696. แยกจาก
ตระกูลซุนหยั่งรากลึกในเมืองเวิ้งวารีและรู้ยันที่ตั้งที่หวังหลินและลูกชายอยู่
ตอนนี้ได้นำทางซุนฉีหมิงมาที่นั่นอย่างรวดเร็ว
“ท่านหัวหน้าตระกูล คนผู้นั้นช่างเย่อหยิ่งมากนัก เพียงแค่พูดว่า ‘แค่ครั้งนี้เท่านั้น’ คิดว่าจะมีใครกล้ามาพูดกับตระกูลซุน…” ผู้อาวุโสชุดเขียวเริ่มพูดจาแต่ซุนฉีหมิงขมวดคิ้วและตะโกน “หุบปาก!”
ผู้อาวุโสชุดเขียวสั่นเทาและหุบปากทันที
“เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้พวกเจ้ากลับทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เขากรุณามากแล้วแต่พวกเจ้ากลับอกตัญญู!” ซุนฉีหมิงใบหน้ามืดมนขณะมองทุกคนอย่างเย็นเยียบ
ซุนฉีหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งครัด “ตระกูลซุนคือตระกูลใหญ่และเป็นอันดับหนึ่งในดาวรานหยุน แต่ว่าทั้งหมดนี้ได้รับมาด้วยราคาที่ไม่น่ารื่นรมย์ หากที่เหลือทั้งหมดเป็นแบบนี้ วันหนึ่งพวกเจ้าจะนำศัตรูใหญ่มาให้ตระกูลซุน!”
“ท่านปู่ซุน ตระกูลซุนมีการปกป้องจากผู้อาวุโสคนนั้น แม้จะศัตรูจะแข็งแกร่ง ข้ากลัวว่าพวกเขาไม่กล้าตอแยท่าน” คนที่พูดไม่ใช่สมาชิกตระกูลซุนแต่เป็นชายหนุ่มชุดม่วงที่ไม่ถูกชะตากับหวังผิง
สายตาของซุนฉีหมิงตกลงบนชายหนุ่มและเอ่ยอย่างสุขุม “เด็กน้อยตระกูลหยุน เรื่องนี้เริ่มต้นก็เพราะเจ้า เตรียมตัวไว้เถอะ เรื่องนี้อาจจะรับมือไม่ได้ง่ายๆ!”
ชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้มีนามว่าหยุนหวู่เฟิง เขาเป็นคนจากตระกูลหยุนแห่งดาวทะเลเมฆา ดาวทะเลเมฆาเป็นหนึ่งในดาวหลักทางฝั่งเหนือของดาราจักทุกชั้นฟ้า พรสวรรค์ของคนผู้นี้น้อยมากจนเกินจะฝึกเซียน ดังนั้นเขาจึงถือเป็นสมาชิกนอกตระกูล เขามาที่นี่พร้อมกับคาราวานตระกูลหยุนแต่เป็นเพราะฉิงยี่เขาจึงไม่ได้กลับพร้อมคาราวานและรั้งอยู่ที่นี่ สำหรับตระกูลเซียนธรรมดาทั่วไปแล้ว ก่อนที่จะฝึกฝนจนบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ พวกเขาไม่สามารถออกไปจากดาวเคราะห์ได้ แต่ว่าสำหรับตระกูลใหญ่เช่นตระกูลหยุน พวกเขามีหนทางพาคนระดับต่ำกว่าขั้นแปลงวิญญาณออกมาจากดาวตนเอง
เนื่องจากเขามีพรสวรรค์ย่ำแย่ จึงไม่ได้ถูกตระกูลหยุนเลี้ยงดูมาอย่างดี อย่างไรก็ตามที่นี่คือดาวรานหยุน เพียงแค่ยึดตัวตนของเขา ตระกูลเซียนทั้งหมดต่างสุภาพกับเขาอย่างยิ่ง
นอกจากนั้นตระกูลหยุนเป็นตระกูลอันดับหนึ่งบนดาวทะเลเมฆาและทรงพลังยิ่งกว่าตระกูลฮวน
หยุนหวู่เฟิงพ่นลมหายใจเย็นอยู่ในใจ แม้เขาจะไม่ได้มีระดับบ่มเพาะมากนัก ตราบใดที่อยู่ในฝั่งทิศเหนือของดาราจักรทุกชั้นฟ้า จะไม่มีใครกล้ามาตอแยเขาเพราะหากทำเช่นนั้นก็หมายความว่าเป็นการสร้างศัตรูกับตระกูลหยุน
หลังจากมาที่ฝั่งทิศเหนือของเมืองเวิ้งวารี ซุนฉีหมิงและทุกคนที่ติดตามเขามาต่างหยุดลงห่างจากคฤหาสน์หวังไปร้อยฟุต
ซุนฉีหมิงมีใบหน้ามืดมน ตอนที่เขาเห็นคำว่า “คฤหาสน์หวัง” จึงพลันขมวดคิ้ว
“แซ่หวัง…” ตอนที่เขาเข้ามาในเมืองเวิ้งวารี เขาตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณและพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาตรวจสอบที่นี่อีกรอบ ผลก็ยังเป็นแบบเดิม
หลังขบคิดเล็กน้อย ซุนฉีหมิงก้าวมาข้างหน้าและกล่าวเสียงดัง “ซุนฉีหมิงแห่งตระกูลซุนขอคารวะสหายเซียน!”
น้ำเสียงนี้บรรจุปราณสวรรค์เอาไว้ ดังนั้นมันจึงเข้าสู่หูของทุกคนในคฤหาสน์ได้ชัดเจน หลังจากนั้นไม่นานมีคนตัวเล็กผู้หนึ่งโผล่ออกมา เขามองตระกูลซุนและเอ่ยขึ้น “นายท่านสั่งให้พวกท่านทั้งหมดจากไปเถิด”
ก่อนที่ซุนฉีหมิงจะพูดขึ้นมา มีคนหนึ่งจากตระกูลซุนเริ่มเยาะเย้ย เขาคือผู้อาวุโสใบหน้าแดง ทั้งยังกล่าวขึ้นโดยไม่มองคนรับใช้ตัวเล็กๆนั้นด้วยซ้ำ “ความคิดใหญ่อันใดกัน เจ้าคิดจริงๆหรือว่าตระกูลซุนของข้าจะตาบอด?!” สิ้นคำพูดเขาพลันก้าวไปข้างหน้าและพุ่งตรงเข้าหาคฤหาสน์
ซุนฉีหมิงขมวดคิ้วหนักจ้องไปที่คำว่า “คฤหาสน์ตระกูลหวัง” เขากำลังจะหยุดผู้อาวุโสคนนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำ
ผู้อาวุโสใบหน้าแดงเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณ เขาเข้ามาใกล้เพียงก้าวเดียวและก้าวเดินผ่านประตู ทว่าขณะที่เท้าขวาสัมผัสพื้นดิน ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดราวกับคนตาย ราวกับว่ามีพลังล่องหนออกมาจากคฤหาสน์แห่งนี้ทำให้จิตใจเขาสั่นไหวและกระอักโลหิตออกมา เขารั้งเท้ากลับไปหลายก้าวด้วยใบหน้าซีดและสายตาตกใจกลัว
สีหน้าของซุนฉีหมิงเปลี่ยนไป ขณะนั้นเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของเซียนขั้นเทวะได้ สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากที่สุดคือเขาคุ้นเคยกับกลิ่นอายนี้
ซุนฉีหมิงไม่ลังเลในเสี้ยววินาที เขารีบคว้าผู้อาวุโสใบหน้าแดงและโยนกลับไปด้านหลัง คำนับฝ่ามือด้วยความเคารพและเอ่ยขึ้น “ขออภัยที่รบกวนการบ่มเพาะของผู้อาวุโส ผู้น้อยจะจากไปเดี๋ยวนี้”
สิ้นคำพูด เขาสะบัดแขนเสื้อและพลันหายตัวไปพร้อมกับสมาชิกตระกูลซุนทั้งหมด เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ในโถงหลักของตระกูลสาขาในเมืองเวิ้งวารีแล้ว
“ห้ามไม่ให้สมาชิกตระกูลซุนเข้าไปภายในระยะหนึ่งพันฟุตของคฤหาสน์นั่น ใครก็ตามที่ขัดคำสั่งจะถูกทำลายระดับบ่มเพาะและถูกขับไล่ออกจากตระกูลซุน!” แม้กระทั่งตอนนี้หัวใจของซุนฉีหมิงยังเต้นกระดอนและใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ
“มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำให้แกนลมปราณพังทลายได้เพียงแค่ชำเลืองมอง”
สมาชิกตระกูลซุนไม่เคยเห็นซุนฉีหมิงเป็นเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งซุนฉีหมิงยังพาพวกเขาจากไปให้เร้วที่สุดจนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ผู้อาวุโสชุดเขียวมองผู้อาวุโสใบหน้าแดงที่มาด้วยกันและวิญญาณดั้งเดิมเกือบแตกสลาย ผู้อาวุโสชุดเขียวสั่นสะท้านและเอ่ยถาม “หัวหน้าตระกูล นั่น…เขาเป็นใคร?”
ซุนฉีหมิงพ่นลมหายใจเย็นเฉียบและเอ่ยออกมา “พวกเจ้าได้ไปยั่วยุเขาเข้าแล้ว ทั้งหมดควรรู้จักผู้อาวุโสคนนั้นเอาไว้ แม้ท่านบรรพชนอยู่ที่นี่เขายังต้องเคารพ นั่นเป็นเพราะคนผู้นี้เป็นคนที่ทำให้ตระกูลซุนยังอยู่มาได้ถึงวันนี้!”
“หรือว่า…หรือว่าเขาจะเป็น…” จิตใจผู้อาวุโสชุดเขียวสั่นสะท้านเมื่อคิดถึงคนผู้หนึ่ง
ซุนฉีหมิงจ้องไปที่ชายชราและพยักหน้า
ในเสี้ยววินาทีนั้นทุกคนในตระกูลซุนก็สีหน้าซีดเผือดราวกับคนตาย
“เพียงครั้งนี้เท่านั้น!” ประโยคนี้ที่โผล่ขึ้นมาในจิตใจทุกคน
แม้แต่ชายหนุ่มชุดม่วงก็ดูเหมือนจะตระหนักบางอย่างได้ เขาคิดอยู่ชั่วขณะและจากนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนไปน่าเกลียด เขาจดจำได้ชัดเจนถึงตอนที่เขาบอกผู้อาวุโสผู้รับผิดชอบคาราวานไว้ว่าเขาอยากจะอยู่ต่อ ผู้อาวุโสบอกเขาว่าต้องไม่ไปตอแยคนผู้หนึ่งบนดาวรานหยุน คนผู้นั้นคือซิ่วมู่ คนที่กวาดล้างตระกูลฮวนและทำให้ตระกูลซิ่วและตระกูลเฉียนไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วย!
ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมาชื่อนามว่า “ซิ่วมู่” ได้กระจายข้ามผ่านไปทั่วเขตเหนือแห่งดาราจักรทุกชั้นฟ้า นอกจากนั้นการต่อสู้ที่ตระกูลฮวนยังเป็นเรื่องน่าตกใจอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่ามีเซียนนับไม่ถ้วนรู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนั้นน่าหวาดกลัวเกินไป
ขณะที่รู้สึกหวาดกลัว หยุนหวู่เฟิงก็กลับไปที่ห้องตัวเองในบ้านตระกูลซุน ฉิงยี่กำลังนั่งอยู่ในห้องเขาด้วยใบหน้าซีด ระดับบ่มเพาะของนางถูกผนึกดังนั้นนางจึงเหมือนกับคนธรรมดา เมื่อถูกขับไล่ออกจากตระกูลซุน นางจึงถูกจับและพามาที่นี่
หลังหยุนหวู่เฟิงกลับมาที่ห้อง เขาไม่มีจิตใจจะรบกวนฉิงยี่ เขาจ้องเทียนไขและจิตใจเต็มไปด้วยความเสียใจ
ฉิงยี่จ้องหยุนหวู่เฟิง ดวงตานางเย็นชา
“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า หากไม่ใช่เจ้า ข้าคงไม่ไปตอแยลูกชายของซิ่วมู่! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า!” ทันใดนั้นหยุนหวู่เฟิงหันศีรษะกลับมาและจ้องฉิงยี่
ฉิงยี่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่ดวงตานางเย็นชา ทว่าวินาทีถัดมาดวงตาก็เบิกกว้างจ้องไปด้านหลังหยุนหวู่เฟิงและเผยใบหน้าไม่เชื่อสายตา
หยุนหวู่เฟิงตกตะลึง เพียงแค่เขาหันกลับมา วิสัยทัศน์ก็กลายเป็นสีดำและหล่นลงกับพื้น
ฉิงยี่รีบลุกขึ้นและกล่าวอย่างเคารพ “ผู้อาวุโส…”
หวังหลินก้าวออกมาจากเงาและนั่งลง เขาถือเหล้าไว้หนึ่งไห ดื่มมันอึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยออกมา “พรสวรรค์ของเจ้าดีมาก ใช้ชั่วชีวิตกับหวังผิงและข้าจะมอบระดับวิญญาณแรกกำเนิดให้เป็นของขวัญ”
ฉิงยี่ตกตะลึงขณะที่ภาพหวังผิงปรากฏในใจ ใบหน้าขึ้นสีและพยักหน้าเล็กน้อย
สามวันถัดมา หวังผิงก็จากไปโดยมีฉิงยี่ติดตามไปข้างๆกันกับเขา
หวังผิงออกไปจากเมืองเวิ้งวารีด้วยอุดมการณ์ของตนเอง เขาจะไม่มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข เขาต้องการความตื่นเต้น!
หวังหลินพักอยู่ที่นี่ด้วยตัวเอง คืนที่หวังผิงจากไปเขาดื่มไปมากมาย ปกติแล้วด้วยระดับบ่มเพาะของเขาคงไม่เมานัก แต่เขาก็เมาในคืนนั้น
เป็นครั้งแรกที่เขาดื่มจนเมาในรอบแปดร้อยปี เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ใช้วิชาอันใดเลย เขาจึงดูแก่ยิ่งขึ้นไปอีก
ชีวิตดำนินต่อไปและวิชาก็ผ่านอย่างช้าๆ วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ที่ไม่หวนคืนดำเนินต่อไป สามปีผ่านไปในชั่วเวลาเพียงกระพริบตา
ในช่วงระยะเวลาสามปีนี้หวังหลินไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากหวังผิง และไม่ได้จงใจค้นหาด้วยสัมผัสวิญญาณ เมื่อให้อิสระและตัวเลือกกับหวังผิง หวังหลินจึงไม่ห้ามอะไร
ในช่วงสามปีนี้มีสำนักหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในฝั่งเหนือของดาวรานหยุน สำนักแห่งนี้มีชื่อว่าโรงเรียนแห่งสวรรค์ สำนักมีแต่คนธรรมดาเท่านั้นและไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อเหล่าเซียน
การพัฒนาของโรงเรียนสวรรค์นับว่าเร็วมากนัก มันกระจายตัวออกมาจากฝั่งทิศเหนือของดาวรานหยุนเหมือนไฟลามทุ่งและเติบโตอย่างมาก
ข่าวลือหลายอย่างกระจายออกมาดุจเกล็ดหิมะที่ค่อยๆตกลงมา ข่าวลือพวกนั้นกล่าวว่าผู้นำของโรงเรียนสวรรค์เป็นเซียนอมตะและมักจะมีสตรีคนหนึ่งข้างกายอยู่ตลอด
วันเวลาผ่านไปและอีกเจ็ดปีได้ผ่านเลยไป
หวังหลินตอนนี้ดูแก่ขึ้นมากกว่าเดิม
การพัฒนาการของโรงเรียนสวรรค์เหมือนกับก้อนหิมะที่กำลังกลิ้ง มันเติบโตแข็งแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีกระทั่งตัวแทนของโรงเรียนอยู่ในเมืองเวิ้งวารี ระหว่างช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ สายลมพัดพาเอาหวังหลินให้เดินออกจากบ้านเหมือนปกติไปถึงโรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ไกลและดื่มเหล้าอย่างเงียบๆ ดวงตาเขามีมีแต่หมอกมัวราวกับไม่สามารถเห็นอะไรได้เลย เขาเพียงจ้องออกไปด้านนอกหน้าต่างด้วยความเงียบราวกับกำลังรอคอยบางอย่าง
เสี้ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมคุ้นเคยกับชายชราคนนี้ดี หลังจากนำเหล้าและอาหารมาให้เขาก็ไปบริการลูกค้าคนอื่น
ยามกลางวันเมื่อมีผู้คนมาในโรงเตี๊ยมมากขึ้น เสียงเอะอะระเบิดขึ้นมาดังในโรงเตี๊ยมจนค่อนข้างมีชีวิตชีวา
“เจ้าได้ยินโรงเรียนสวรรค์ที่กำลังครอบครองส่วนใหญ่ของดาวรานหยุน กำลังกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในสามจักรวรรดิเชียวนะ?”
“ฮี่ฮี่ แม้แต่เมืองเวิ้งวารีของเราก็มีสาขาของโรงเรียนสวรรค์ ข้าพึ่งออกไปดูเมื่อไม่กี่วันก่อน”
“เพื่อนบ้านของข้า ซางเอ้อ ก็เข้าโรงเรียนสวรรค์นี่ พวกเขาแจกจ่ายเมล็ดข้าวทุกเดือน”
“สามจักรวรรดิคือต้าฉิน ตี้เฉินและเฉินหยุน ต้องกล่าวว่าในจักรวรรดิทางเหนือตี้เฉิน ประชากรเกือบทุกคนเข้ารับการสอนของโรงเรียนสวรรค์”
“ด้วยการพัฒนาของโรงเรียนสวรรค์ มันคงอยู่ไม่ยืดหรอกก่อนที่สามจักรวรรดิใหญ่จะลงมือทำลาย”
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก โรงเรียนสวรรค์แห่งนี้พัฒนามาได้สิบปีแล้ว หากพวกเขาต้องการทำลาย คงทำลายได้ไปแล้ว”
“ข้าสนใจความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำของโรงเรียนสวรรค์และสตรีที่มักอยู่ข้างกายเขานั่น…”
หวังหลินดื่มเหล้าของตัวเองด้วยความสงบนิ่ง ราวกับทุกสิ่งที่เขาได้ยินไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา สายตาหวังหลินมองออกไปไกลราวกับสามารถเจาะทะลุและเห็นหวังผิงที่มีอายุในวัยกลางคนแต่ยังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ…