701. ระดับฝึกฝน
เต๋าสายฟ้าส่งสายตาลงบนร่างหวังผิงด้วยความสนใจ “แสดงว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์…”
ก่อนจะพูดจบ ร่างหวังหลินสั่นเทาและขณะนั้นเงาด้านหลังก็เคลื่อนไหว ปรากฏเป็นหุ่นเชิดองครักษ์เทพที่โยนกำปั้นออกมา
กำปั้นสร้างคลื่นเสียงกระแทกแทนที่เสียงคำรามของสายฟ้าและพุ่งตรงเข้าใส่ผู้ส่งสาส์น
ดวงตาผู้ส่งสาส์นหรี่แคบลง เขาเห็นแล้วว่ามีหุ่นเชิดตัวหนึ่งซ่อนร่างไว้อย่างดีในเงาของหวังผิงดังนั้นจึงไม่ได้ตกใจ พลันแขนสร้างผนึกขึ้นมาเกิดประกายสายฟ้าและผลักฝ่ามือกระแทกเข้าหาหุ่นเชิด
หุ่นเชิดองครักษ์เทพถูกสายฟ้าเข้าปะทะและแทรกซึมเข้าไป มันไม่แยแสต่อสายฟ้าโดยสิ้นเชิงและกำปั้นของมันก็ปะทะใส่ฝ่ามือของผู้ส่งสาส์น
พลังทำลายล้างเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งจากกำปั้นหุ่นเชิดเข้าไปในร่างผู้ส่งสาส์น ราวกับว่ามีพายุลูกหนึ่งถูกวางเอาไว้และเกิดเสียงดังก้องออกมาจากร่างกาย
เสียงอู้อี้ดังสะท้อนผ่านในบ้านพร้อมด้วยผู้ส่งสาส์นก้าวถอยหลังไปหลายก้าว แต่กระนั้นฝ่ามือที่ด้านชาและสายฟ้าก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาเผยแสงประหลาดมองไปที่หุ่นเชิดและหัวเราะ “หุ่นเชิดระดับสูง!”
หุ่นเชิดองครักษ์เทพก้าวถอยหลังสองก้าว ดวงตาเยือกเย็น สายฟ้าแล่นผ่านร่างกายของมันราวกับอสรพิษกำลังเต้นระบำ
ขณะที่ผู้ส่งสาส์นหัวเราะ เขาก็ก้าวเท้ามาข้างหน้า เพียงแค่เท้าสัมผัสกับพื้นดิน สายฟ้ารอบตัวบ้านทั้งหมดพลันรวมกันที่ฝ่าเท้าและก้าวเท้าย่ำลงบนพื้นอย่างดุดัน
ทั้งโลกดูเหมือนจะล่มสลายในชั่วจังหวะนั้น
ทั้งบ้านแตกสลายโดยไม่มีเศษซากเหลืออยู่ สายฟ้ากระจายออกมาอย่างบ้าคลั่ง หวังผิงกลับยืนอยู่ตรงกลาง
แววตาหุ่นเชิดหนาวเย็นยิ่งขึ้นและโยนกำปั้นออกไปอีก ทว่าเนื่องจากมีสายฟ้ามากเกินไป องครักษ์เทพจึงไม่สามารถป้องกันได้หมด
สายฟ้ากำลังกระจายเข้าใส่ร่างหวังผิง ฉิงยี่รีบดึงแขนหวังผิงและมองเขาด้วยสายตาอ่อนไหว
ส่วนหวังผิงนั้นเขาไม่ตื่นตระหนกเลย แม้ภูเขาไท่จะล่มสลายเขาก็ไม่เคลื่อนไหวเพราะเขารู้ว่าท่านพ่อจะมาแน่นอน
ในสายตาเขา ท่านพ่อเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ดวงดาว ไม่มีใครต้านทานเขาได้!
ความสงบนิ่งของหวังผิงทำให้ผู้ส่งสาส์นสนใจ หลังจากมองอย่างละเอียดเขาจึงตกตะลึง ดูเหมือนเขาจะพบเจออะไรบางอย่าง
ระลอกสายฟ้าพุ่งตรงเข้าใส่หวังผิง แต่ขณะที่มันเข้าไปใกล้นั้นมีเสียงชราหนึ่งดังสะท้อนระหว่างชั้นฟ้า
น้ำเสียงเก่าแก่อย่างยิ่งและเมื่อมันร่อนมาถึงได้ทำให้สายฟ้าทั้งหมดที่เคลื่อนไหวดุจมังกรพลันชะงักค้าง
ประกายสายฟ้าสีน้ำเงินดูเหมือนจะมีชีวิตและกิ่งก้านบางส่วนเล็กๆห่างจากหวังผิงเพียงแค่สามนิ้ว ทว่าในจังหวะนั้นทั้งหมดกลับถูกแช่แข็ง
ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว “หยุด!”
วังวนยักษ์ปรากฏใจกลางความว่างเปล่าและชายชราผมขาวค่อยๆเดินออกมาจากในนั้น
เขาก้าวเดินออกมาและมาถึงเบื้องหน้าหวังผิง จากนั้นชี้ไปที่สายฟ้าแข็งค้างเบื้องหน้าหวังผิงอย่างลวกๆ เกิดเสียงแตกร้าวหลายชุดพร้อมกับรอยแตกนั้นกระจายไปรอบๆระลอกสายฟ้าในทันที
ในพริบตาเดียวการกระจายนี้ก็แพร่ออกไปและระลอกคลื่นสายฟ้าก็พังทะลาย…
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ส่งสาส์นอ้าปากค้างทันที เขาก้าวถอยไปสองก้าวและจ้องหวังหลินด้วยสายตาระมัดระวัง
เขาไม่สามารถมองทะลุระดับบ่มเพาะของคนผู้นี้ได้เลย!
เขาสามารถมองเห็นคนผู้นี้ด้วยสายตา แต่ในสัมผัสวิญญาณ ชายชราคนนี้ดูเหมือนไม่มีตัวตนอยู่
หวังผิงจ้องชายชราเบื้องหน้าและเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อ…”
เสียงเรียกนี้แฝงความยาวนานนับสิบปี…
ชายชราคนนี้คือหวังหลิน! ดวงตาดั้งเดิมที่เย็นชา สายตาเช่นนี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว
หวังหลินเอ่ย “ผู้ส่งสาส์นอารามเทพอัสนี!”
หุ่นเชิดองครักษ์เทพเคลื่อนตัวมาข้างหวังหลินในพริบตาและจ้องผู้ส่งสาส์นด้วยสายตาเย็นเยียบ
ผู้ส่งสาส์นจ้องหวังหลินด้วยท่าทางเคร่งเครียดและเอ่ยถาม “ท่านเป็นใครกัน?”
หวังหลินมองไปรอบด้าน เกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่เช่นนี้กลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดจากชาวบ้าน เห็นได้ชัดว่าคนทั้งหมดได้ถูกสัมผัสวิญญาณของคนผู้นี้ทำให้สลบไปหมด
หวังหลินโบกแขน แสงอ่อนๆล้อมรอบหวังผิงและฉิงยี่ ขณะเดียวกันก็ก้าวเท้าพาหวังผิงและฉิงยี่ออกไปด้วย องครักษ์เทพตามมาด้านหลังติดๆ
สีหน้าผู้ส่งสาส์นเปลี่ยนเป็นมืดมน เขาพ่นลมหายใจเย็นและหายตัวไปในหนึ่งก้าวเช่นกัน
หวังหลินปรากฏตัวเหนือพื้นที่ราบกว้างใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของดาวรานหยุน หวังผิงและฉิงยี่ปรากฏตัวพร้อมกับแสงอ่อนๆล้อมรอบไว้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน สายฟ้ากระพริบวาบเบื้องหน้าพวกเขาไปหนึ่งพันฟุตและปรากฏผู้ส่งสาส์นขึ้น
สายฟ้าจำนวนมากล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ ท้องฟ้าทั้งหมดมืดครึ้มและประกายสายฟ้าระเบิดออกมาจากก้อนเมฆช่างน่าตกใจอย่างยิ่ง
ผู้ส่งสาส์นเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาจ้องไปที่หวังหลิน “ข้าไม่สนว่าท่านเป็นใคร ทิ้งหุ่นเชิดนั้นไว้และข้าจะไว้ชีวิตทั้งสามคน!”
แววตาหวังหลินยิ่งเย็นชามากขึ้นและเอ่ยอย่างสุขุม “แม้เจ้าจะปล่อยข้าไป ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก หากข้ามาช้าไปก้าวเดียวลูกชายข้าคงตายด้วยนำ้มือเจ้าไปแล้ว เรื่องนี้มันล้ำเส้นข้า ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้เจ้าจะต้องตาย!”
น้ำเสียงตัดสินใจและพลันปรากฏจิตสังหารเต็มเปี่ยม ในเวลาเดียวกันองครักษ์เทพก็ก้าวออกมา ทั้งร่างเรืองแสงสีทองพุ่งก้าวและโยนกำปั้นใส่ผู้ส่งสาส์น
ผู้ส่งสาส์นตบกระเป๋านำตาข่ายสายฟ้าไว้ในมือ สร้างผนีกขึ้นและโยนตาข่ายออกไป ตาข่ายขยายออกในทันทีเพียงพอที่จะปกคลุมฟ้าดินเบื้องหน้าและเริ่มหดเข้าใส่องครักษ์เทพ
สัญลักษณ์รูนนับไม่ถ้วนกระพริบวาบบนตาข่ายสายฟ้า มันเหนียวแน่นมากจนกำปั้นจากองครักษ์เทพไม่สามารถทำให้มันแตกสลายได้
“ข้าคือผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนี ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า แม้จะมีหุ่นเชิดตัวนี้มันก็ไม่สามารถฆ่าข้าได้!” ผู้ส่งสาส์นไม่แม้แต่เหลียวแลตาข่ายสายฟ้าขณะที่ฝ่ามือสร้างผนึกส่งลำแสงสายฟ้าเข้าใส่หวังหลิน
หวังหลินมีสีหน้าเป็นปกติและกระทั่งไม่หลบลำแสงสายฟ้า ขณะที่มันเข้ามาใกล้เขาเพียงแค่อ้าปากและกลืนกินสายฟ้านั้นลงต่อหน้าต่อตาสายตาของผู้ส่งสาส์น
สายฟ้าระเบิดผ่านร่างกายหวังหลินพร้อมกับส่งเสียงแตกร้าว
“สายฟ้าเล็กน้อยแค่นี้มันไม่พอหรอก!” หวังหลินยกแขนขวาขึ้นและวิญญาณดั้งเดิมบางส่วนเคลื่อนเข้าหาแขนขวา ทรงกลมสายฟ้าลูกหนึ่งปรากฏขึ้นในฝ่ามือ
แม้ว่าทรงกลมสายฟ้าจะมีขนาดเท่ากำปั้น แต่มันกลับเปลี่ยนก้อมเมฆอันมืดมิดทั้งหมดในท้องฟ้าให้กลายเป็นสายฟ้าอันบ้าคลั่ง ในเสี้ยววินาทีนั้นสายฟ้าทั้งหมดก็พุ่งเข้าหาทรงกลมสายฟ้าที่อยู่ในมือหวังหลิน
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ส่งสาส์นอ้าปากค้าง ที่เขาเห็นก็คือสายฟ้าที่กำลังตกลงมาดุจสายฝนเขาหาฝ่ามือของคนตรงหน้า
“นี่คือสายฟ้าที่แท้จริง!” หวังหลินเอ่ยเสียงสงบนิ่งและสะบัดแขนขวา ทรงกลมสายฟ้าปล่อยเสียงดังสนั่นพร้อมกับพุ่งเข้าหาผู้ส่งสาส์น
สีหน้าผู้ส่งสาส์นเปลี่ยนไปมหาศาลและล่าถอยโดยไม่ลังเล เขาตบกระเป๋านำแผ่นเหล็กสีดำยาวสามฟุตและหนาหนึ่งนิ้วออกมา ม้นมีสัญลักษณ์รูนนับไม่ถ้วนสลักเอาไว้และมีเส้นสีแดงเข้มไขว้กัน
ขณะที่ลูกแก้วสายฟ้าของหวังหลินมาถึง ผู้ส่งสาส์นแปะแผ่นเหล็กไปบนพื้น ในเวลาเดียวกันแขนสองข้างสร้างผนึกประทับลงใส่ด้วย
แววตาผู้ส่งสาส์นขมวดกันและตะโกน “สายฟ้าแห่งสวรรค์และปฐพี จงรวมตัว!”
ลูกแก้วสายฟ้าเข้ามาใกล้พร้อมเสียงดังสนั่นแต่ก็ได้รับผลกระทบจากแผ่นเหล็กทันที มันตรงเข้าหาแผ่นเหล็กและเกิดชั้นสายฟ้าทรงพลังล้อมรอบเอาไว้
ขณะที่สายฟ้าเคลื่อนไปตามแผ่นเหล็ก สัญลักษณ์รูนทั้งหมดเริ่มส่องประกายราวกับกำลังดูดซับบางอย่างด้วยความรวดเร็ว
ทว่าลูกแก้วสายฟ้าแข็งแกร่งเกินไป ลมหายใจถัดมันมาแผ่นเหล็กก็แตกหักปลดปล่อยเสียงที่บ่งบอกว่ามันไม่สามารถยับยั้งไว้ได้และเริ่มมีรอยร้าวปรากฏขึ้น แต่ทว่าเส้นสีแดงเข้มเคลื่อนไปตามรอยร้าวดุจกาวที่ป้องกันไม่ให้แผ่นเหล็กพังทลาย
ลูกแก้วสายฟ้าส่งเสียงดังสนั่นปลดปล่อยสัมผัสแห่งอำนาจ แม้ว่าสายฟ้าจำนวนมากถูกแผ่นเหล็กดูดซับไปมันยังคงปะทะเข้ากับแผ่นเหล็กอย่างต่อเนื่อง
ในชั่งวินาทีนั้นรอยร้าวบนแผ่นเหล็กก็กระจายออกมาจากมากขึ้นจนเต็มไปทั่วแผ่น เส้นสีแดงเข้มดูเหมือนจะปกคลุมไปทั้งแผ่นเพื่อรักษาให้มันไม่แตกสลาย
ผู้ส่งสาส์นมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยสายตาไม่เชื่อ
แผ่นเหล็กดูเหมือนไม่สามารถทนรับพลังอำนาจของสายฟ้าได้อีกต่อไป หลังจากดูดซับลูกแก้วสายฟ้ามันก็สั่นเทาและพังทลายต่อหน้าต่อตาผู้ส่งสาส์น
ราวกับเกิดสายฟ้าคำนองไปทั่วพลันบังเกิดให้ดาวรานหยุนสั่นเทา ยอดภูเขาจำนวนมากแตกสลายกู่ร้องออกมาดังสนั่น
แผ่นเหล็กพังทลายและสายฟ้าทรงพลังระเบิดออกมาโดยมีผู้ส่งสาส์นเป็นจุดศูนย์กลาง เขาฝืนล่าถอยออกไปสิบก้าวด้วยใบหน้าซีดขาว มองหวังหลินและตะโกน “เจ้าเป็นคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนี ซิ่วมู่! เจ้ามีระดับบ่มเพาะอะไรกันแน่?!”
พลังอำนาจสายฟ้าจากการแตกสลายของแผ่นเหล็กได้ทำให้สายฟ้ารอบๆองครักษ์เทพเลือนหายไป จากนั้นองครักษ์เทพก็เดินออกมา
หวังหลินมองผู้ส่งสาส์นตรงหน้าและเอ่ยขึ้น “ระดับบ่มเพาะของข้า…” เขาขบคิดพร้อมกับพลังปราณสวรรค์ปะทะออกมาจากร่างกายทันที จากระดับพื้นฐานลมปราณพวยพุ่งขึ้นมาขั้นตัดวิญญาณ มันพุ่งขึ้นเรื่อยๆจนบรรลุขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายสูงสุด
นี่ยังไม่จบสิ้น ขณะที่ปราณสวรรค์ในร่างระเบิดพวยพุ่งออกมา ระดับบ่มเพาะของเขาก็พุ่งขึ้นไปถึงขั้นเทวะระดับต้น!
ร่างกายหวังหลินกำลังเต็มไปด้วยปราณสวรรค์ สีหน้าผู้ส่งสาส์นยิ่งน่าเกลียดขึ้น แม้เขาจะไม่คิดว่าเซียนขั้นแรกจะถือเป็นภัยคุกคาม ทว่าระดับบ่มเพาะของชายชราคนนี้กำลังปีนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน
ขั้นเทวะระดับต้นไม่ใช่สุดสิ้นสุด ขณะที่ปราณสวรรค์ในร่างกายระเบิดพวยพุ่ง ระดับบ่มเพาะของเขาก็บรรลุขั้นเทวะระดับกลาง
ปราณสวรรค์ค่อยๆชะลอตัวลงและอยู่ที่ขั้นเทวะระดับกลาง ทว่ากลิ่นอายของหวังหลินกลับรุนแรงขึ้นไม่มีหยุด กลิ่นอายนี้ออกมาจากเขตแดนของเขา!
ขีดจำกัดขั้นเทวะระดับกลางไม่สามารถหยุดการเพิ่มขึ้นในเขตแดนได้ กลิ่นอายเขตแดนของหวังหลินกลับรุนแรงแข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นจนทำให้สีหน้าท่าทางของผู้ส่งสาส์นมืดมัว
เขตแดนที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุดและข้ามผ่านสิ่งที่เซียนขั้นเทวะระดับกลางทั่วไปควรจะมี ตอนนี้เส้นผมสีขาวของหวังหลินสะบัดไหวโดยไร้แรงลมและเริ่มครุ่นคิดมากขึ้น
กลิ่นอายทรงพลังกระจายออกมาจากหวังหลินและพุ่งออกไปทุกทิศทาง ปกคลุมดาวรานหยุนอย่างช้าๆ
ขณะที่เขตแดนของเขากระจายออกไปอย่างต่อเนื่องมันก็บรรลุขั้นเทวะระดับปลาย แต่นั่นยังไม่ใช่จุดสุดท้าย มันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
เหตุการณ์นี้ทำให้หนังตาผู้ส่งสาส์นกลอกไปมาไม่หยุดและหัวใจแทบหยุดเต้นเนื่องจากสัมผัสความหวาดกลัว ตอนที่เขารู้สึกว่าเขตแดนหยุดลงนั้นเป็ฯตอนที่เขารู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อยและคิดขึ้นว่า ‘เซียนที่ยังติดอยู่ขั้นแรกถือว่าสังหารได้ง่ายดาย…แต่เขากลับแข็งแกร่งเช่นนี้…’
ภาพวาดภูเขาและแม่น้ำขนาดใหญ่ปรากฏอยู่กลางท้องฟ้า ใช้ท้องฟ้าเป็นพื้นที่และใช้ผืนดินเป็นน้ำหมึก ราวกับเป็นภาพลวงตาที่พึ่งปรากฏขึ้น
แม่น้ำอเวจีสายหนึ่งค่อยๆปรากฏออกมาจากภาพวาดและลอยละล่องอย่างเชื่องช้า
ทว่าแม่น้ำอเวจีพลันสั่นเทาและเข้าไปในหวังหลินด้านบนศีรษะ
ขณะที่ผู้ส่งสาส์นกำลังตกอยู่ในอาการค้างอย่างสิ้นเชิง เขตแดนของหวังหลินที่กำลังถึงจุดสูงสุดพลันเพิ่มขึ้นและบรรลุถึงขั้นเทวะระดับปลายสูงสุด
จนเขตแดนหวังหลินมาหยุดอยู่ตรงนี้!
ผู้ส่งสาส์นถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหวาดกลัวว่าเขตแดนของหวังหลินจะทะลวงผ่านขั้นแรกเสียจริง หากเป็นกรณีนั้นผู้ส่งสาส์นคงตกอยู่ในอาการย่ำแย่เนื่องจากการช่วยเหลือของหุ่นเชิดอีก!
ผู้ส่งสาส์นเยาะเย้ย “แค่ระดับบ่มเพาะเล็กน้อยนี้ เจ้าถึงกับกล้าอ้างตัวเป็นผู้ส่งสาส์นจากอารามเทพอัสนีเชียวหรือ!?” ทว่าเขายังมีข้อสงสัยบางอย่างอยู่ในใจ นอกจากนั้นลูกแก้วสายฟ้าที่ซิ่วมู่ใช้ก่อนหน้านี้ยังน่าตกใจยิ่ง
วิชาสายฟ้าแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่เซียนธรรมดาจะมีได้ เขาเคยเห็นมันเพียงครั้งเดียวจากผู้ส่งสาส์นขั้นปฐพีในอารามเทพอัสนี อีกสิ่งหนึ่งทำให้เขาสงสัยก็คือสัมผัสวิญญาณของเขาก่อนหน้านี้ไม่อาจตรวจจับการคงอยู่ของคนผู้นี้ได้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถเห็นระดับบ่มเพาะของอีกฝ่ายได้ชัดเจน เขารู้สึกว่ามันมีหมอกอีกชั้นปกคลุมคนผู้นี้เอาไว้ ราวกับพยายามมองดูพระจันทร์ผ่านการสะท้อนของสายน้ำ
หวังหลินเงยศีรษะขึ้น เขาไม่ได้มีพลังปราณสวรรค์มากเพียงพอ ดังนั้นระดับบ่มเพาะจึงติดอยู่ที่ขั้นเทวะระดับกลาง ทว่าเขตแดนของเขาบรรลุระดับที่สูงมากแล้ว แม้แต่หวังหลินก็ยังตกใจกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายของตน
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเพียงแค่ปลดปล่อยเขตแดนแห่งชีวิตและความตายเท่านั้น ยังมีอำนาจสายฟ้าและเขตแดนเวรกรรมที่เขาไม่ได้ปลดปล่อยออกมา
เหตุผลที่ผู้ส่งสาส์นไม่สามารถมองทะลุเขตแดนของหวังหลินได้แน่นอนว่ามาจากเขตแดนเวรกรรม หลังจากเขตแดนของหวังหลินพัฒนาไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมองทะลุระดับบ่มเพาะของเขาออกเว้นเสียแต่จะเป็นคนที่อยู่ผ่านขั้นที่สองอย่างแท้จริงไปแล้ว ผู้ส่งสาส์นอยู่ในขั้นหยินหยาง ซึ่งเป็นแค่การเปลี่ยนผ่านระหว่างขั้นแรกไปสู่ขั้นสอง
หวังผิงจ้องพ่อของตนเบื้องหน้า ขณะที่ระดับบ่มเพาะของพ่อเพิ่มขึ้น ได้มีแรงผันผวนเล็กน้อยในร่างกายเขา เขารู้สึกว่าแรงผันผวนนี้มาจากวิญญาณและทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่คิดมากขึ้น