698. แม่
หญิงวัยกลางคนกล่าวกระซิบ “หวังผิง…เป็นเจ้า…”
หวังผิงเดินไปที่หญิงสาว มองใบหน้านางที่ไม่เยาว์วัยเหมือนก่อนและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โจวรั่วถง!”
นางกัดริมฝีปากเล็กน้อยและจ้องหวังผิง หลังจากนั้นสักพักจึงเผยรอยยิ้มงดงามและเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ข้าจำเจ้าได้แล้วตอนที่ข้าเห็นเจ้า…หลังจากผ่านไปหลายปีเจ้าก็ยังกลับมา”
หวังผิงรู้สึกทุกข์ใจขณะที่มองหญิงสาวเบื้องหน้า ทั้งยังมีเด็กสาวอายุราวสิบขวบปีอยู่ด้านข้างของนาง หญิงสาวตัวน้อยดูเหมือนโจวรั่วถงมาก
หวังผิงถาม “ลูกสาวเจ้าใช่ไหม?”
หญิงสาวพยักหน้า นางหันมามองลูกของตนและเอ่ยขึ้น “เรียกเขาว่า ‘ลุง’ สิลูก เขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของแม่”
เด็กสาวดูเขินอายเล็กน้อย นางยืนด้านหลังแม่ของตนเองและกระซิบ “ท่านลุง…”
ขณะนั้นคนบางส่วนในหมู่บ้านดูเหมือนจะจดจำหวังผิงได้เช่นกัน ทว่าเมื่อเขามองดูทหารชุดเกราะจึงหวาดกลัวที่จะทักทาย
หวังผิงยิ้มให้สาวน้อยและถามออกมา “เจ้าชื่ออะไร?”
หญิงสาวหลบด้านหลังผู้เป็นแม่และไม่ได้เอ่ยอะไร สายตาของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
หวังผิงถอนหายใจมองไปที่หญิงตรงหน้า “ข้าจะไปที่หลังภูเขาเพื่อทำความเคารพท่านปู่ซุน…”
หญิงสาวยิ้มออกมา ตั้งแต่เริ่มจนจบ นางไม่ได้มองฉิงยี่ที่อยู่ข้างหวังผิงเลย นางดึงลูกตนเองไปยืนข้างสามีของนาง สามีนางเป็นชายร่างกายแข็งแกร่งและเห็นได้ชัดว่าสืบทอดความสามารถในการล่าสัตว์จากพ่อมาเต็มๆ อย่างไรก็ตามหากหวังผิงมองดูอย่างละเอียดก็คงรู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้า
หวังผิงหันกลับมาและเดินไปที่หลังภูเขา ก่อนที่จะตามหวังผิงไป ฉิงยี่มองไปที่หญิงสาวที่กำลังลูบหัวลูกสาวของตนอย่างครุ่นคิด
หลังจากหวังผิงเดินมาได้ไม่กี่ก้าว สาวน้อที่ซ่อนด้านหลังแม่ของตนก็โผล่หัวออกมาและร้องตะโกน “ท่านลุง ข้าชื่อซิ่วหนานผิง!” [ซิ่วเป็นชื่อแซ่ แต่ชื่อนางคือหนานผิง หนานหมายถึงความทรงจำและผิงได้อ้างอิงถึงหวังผิง]
“หนานผิง…หนานผิง…” การก้าวเท้าของหวังผิงหยุดลงและถอนหายใจ เขาไม่ได้หันกลับมาและเดินห่างออกไป
จนกระทั่งพวกเขาจากไป ชาวบ้านทั้งหมดจึงแยกย้าย ชายหนุ่มที่อยู่ข้างภรรยาของตนพลันถอนหายใจและเอ่ยเสียงเบา “ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้…”
“ท่านพี่อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย” โจวรั่วถงมองกลับไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มของนางงดงามอย่างยิ่งและเผยสีหน้าแห่งความสุข
“ข้าพอใจแล้วที่ได้เห็นเขาอีกครั้ง”
รอบๆหลุมฝังศพของซุนไท่ไม่มีวัชพืชเลย เห็นได้ชัดว่ามีคนมาทำความสะอาดมันอยู่เสมอ หวังผิงยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมศพเป็นเวลานานก่อนจะจากไปอย่างเงียบๆ
หวังผิงกระซิบ “ฉิงยี่ ข้าคิดว่าข้าจะไปเยี่ยมท่านพ่อเร็วๆนี้…ข้าไม่เจอเขามาเกือบยี่สิบปี…”
ฉิงยี่ไม่ได้กล่าวอันใดและเพียงติดตามหวังผิงอย่างเงียบๆ ไม่ว่าหวังผิงต้องการไปที่ไหน แม้จะใต้ผืนแผ่นดิน นางก็จะติดตามเขาไป นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับข้อตกลง นางอยากจะไปกับเขาเอง
“มีเรื่องบางอย่างที่ข้าอยากจะถามเขาเกี่ยวกับ…” หวังผิงมองไปที่หมู่บ้านจันทราร่วงหล่นอีกครั้งและจากไป
ณ เมืองเวิ้งวารี หวังหลินไม่ได้ไปที่โรงเตี๊ยมอยู่พักใหญ่ เขาเพียงแค่นั่งอยู่ในลานของบ้านตลอดทั้งวัน เขากำลังรอคอย รอคอยการกลับมาของหวังผิง
ใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นจำเป็นต้องกลับคืนสู่รากของมัน เด็กน้อยที่เร่ร่อนวันหนึ่งก็จะกลับไปสู่คนที่ตัวเองรักเช่นกัน
สามเดือนต่อมา เมืองเวิ้งวารีเต็มไปด้วยความโกลาหลและความสับสนอลหม่าน คนรับใช้ส่วนใหญ่ในคฤหาสน์ต่างจากไปกันทั้งหมด มีเพียงคนรับใช้ชราคนหนึ่งที่ไม่มีที่ไปจึงเลือกที่พักอยู่ที่เดิม
ทั้งเมืองเวิ้งวารีแทบว่างเปล่าเนื่องจากทุกคนหนีจากภัยสงคราม แม้จะไม่มีพลเรือนเสียชีวิตในที่ที่กองกำลังจักรวรรดิสวรรค์ก้าวไป ความตื่นตระหนกก็ยังคงแผ่กระจายออกมาอยู่ดี
เมืองเวิ้งวารีถูกจักรวรรดิสวรรค์ยึดครองและกองทัพได้ดำเนินหน้าต่อไป หวังผิงยืนอยู่นอกเมืองโดยไม่ได้เข้าไปและจากไปพร้อมกับกองทัพ
“ท่านพ่อ ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ทำความต้องการของตัวเองให้เสร็จสิ้น เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะกลับมาเจอท่าน…”
กงล้อแห่งกาลเวลาได้หมุนเปลี่ยนผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวได้เปลี่ยนไปหลายครั้ง พริบตาเดียวอีกห้าปีก็ผ่านไป
หวังผิงตอนนี้อายุห้าสิบสองปี
จักวรรดิต้าฉินและจักรวรรดิเฉินอยู่ยอมพ่ายแพ้ตามๆกัน จากนั้นจักรวรรดิสวรรค์จึงกลายเป็นจักรวรรดิเดียวบนดาวรานหยุนเท่านั้น
ตอนที่เขาออกจากบ้าน เขาอายุยี่สิบเจ็ดปี ใช้เวลายี่สิบห้าปีกว่าที่หวังผิงจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างนั้นเขาไม่ได้นึกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะกลายเป็นเรื่องจริง เมื่อหวังหลินพูดว่า “ได้” ตามคำขอของเขา ไม่มีสิ่งใดประหลาดใจ
บางครั้งเขากลับรู้สึกว่าเวลาได้ผ่านไปเร็วเกินไป
หลังจากพิชิตโลกใบนี้ หวังผิงไม่ได้กลับไปหาหวังหลินทันที เขามองดูภูเขาและแม่น้ำอย่างสงบนิ่งด้วยตนเองและรู้สึกถึงอำนาจแห่งโลกใบนี้
หวังหลินยังคงนั่งอยู่ในลานกว้างตลอดทุกเช้าพร้อมกับสาวรับใช้ชราและอาศัยอยู่ด้วยชีวิตธรรมดาทั่วไป ในช่วงระยะเวลาห้าสิบกว่าปีนี้ จิตใจหวังหลินค่อยๆกำลังพัฒนาอยู่เนืองๆ
อีกสิบปีผ่านเลยไปอย่างเงียบๆโดยไม่มีคลื่นอะไรเกิดขึ้น
หวังผิงในอายุหกสิบสองปีดูค่อนข้างแก่ชรา สิบปีของการเป็นผู้นำสูงสุดได้ทำให้จิตใจเขารู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น นี่ยิ่งทำให้เขาคิดถึงวัยเด็กและการเดินทางท่องเที่ยวในโลกตลอดแปดปี สิ่งที่เขาคิดถึงที่สุดคือความรู้สึกคิดถึงพ่อที่เขามักจะอยู่ด้วยตลอดยี่สิบเจ็ดปี
ฉิงยี่กลายเป็นหญิงชราและมีริ้วรอยเหี่ยวย่นปรากฏบนใบหน้า ทว่าสายตาของนางกลับอ่อนโยนมากกว่าก่อน
อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยมีลูกคนใดในตลอดหลายปีที่ผ่านมา…
ณ วันนี้เป็นวันครบรอบปีที่สามสิบห้านับตั้งแต่ที่หวังผิงจากพ่อของตน เหล่าใบไม้กำลังลอยล่องในสายลมได้เผยความหนาวเย็นท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วง
หวังผิงก้าวลงจากตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดของโลกแห่งคนธรรมดา ก่อนที่เขาจะทิ้งไป เขาได้ให้โลกที่พิชิตมากับขุนนางคนหนึ่งที่ติดตามเขามาตลอดเวลา
ที่มากับเขาด้วยนอกจากความทรงจำสามสิบห้าปีแล้วก็คือฉิงยี่ หลังจากขึ้นไปบนรถม้า เขาก็มุ่งหน้าไปหาพ่อของตนอย่างช้าๆ
ขณะที่รถม้าเคลื่อนตัวไปตามถนนสายหลัก ใบไม้ที่อยู่สองข้างทางได้ติดไปกับพวกเขาด้วย ใบไม้พัดไปมากับสายลมก่อนที่จะตกลงสู่พื้นดิน
ใบไม้ที่ร่วงโรยมักจะตกลงกลับไปที่รากของต้นไม้เสมอ เหมือนดั่งเช่นเด็กเร่ร่อนผู้กลับไปหาคนรักของตนเช่นกัน เพียงแค่ระยะทางระหว่างใบไม้และพื้นดินแห่งเมืองเวิ้งวารี กำลังใกล้ขึ้นและใกล้มากขึ้น…
หวังหลินตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในลานของบ้าน สาวรับใช้ชราเพียงคนเดียวพึ่งตายไปเมื่อสามปีก่อน ดังนั้นตอนนี้หวังหลินจึงเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่แห่งนี้
โต๊ะเบื้องหน้ามีเก้าอี้เพิ่มขึ้นมาสองตัว มีจานสองสามใบวางอยู่บนโต๊ะ เหล้าหนึ่งขวดและตะเกียบสามคู่
จานยังคงมีไอร้อนออกมาและมีกลิ่นหอมพวยพุ่งมาด้วย เมื่อสายลมพัดผ่าน กลิ่นหอมก็กระจายออกมานอกคฤหาสน์
เสียงกีบม้าวิ่งดังออกมาจากระยะไกล ตามมาด้วยเสียงล้อหมุนอยู่บนพื้น เสียงนี้ดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดลงนอกคฤหาสน์
หวังผิงลงมาจากรถม้าและยิ้มให้ฉิงยี่ขณะที่เขาช่วยนางลงมา จากนั้นทั้งสองเดินผ่านไปที่ประตู ป้ายสีเขียวและแดงคำว่า “คฤหาสน์หวัง” ดูเหมือนจะผ่านร่องรอยแห่งกาลเวลามาหลายปี สีเขียวซีดจางและสีแดงเป็นรอยสีขาว
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมา ดูเหมือนว่าการที่เขารอคอยเป็นระยะเวลาสามสิบห้าปีก็เพื่อทำสิ่งนี้ เขาเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและเอ่ยขึ้น “มานั่งสิ จานยังร้อนอยู่เลย”
คำพูดเรียบง่ายเผยความอบอุ่นอย่างสงบ ไม่มีการถามหา ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีความสุภาพ แววตาหวังหลินยังเผยสายตาอ่อนโยน
หวังผิงจ้องพ่อของตนเอง ผ่านมาสามสิบห้าปีแล้วหลังจากที่เขาจากไป เขาไม่เคยเห็นพ่อของตนเลยสักครั้งในช่วงเวลานั้น หากเขาเจอก็คงอยู่ในความฝันเท่านั้น
“ท่านพ่อ…” หวังผิงคุกเข่าอยู่บนพื้นและสองหยาดน้ำตาไหลรินลงสู่แก้ม
ฉิงยี่คุกเข่าลงด้านข้างหวังหลินเช่นเดียวกันและเอ่ยอย่างอ่อนนุ่ม “ท่านพ่อ…”
หวังหลินยืนขึ้น ช่วยประคองหวังผิงและฉิงยี่ขึ้นมา “มากินเถอะ”
เมื้ออาหารนี้กินเวลาอยู่พักใหญ่ ความอบอุ่นที่สูญเสียไปนานปรากฏในหัวใจหวังผิง เขาแยกจากความรู้สึกนี้มาสามสิบห้าปี…
ในช่วงระยะเวลาที่ฉิงยี่อยู่กับหวังผิง นางได้รู้ตัวตนของหวังหลินมานานแล้ว นางรู้ว่าเขาคือซิ่วมู่ ผู้อาวุโสที่เข่นฆ่าคนที่ขวางทางไปดาวรานหยุนด้วยตัวเองและทำให้ทั้งเขตเหนือต้องตกใจ! นอกจากนั้นหยุนหวู่เฟิงกล่าวถึง “ซิ่วมู่” ด้วยเมื่อคราวก่อน
แม้กระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่อาจเชื่อข่าวลือได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าชายชราใจดีคนนี้คือซิ่วมู่ คนที่ทำให้ทั้งเขตเหนือต้องสั่นไหว
ฉิงยี่ไม่ได้บอกหวังผิงเรื่องตำนานที่เกี่ยวกับซิ่วมู่ นอกจากนั้นแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนที่นางจะเกิดเสียอีก ทุกสิ่งเป็นเพียงแค่คำร่ำลือดังนั้นนางจึงไม่มีสิทธิ์บอกเขา
จนกระทั่งแสงจันทราค่อยๆส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆและสายลมฤดูใบไม้ร่วงผัดผ่านหวังผิงไป เขาจึงวางตะเกียบลงและมองพ่อของตนเอง เขามีคำพูดนับพันที่อยากจะเอ่ยแต่ในตอนนี้ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้เลยสักคำ
หวังหลินมองไปที่หวังผิงและเอ่ยถาม “ผิงเอ๋อ เจ้าต้องการถามอะไร?”
“ท่านพ่อ ข้าอยากกรู้เรื่องของท่านแม่…” นี่มันก็มากกว่าหกสิบปีแล้วตั้งแต่ที่หวังผิงถามเรื่องนี้ครั้งแรก เขาจำได้ว่าเขาเคยถามเรื่องนี้ครั้งเดียวเท่านั้นและตอนนั้นเขาก็เห็นว่าท่านพ่อเศร้าซึมขนาดไหน
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาถามขึ้นมา
หวังหลินครุ่นคิดอย่างเงียบๆ หลังจากผ่านไปสักพักแววตาก็เผยท่าทีหวนรำลึก เขามองไปที่ดวงดาวที่เจิดจรัสท่ามกลางท้องฟ้า พร้อมกับเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง…ไกลแสนไกลจากที่นี่ มีดาวเซียนดวงหนึ่งเรียกกันว่าซูซาคุ…”
หวังหลินเอ่ยน้ำเสียงเผยสัมผัสห่งการเปลี่ยนแปลง หวังหลินค่อยๆเล่าเรื่องของเด็กหนุ่มนามว่าหวังหลินและช่วงชีวิตเกือบเก้าร้อยปีออกมาจากปาก
ตั้งแต่ตอนที่เขาเข้าสู่โลกแห่งการฝึกเซียน สำนักเหิงยั่ว สำนักเทียนต้าว เรื่องราวชีวิตของหวังหลินค่อยๆเปิดออกมาดุจม้วนคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้าหวังผิงและฉิงยี่
เรื่องยาวนั้นยาวนัก ยาวมากๆ…
อย่างไรก็ตามคนที่ได้ฟังเรื่องนี้จะรู้สึกมิอาจบรรยายออกมาได้และมีกลิ่นอายประหลาดที่ทำให้หัวใจคนที่ฟังต้องสั่นเทา…
หวังผิงจ้องพ่อของตนขณะที่ฟังอย่างตั้งใจ ด้านข้างเขา ดวงตาของฉิงยี่เบิกว้างฟังเรื่องราวเหล่านั้น นางอดไม่ได้ที่จะจมลึกไปในเรื่องราวเหล่านั้นแม้จะรู้ว่าตัวเอกในเรื่องคือพ่อของหวังผิง ชายชราผู้อยู่เบื้องหน้าพวกเขา
“เซียนสตรีคนนั้นมีชื่อว่า หลิวเหมย…”