700. การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ
อายุขัยของคนธรรมดาอยู่ที่หนึ่งร้อยปี แต่มีไม่มากนักที่จะมีชีวิตได้เต็มถึงร้อยปี
ตอนที่หวังผิงอายุเจ็ดสิบสองปี เขารู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว หนึ่งปีหลังจากนั้นแม้ว่าร่างกายจะยังคงมีสุขภาพดี เขากลับรู้สึกถึงชีวิตกำลังจะจบสิ้นลงอย่างชัดเจน
ปีนี้ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วกว่าแต่ก่อน เหมือนปีที่ซุนไท่จากไป หิมะปกคลุมผืนถนนจนชาวบ้านออกไปไหนไม่ได้และทำได้เพียงผ่านฤดูหนาวไปอย่างช้าๆกับคนรักเท่านั้น
สายลมเย็นคำรามกลางท้องฟ้าราวกับกำลังพรากชีวิตคนให้จากไปทีละคน กระบวนการนี้ดุจกับวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่
ฤดูหนาวในปีนี้ดูจะหนาวเย็นยิ่งกว่าปีก่อนๆ สายลมพัดเข้ามาเสียดแทงลึกถึงกระดูก ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งหนาวเย็น หากเป็นบ้านช่องธรรมดาคงเริ่มจุดไฟสร้างความอบอุ่นไม่ได้ มันเป็นสายลมยามค่ำคืนที่แทงทะลุผ่านเข้ามา
ณ บ้านหลังหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน มีไฟกองหนึ่งส่องประกายข้างหน้าต่างให้สัมผัสแห่งความอบอุ่นออกมา ทว่าเมื่อเทียบกับความหนาวเย็นในฤดูหนาวแล้วมันกลับเป็นสิ่งเล็กน้อยมาก
สายลมแห่งความหนาวเย็นคำรามผ่านอากาศและครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ สายลมสร้างวังวนเล็กๆเตะกองหิมะจำนวนมากขึ้นสู่อากาศ
เหล่าสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านต่างขดตัวและสั่นเทาต่อต้านความหนาวเย็นของสายลม
ท้องฟ้ามืดสนิทนอกจากหิมะไร้ที่สิ้นสุด หากมองมันนานๆคงรู้สึกถึงความสูญเสีย
หวังผิงนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมมีดแกะสลักในมือ เขากำลังแกะสลักเส้นทีละเส้น แกะสลักร่องรอยความคิดถึงในจุดจบของชีวิต
สิ่งที่เขาแกะสลักยังคงเป็นพ่อของตนเอง แต่รูปร่างของพ่อกลับแก่ชราขึ้น
ในปีนี้หวังผิงมักจะฝันเกี่ยวกับความทรงจำวัยเด็กและนึกถึงการดื่มยารสชมในถ้วย รสชาติเมื่อตอนนั้นขมยิ่งแต่ตอนนี้กลับรู้สึกหวาน ความหวานนั้นไม่ใช่รสชาติแต่เป็นความอบอุ่นที่เขาสัมผัส
ฉิงยี่นั่งอยู่ข้างๆและมองมาหาเขา สายตาอ่อนโยนยังคงมีร่องรอยความเศร้าใจ
สายลมหนาวเย็นระเบิดเสียงคำรามออกมาจากด้านนอกราวกับต้องการพุ่งเข้ามาและพัดพาหวังผิงที่ใกล้สูญสิ้นให้ตายไป
หวังผิงกล่าวเสียงเบา “หลังข้าตายไป เขาไม้แกะสลักพวกนี้ด้วย…” เขามองไม้แกะสลักชิ้นล่าสุดในมือ มันเป็นพึ่งเสร็จเพียงครึ่งเดียวและเขากำลังจะทำให้มันเสร็จสมบูรณ์
ในบ้านมีชั้นวางไม้ขนาดใหญ่ มีไม้แกะสลักมากกว่าร้อยชิ้นวางเรียงราอยู่บนนั้นและทุกชิ้นเป็นรูปร่างหวังหลิน
รูปแกะสลักบางชิ้นมีเด็กเล็กๆคนหนึ่งอยู่ข้างกายเขา เด็กคนนั้นมีรอยยิ้มพึงพอใจขณะที่กุมมือพ่อของตนเอง ปลดปล่อยสัมผัสแห่งความผูกพัน
หวังผิงมองไม้แกะสลักในมือและเอ่ยกระซิบ “ท่านพ่อ ข้าให้อภัยท่านมานานแล้ว…”
ลำแสงสายฟ้าสว่างเข้ามาใกล้ดวงดาวในยามมืดมิดฤดูหนาวครั้งนี้ ขณะที่สายฟ้าพุ่งลงมา ชั้นบรรยากาศของดวงดาวแตกสลายทันทีและสะท้อนไปทั่วดาวรานหยุน
เกล็ดหิมะทุกชิ้นสั่นสะท้านราวกับถูกแข่แข็งกลางอากาศ
แม้แต่สายลมหนาวที่พัดอย่างโกรธเกรี้ยวยังพังทลายในจังหวะเดียวกัน
ณ ตอนนี้เซียนทุกคนบนดาวรานหยุนต่างรับรู้ถึงกลิ่นอายทรงพลังนี้ได้ อำนาจแห่งสายฟ้าระเบิดสะท้อนในรูหูแต่ละคน
ซุนซื่อผู้เป็นบรรชนตระกูลซุนที่ปิดด่านฝึกตนมานานหลายปี พลันลืมตาส่องสว่างขึ้น พริบตานั้นเขาก็มาถึงกลางท้องฟ้าและมองขึ้นไป ใบหน้าเปลี่ยนทันที
“ปราณสวรรค์และสายฟ้าทรงพลังอะไรกัน!” ซุนซื่อสูดหายใจอันหนาวเหน็บเข้าไปและรูม่านตาหรี่แคบ
ด้านข้างเป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายโผล่ออกมาทีละคน ทั้งหมดมีจำนวนแปดคน ซุนซื่อหมิงยืนอย่างโดดเด่นและเอ่ยขึ้น “ท่านบรรพชน ดูเหมือนคนที่เข้ามาจะมีเจตนาร้าย!”
ตระกูลรานและตระกูลจ้าวก็ออกมาเช่นเดียวกัน ทว่าพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าตระกูลซุน นอกจากนั้นคนเก่งๆส่วนใหญ่ก็จากไปเมื่อนานมาแล้ว
เมืองเวิ้งวารี ลานกว้างคฤหาสน์หวัง หวังหลินวางขวดเหล้าลงและมองขึ้นไปเล็กน้อย แววตาไร้สีสันจนดูเหมือนเขาแก่ชราจริงๆและดวงตาพร่ามัวมาก
เขาชำเลืองมองครั้งเดียวก่อนจะก้มศีรษะลงดื่มเหล้าไปอีกหนึ่งอึก
อสูรยักษ์ปกคลุมด้วยสายฟ้าเคลื่อนผ่านน่านฟ้า ไอร้อนสองสายไหลออกมาจากจมูกของมันทำให้ดูดุร้ายอย่างยิ่ง ชายวัยกลางนั่งอยู่บนหลัง เขาคือเต๋าสายฟ้าแห่งอารามเทพอัสนี!
ดวงตาดุจสายฟ้ามองพื้นแผ่นดินอย่างเยือกเย็น กวาดสัมผัสวิญญาณผ่านดาวเคราะห์โดยไม่สนใจ เมืองเวิ้งวารีก็รวมอยู่ด้วยเช่นกัน
ทว่าด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ตอนที่สัมผัสวิญญาณกวาดผ่านไป เขาไม่ได้หยุดลงบนหวังหลินเลย
ขณะที่สัมผัสวิญญาณกวาดผ่านไป เซียนทุกคนบนดาวรานหยุนสั่นสะท้าน ท่ามกลางเหล่าเซียน พวกเซียนเฒ่าทั้งหมดต่างเกิดอาการสั่นเทาภายใต้สัมผัสวิญญาณนี้ราวกับพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับอำนาจแห่งสรวงสวรรค์
แม้แต่คนธรรมดาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาไม่รู้เหตุผล พวกเขารู้สึกหนาวเย็นตามมาด้วยจิตใจตื่นตะลึงก่อนจะผ่านออกไปหมด
ครานี้ทั้งดวงดาวกลายเป็นความเงียบสนิทแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…
หลังจากนั้นไม่นาน เต๋าสายฟ้าพลันถอนสัมผัสวิญญาณและขมวดคิ้ว เขาค้นหาไปทั่วดวงดาวและไม่เจอคนที่ตามต้องการ
ตอนที่ถอนสัมผัสวิญญาณออกมา หิมะก็เริ่มตกลงมาและสายลมหนาวพัดผ่านอีกครั้ง
“นี่มันก็นานเกินไป บางทีเขาอาจจะจากไปแล้ว คนผู้นั้นช่างโชคดี!” เต๋าสายฟ้าหันกลับจะจากไป แต่ดวงตาพลันขมวด สัมผัสวิญญาณเคลื่อนไหวดุจสายฟ้าและจับจ้องไปบนหมู่บ้านเล็กๆกลางภูเขาแห่งหนึ่งบนดาวรานหยุน
ตอนที่สัมผัสวิญญาณกวาดผ่านไป ฉิงยี่พลันสีหน้าซีดเผือดและร่างกายสั่นสะท้าน พลังปราณในร่างกายพังทลายและใช้กว่าพักใหญ่กว่านางจะฟื้นฟูขึ้นมาได้
หวังผิงตกตะลึง เขาเงยศีรษะขึ้นมองฉิงยี่และเอ่ยถาม “ฉิงยี่ เกิดอะไรขึ้น?”
ขณะที่ฉิงยี่กำลังจะเอ่ยปาก ใบหน้าพลันเปลี่ยนไปและกระอักโลหิตออกมา สัมผัสวิญญาณทรงพลังผลักหิมะและสายลมออกไปและตรงลงมาที่นี่
สัมผัสวิญญาณนี้ทรงพลังมากจนทำให้พื้นดินสั่นเทา ชั้นหิมะหนาบนพื้นสั่นไหวและพุ่งขึ้นกลางอากาศ
ด้านนอกบ้าน หิมะและสายลมเย็นพึ่งจะเคลื่อนไหวได้พังทลายลงอีกครั้ง ดูเหมือนว่าบ้านของหวังผิงจะแยกตัวออกจากโลกใบนี้ ข้างนอกหิมะกำลังตกและสายลมพัดปลิวไหว แต่ทุกสิ่งกลับตกอยู่ข้างๆตัวบ้าน
ราวกับหิมะและสายลมทั้งหมดรอบบ้านได้ถูกกำจัดออกไป
วิญญาณดั้งเดิมของฉิงยี่ที่สร้างขึ้นมาใหม่พลันดิ้นรนปลดปล่อยพลังปราณ ทำให้นางใช้โอกาสนี้ก้าวมาเบื้องหน้าสัมผัสวิญญาณทรงพลังและยืนอยู่หน้าหวังผิง
รูปลักษณ์ของนางแก่ชราแต่ดวงตาเผยความดิ้นรนที่ไม่ยินยอม
“น่าสนใจ! เจ้าไม่ได้สลบ!” น้ำเสียงเย็นเยียบดังสะท้อนผ่านในบ้าน
ขณะที่น้ำเสียงปรากฏ ประตูก็พลันเปิดขึ้นและชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในบ้าน ใบหน้าฉิงยี่เปลี่ยนเป็นซีดเผือดราวกับคนตาย
นางสัมผัสถึงกลิ่นอายเหนือจินตนาการออกมาจากอีกฝ่าย กลิ่นอายนี้แข็งแกร่งมากดุจอำนาจสวรรค์และไม่อาจต่อต้านได้
เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ฉิงยี่รู้สึกเหมือนกับนางเป็นเพียงแค่มดปลวก ราวกับว่าเพียงแค่คิด คนผู้นี้ก็สามารถสังหารคนนับไม่ถ้วนแบบนางได้ นางคงตายโดยไม่มีหลุมฝังและไม่อาจเกิดใหม่ได้ตลอดกาล
สิ่งที่ทำให้รูม่านตานางหดลงจริงๆก็คือแสงสายฟ้าที่กระพริบออกมาจากเขา สายฟ้านั้นเคลื่อนผ่านร่างกายทำให้เขาดูราวกับเป็นเทพสายฟ้า
เขาก้าวมาในบ้านอย่างลวกๆแต่ทั้งบ้านเริ่มเกิดรอยร้าว สายฟ้าเคลื่อนผ่านผนังและทำให้ทั้งบ้านกลายเป็นกรงขังสายฟ้า!
หากมองจากด้านนอก จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบ้านของหวังผิงถูกล้อมรอบด้วยสายฟ้า อสูรสายฟ้ากำลังนอนอย่างขี้เกียจกลางท้องฟ้า สายตาเต็มไปด้วยความดูถูก ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้คู่ควรให้มันสนใจ
นั่นเป็นเพราะมันคืออสูรสายฟ้า! อสูรศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนสวรรค์อัสนี!
แม้ว่าสายเลือดของมันไม่ได้บริสุทธิ์และมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างบรรพบุรุษของมัน ทว่าความเหย่อยิ่งกลับออกมาจากส่วนลึกในกระดูก
หวังผิงวางไม้แกะสลักลงและยืนข้างฉิงยี่ เขามองชายวัยกลางคนและเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น “เจ้าเป็นใคร?”
ตอนนี้หวังผิงไม่ได้ดูเหมือนคนธรรมดาเลย ความสงบนิ่งในแววตาเขาไม่ใช่เรื่องหลอกลวง เขาสงบนิ่งอย่างแท้จริง ยืนอยู่เบื้องหน้าฉิงยี่เหมือนกับชายที่กำลังค้ำชูโลกเอาไว้
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากพ่อของเขา นั่นคือหวังหลิน สิบเก้าปีแห่งการใช้ชีวิตธรรมดา แปดปีแห่งการท่องเที่ยวและมากกว่าสามสิบปีแห่งการเป็นผู้ปกครองสูงสุดในหมู่คนธรรมดาซึ่งทำให้เขามีหัวใจไม่หวาดกลัวสวรรค์ เขาไม่กลัวสวรรค์แตกสลาย นับประสาอะไรกับเซียนคนนี้!
ฉิงยี่จ้องไปที่ดวงตาหวังผิง ตอนนี้ร่างเขาสลักลึกในจิตใจของนางตลอดกาล ความอ่อนโยนในแววตาฉิงยี่ยิ่งมากมายขึ้น นางสลายระดับบ่มเพาะของตนเอง ยืนอยู่ข้างสามีและมองชายวัยกลางคนอย่างสงบนิ่ง
ชายวัยกลางคนมองหวังผิงอย่างมีความหมาย ดวงตาเผยประกายแสงประหลาด สายตานี้ดูเหมือนจะสามารถมองทะลุหวังผิงได้
เหตุผลที่สัมผัสวิญญาณของเขาตกลงมาที่นี่เป็นเพราะคนธรรมดาทั้งหมดจะสลบไปเมื่อถูกสัมผัสวิญญาณของเขากวาดผ่าน นั่นเป็นเพราะระดับบ่มเพาะของเขาแข็งแกร่งเกินไปและแฝงสายฟ้าไปด้วยซึ่งทำให้สัมผัสวิญญาณของเขาเสมือนกับอำนาจแห่งสวรรค์ต่อคนธรรมดา
อย่างไรก็ตามมีคนธรรมดาเบื้องหน้าเขาคนนี้เท่านั้นที่ไม่สลบไปและดูเหมือนกระทั่งไม่รับรู้แม้สัมผัสวิญญาณเขาจะกวาดผ่าน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงกระตุ้นความสนใจของเขาและจับจ้องมาที่สถานที่นี้!
เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ “น่าสนใจ! ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเจ้าถึงไม่สลบไป เป็นเช่นนี้เอง…”
ในจังหวะที่ชายวัยกลางคนก้าวเข้าไปในห้อง ณ เมืองเวิ้งวารีที่ห่างออกไปไกล หวังหลินเดิมทีนั่งอยู่ในเก้าอี้กำลังถือขวดเหล้าพลันยืนขึ้นทันที ขวดเหล้าในมือขวาแตกกระจายแม้แต่เหล้าข้างในก็สลายไปด้วย
เมื่อหวังหลินเงยศีรษะขึ้น ดวงตาที่ไม่มีสีสันมานานเจ็ดสิบปีพลันแสดงความเย็นเยียบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันยิ่งน่าหวาดหวั่นมากกว่าครั้งที่เกิดในร้านอาหารเสียอีก เป็นความแตกต่างระหว่างฟ้าดินที่ไม่สามารถเทียบกันได้ง่ายๆ!