Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 701

Cover Renegade Immortal 1

701. ระดับฝึกฝน

เต๋าสายฟ้าส่งสายตาลงบนร่างหวังผิงด้วยความสนใจ “แสดงว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์…”

ก่อนจะพูดจบ ร่างหวังหลินสั่นเทาและขณะนั้นเงาด้านหลังก็เคลื่อนไหว ปรากฏเป็นหุ่นเชิดองครักษ์เทพที่โยนกำปั้นออกมา

กำปั้นสร้างคลื่นเสียงกระแทกแทนที่เสียงคำรามของสายฟ้าและพุ่งตรงเข้าใส่ผู้ส่งสาส์น

ดวงตาผู้ส่งสาส์นหรี่แคบลง เขาเห็นแล้วว่ามีหุ่นเชิดตัวหนึ่งซ่อนร่างไว้อย่างดีในเงาของหวังผิงดังนั้นจึงไม่ได้ตกใจ พลันแขนสร้างผนึกขึ้นมาเกิดประกายสายฟ้าและผลักฝ่ามือกระแทกเข้าหาหุ่นเชิด

หุ่นเชิดองครักษ์เทพถูกสายฟ้าเข้าปะทะและแทรกซึมเข้าไป มันไม่แยแสต่อสายฟ้าโดยสิ้นเชิงและกำปั้นของมันก็ปะทะใส่ฝ่ามือของผู้ส่งสาส์น

พลังทำลายล้างเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งจากกำปั้นหุ่นเชิดเข้าไปในร่างผู้ส่งสาส์น ราวกับว่ามีพายุลูกหนึ่งถูกวางเอาไว้และเกิดเสียงดังก้องออกมาจากร่างกาย

เสียงอู้อี้ดังสะท้อนผ่านในบ้านพร้อมด้วยผู้ส่งสาส์นก้าวถอยหลังไปหลายก้าว แต่กระนั้นฝ่ามือที่ด้านชาและสายฟ้าก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาเผยแสงประหลาดมองไปที่หุ่นเชิดและหัวเราะ “หุ่นเชิดระดับสูง!”

หุ่นเชิดองครักษ์เทพก้าวถอยหลังสองก้าว ดวงตาเยือกเย็น สายฟ้าแล่นผ่านร่างกายของมันราวกับอสรพิษกำลังเต้นระบำ

ขณะที่ผู้ส่งสาส์นหัวเราะ เขาก็ก้าวเท้ามาข้างหน้า เพียงแค่เท้าสัมผัสกับพื้นดิน สายฟ้ารอบตัวบ้านทั้งหมดพลันรวมกันที่ฝ่าเท้าและก้าวเท้าย่ำลงบนพื้นอย่างดุดัน

ทั้งโลกดูเหมือนจะล่มสลายในชั่วจังหวะนั้น

ทั้งบ้านแตกสลายโดยไม่มีเศษซากเหลืออยู่ สายฟ้ากระจายออกมาอย่างบ้าคลั่ง หวังผิงกลับยืนอยู่ตรงกลาง

แววตาหุ่นเชิดหนาวเย็นยิ่งขึ้นและโยนกำปั้นออกไปอีก ทว่าเนื่องจากมีสายฟ้ามากเกินไป องครักษ์เทพจึงไม่สามารถป้องกันได้หมด

สายฟ้ากำลังกระจายเข้าใส่ร่างหวังผิง ฉิงยี่รีบดึงแขนหวังผิงและมองเขาด้วยสายตาอ่อนไหว

ส่วนหวังผิงนั้นเขาไม่ตื่นตระหนกเลย แม้ภูเขาไท่จะล่มสลายเขาก็ไม่เคลื่อนไหวเพราะเขารู้ว่าท่านพ่อจะมาแน่นอน

ในสายตาเขา ท่านพ่อเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ดวงดาว ไม่มีใครต้านทานเขาได้!

ความสงบนิ่งของหวังผิงทำให้ผู้ส่งสาส์นสนใจ หลังจากมองอย่างละเอียดเขาจึงตกตะลึง ดูเหมือนเขาจะพบเจออะไรบางอย่าง

ระลอกสายฟ้าพุ่งตรงเข้าใส่หวังผิง แต่ขณะที่มันเข้าไปใกล้นั้นมีเสียงชราหนึ่งดังสะท้อนระหว่างชั้นฟ้า

น้ำเสียงเก่าแก่อย่างยิ่งและเมื่อมันร่อนมาถึงได้ทำให้สายฟ้าทั้งหมดที่เคลื่อนไหวดุจมังกรพลันชะงักค้าง

ประกายสายฟ้าสีน้ำเงินดูเหมือนจะมีชีวิตและกิ่งก้านบางส่วนเล็กๆห่างจากหวังผิงเพียงแค่สามนิ้ว ทว่าในจังหวะนั้นทั้งหมดกลับถูกแช่แข็ง

ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว “หยุด!”

วังวนยักษ์ปรากฏใจกลางความว่างเปล่าและชายชราผมขาวค่อยๆเดินออกมาจากในนั้น

เขาก้าวเดินออกมาและมาถึงเบื้องหน้าหวังผิง จากนั้นชี้ไปที่สายฟ้าแข็งค้างเบื้องหน้าหวังผิงอย่างลวกๆ เกิดเสียงแตกร้าวหลายชุดพร้อมกับรอยแตกนั้นกระจายไปรอบๆระลอกสายฟ้าในทันที

ในพริบตาเดียวการกระจายนี้ก็แพร่ออกไปและระลอกคลื่นสายฟ้าก็พังทะลาย…

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ส่งสาส์นอ้าปากค้างทันที เขาก้าวถอยไปสองก้าวและจ้องหวังหลินด้วยสายตาระมัดระวัง

เขาไม่สามารถมองทะลุระดับบ่มเพาะของคนผู้นี้ได้เลย!

เขาสามารถมองเห็นคนผู้นี้ด้วยสายตา แต่ในสัมผัสวิญญาณ ชายชราคนนี้ดูเหมือนไม่มีตัวตนอยู่

หวังผิงจ้องชายชราเบื้องหน้าและเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อ…”

เสียงเรียกนี้แฝงความยาวนานนับสิบปี…

ชายชราคนนี้คือหวังหลิน! ดวงตาดั้งเดิมที่เย็นชา สายตาเช่นนี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว

หวังหลินเอ่ย “ผู้ส่งสาส์นอารามเทพอัสนี!”

หุ่นเชิดองครักษ์เทพเคลื่อนตัวมาข้างหวังหลินในพริบตาและจ้องผู้ส่งสาส์นด้วยสายตาเย็นเยียบ

ผู้ส่งสาส์นจ้องหวังหลินด้วยท่าทางเคร่งเครียดและเอ่ยถาม “ท่านเป็นใครกัน?”

หวังหลินมองไปรอบด้าน เกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่เช่นนี้กลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดจากชาวบ้าน เห็นได้ชัดว่าคนทั้งหมดได้ถูกสัมผัสวิญญาณของคนผู้นี้ทำให้สลบไปหมด

หวังหลินโบกแขน แสงอ่อนๆล้อมรอบหวังผิงและฉิงยี่ ขณะเดียวกันก็ก้าวเท้าพาหวังผิงและฉิงยี่ออกไปด้วย องครักษ์เทพตามมาด้านหลังติดๆ

สีหน้าผู้ส่งสาส์นเปลี่ยนเป็นมืดมน เขาพ่นลมหายใจเย็นและหายตัวไปในหนึ่งก้าวเช่นกัน

หวังหลินปรากฏตัวเหนือพื้นที่ราบกว้างใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของดาวรานหยุน หวังผิงและฉิงยี่ปรากฏตัวพร้อมกับแสงอ่อนๆล้อมรอบไว้เช่นกัน

ขณะเดียวกัน สายฟ้ากระพริบวาบเบื้องหน้าพวกเขาไปหนึ่งพันฟุตและปรากฏผู้ส่งสาส์นขึ้น

สายฟ้าจำนวนมากล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ ท้องฟ้าทั้งหมดมืดครึ้มและประกายสายฟ้าระเบิดออกมาจากก้อนเมฆช่างน่าตกใจอย่างยิ่ง

ผู้ส่งสาส์นเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาจ้องไปที่หวังหลิน “ข้าไม่สนว่าท่านเป็นใคร ทิ้งหุ่นเชิดนั้นไว้และข้าจะไว้ชีวิตทั้งสามคน!”

แววตาหวังหลินยิ่งเย็นชามากขึ้นและเอ่ยอย่างสุขุม “แม้เจ้าจะปล่อยข้าไป ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก หากข้ามาช้าไปก้าวเดียวลูกชายข้าคงตายด้วยนำ้มือเจ้าไปแล้ว เรื่องนี้มันล้ำเส้นข้า ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้เจ้าจะต้องตาย!”

น้ำเสียงตัดสินใจและพลันปรากฏจิตสังหารเต็มเปี่ยม ในเวลาเดียวกันองครักษ์เทพก็ก้าวออกมา ทั้งร่างเรืองแสงสีทองพุ่งก้าวและโยนกำปั้นใส่ผู้ส่งสาส์น

ผู้ส่งสาส์นตบกระเป๋านำตาข่ายสายฟ้าไว้ในมือ สร้างผนีกขึ้นและโยนตาข่ายออกไป ตาข่ายขยายออกในทันทีเพียงพอที่จะปกคลุมฟ้าดินเบื้องหน้าและเริ่มหดเข้าใส่องครักษ์เทพ

สัญลักษณ์รูนนับไม่ถ้วนกระพริบวาบบนตาข่ายสายฟ้า มันเหนียวแน่นมากจนกำปั้นจากองครักษ์เทพไม่สามารถทำให้มันแตกสลายได้

“ข้าคือผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนี ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า แม้จะมีหุ่นเชิดตัวนี้มันก็ไม่สามารถฆ่าข้าได้!” ผู้ส่งสาส์นไม่แม้แต่เหลียวแลตาข่ายสายฟ้าขณะที่ฝ่ามือสร้างผนึกส่งลำแสงสายฟ้าเข้าใส่หวังหลิน

หวังหลินมีสีหน้าเป็นปกติและกระทั่งไม่หลบลำแสงสายฟ้า ขณะที่มันเข้ามาใกล้เขาเพียงแค่อ้าปากและกลืนกินสายฟ้านั้นลงต่อหน้าต่อตาสายตาของผู้ส่งสาส์น

สายฟ้าระเบิดผ่านร่างกายหวังหลินพร้อมกับส่งเสียงแตกร้าว

“สายฟ้าเล็กน้อยแค่นี้มันไม่พอหรอก!” หวังหลินยกแขนขวาขึ้นและวิญญาณดั้งเดิมบางส่วนเคลื่อนเข้าหาแขนขวา ทรงกลมสายฟ้าลูกหนึ่งปรากฏขึ้นในฝ่ามือ

แม้ว่าทรงกลมสายฟ้าจะมีขนาดเท่ากำปั้น แต่มันกลับเปลี่ยนก้อมเมฆอันมืดมิดทั้งหมดในท้องฟ้าให้กลายเป็นสายฟ้าอันบ้าคลั่ง ในเสี้ยววินาทีนั้นสายฟ้าทั้งหมดก็พุ่งเข้าหาทรงกลมสายฟ้าที่อยู่ในมือหวังหลิน

เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ส่งสาส์นอ้าปากค้าง ที่เขาเห็นก็คือสายฟ้าที่กำลังตกลงมาดุจสายฝนเขาหาฝ่ามือของคนตรงหน้า

“นี่คือสายฟ้าที่แท้จริง!” หวังหลินเอ่ยเสียงสงบนิ่งและสะบัดแขนขวา ทรงกลมสายฟ้าปล่อยเสียงดังสนั่นพร้อมกับพุ่งเข้าหาผู้ส่งสาส์น

สีหน้าผู้ส่งสาส์นเปลี่ยนไปมหาศาลและล่าถอยโดยไม่ลังเล เขาตบกระเป๋านำแผ่นเหล็กสีดำยาวสามฟุตและหนาหนึ่งนิ้วออกมา ม้นมีสัญลักษณ์รูนนับไม่ถ้วนสลักเอาไว้และมีเส้นสีแดงเข้มไขว้กัน

ขณะที่ลูกแก้วสายฟ้าของหวังหลินมาถึง ผู้ส่งสาส์นแปะแผ่นเหล็กไปบนพื้น ในเวลาเดียวกันแขนสองข้างสร้างผนึกประทับลงใส่ด้วย

แววตาผู้ส่งสาส์นขมวดกันและตะโกน “สายฟ้าแห่งสวรรค์และปฐพี จงรวมตัว!”

ลูกแก้วสายฟ้าเข้ามาใกล้พร้อมเสียงดังสนั่นแต่ก็ได้รับผลกระทบจากแผ่นเหล็กทันที มันตรงเข้าหาแผ่นเหล็กและเกิดชั้นสายฟ้าทรงพลังล้อมรอบเอาไว้

ขณะที่สายฟ้าเคลื่อนไปตามแผ่นเหล็ก สัญลักษณ์รูนทั้งหมดเริ่มส่องประกายราวกับกำลังดูดซับบางอย่างด้วยความรวดเร็ว

ทว่าลูกแก้วสายฟ้าแข็งแกร่งเกินไป ลมหายใจถัดมันมาแผ่นเหล็กก็แตกหักปลดปล่อยเสียงที่บ่งบอกว่ามันไม่สามารถยับยั้งไว้ได้และเริ่มมีรอยร้าวปรากฏขึ้น แต่ทว่าเส้นสีแดงเข้มเคลื่อนไปตามรอยร้าวดุจกาวที่ป้องกันไม่ให้แผ่นเหล็กพังทลาย

ลูกแก้วสายฟ้าส่งเสียงดังสนั่นปลดปล่อยสัมผัสแห่งอำนาจ แม้ว่าสายฟ้าจำนวนมากถูกแผ่นเหล็กดูดซับไปมันยังคงปะทะเข้ากับแผ่นเหล็กอย่างต่อเนื่อง

ในชั่งวินาทีนั้นรอยร้าวบนแผ่นเหล็กก็กระจายออกมาจากมากขึ้นจนเต็มไปทั่วแผ่น เส้นสีแดงเข้มดูเหมือนจะปกคลุมไปทั้งแผ่นเพื่อรักษาให้มันไม่แตกสลาย

ผู้ส่งสาส์นมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยสายตาไม่เชื่อ

แผ่นเหล็กดูเหมือนไม่สามารถทนรับพลังอำนาจของสายฟ้าได้อีกต่อไป หลังจากดูดซับลูกแก้วสายฟ้ามันก็สั่นเทาและพังทลายต่อหน้าต่อตาผู้ส่งสาส์น

ราวกับเกิดสายฟ้าคำนองไปทั่วพลันบังเกิดให้ดาวรานหยุนสั่นเทา ยอดภูเขาจำนวนมากแตกสลายกู่ร้องออกมาดังสนั่น

แผ่นเหล็กพังทลายและสายฟ้าทรงพลังระเบิดออกมาโดยมีผู้ส่งสาส์นเป็นจุดศูนย์กลาง เขาฝืนล่าถอยออกไปสิบก้าวด้วยใบหน้าซีดขาว มองหวังหลินและตะโกน “เจ้าเป็นคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนี ซิ่วมู่! เจ้ามีระดับบ่มเพาะอะไรกันแน่?!”

พลังอำนาจสายฟ้าจากการแตกสลายของแผ่นเหล็กได้ทำให้สายฟ้ารอบๆองครักษ์เทพเลือนหายไป จากนั้นองครักษ์เทพก็เดินออกมา

หวังหลินมองผู้ส่งสาส์นตรงหน้าและเอ่ยขึ้น “ระดับบ่มเพาะของข้า…” เขาขบคิดพร้อมกับพลังปราณสวรรค์ปะทะออกมาจากร่างกายทันที จากระดับพื้นฐานลมปราณพวยพุ่งขึ้นมาขั้นตัดวิญญาณ มันพุ่งขึ้นเรื่อยๆจนบรรลุขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายสูงสุด

นี่ยังไม่จบสิ้น ขณะที่ปราณสวรรค์ในร่างระเบิดพวยพุ่งออกมา ระดับบ่มเพาะของเขาก็พุ่งขึ้นไปถึงขั้นเทวะระดับต้น!

ร่างกายหวังหลินกำลังเต็มไปด้วยปราณสวรรค์ สีหน้าผู้ส่งสาส์นยิ่งน่าเกลียดขึ้น แม้เขาจะไม่คิดว่าเซียนขั้นแรกจะถือเป็นภัยคุกคาม ทว่าระดับบ่มเพาะของชายชราคนนี้กำลังปีนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน

ขั้นเทวะระดับต้นไม่ใช่สุดสิ้นสุด ขณะที่ปราณสวรรค์ในร่างกายระเบิดพวยพุ่ง ระดับบ่มเพาะของเขาก็บรรลุขั้นเทวะระดับกลาง

ปราณสวรรค์ค่อยๆชะลอตัวลงและอยู่ที่ขั้นเทวะระดับกลาง ทว่ากลิ่นอายของหวังหลินกลับรุนแรงขึ้นไม่มีหยุด กลิ่นอายนี้ออกมาจากเขตแดนของเขา!

ขีดจำกัดขั้นเทวะระดับกลางไม่สามารถหยุดการเพิ่มขึ้นในเขตแดนได้ กลิ่นอายเขตแดนของหวังหลินกลับรุนแรงแข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นจนทำให้สีหน้าท่าทางของผู้ส่งสาส์นมืดมัว

เขตแดนที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุดและข้ามผ่านสิ่งที่เซียนขั้นเทวะระดับกลางทั่วไปควรจะมี ตอนนี้เส้นผมสีขาวของหวังหลินสะบัดไหวโดยไร้แรงลมและเริ่มครุ่นคิดมากขึ้น

กลิ่นอายทรงพลังกระจายออกมาจากหวังหลินและพุ่งออกไปทุกทิศทาง ปกคลุมดาวรานหยุนอย่างช้าๆ

ขณะที่เขตแดนของเขากระจายออกไปอย่างต่อเนื่องมันก็บรรลุขั้นเทวะระดับปลาย แต่นั่นยังไม่ใช่จุดสุดท้าย มันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

เหตุการณ์นี้ทำให้หนังตาผู้ส่งสาส์นกลอกไปมาไม่หยุดและหัวใจแทบหยุดเต้นเนื่องจากสัมผัสความหวาดกลัว ตอนที่เขารู้สึกว่าเขตแดนหยุดลงนั้นเป็ฯตอนที่เขารู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อยและคิดขึ้นว่า ‘เซียนที่ยังติดอยู่ขั้นแรกถือว่าสังหารได้ง่ายดาย…แต่เขากลับแข็งแกร่งเช่นนี้…’

ภาพวาดภูเขาและแม่น้ำขนาดใหญ่ปรากฏอยู่กลางท้องฟ้า ใช้ท้องฟ้าเป็นพื้นที่และใช้ผืนดินเป็นน้ำหมึก ราวกับเป็นภาพลวงตาที่พึ่งปรากฏขึ้น

แม่น้ำอเวจีสายหนึ่งค่อยๆปรากฏออกมาจากภาพวาดและลอยละล่องอย่างเชื่องช้า

ทว่าแม่น้ำอเวจีพลันสั่นเทาและเข้าไปในหวังหลินด้านบนศีรษะ

ขณะที่ผู้ส่งสาส์นกำลังตกอยู่ในอาการค้างอย่างสิ้นเชิง เขตแดนของหวังหลินที่กำลังถึงจุดสูงสุดพลันเพิ่มขึ้นและบรรลุถึงขั้นเทวะระดับปลายสูงสุด

จนเขตแดนหวังหลินมาหยุดอยู่ตรงนี้!

ผู้ส่งสาส์นถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหวาดกลัวว่าเขตแดนของหวังหลินจะทะลวงผ่านขั้นแรกเสียจริง หากเป็นกรณีนั้นผู้ส่งสาส์นคงตกอยู่ในอาการย่ำแย่เนื่องจากการช่วยเหลือของหุ่นเชิดอีก!

ผู้ส่งสาส์นเยาะเย้ย “แค่ระดับบ่มเพาะเล็กน้อยนี้ เจ้าถึงกับกล้าอ้างตัวเป็นผู้ส่งสาส์นจากอารามเทพอัสนีเชียวหรือ!?” ทว่าเขายังมีข้อสงสัยบางอย่างอยู่ในใจ นอกจากนั้นลูกแก้วสายฟ้าที่ซิ่วมู่ใช้ก่อนหน้านี้ยังน่าตกใจยิ่ง

วิชาสายฟ้าแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่เซียนธรรมดาจะมีได้ เขาเคยเห็นมันเพียงครั้งเดียวจากผู้ส่งสาส์นขั้นปฐพีในอารามเทพอัสนี อีกสิ่งหนึ่งทำให้เขาสงสัยก็คือสัมผัสวิญญาณของเขาก่อนหน้านี้ไม่อาจตรวจจับการคงอยู่ของคนผู้นี้ได้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถเห็นระดับบ่มเพาะของอีกฝ่ายได้ชัดเจน เขารู้สึกว่ามันมีหมอกอีกชั้นปกคลุมคนผู้นี้เอาไว้ ราวกับพยายามมองดูพระจันทร์ผ่านการสะท้อนของสายน้ำ

หวังหลินเงยศีรษะขึ้น เขาไม่ได้มีพลังปราณสวรรค์มากเพียงพอ ดังนั้นระดับบ่มเพาะจึงติดอยู่ที่ขั้นเทวะระดับกลาง ทว่าเขตแดนของเขาบรรลุระดับที่สูงมากแล้ว แม้แต่หวังหลินก็ยังตกใจกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายของตน

ยิ่งไปกว่านั้นเขาเพียงแค่ปลดปล่อยเขตแดนแห่งชีวิตและความตายเท่านั้น ยังมีอำนาจสายฟ้าและเขตแดนเวรกรรมที่เขาไม่ได้ปลดปล่อยออกมา

เหตุผลที่ผู้ส่งสาส์นไม่สามารถมองทะลุเขตแดนของหวังหลินได้แน่นอนว่ามาจากเขตแดนเวรกรรม หลังจากเขตแดนของหวังหลินพัฒนาไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมองทะลุระดับบ่มเพาะของเขาออกเว้นเสียแต่จะเป็นคนที่อยู่ผ่านขั้นที่สองอย่างแท้จริงไปแล้ว ผู้ส่งสาส์นอยู่ในขั้นหยินหยาง ซึ่งเป็นแค่การเปลี่ยนผ่านระหว่างขั้นแรกไปสู่ขั้นสอง

หวังผิงจ้องพ่อของตนเบื้องหน้า ขณะที่ระดับบ่มเพาะของพ่อเพิ่มขึ้น ได้มีแรงผันผวนเล็กน้อยในร่างกายเขา เขารู้สึกว่าแรงผันผวนนี้มาจากวิญญาณและทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่คิดมากขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version