Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 690

Cover Renegade Immortal 1

690. ถอดเปลือก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูใบไม้ผลิจากไป ฤดูหนาวผ่านเข้ามา ผ่านไปอีกห้าปี

ฤดูหนาวปีนี้เข้ามาเร็วเป็นการเฉพาะ ก่อนจะเป็นฤดูหนาว มีหิมะจำนวนมากปกคลุมผืนดินอยู่แล้ว ใบไม้ใบหญ้าที่แห้งเฉาบนกิ่งไม้ต่างถูกแช่เป็นน้ำแข็ง สายลมหนาวเย็นพัดผ่านมารวมเอาหิมะและใบไม้เข้าไว้ด้วยกัน

ดุจดั่งอายุขัยของผู้คน ยามสายลมหิมะอันหนาวเย็นแทรกผ่านเข้ามา แม้จะเต็มไปด้วยการฝืนและไม่ยอมต่อสิ่งนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถูกโชยพัดไป

ในห้าปีนี้มีผู้อาวุโสห้าคนตายไปและมีสามชีวิตเกิดขึ้นใหม่

ราวกับเริ่มถึงคราววัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ขณะที่ผู้คนยังไม่มีความตระหนัก

ซุนไท่แก่ชราขึ้น บ้านของเขาอยู่ถัดจากบ้านของหวังหลิน บ้านหลังนี้ส่องสว่างแต่ก็แฝงความโพล้เพล้ ราวกับคนที่รู้ว่าเวลาของตัวเองกำลังหมดลง เขาไม่ได้พักอยู่ในบ้านของตัวเองแต่นั่งอยู่ในลานกว้าง มองไปบนท้องฟ้า อยู่กับความทรงจำที่ส่องประกายของตน

ปีนี้หวังผิงอายุสิบขวบแต่เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆในหมู่บ้าน เขาอายุราวกับเจ็ดถึงแปดปีเท่านั้น ใบหน้าเล็กๆนี้มีสีสันมากขึ้นเมื่อเทียบกับห้าปีก่อน

หวังผิงในอายุสิบขวบถือว่าหน้าตาหล่อเหลาอย่างมาก ชาวบ้านต่างชื่นชอบเด็กมีมารยาทและหน้าตาน่ารักคนนี้ ในเด็กที่เล่นด้วยกันกับเขา มีเด็กสาวหลายคนมีมิตรไมตรีที่ดีต่อลูกชายนายช่างไม้หวัง

พายุหิมะใหญ่ครั้งนี้ทำให้ทั้งวันหนาวเย็นยิ่ง ซุนไท่นั่งอยู่ในลานกว้างอย่างสงบสุข เขาสวมเสื้อคลุมชิ้นหนาพร้อมกับมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาระลึกถึงความหลัง

ด้านข้างเขามีหวังผิงสวมชุดคลุมหนาด้วยเช่นกันและมองไปบนท้องฟ้าด้วยความฉงน

“ผิงเอ๋อ ทำไมเจ้าถึงมาเยี่ยมตาแทนที่จะอยู่กับพ่อเจ้าเสียเล่า?” แววตาซุนไท่เต็มไปด้วยความเมตตา เขาเอ็นดูเด็กคนนี้จากเบื้องลึกในจิตใจ หากไม่ใช่เพราะหวังหลินพูดว่าจะไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้ฝึกเซียน เขาคงสอนทุกสิ่งอย่างที่เขารู้ให้ไปแล้ว

หวังผิงบุ้ยปากและกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่กลับไปหรอก ป้าจางมาอีกแล้ว”

ซุนไท่ยิ้มบางและส่ายศีรษะ “เด็กน้อย สบายใจได้ พ่อเจ้าจะไม่ตกลงหรอก”

หวังผิงขมวดคิ้วพลันนับนิ้วตัวเองและเอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็นเลยปู่ซุน ดูสิว่าป้าจางมาที่นี่กี่ครั้งแล้วในช่วงสามปีที่ผ่านมา ข้านับไปเรื่อยๆจนได้ทั้งหมดสิบสองครั้ง! สิบสองครั้ง อ้าห์! ทำไมพี่สาวและป้าๆส่วนใหญ่ต่างมีสายตามาที่พ่อข้ากัน?”

ซุนไท่หัวเราะพร้อมกับมองออกไปข้างนอกลานกว้าง เขายิ้มออกมา “ไม่ต้องกังวลเรื่องพ่อเจ้าหรอก มองออกไปข้างนอกสิ ดูเหมือนว่าลูกสาวคนที่สองของตระกูลโจวก็มาหาเจ้านะ”

หวังผิงตะลึงพลันเงยศีรษะขึ้นและมองออกไปนอกลาน เขาเห็นเด็กสาวอายุราวเจ็ดถึงแปดปีค่อยๆเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

“พี่ใหญ่หวังท่านอยู่ที่นี่ไหม?” เสียงแจ่มใสของเด็กสาวดังออกมาจากนอกลานกว้าง

หวังผิงขมวดคิ้วและตะโกน “ข้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าไปได้แล้ว!” สิ้นคำพูดก็พลันเดินออกมาจากลานกว้าง เขาไม่ได้มองไปที่หญิงสาวและวิ่งเข้าหาบ้านตัวเอง

ซุนไท่เห็นดังนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ความเมตตายิ่งมากขึ้น

ตอนนี้หวังหลินตกอยู่ในสถานการณ์แตกต่างจากซุนไท่ เขาขมวดคิ้วขณะเผชิญหน้ากับสตรีสาวผู้กำลังบ่นอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าหวังหลินเต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น

ดูเหมือนหวังหลินจะแก่ขึ้นเล็กน้อยในช่วงห้าปีนี้เหมือนกับตอนที่เขากลายเป็นคนธรรมดา เพื่อเป็นการไม่ทำให้คนอื่นๆหวาดกลัว ภาพลักษณ์ของหวังหลินจึงไม่ได้อ่อนเยาว์นานนักและก้าวเข้าสู่วัยกลางคน

การเปลี่ยนแปลงในแววตาเขาส่งผลให้มีอารมณ์ประหลาดแมม้จะคิดว่าตัวเองเป็นแค่อายุกลางคนเท่านั้น

สตรีสาวมีความเป็นผู้หญิงสูงมาก นางมองหวังหลินและเอ่ยจริงจัง “พี่หวังดูสิ หวังผิงก็สิบขวบแล้วและมีชีวิตไร้แม่อย่างขมขื่น หากท่านไม่ห่วงตัวเอง อย่างน้อยก็คิดเรื่องลูกเถอะ ลูกสาวตระกูลจ้าวที่อยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านก็เป็นหญิงน่ารักสวยงามและนางอยากจะติดตามท่าน นางกระทั่งสัญญาว่าจะเลี้ยงดูหวังผิงเหมือนลูกตัวเอง ท่านไม่พอใจอะไร?”

รอยยิ้มขมขื่นของหวังหลินยิ่งมากขึ้นพร้อมกับกล่าวอย่างจนปัญญา “เรื่องนี้…ช่างมันเถอะ”

หญิงสาวไม่ยอมแพ้และกล่าวต่อ “อาห์ พี่หวัง ทำไมท่านต้องเป็นแบบนี้ ข้ารู้ว่าท่านไม่ยอมแต่งงานอีกครั้งเพราะท่านรักแม่ของผิงเอ๋อ แต่ท่านยังต้องใช้ชีวิตต่อไป ตอนที่ข้าเห็นท่านมาที่นี่เมื่อสิบปีก่อนพร้อมกับเด็กทารก แม่คนนี้…ก็ดี…ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้แต่งงานแต่ดูข้าตอนนี้สิ ลูกข้าอายุแปดขวบไปแล้ว”

ขณะนั้นหวังผิงก็ผลักประตูออกมาอย่างรุนแรง เขามองหญิงสาวและนั่งลงอย่างเงียบๆ

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะพูดขึ้นต่อ หวังผิงตะโกน “ท่านพ่อ ข้าหิววววว!”

หวังหลินถอนหายใจอย่างโล่งอก “หยุดการสนทนานี้ไว้ที่นี่เถอะ”

หญิงสาวถอนหายใจและส่ายศีรษะ “หากท่านไม่ยอมก็ไม่จำเป็นต้องฝืนหรอก แต่หากพี่หวังสนใจคนอื่น ท่านต้องจำที่ข้าบอกนะ!” นางมองหวังผิงและยื่นมือเข้าไปลูบศีรษะเขา

หวังผิงฮึดฮัดและหลบไปข้างหลัง

หญิงสาวหัวเราะ “เด็กคนนี้เจ้าอารมณ์เสียจริง เจ้าควรจะเรียนรู้จากพ่อเจ้าไว้บ้างนะ พ่อเจ้าเป็นคนใจเย็นที่สุดในหมู่บ้าน ทำไมเจ้าถึงคิดว่าสาวสวยทั้งหมดถึงอยากแต่งงานกับเขากันเล่า?” สิ้นคำพูดนางก็หันตัวกลับและจากไป

หลังจากนั้นหวังผิงก็ถามขึ้น “ท่านพ่อ…”

ไม่รอให้หวังผิงเอ่ยจบ หวังหลินยิ้มขึ้นมา “เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก ป้าจางทำไปด้วยเจตนาที่ดี มากินยานี่มา”

ดวงตาหวังผิงเบิกกว้างมองที่พ่อตนเองและบุ้ยปาก “แต่นางอยากเป็นแม่เลี้ยงของผิงเอ๋อ ตอนที่พ่อของเอ๋อฮู่ซื่อมีแม่เลี้ยง ทำให้เอ๋อฮู่ซื่อกินไม่พอและโดนดุด่าตลอด”

หวังหลินหัวเราะ จากนั้นลูบศีรษะหวังผิงด้วยรอยยิ้ม “ก็ได้ พ่อสัญญาว่าจะไม่หาแม่เลี้ยงให้นะ ตกลงไหม? ตอนนี้มากินยาได้แล้ว”

หวังผิงหยิบถ้วยขึ้นมาอย่างมีความสุขและดื่มยาจนหมดอึกเดียว คราวนี้ยาไม่ได้มีรสขาติแต่กลับแฝงความหวาดอยู่เล็กน้อย ความหวานนี้ออกมาจากใจ จากความรักต่อท่านพ่อ

“ท่านพ่อ ผิงเอ๋อจะอยู่กับท่าน ท่านจะไม่โดดเดี่ยว รอให้ผิงเอ๋อโตขึ้นก่อนนะ ข้าจะดูแลท่านจนแก่เลย” หวังผิงวางถ้วยชามลงและมองหวังหลินอย่างเป็นจริงเป็นจัง

หวังหลินยิ้มและตบเบาๆลงศีรษะหวังผิง เขาเดินออกมาจากห้องไปที่ลานกว้างและเริ่มกวาดหิมะด้วยไม้กวาด เมื่อทำความสะอาดลานกว้างเสร็จสิ้น หวังหลินหยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือและเริ่มทำงานไม้

หวังผิงมองพ่อของตนผ่านหน้าต่างและครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ความทรงจำของเขาดีเยี่ยมมากกว่าเด็กคนอื่นในอายุรุ่นเดียวกัน เขาจำได้ชัดเจนตอนที่บังเอิญถามพ่อว่าแม่อยู่ไหนตอนที่เขาอายุสี่ขวบ

ตอนนั้นสีหน้าของท่านพ่อดูประหลาดใจมาก เขาไม่เข้าใจว่าท่าทางแบบนั้นคืออะไร แต่ตอนนี้เมื่อเขาโตขึ้นและทำแบบเดียวกัน นั่นเป็นสีหน้าเศร้าใจ…

เขาเป็นเด็กฉลาดมีไหวพริบ ตั้งแต่คราวนั้นเขาก็ไม่ถามเรื่องแม่อีกครั้งเลย

หลังจากฤดูหนาวเข้ามา พายุหิมะรุนแรงก็เข้ามาลูกแล้วลูกเล่า เมื่อฤดูหนาวอันเย็นเยือกมาถึง ผู้คนในหมู่บ้านก็มีกิจกรรมน้อยลง นับวันที่ฤดูหนาวผ่านไปและในไม่นานสายลมอุ่นๆของฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง ค่อยๆชำระความหนาวเย็นในฤดูหนาวให้ออกไป

โรงเรียนประจำหมู่บ้านเปิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ เหล่าเด็กๆในหมู่บ้านต่างเรียนการเขียนการอ่านกันที่นี่

แต่ละคนผ่านไปอย่างสุขสงบเช่นนี้ เป็นความสงบนิ่งดุจสายน้ำไร้คลื่น ท่ามกลางความสงบยังแฝงความอ่อนละมุนชำระจิตใจอันเหน็ดเหนื่อยของหวังหลิน

ขณะที่หวังผิงเติบโตขึ้นในแต่ละวัน หวังหลินไม่ได้ตั้งเป้าการรู้แจ้งต่อเนื่องอีกต่อไปแต่กลับเฝ้ามองหวังผิงอย่างเงียบๆด้วยหัวใจของคนเป็นพ่อ

ในช่วงระยะเวลาสิบปี หวังหลินไม่ได้ใช้วิชาอื่นอันใดยกเว้นแต่จะเป็นวิชาขับไล่แรงอาฆาตของหวังผิง ราวกับเขาได้ลืมเลือนเรื่องราวทุกสิ่งอย่าง

ทว่าขณะที่เขาลืมเลือนทุกอย่างนั้น ความเข้าใจในวัฏจักรแห่งชีวิตและการเกิดใหม่ก็ก่อตัวในใจหวังหลินอย่างเงียบเชียบ ขณะที่หวังผิงเติบโตมันก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปอีก

หวังหลินมีความเข้าใจด้านการตายของวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายอย่างลึกซึ้ง แต่เขาไม่ได้เข้าใจด้านชีวิตมากนัก ขณะที่เวลาผ่านไปและเต๋าแห่งจิตใจสลัดความอ่อนเหน็ดเหนื่อยออกไป มันก็ค่อยๆก้าวหน้าไปหาความสมบูรณ์อย่างช้าๆ

หลังจากชีวิตและความตายอันสมบูรณ์แบบ วัฏจักรแห่งเวรกรรมคงอยู่ถัดไป เต๋าของหวังหลินค่อยๆวิวัฒน์ขึ้นมาในช่วงชีวิตอันสงบสุข หากเซียนทรงพลังมองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้พวกเขาคงตกตะลึงเพราะว่าไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงธรรมดา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในเขตแดนของคนผู้หนึ่ง

เขตแดนคือความเข้าใจรู้แจ้งพิเศษที่เซียนคนนั้นมีมาหลังการล่มสลายของแดนสวรรค์ กล่าวได้ว่าเต๋าของเซียนผู้หนึ่งคือเส้นทางในการสร้างเขตแดนของตน รากทั้งหมดของมันสัมพันธ์กับเขตแดนอย่างลึกซึ้ง

ดั้งนั้นเขตแดนแต่ละแบบจึงเป็นสิ่งตายตัวของเซียนแต่ละคน ยากมากที่เขตแดนจะวิวัฒน์ไปได้ เหตุผลที่หลิวเหมยเป็นจุดสนใจของบรรพชนตระกูลฮวนก็เพราะเขตแดนของนางเผยสัญญาณแห่งการวิวัฒนาการออกมา ทำให้บรรพชนตระกูลฮวนยอมแพ้ไม่ค้นหาลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าและพาหลิวเหมยกลับตระกูลฮวนอย่างรวดเร็ว ต้นเหตุทั้งหมดก็มาจากเรื่องนี้เอง นอกจากความต้องการกลืนกินเขตแดนของนางแล้วคือการที่เขากลัวคนเช่นนางถูกคนอื่นขโมยไป!

หวังหลินในปัจจุบันกำลังเดินบนเส้นทางสายนี้ ทว่าเพราะเขาขาดความเข้าใจด้านชีวิตของเขตแดนแห่งชีวิตและความตาย แม้จะแสดงสัญญาณการพัฒนาสู่เขตแดนเวรกรรม เขตแดนของเขาก็ยังไม่วิวัฒนาการ

เป็นผลให้ปัจจุบันคือช่วงกุญแจสำคัญในชีวิตของหวังหลิน ทั้งยังสามารถกำหนดความสำเร็จในอนาคตของเขาได้เลย

หวังหลินเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ทว่าหากเขาต้องเลือก เขาจะไม่ยอมจ่ายราคาสำหรับโอกาสนี้ให้เซียนคนอื่นๆทั้งหมดที่ใฝ่ฝัน

ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปและฤดูใบไม้ร่วงผ่านเข้ามา เวลาอีกหกปีผ่านเลยไป ถึงเวลาของซุนไท่ ซึ่งดูเหมือนมันจะมาเร็วกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้เล็กน้อย

ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่ในบ้านตนเอง ผู้คนที่มาส่งเขามีเพียงแค่หวังหลินและหวังผิง เขาเสมือนกับใบไม้เหี่ยวแห้งซึ่งถูกพายุหิมะขนาดใหญ่หกปีก่อนพัดปลิวออกไป

หวังผิงอายุสิบหกปีแล้ว และเริ่มดูคล้ายหลิวเหมยมากขึ้นและมากขึ้น รูปร่างหน้าตาบนเด็กหนุ่มทำให้เขาหน้าตาดีและสง่าราศีอย่างมาก

อย่างไรก็ตามดวงตาเขาบริสุทธิ์ผุดผ่องและเผยความแตกต่างระหว่างสีขาวและสีดำอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงระยะเวลาการเติบโตสิบหกปี เขาเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้น สิ่งนั้นก็ดังเช่นความจริงที่ว่าปู่ซุนรู้จักพ่อเขามานานแล้วและเคารพพ่อเขาอย่างมาก ความเคารพนี้ไม่เคยแสดงออกมาผ่านวิธีที่พวกเขาพูดคุยกันหรือทางผิวหน้า มันมาจากกระดูกและหวังผิงรู้สึกมันได้อย่างชัดเจน

ตอนนี้รูปร่างของหวังหลินแก่ขึ้น เขามองซุนไท่อย่างสงบนิ่งและเอ่ยช้าๆ “ซุนไท่ ข้าจะทำตามสิ่งที่ข้าสัญญากับเจ้าไว้เมื่อตอนนั้น”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version