหลินฝังลึกลงกระดูกเหมือนที่หวังผิงรู้สึก
หลุมฝังศพของซุนไท่ไม่มีร่างกาย ร่างกายเขากลายเป็นขวดขี้เถ้าอยู่ในกระเป๋าของหวังหลิน นี่คือคำสัญญาของหวังหลินต่อซุนไท่
หวังผิงในอายุสิบหกปียิ่งเติบโตก็ยิ่งหล่อเหลาขึ้น เทียบกับเขาแล้วหวังหลินดูแก่ชราขึ้นด้วยซ้ำ
ร่องรอยแห่งกาลเวลาได้พรากรูปลักษณ์ของหวังหลินออกไปพร้อมกับความสนใจของสตรีในหมู่บ้านในการหาคู่ครองให้กับเขา ทว่าในส่วนของหวังผิงที่เติบโตขึ้นนั้นจุดสนใจก็คือกำลังแทนที่เขา
อย่างไรก็ตามหวังผิงคล้ายกับพ่อของตน แม้เขาจะหล่อเหลาแต่มักจะมีท่าทางสงบนิ่งอยู่ตลอด ปกติเขาไม่ได้เป็นคนพูดมากแต่ก็มีร่องรอยแห่งปัญญาอยู่ในดวงตา
หนึ่งปีหลังการตายของซุนไท่ หวังหลินถือท่อนไม้อยู่ในลานกว้างของบ้านและกำลังแกะสลักอย่างบรรจง หวังผิงนั่งอยู่ด้านข้างมองพ่อของตนอย่างใจเย็น ใบหน้าพ่อเขามีรอยเหี่ยวย่นมากขึ้นและดูแก่ชราขึ้น
หวังหลินกล่าวขึ้นมาโดยไม่ได้เงยศีรษะ “การแกะสลักจำเป็นต้องใส่ใจทุกรายละเอียดแต่ละเส้น ทุกเส้นต้องสลักไว้ในความทรงจำของผู้คน ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นช่างไม้!”
หวังผิงพยักหน้า เขาหยิบเศษไม้ขึ้นมาเช่นกันและเริ่มแกะสลักอย่างปราณีต
ยามพระอาทิตย์ตกดิน เงาสองพ่อลูกถูกดึงออกไปยาวเหยียด การเคลื่อนไหวแต่ละคนไม่แตกต่างกันมากนักและหน่วยก้านคลับคล้ายคลับคลากันอย่างยิ่ง เมื่อถึงตอนค่ำ ร่างนั้นค่อยๆจางหายแต่ก็ยังแฝงเสน่ห์ที่ไม่มีวันลืมไปนิรันดร์…
หลังจากพระอาทิตย์หายไปและความมืดปกคลุมผืนแผ่นดิน หวังหลินจุดตะเกียงขึ้นมาในลานและถามขึ้น “เจ้าคิดส่วนที่เสร็จแล้วใช่ไหม?”
หวังผิงวางรูปปั้นที่เสร็จเพียงครึ่งและเริ่มครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
หวังหลินไม่ได้เซ้าซี้แต่นั่งลงด้านข้างและหยิบรูปปั้นของหวังผิงขึ้นมาตรวจสอบ รูปปั้นนี้มีผิวขรุขระเล็กน้อยแต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจราวๆสามในสิบส่วน
รูปปั้นนี้คือซุนไท่ เขามองไปบนท้องฟ้าด้วยใบหน้าเย่อหยิ่ง ฝ่ามือกำลังสร้างผนึกและมีกลิ่นอายประหลาดรวบรวมบนร่างกาย ทั้งยังมีก้อนเมฆอยู่ใต้ฝ่าเท้าทำให้เขาดูราวกับเป็นคนในตำนาน
หวังผิงก้มศีรษะและกระซิบ “ท่านพ่อ ทำไมท่านไม่ปล่อยให้ข้าเรียนวิชาอมตะที่ปู่ซุนทิ้งไว้ให้…”
หวังหลินถอนหายใจ ท้ายที่สุดซุนไท่ยังไม่เคารพการตัดสินใจของเขา เขาใช้เรื่องที่รับหวังผิงเป็นหลานบุญธรรมเพื่อบอกวิชาการฝึกฝนเซียนอย่างลับๆให้
ไม่มีสิ่งใดเก็บงำจากหวังหลินไปได้ หากไม่ใช่ว่าซุนไท่พยายามมอบวิธีการฝึกเซียนให้กับหวังผิง เขาคงไม่ต้องเสียชีวิตเร็วไปสี่ปีตามที่คาดไว้
สำหรับคนเป็นพ่อ หวังหลินไม่ใช่พ่อผู้ลงมือโดยไม่ปรึกษาคนอื่น เขามองไปที่หวังผิง ลูกผู้ได้รับสืบทอดรูปลักษณ์ของแม่มาเต็มๆ แต่ในช่วงระยะสิบหกปีนี้ เขาเรียนรู้ความสงบนิ่งมากจากหวังหลิน
ตอนที่ดวงตาหวังผิงเปล่งประกายแห่งปัญญา หวังหลินรู้สึกว่าเขากำลังมองดูตัวเองอีกรุ่นนึง
หวังหลินถอนสายตาและเอ่ยเสียงเบา “เพราะชีวิตของเซียนไม่เหมาะกับเจ้า”
หวังผิงเผยรอยยิ้มบางขณะมองขึ้นไปหาผู้เป็นบิดา “ท่านพ่อ ข้าไม่เคยฝึกวิชาฝึกเซียนที่ปู่ซุนทิ้งไว้ให้เลย ไม่เคยเลยสักครั้ง”
หวังหลินพยักหน้า เขารู้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นอย่างดี แม้ว่าซุนไท่จะมอบวิธีฝึกฝนของเขาให้ ท้ายที่สุดแล้วหวังผิงก็ไม่เคยฝึกพวกมันเลย
หวังผิงก้มศีรษะลงและเอ่ยถาม “ท่านพ่อ…ท่านก็เป็นอมตะด้วยใช่ไหม?”
แววตาหวังหลินมีการเปลี่ยนแปลงและเอ่ยขึ้นช้าๆ “ไม่ได้เป็นอมตะ เป็นแค่เซียน”
หวังผิงขบคิดเงียบๆอยู่ชั่วขณะและถามขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านต้องการให้ข้าใช้ชีวิตธรรมดาทั่วไปและไม่ตามรอยเท้าท่านในการเป็นเซียนใช่ไหม?”
จันทราค่อยๆขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อแสงดวงจันทร์ตกกระทบบนผืนแผ่นดิน พลันเกิดความหนาวเย็นอยู่ภายในแสงอ่อนๆ สายลมเบาๆพัดแสงตะเกียงให้วูบวาบไปมา แสงข้างในกระพริบและผสมกับแสงจันทรา สอดส่องไปกับลานกว้าง
หวังหลินวางรูปปั้นของหวังผิงลง เขามองไปบนท้องฟ้าและเอ่ยน้ำเสียงไร้จุดหมาย “ใช่”
“หาก…ผิงเอ๋อไม่ยอม…” หวังผิงเงยศีรษะตัวเองและมองพ่อของตน เป็นครั้งแรกในรอบสิบหกปีที่เขาพูดเช่นนี้กับพ่อ
สายตาหวังหลินตกลงบนหวังผิง เขาไม่ได้เอ่ยอะไรแต่มองหวังผิงด้วยความสงบนิ่ง
เวลาผ่านเลยไปอย่างช้าๆ หวังผิงค่อยๆก้มศีรษะลงราวกับกลัวสายตาของหวังหลิน
“ชีวิตของเซียนไม่เหมาะกับเจ้า! อย่าพูดเรื่องนี้อีก!” หวังหลินเอ่ยน้ำเสียงอ่อนนุ่มแต่มั่นคง ทว่าที่ซ่อนในแววตาเขาคือจุดที่หวังหลินไม่อาจมองเห็น มันเป็นร่องรอยแห่งความเศร้า ความเศร้าเหลือเกิน…
หวังผิงกล่าวอย่างขื่นขม “ครับท่านพ่อ ข้าจะไม่ฝึกเซียน”
หวังหลินหันกลับมาและเดินไปที่ห้อง ขณะที่เข้าไปเขาก็เอ่ยน้ำเสียงตามมา “ผิงเอ๋อ มากินยา”
หวังผิงครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ หลังจากนั้นพักใหญ่ก็ถอนหายใจ ลึกขึ้นยืนและเดินไปที่ห้อง แผ่นหลังดูเศร้าซึม…
พ่อของเขาไม่เผยความสง่าของตนเอง แต่ในใจหวังผิงมันคือความพิศวงและไร้อำนาจที่จะต่อต้าน เขาสามารถทำตามความต้องการของพ่อได้เท่านั้นและอาศัยชีวิตเป็นคนธรรมดาทั่วไป
“นอกจากการฝึกเซียนแล้ว ในโลกนี้ข้าสามารถให้เจ้าได้ทุกอย่าง!” หลังจากหวังผิงดื่มยาจนหมดและนอนลง เสียของหวังหลินก็ลอยเข้ามา
หวังผิงหลับตาและไม่กล่าวอันใด
ในความมืดมิน หวังหลินนั่งอยู่กับตัวเองกลางลานกว้าง จ้องมองความมืดเบื้องหน้าออกไป ความเศร้าแล่นผ่านแววตาเขาอีกครั้ง
กาลเวลาราวกับแสงจันทราในคืนมืดมิด เมื่อมันผ่านเข้ามาท่านจะไม่อาจมองเห็นได้ ท่านจะมองเห็นมันเมื่อแสงจันทราได้ตกกระทบบนผืนดินแล้วเท่านั้น
ในพริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามปีตั้งแต่การตายของซุนไท่
ปีนี้หวังผิงอายุสิบเก้า เขากลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีโดยสมบูรณ์แบบ แม้ว่าใบหน้ายังคงดูเด็กแต่หากไม่ได้มองใกล้ๆก็คงยากที่จะมองออก
รูปร่างหน้าตาของเขายิ่งเหมือนหลิวเหมยมากขึ้น
ตรงข้ามกับหวังหลินที่แก่ชรามากกว่าเดิม กาลเวลาสิบเก้าปีได้ทิ้งร่องรอยฝังลึกบนใบหน้าเขา
เมื่อถึงปีที่สิบเก้าหลังจากหวังหลินตั้งรกรากที่นี่ เขาก็เก็บสิ่งของและจากไปพร้อมกับหวังผิง
เมื่อทั้งคู่จะจากไป เพื่อนวัยเด็กของหวังผิงต่างออกมาส่ง ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสาวและสายตาแต่ละคนที่มองหวังผิงต่างเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
สายตาของลูกสาวตระกูลโจวก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามหวังผิงไม่สนใจทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง เขาได้รูปลักษณ์จากหลิวเหมยแต่ได้นิสัยมาจากหวังหลิน จึงไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับหญิงสาว
ช่วงระยะเวลาสิบเก้าปี ผู้คนในหมู่บ้านมีทั้งเกิดและตาย หนึ่งรุ่นแก่ขึ้นขณะที่รุ่นใหม่เติบโต เทียบกับตอนที่หวังหลินมาที่นี่เมื่อสิบเก้าปีก่อน มีประมาณสามถึงสี่คนในจำนวนสิบคนที่หายไปตามกาลเวลา…
ชายกำยำจากตระกูลโจวยังคงแข็งแกร่งดีแต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เยาว์วัยอีกแล้ว เขายืนอยู่ด้านข้างหวังหลินและเอ่ยอย่างเศร้าๆ “น้องหวัง พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปเกือบยี่สิบปีแล้ว ข้ายังจำวันที่เจ้ามาถึงหมู่บ้านพร้อมกับผิงเอ๋อ แต่ตอนนี้เจ้าจะจากไปซะแล้ว”
หวังหลินยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยอย่างนุ่มนวล “พี่โจว ข้าได้รบกวนท่านตลอดหลายปี ทว่าตอนนี้เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว ข้าอยากพาเขาออกไปเผชิญโลก”
ชายกำยำจากตระกูลโจวถอนหายใจพลันสายตาจรดลงบนหวังผิงผู้ซึ่งถูกหญิงสาวในหมู่บ้านล้อมรอบ และเขาเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ดูเหมือนลูกสาวตระกูลข้าไม่มีโชคซะแล้ว”
หวังหลินส่ายศีรษะและยิ้มขึ้น “ควรเป็นลูกข้าซะกว่าที่ไม่มีโชค”
ห่างออกไปไม่ไกลนัก หวังผิงกล่าวอย่างนุ่มนวล “พวกเจ้าทั้งหมดดูแลตัวเองด้วยนะ…” สิ้นคำพูดเขาก็กลับไปหาหวังหลิน
ทว่ามีหญิงสาวหนึ่งในนั้นวิ่งออกมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่องและตะโกน “หวังผิง เจ้า…จะกลับมาไหม?”
หวังผิงหยุด กล่าวขึ้นมาโดยไม่ได้หันกลับไป “ข้าอาจจะไม่…”
ดวงตาหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีแดงและหยาดน้ำตาสองข้าไหลออกมาเลอะใบหน้า ดูเหมือนว่าหัวใจของนางได้แตกสลายลง
“ข้าเกลียดเจ้า! หวังผิง!” หญิงสาวเริ่มร้องไห้และวิ่งหนีออกไป
หวังผิงขมวดคิ้วขณะมาอยู่ข้างพ่อและเงียบเสียง
ชายร่างกำยำจากตระกูลโจวถอนหายใจ เขาคำนับฝ่ามือให้หวังหลินและเอ่ยขึ้น “น้องหวัง ดูแลตัวเองด้วย!”
หวังหลินมีความสัมพันธ์อันดีต่อชายผู้ซื่อตรงคนนี้และเขาหัวเราะออกมา “ดูแลตัวเองด้วย!” หลังจากนั้นก็หันตัวกลับและเดินออกไป หวังผิงก้าวตามด้านหลังก่อนจะลังเล เขามองกลับไปที่หญิงสาวที่กำลังวิ่งและร้องไห้คนนั้น จากนั้นถอนหายใจและจากไปพร้อมกับหวังหลิน
หวังผิงไล่ทันพ่อตัวเองและขมวดคิ้ว “ท่านพ่อ ทำไมหญิงสาวพวกนั้นถึงได้มีแต่ปัญหา? โดยเฉพาะโจวรั่วถง….”
หวังหลินหัวเราะพลันมองกลับที่หวังผิง ผู้สืบทอดรูปลักษ์หลิวเหมยและยังมีปัญหาเกี่ยวกับความหล่อเหลาของตัวเอง
หวังหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม “เจ้าไม่ชอบหญิงสาวจากตระกูลโจวหรือ?”
หวังผิงถอนหายใจ “ข้าไม่ชอบนาง เพียงแต่…ตอนที่นางร้องไห้ ข้ารู้สึกฝืนๆเล็กน้อยในใจ”