697. ข้ามผ่านกาลเวลา
ณ ฝั่งเหนือของดาวรานหยุน เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิตี้ซาน คนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ในพระราชวังอันหรูหรายิ่งใหญ่ คนผู้นี้อายุเกือบยี่สิบปีทั้งยังมีเส้นผมสีขาวแซมขึ้นมาเล็กน้อย ภายใต้คิ้วเรียวดุจกระบี่เป็นสายตาหนึ่งคู่ที่ดูคล้ายดวงดารา
คนผู้นี้หล่อเหลาอย่างมากและยิ่งสวมชุดสีเขียวก็ทำให้หรูหราขึ้นไปอีกและเผยกลิ่นอายแห่งผู้ทรงอำนาจ
แผนที่ชุดหนึ่งกระจายอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า เขามองมันอย่างครุ่นคิด หลังผ่านไปสักพักจึงถอนสายตาออกมา
ตอนนี้เป็นยามดึกดื่นและแสงจันทรากำลังปกคลุมผืนดิน ขณะที่เขากำลังคิดอย่างเงียบๆพลันยืนขึ้นและเดินออกไปนอกวัง จ้องไปที่พื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยแสงจันทราและถอนหายใจเบาๆ
“สงสัยว่าท่านพ่อก็กำลังเฝ้าดูโลกใบนี้อยู่ด้วยหรือไม่…”
ผ้าคลุมกำมะหยี่วางทับลงบนบุรุษจากด้านหลัง เขายกแขนกำมันขึ้นคลุมไหล่และยิ้มออกมา “ยังไม่ไปนอนหรือ?”
สตรีผู้หนึ่งปรากฏจากด้านหลัง นางสวยงามมาก แม้ว่าจะมีอายุมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ดูแก่ชรา ทว่ากลับมีกลิ่นอายแห่งความสุกงอมปล่อยออกมา
ดวงตาเผยความอ่อนละมุนมองไปมาที่บุรุษด้านหน้า “สายลมตอนดึกช่างหนาวเหน็บ พักผ่อนเถิด”
บุรุษคว้าแขนหญิงสาวพร้อมกับมองขึ้นไปบนพระจันทร์ที่อยู่กลางท้องฟ้าและเอ่ยขึ้นมา “ฉิงยี่ เจ้าคิดว่าท่านพ่อของเรากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้…”
ใบหน้าฉิงยี่เปลี่ยนเป็นสีแดง นางอยู่กับชายคนนี้มานานหลายปีและแม้แต่บอกเขาเรื่องข้อตกลงที่ทำกับพ่อหวังผิงเอาไว้ พวกเขาใช้เวลาด้วยกันจึงทำให้มีความรู้สึกเติบโตขึ้นมาแต่ในตอนนี้ใบหน้านางยังเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนตอนเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ
ฉิงยี่กล่าวอย่างนุ่มนวล “นั่นควรเป็นพ่อของเจ้า…”
บุรุษกำมือฉิงยี่และหัวเราะ “พ่อข้าก็คือพ่อเจ้า”
หัวใจฉิงยี่รู้สึกหวานหอม นางมองตามสายตาบุรุษเบื้องหน้าไปที่ดวงจันทร์และเอ่ยขึ้นมา “ท่านพ่อน่าจะกำลังพักผ่อน…”
แววตาบุรุษเผยแสงประหลาดและส่ายศีรษะ “ข้ารู้สึกว่าท่านพ่อกำลังเฝ้ามองข้าอยู่ตอนนี้…”
ในคฤหาสน์หวังของเมืองเวิ้งวารี หวังหลินถอนสายตาออกมาจากที่ห่างไกล เขานั่งอยู่ในลานกว้างใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งยามสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านและฟังเสียงใบไม้กำลังร่วงโรย บางครั้งก็มีใบไม้หนึ่งถึงสองใบตกลงมาด้านหน้าระยะสายตา
การร่วงโรยของใบไม้ในท้ายที่สุดแล้วก็คืนสู่รากของต้น เหมือนดั่งเด็กๆที่ทิ้งไป เมื่อถึงคราวเมื่อยล้าก็มักจะกลับมาหาคนที่เรารัก
กาลเวลาผ่านเลยไปอย่างเงียบๆพร้อมกับใบไม้ที่ร่วงหล่น เวลาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งและคราวนี้ผ่านไปอีกห้าปี
โรงเรียนสวรรค์มีขนาดใหญ่ที่สุดและครอบคลุมทั้งสามจักรวรรดิ ทั้งยังกระจายไปทั่วดวงดาวรานหยุน หากความสงบยังอยู่นั่นก็คงดี แต่เมื่อสามปีก่อนมีการเปลี่ยนแปลงประหลาดเกิดขึ้นในจักรวรรดิตี้ซาน พวกเขาเริ่มแตกหักกับโรงเรียนสวรรค์และส่งกองกำลังจำนวนมากออกมากวาดล้าง
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เหมือนกับเติมน้ำให้กับน้ำมันที่ร้อนระอุ ทำให้โลกแห่งคนธรรมดาเกิดความโกลาหลและยิ่งใหญ่มาก
การโต้ตอบของโรงเรียนสวรรค์ถือว่าโหดร้ายยิ่ง เพียงแค่ครึ่งเดือนก็สามารถควบคุมกองทัพในจักรวรรดิตี้ซานโดยไม่เสียเลือดสักหยด ผู้คนหกถึงเจ็ดคนในจำนวนสิบคนของจักรวรรดิตี้ซานต่างติดตามโรงเรียนสวรรค์
การใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งเดือนในการสยบจักรวรรดิเป็นเสมือนสายฟ้าฟาดระเบิดลงในจิตใจทุกผู้คน ไม่มีใครเตรียมพร้อมและจิตใจสั่นไหวไม่หาย
จักรวรรดิต้าฉินและจักรวรรดิเฉินหยุนต่างไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม พวกเขาส่งผู้ส่งสาส์นมาที่โรงเรียนสวรรค์เพื่อทำสัญญาข้อตกลงว่าจะไม่รุกรานกันและกัน
จักรวรรดิตี้ซานไม่อยู่อีกต่อไปแล้วและถูกแทนที่ด้วยจักรวรรดิยิ่งใหญ่ที่เรียกขานกันว่าจักรวรรดิสวรรค์
ณ เมืองหลวงของจักรวรรดิสวรรค์ หวังผิงกำลังสวมชุดคลุมลายมังกรพร้อมกับยืนสง่าสูงส่ง มองลงไปด้านล่างยังโลกใบนี้ ด้านข้างเขาเป็นฉิงยี่ที่ติดตามมาอย่างเงียบๆ
เหล่าขุนนางของจักรวรรดิสวรรค์มองขึ้นมายังจักรพรรดิคนใหม่ของตน พวกเขาไม่สามารถมองทะลุคนผู้นี้ได้มาก่อนเลย ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้มีคุณค่าสำหรับเขา แม้เขาจะยืนอยู่ที่นี่ในวันนี้เพียงเพื่อพยายามพิสูจน์บางอย่างต่อคนคนหนึ่ง
สายตาหวังผิงกวาดผ่านปฐพีเบื้องล่างใต้ฝ่าเท้าของตนและมองออกไปไกล
เรื่องเกี่ยวกับจักรพรรดิตี้ซานต่างอยู่ในความสนใจของพวกเซียนบนดาวรานหยุนและพวกเขาต่างแสดงท่าทางว่าจะแทรกแทรง
ชีวิตของหวังหลินยังคงสงบนิ่งดุจสายน้ำนิ่ง ใบหน้าเขาแก่ชรามากยิ่งขึ้นไปอีก ในปีนี้ก็เป็นปีที่ห้านับตั้งแต่ที่จักรวรรดิสวรรค์ถูกจัดตั้งขึ้นมา
จักรวรรดิต้าฉินและจักรวรรดิเฉินหยุนทั้งสองได้ทำลายข้อตกลงและประกาศการโจมตีไปที่จักรวรรดิสวรรค์
หวังหลินไม่ได้ให้ความสนใจอันใดต่อเรื่องนี้ เขานั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมตลอดทั้งวัน ฟังผู้คนพูดคุยเรื่องข่าวลือของสามจักรวรรดิ เขาเพียงแค่ดื่มอย่างเงียบๆและไม่เคยกล่าวคำพูดอะไรออกมา
เสี่ยวเอ้อจากเมื่อตอนนั้นได้ยืมเงินบางส่วนจากญาติพี่น้องและซื้อโรงเตี๊ยมหลังนี้ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงกลายเป็นเฒ่าแก่ไปแล้ว เสี้ยวเอ้อคนใหม่คุ้นเคยกับหวังหลินด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นหวังหลินมาถึง เขารีบนำเหล้าและอาหารออกมาวางเหมือนทุกคน
เสี้ยวเอ้อเป็นคนจิตใจเมตตายิ่ง หลังจากวางอาหารและเหล้าลงไปเขาก็เอ่ยอย่างห่วงใย “ท่านกำลังแก่ขึ้นทุกวัน ดื่มให้น้อยจะดีที่สุด”
หวังหลินยิ้มและพยักหน้า “วันนี้ข้าจะดื่มเพียงแค่ไหเดียวเท่านั้น!”
เสี้ยวเอ้อยิ้มแย้มและไปทักทายลูกค้าคนอื่น เมื่อตอนที่มีเวลาว่างเขาก็ไปเช็ดประตูเคาเตอร์ มองมาที่หวังหลินและถอนหายใจ “ผู้อาวุโสหวังคนนี้เป็นชายที่มีชีวิตชมขื่นเสียจริง ทั้งแก่ชราและไม่มีลูกหลานอยู่ข้างๆ”
เสี้ยวเอ้อเก็บเงินด้านหลังเคาเตอร์ขยับแขนขึ้นลงดีดลูกคิดและส่ายศีรษะ “ข้าได้ยินมาจากสาวรับใช้จากคฤหาสน์ว่าเขามีลูกชายอยู่คนหนึ่ง แต่ลูกชายออกจากบ้านไปหลายปีแล้วและไม่เคยกลับมาเลย”
หวังหลินถือขวดเหล้าและดื่มไปหนึ่งอึก สายตามองออกไปนอกหน้าตาและนั่งอยู่อย่างนั้นตลอดวัน
เวลาพลบค่ำ สาวรับใช้แก่หลายคนมาที่โรงเตี๊ยม พวกเขาคิดว่านายท่านของตนกำลังแก่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่เขาไม่ดื่มนั่นก็ดี แต่หลังจากดื่มไปแล้วก็ควรจะมีสักคนอยู่กับเขา ไม่เช่นนั้นพวกนางกลัวว่าเขาจะล้มและเจ็บตัวเสียเอง
หวังหลินและสาวรับใช้ชราหลายคนต่างเดินกลับบ้านอยู่ใต้แสงจันทราที่กำลังส่องขึ้นไป บ้านหลังใหญ่ว่างเปล่าแห่งนี้มืดสลัวไร้แสงไฟอันใด
หลังจากบอกให้สาวรับใช้จากไป หวังหลินนั่งอยู่ในลานกลางบ้านและมองไปที่ท้องฟ้าพร้อมกับพึพมำ “เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก ผิงเอ๋ออายุสี่สิบเจ็ดปีแล้ว…บางทีเขาอาจจะได้พบเบาะแสบางอย่างกับตัวเอง…”
การต่อสู้ระหว่างสามจักรวรรดิค่อยๆตีแผ่ออกมาอย่างช้าๆ แต่ด้วยการแทรกแทรงของเหล่าเซียน จึงมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดหลายอย่างเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ทั้งหมดได้เปลี่ยนไปเมื่อจักรพรรดิแห่งจักวรรดิสวรรค์ออกมาเป็นการส่วนตัว
ไม่ว่าพวกเซียนจะมีระดับอะไร พวกเขาทั้งหมดจะล่าถอยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ในไม่ช้าเหล่าเซียนที่แทรกแทรงทั้งหมดต่างถอนกำลังออกไปจากโลกคนธรรดา
นอกจากการโชว์กำลังของหวังผิงแล้ว เหตุผลใหญ่อีกอย่างก็คือตระกูลซุน ตระกูลรานและตระกูลจ้าวได้มีคำสั่งออกมา
หวังผิงกำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวเรือข้างในเต็นท์สีทองที่อยู่ในค่ายกองทัพ หลังจากโบกมือไล่เหล่าขุนนางไม่กี่คน เขาก็เดินออกมาจากเต็นท์ สายตากวาดผ่านเหล่าทหารก่อนจะมองไปที่ภูเขาฉุยเหลียนที่อยู่ห่างออกไปไกล
ใบหน้าหวังผิงแก่ชราขึ้นเล็กน้อย เส้นผมบนศีรษะเป็นสีขาวโพลน หลังจากกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดในหมู่คนทั่วไป ในชีวิตเขาไม่ได้มีความสุขมากนัก สิ่งต่างๆทั้งหมดที่เขากังวลใจกำลังทำให้เขารู้สึกเมื่อยล้า
ทันใดนั้นพลันคิดถึงช่วงเวลาวัยเด็กสิบเก้าปีของตนเองและทุกสิ่งที่เขาเจอในหมู่บ้านตอนที่ยังเป็นเด็ก
ขณะที่เขากำลังมองไปยังภูเขาฉุยเหลียนอย่างครุ่นคิด ฉิงยี่เดินออกมาจากเต็นท์ นางยืนข้างหวังผิงและเอ่ยอย่างนุ่มนวล “เจ้าเคยพูดว่านั่นเป็นที่ที่เจ้าเติบโตขึ้น เจ้าต้องการจะไปดูมันไหม?”
รูปลักษณ์ของฉิงยี่ได้เผยร่องรอยแห่งกาลเวลา นางมองหวังผิงอย่างอ่อนโยน
หวังผิงถอนหายใจและเอ่ยออกมา “ไปดูกันเถอะ…”
องครักษ์สองนายติดตามหวังผิงและฉิงยี่เดินเข้าไปหาภูเขาฉุยเหลียน หวังผิงมองไปรอบๆ สิ่งที่ไม่คุ้นเคยรอบๆด้านกลับทำให้เขารู้สึกใกล้ชิด
ควันที่โผล่ออกมาไกลค่อยๆชัดเจนขึ้น จากนั้นหมู่บ้านจันทราร่วงหล่นก็ปรากฏในระยะสายตา
พวกเขาเข้าไปใกล้ในไม่นานนัก บางทีอาจเพราะพวกทหารจึงเกิดเสียงเห่าดังออกมาจากหมู่บ้าน ในช่วงเวลาโกลาหลแบบนี้ ชาวหมู่บ้านต่างก็ระมัดระวังตัวกันทั้งหมด ตอนที่พวกเขาได้ยินเสียงสุนัขเห่า จึงตื่นขึ้นมาหยิบอุปกรณ์ทำไร่และคบไฟออกมานอกบ้าน พวกเห็นว่าที่ห่างออกไปไม่ไกลนั้นเป็นทหารในชุดเกราะเต็มตัว มีชายหนุ่มและหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าแบบคนทั่วไป
เมื่อเผชิญกับสายตาไม่เป็นมิตรของคนในหมู่บ้าน หวังผิงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขาจ้องกลับไปที่ชาวบ้านแต่ในที่สุดก็ไม่อาจจดจำใครหนึ่งในนั้นได้สักคน
เขาเผยใบหน้าขมขื่น กาลเวลาเสมือนบทเพลงและพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีเสียแล้ว เขาไม่สามารถจดจำคนที่เขาคุ้นเคยเมื่อก่อนนั้นได้เพราะการเปลี่ยนแปลงของแต่ละคนมีมากมายเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ผ่านไปเกือบสามสิบปี เขาไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ก้าวเข้าสู่วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่และไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว
“ไปที่ภูเขาด้านหลังกันเถอะ ปู่ซุนฝังอยู่ที่นั่น”
ฉิงยี่ถอนหายใจและเดินไปข้างหน้าพร้อมกับหวังผิง ชาวบ้านเบื้องหน้าต่างก็ลังเลก่อนจะกระจายตัวและเผยทางให้
ชั่วขณะนั้นเกิดเสียงเบาๆดังออกมาด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ
“หวังผิง…”
หวังผิงหยุดชะงัก จากนั้นหันกลับมาและสายตาตกลงไปบนชาวบ้านผู้หนึ่ง เป็นหญิงสาวดูอายุราวสี่สิบปี นางดูแก่ชราเล็กน้อยแต่ในสายตาของหวังผิง ดูเหมือนเขาจะเห็นหญิงสาวที่พูดคำว่า “ข้าเกลียดเจ้า” เมื่อตอนนั้น
ขณะนี้ใกล้กับดาวหยุนเซีย เจ้ากรีดกำลังเคลื่อนร่างดุจอุกกาบาต มองดูดาวหยุนเซียพร้อมกับดมกลิ่นไปด้วย ดวงตาเผยประกายประหลาด
“ขณะที่ข้าพึ่งเข้ามาในเขตทางเหนือ ข้ามีลางสังหรน์ว่าจะมีสมบัติอยู่ที่นี่และจึงตามกลิ่นอายของมันมา กลิ่นนั้นนำทางข้ามาที่นี่ ไม่ผิดพลาดแน่ หมอกหนาแน่นนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังปกคลุมแสงของสมบัติอยู่”
“แต่อย่างไรดาวดวงนี้ก็ดูประหลาดเล็กน้อย!”
เจ้ากรีดจ้องดาวหยุนเซียเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาก็ลอยเข้าหามัน ในตลอดชีวิตของเขาไม่เคยไปสถานที่ใดที่ไร้สมบัติ เขามีสัญชาตญาณอันน่ากลัวว่าจะมีสมบัติอยู่ที่นี่
ขณะที่เข้ามาใกล้ หัวใจก็เต้นกระดอนเร็วรี่และดวงตาเรืองแสงสว่างขึ้น
“ข้าสัมผัสความรู้สึกนี้ตอนที่ข้าได้เตาหลอมยักษ์นั่นเท่านั้น หรือว่าสถานที่แห่งนี้มีสมบัติที่เทียบได้กับเตาหลอมยักษ์?” แววตาเจ้ากรีดเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขณะนั้นเขาลืมเลือนเรื่องของหวังหลินและกฏเกณฑ์ที่ถูกวางไว้กับตัวโดยสิ้นเชิง
เขากัดฟันแน่นพร้อมกับตบกระเป๋าและนำเตาหลอมยักษ์มาไว้เบื้องหน้า ใช้มันเพื่อขจัดเส้นทางให้ชัดเจน จากนั้นตามเข้าไปและเลือนหายไปในสายหมอกอย่างช้าๆ
“ข้าอยากเห็นเสียจริงว่านี่มันเป็นสมบัติแบบไหน!” กรีดเลียริมฝีปากตนเอง