Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 699

Cover Renegade Immortal 1

699. ผู้ส่งสาส์นตัวจริงจากอารามเทพอัสนี

ดวงจันทร์ส่องสว่างและดวงดารากำลังเปล่งประกาย

สายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดพาเสียงของหวังหลินเคลื่อนผ่านจนดูเหมือนไม่อยากให้ออกจากลานกว้างไป เรื่องราวของเด็กหนุ่มบนดาวซูซาคุบรรจุความเศร้าท่ามกลางการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ความรู้สึกนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นพร้อมกับสายลมฤดูใบไม้ร่วง

ฉิงยี่หลั่งน้ำตาหลายครั้งขณะที่ฟังอยู่อย่างเงียบๆ เรื่องราวผ่านไปครึ่งทาง หวังผิงก้มศีรษะลงจนใบหน้าถูกซ่อนเอาไว้

“หลังจากนั้นเขาก็พาลูกมาตั้งรกรากอยู่บนดาวรานหยุน…” เมื่อหวังหลินพูดเรื่องราวจบลง พลันหยิบเหล้าขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่กอ่นจะจ้องมองท้องฟ้าอย่างเงียบๆ

ฉิงยี่จ้องมองพ่อลูกสองคนตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่ไม่รู้จิตใจตัวเอง นางคว้าแขนของหวังผิงโดยไม่รู้ตัวและพบว่าแขนเขาเย็นเฉียบ

ลานกลางบ้านเงียบสงัด หลังผ่านไปสักพักหวังผิงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เรื่องราวงดงามมาก ท่านพ่อ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน” หวังผิงยืนขึ้นและเดินไปที่ห้องข้างๆลานกว้าง ฉิงยี่โค้งคำนับต่อหวังหลินและติดตามหวังผิงไป

หวังหลินเหลือเพียงคนเดียวในลาน เขานั่งอย่างเงียบๆจ้องมองออกไปไกล

สายลมฤดูใบไม้ร่วงยิ่งหนาวเย็นเมื่อถึงกลางดึก พัดพาใบไม้บางส่วนออกไปไกลแสนไกล

ผ่านไปไม่รู้เวลา หวังหลินถอนหายใจและก้มหน้าลง เขาหยิบขวดเหล้าขึ้นมาแต่กลับพบว่ามันหมดเสียแล้ว…

หวังผิงหลับไม่ลงในคืนนั้น

เขาจ้องมองดวงจันทร์กลางท้องฟ้าด้วยดวงตาเจ็บปวด ฉิงยี่นั่งอยู่ข้างกายและกุมมือเขา นางไม่ได้กล่าวอะไรและเพียงอยู่อย่างเงียบๆ

“ปรากฏว่า…นี่คือคำตอบ…คำตอบที่ข้ารอคอยมากกว่าหกสิบปี…” แววตาเจ็บปวดของหวังผิงยิ่งรุนแรงขึ้น

“ปรากฏว่าข้าถูกท่านแม่หล่อหลอมให้กลายเป็นวิญญาณอาฆาต…” หวังผิงก้มศีรษะลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่นและเศร้าโศก

ตอนเช้าของอีกวัน หวังผิงก็จากไป ส่วนฉิงยี่ยังคงติดตามเขาไปด้วย

ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เขาไม่ได้พูดอะไรหรือมองไปที่พ่อของตนเลย แม้กระทั่งตอนที่เขาจากไปก็ออกไปแต่เช้าตรู่ นั่งอยู่ในรถม้าอย่างเงียบๆและออกห่างจากเมืองเวิ้งวารี

เขาไม่ได้รับรู้ว่าตอนที่จากไปนั้น มีสายตาคู่หนึ่งมองไปที่รถม้าอย่างเงียบๆ สายตานี้เต็มไปด้วยความปรวนแปร…

หวังหลินเดินออกมาจากห้อง นั่งอยู่ในลานของบ้านและมองไปที่ท้องฟ้า “บางทีวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจ…” เขาพึมพำ

หวังผิงไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนและความคิดว่างเปล่า เขารู้สึกเหนื่อยมากราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกจะทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมาได้และใช้เวลากับมันอีก

หวังผิงกระซิบ “ฉิงยี่ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ไปหาหมู่บ้านในภูเขาเงียบๆสักแห่งอยู่อาศัยกันเถอะ…”

ฉิงยี่พยักหน้า สายตาอ่อนละมุน

หวังผิงและฉิงยี่ตั้งถิ่นฐานลงในหมู่บ้านธรรมดากลางภูเขาและพักอาศัยด้วยชีวิตที่เรียบง่าย พวกเขาไม่ได้อ่อนเยาว์อีกแล้ว

ทั้งชีวิตเขามีชีวิตธรรมดาอยู่สิบแปดปี ท่องเที่ยวแปดปี ต่อสู้ยี่สิบห้าปีและกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดสิบปี แม้ว่ามันจะเป็นช่วงชีวิตที่สั้นแต่กลับเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าคนธรรมดาคนใดจะได้สัมผัส

ทว่าในท้ายที่สุดเขาก็ยังกลับมาที่จุดเริ่มต้น กลับไปใช้ชีวิตธรรมดา ทุกเช้าเขาจะตื่นขึ้นมาแกะสลักไม้ในลาน มีชีวิตธรรมดาที่แสนอบอุ่น ฉิงยี่มักจะนั่งอยู่ข้างเขาเสมอและเฝ้ามองด้วยสายตาอ่อนโยน มองดูเขาแกะสลักรอยบนไม้แต่ละรอย…

“ครั้งหนึ่งท่านพ่อได้บอกว่าการแกะสลักจำเป็นต้องใช้หัวใจ เมื่อนั้นจะสามารถแกะสลักความทรงจำทั้งหมดไปกับการแกะสลักได้” หวังผิงถือไม้แกะสลักเบื้องหน้าขึ้นมาและเป่าไปเบาๆ ทำให้ฝุ่นผงทั้งหมดลอยขึ้นสู่อากาศ

หลังจากวางไม้แกะสลักลง หวังผิงเผยแววตาหวนรำลึกและเอ่ยเสียงเบา “นี่มันท่านพ่อวัยหนุ่ม”

การแกะสลักคือหวังหลิน หวังหลินวัยหนุ่มมีแววตาดุดัน ฝ่ามือไพล่หลังและมองโลกด้วยกลิ่นอายแห่งความภาคภูมิใจ

กาลเวลาแล่นผ่านและผ่านไปอีกสิบปี

กาลเวลาไม่อาจชำระล้างร่องรอยแห่งวัฏจักรการเกิดใหม่ได้ ชีวิตและความตายดำเนินต่อไปและไม่มีใครสามารถหนีเส้นทางแห่งสวรรค์ได้พ้น

สิบปีเป็นระยะเวลาอันยาวนานแต่มันยังรู้สึกว่าสั้นมากจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ยัดแย้งแต่มันก็เป็นการพรรณาตามที่คนธรรมดาทุกคนได้รู้สึก

สำหรับหวังหลินแล้ว ระยะเวลาสิบปีเขากลับรู้สึกว่ามันยาวนาน

เส้นผมเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวและยาวมากราวกับไม่ได้ดูแลเป็นเวลานาน ใบหน้าแก่ชราและเมื่อเขาหลับตาราวกับได้จมเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่

ระยะเวลาสิบปีของความสงบนิ่ง ความเข้าใจแห่งสวรรค์ของเขายิ่งชัดเจนและลึกซึ้งมากขึ้น เขาไม่ได้มีเจตนา แต่กลับได้รับการรู้แจ้งโดยธรรมชาติ

มันเหมือนกับต้นไม้ส่วนใหญ่ในลานของบ้านตายไปเพราะพวกมันไม่สามารถหนีพ้นวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ได้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่พวกมันตาย ชีวิตใหม่ก็ปรากฏขึ้นมา

ภายในเขตแดนแห่งชีวิตและความตา มีการเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิตอยู่ทุกแห่งหน หากเป็นก่อนหน้านี้แม้หวังหลินจะมองออกไปก็ไม่เห็นความเข้าใจในชีวิต ทว่าตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเขาก็เห็นชีวิตอยู่ทุกที่ทุกแห่ง

ดอกไม้บนผนังแห้งเหี่ยวทุกปีแต่ก็เบ่งบานทุกปีเช่นกัน

ก้อนเมฆในท้องฟ้าแตกสลายแต่ก็รวบรวมกันใหม่อีกครั้ง เหมือนกับบางคนที่ตายไปและมีคนอื่นเกิดขึ้นราวกับเป็นสมดุล

กล่าวได้ว่าเวรกรรมก็รวมอยู่ภายในนี้ด้วย

หวังหลินเป็นเพียงคนเดียวที่พักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หวัง เพื่อนบ้านรอบๆเติบโตขึ้นจนมีเหล่าเด็กๆออกมาที่นี่เพื่อวิ่งเล่นอยู่เสมอ ครั้งแรกพวกเขากลัวหวังหลิน แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็พบว่าคุณปู่คนนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย

คฤหาสน์หวังค่อยๆกลายเป็นสถานที่ที่สำรหับเด็กๆมาเล่นสนุกสนาน หวังหลินเฝ้ามองเด็กๆทุกวัน จิตใจเขาก็ยิ่งสงบนิ่ง

ลูกหลานต่างมีโชคชะตาของตนเอง เขาทำสิ่งที่เขาควรทำไปแล้วและพูดสิ่งที่เขาควรจะพูดไปแล้ว ไม่ว่าหวังผิงจะเข้าใจหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวหวังผิงเอง

หวังหลินเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะยกระดับจิตใจขึ้นมาเมื่อเปิดโลกทัศน์และสามารถข้ามผ่านข้อมูกมัดทุกอย่างได้!

หลังผ่านช่วงเวลาสิบปี หวังผิงแก่ชราขึ้นไปอีก เขาเข้าสู่ช่วงปลายของขีวิตแต่ไม่เคยวางไม้แกะสลักของตัวเองลง

หวังผิงเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อพูดถูก ชีวิตธรรมดานั้นดีแล้ว หากข้ามีทางเลือกหรือมีอีกชีวิต ข้าหวังว่าข้าจะสามารถใช้ชีวิตธรรมดากับท่านพ่อในหมู่บ้านเล็กๆกลางภูเขา…”

ฉิงยี่มองหวังผิงอยู่ข้างๆและเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “เมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว ทำไมเจ้าไม่กลับไปหาเขาเสียเล่า?”

หวังผิงวางไม้แกะสลักรูปพ่อของตนเองลง นี่คือไม้แกะสลักรูปหวังหลินเมื่อสิบปีก่อน เขานั่งลงด้านหน้าโต๊ะและเอ่ยขึ้น “มากินเถอะ”

“ฉิงยี่ เจ้าไม่เข้าใจ…” ยิ่งเขาแก่ชราขึ้น แววตาของหวังผิงก็ยิ่งฉายแววแห่งปัญญามากขึ้น

“ในใจข้า นอกจากคำถามเกี่ยวกับท่านแม่ ข้ามีสิ่งคาใจอีกอย่างที่ข้าไม่กล้าถามออกไปเรื่อง…ข้ารู้สึกว่าข้อสงสัยนี้คือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมท่านพ่อถึงไม่ปล่อยให้ข้าฝึกเซียน” แววตาหวังผิงเผยร่องรอยแห่งความเศร้า ความเศร้านี้คล้ายคลึงกับหวังหลินมาก เขาดูเหมือนจะเห็นเบาแสบางอย่างแต่ไม่กล้ามองออกไปในส่วนลึก

“ฉิงยี่ ข้ารู้สึกว่าข้าได้บรรลุจุดสุดท้ายของชีวิตแล้ว ข้ากลัวว่าข้าจะไม่มีเวลาเหลือมากนัก เจ้าเป็นเซียนและสามารถมีชีวิตยาวนานกว่าข้า เมื่อข้าตาย โปรดส่งข้ากลับไปหาท่านพ่อด้วย”

“สำหรับเจ้าแล้ว เจ้าจะได้รับอิสระ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปมากมายแค่ไหนก็ตาม เจ้าจะไม่อนุญาตให้ลืมเรื่องที่เจ้าอยู่กับข้าหนึ่งวัฏจักรชีวิต!” น้ำเสียงหวังผิงได้แฝงร่องรอยแห่งความมุ่งมั่น

ร่างฉิงยี่สั่นเทา นางกำลังจะเอ่ยขึ้นแต่ถูกหวังผิงขัดเอาไว้

“หลายปีที่ผ่านมาเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้านัก การเป็นเซียน เจ้าสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกได้ การที่เจ้าไม่ทำให้ข้ารู้สึกโดดเดี่ยว เจ้าถึงได้ค่อยๆทำให้อายุตัวเองแก่ไปพร้อมกับข้า ข้าหวังผิงจะไม่ลืมเลือนเรื่องนี้ไปตลอดกาล หากมีอีกชีวิต ข้าจะไม่ลืมเจ้า!”

หยาดน้ำตาไหลรินจากสองข้างของฉิงยี่ ระดับบ่มเพาะของนางได้ถูกหวังหลินยกขึ้นมาถึงระดับวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายสูงสุด ยี่สิบกว่าปีก่อนนางได้รู้แจ้งเขตแดนของตนเองขณะที่อยู่กับหวังผิง เขตแดนของนางคือ แรงบันดาลไร้ความเสียใจ

“ข้าจะไปกับเจ้าในชีวิตหลังความตายด้วย!” ฉิงยี่กล่าว “การฝึกเซียนเป็นแค่ฝุ่นผงในสายตาข้า…ข้าไม่ต้องการเป็นเทพไร้ความปราณี ข้าเพียงต้องการเป็นคนที่มีหัวใจ…”

หวังผิงจ้องฉิงยี่ จากนั้นถอนหายใจ “ทำไมถึงเป็นแบบนี้…”

ชั่วขณะนั้นลำแสงสายฟ้าบิดเบี้ยวข้ามผ่านดวงดาว หากมองอย่างใกล้ชิดจะเป็นว่ามีอสูรดุร้ายตัวอยู่ที่มีขนาดใหญ่อย่างเหลือเชื่ออยู่ภายใน อสูรตัวนี้ดูเหมือนกิเลนแต่มันไม่มีเขา ทั้งร่างถูกล้อมรอบไปด้วยประกายแสงสายฟ้า มันคืออสูรสายฟ้า!

บุรุษวัยกลางคนดูรอบรู้กำลังนั่งอยู่บนหลังอสูรสายฟ้า ระดับบ่มเพาะของคนผู้นี้แข็งแกร่งทรงพลัง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดมากที่จะมีสายฟ้าจากอสูรสายฟ้ามาแล่นผ่านร่างกายเขา

ลำแสงสายฟ้าเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งไปทางเขตเหนือของดาราจักรทุกชั้นฟ้า

เป้าหมายของเขาชัดเจนยิ่งว่าเป็นดาวรานหยุนที่อยู่ทางเหนือ!

เจ็ดสิบปีก่อนมีการเปลี่ยนแปลงหนึ่งเกิดขึ้นบนดาวพันมายา บรรพชนตระกูลฮวนผู้อยู่ในขั้นที่สองได้ตายลงไปและถูกสงสัยว่ามีผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนีอยู่เบื้องหลัง ข่าวลือนี้ค่อยๆกระจายออกมาเรื่อยๆและกระตุ้นความสนใจของอารามเทพอัสนี

จากการตรวจสอบ ดูเหมือนว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพสงคราไม่ได้ออกไปจากดาวรานหยุน ดังนั้นเขาจึงถูกส่งมาเพื่อตรวจสอบ

ระดับบ่มเพาะของชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ข้ามผ่านระดับขั้นแรกไปแล้วและอยู่ในขั้นมายาหยิน เขานั่งอยู่บนหลังเจ้าอสูรสายฟ้าพร้อมกับเข้าสู่เขตทางเหนือ มุ่งหน้าสู่ดาวรานหยุนโดยไม่หยุดชะงักเลย

“มีแม้แต่คนที่กล้าปลอมตัวเป็นผู้ส่งสาส์นของอารามเทพอัสนี เรื่องเช่นนี้ไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว!” ชายวัยกลางคนยิ้มเยาะ สำหรับผู้ส่งสาส์นของอารามเทพสงคามนั้น พลังอำนาจของเขามีมากล้น ในทั้งดาราจักรทุกชั้นฟ้า นอกจากตระกูลเซียนโบราณไม่กี่แห่ง แทบทั้งหมดไม่มีใครกล้าตอแยอารามเทพอัสนี

“ปล่อยให้ข้า เต๋าสายฟ้า ผู้ส่งสาส์นตัวจริงของอารามเทพอัสนี ได้พบเจอคนผู้นี้เถอะ อย่าคิดว่าสามารถใช้วิชาสายฟ้าแค่ไม่กี่วิชาจะหมายความว่าเจ้าสามารถปลอมตัวเป็นผู้ส่งสาส์นได้ ผู้ส่งสาส์นตัวจริงมีอสูรสายฟ้าของตนเอง!” เต๋าสายฟ้าตบลงบนศีรษะของอสูรสายฟ้า

อสูรสายฟ้าดูเหมือนจะรับรู้ความทระนงตนของเจ้านาย มันส่งเสียงร้องคำรามดังก้องท่ามกลางหมู่ดาว เข้าใกล้ดาวรานหยุนขึ้นและใกล้ขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version