7. หนีออกจากบ้าน
“ใช่แล้ว! พี่สี่ไม่น่าให้สิทธิแก่ลูกของเหลาเอ้อร์เลย หวังโจวก็กล่าวถูกแล้วบางทีถ้าเป็นลูกของท่านอาจได้เป็นศิษย์ของสำนักไปแล้วก็ได้” อาห้าของไท้จูกล่าวขึ้น
หวังโจวเห็นดังนั้นจึงเสริมทันที “ในที่สุดครอบครัวเราก็เห็นตรงกัน ท่านพ่อกับข้าจะบอกนานแล้ว”
หวังเฮ่าพยายามพูด “ไท้จู เขา….”
ก่อนที่เขาจะจบประโยค พ่อของหวังเฮ่าได้หยุดเขาทางสายตา เขาหมดความมั่นใจจึงได้ปล่อยผ่านไปอย่างเงียบๆ
อาสี่ของไท้จูพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ถ้าใครยังไม่หยุด ข้าจะจัดการมันผู้นั้นเอง จริงๆแล้วการที่ไท้จูไม่ถูกเลือกเป็นเพียงแค่โชคร้ายเท่านั้น อย่าเอามันมาใส่ใจเลย ไท้จูสนใจมาเดินทางกับข้าไหมหล่ะ อาสี่ของเจ้าไม่สนใจว่าเซียนจะรับเจ้าเป็นศิษย์หรือไม่ อาของเจ้าจะหาอาจารย์สอนวรยุทธ์ที่ยอดเยื่ยมที่สุดให้เอง เจ้าและน้องของเจ้า ฮู่ซื่อ(ลูกของอาสี่) จะได้เข้าสำนักวรยุทธ์ด้วยกันดีไหม”
หวังโจวได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะและพูดว่า “ไท้จู ไปกับอาของเจ้าสิ เผื่อว่าสำนักอื่นจะได้ยินว่าเจ้าถูกปฎิเสธจากเหิ่งยั่วอาจรับเจ้าเข้าไป”
หวังหลินยกหัวขึ้นอย่างช้าๆ เขามองไปรอบๆ จ้องเหล่าญาติๆทั้งหมด สายตาสุดท้ายที่เขามองคือหวังโจวและพูดขึ้น
“หวังโจวฟังที่ข้าพูด ข้าหวังหลิน ในชีวิตนี้จะต้องเข้าสำนักเซียนให้ได้และจะไม่ลืมความแค้นสำหรับพวกเจ้าทุกคนที่ทำร้ายครอบครัวข้า”
หวังโจวหัวเราะเมื่อเขาได้ยินที่ไท้จูพูด แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ ลุงสี่ทนไม่ไหวจึงตะโกนใส่หวังโจว “ไอ้เด็กเปรต! ข้าจะจัดการเจ้าจนเป็นง่อย อยากรู้เหมือนกันว่าเซียนจะรับคนพิการเป็นศิษย์ไหม”
พ่อของหวังโจวหน้าเปลื่ยนสีทันที เขาเอาตัวมาบังลูกของเขา “เหลาซี กล้าดียังไง!!”
ญาติๆต่างมองมาที่พวกเขาอย่างสนุกสนานกับเหตุการณ์ที่คุกกรุ่นขึ้น
อาสี่ขำพร้อมพูดด้วยเสียงต่ำลึกๆว่า “โอ้! พี่ใหญ่ ท่านจะพูดว่าข้าไม่กล้าสินะ?”
พ่อของไท้จูเดินไปจับตัวอาสี่กลับมาและพูดอย่างกังวลว่า “เหลาซื่อฟังข้าเถอะ เจ้ามีเมียและลูกอยู่ที่บ้าน อย่าทำอะไรแบบนี้เพื่อข้าเลย ข้าและพี่ใภ้ติดหนี้เจ้ามามากพอแล้ว กลับบ้านข้าเถอะ”
อาสี่มองลึกเข้าไปในใบหน้าของพี่สองและพยักหน้าตกลง ในที่สุดเขาก็ออกจากบ้านหลังนี้พร้อมไท้จูและครอบครัวเขา
หวังหลินได้เดินออกมาไกลแล้วแต่ก็ยังคงได้ยินเสียงของญาติๆเขาพูดกัน ในที่สุดพวกเขาก็ขึ้นรถม้าของอาสี่เพื่อเดินทางกลับบ้าน
ในรถเต็มไปด้วยความเงียบ การที่จะกล่าวว่าพ่อของไท้จูไม่ผิดหวังคงจะเป็นเรื่องโกหก แต่อย่างไรก็ตามไท้จูเป็นลูกของเขา เขาจึงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“ตอนพ่อถูกขับออกจากบ้านก็รู้สึกเหมือนลูกตอนนี้แหละ แต่พ่อยังมีความหวัง เจ้าน่าจะฟังพ่อนะ เรียนหนังสือเพื่อปีหน้าจะไปสอบเถอะ ถ้าไม่อยากเรียนเจ้าก็เดินทางไปกับลุงสี่ของเจ้าก็ได้”
แม่ของไท้จูมองมาที่ลูกชายเพียงคนเดียวด้วยความรักและพูดว่า “ไท้จู อย่าทำอะไรโง่ๆเชียว ถ้าอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า ข้าคงไม่มีความหมายที่จะมีชีวิต ลูกรักเข้มแข็งไว้” เธอกล่าวพร้อมร้องไห้
หวังหลินพยักหน้า มองไปที่พ่อและแม่ของเขาพร้อมพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ อย่ากังวลไปเลยข้าไม่ทำอะไรโง่ๆหรอก ข้ามีแผน”
แม่ของไท้จูกอดลูก ขณะที่กอดเขาไว้ในอ้อมแขนเธอพูดขึ้น “ไท้จู ทุกอย่างจบลงแล้ว แม่ไม่หวังให้มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”
ด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่ บาดแผลในจิตใจเขาได้เยียวยาอย่างช้าๆ เขาเหนื่อยล้าเหลือเกินสำหรับไม่กี่วันที่ผ่านมา รถม้าวิ่งบนทางต่างระดับและเคลื่อนขึ้นลง ไท้จูได้พลอยหลับลงไป
เขาเห็นความฝัน ฝันว่าตัวเองเป็นเซียนบินอยู่บนท้องฟ้ากับพ่อแม่ของเขา
เมื่อไท้จูตื่นเขาก็เป็นเวลากลางดึก เขามองไปรอบๆห้องที่คุ้นเคยพลันถอนหายใจ ทำใจให้เข้มแข็งก่อนจะออกจากบ้าน เขามองดูครอบครัวที่กำลังหลับอยู่ของเขา หยิบปากกาและกระดาษมาเขียนจดหมาย หลังจากหยิบอาหารแห้งมาเพียงพอ จากนั้นเดินทางออกจากบ้าน
“ถนนสู่ความเป็นเซียน ข้าไม่ยอมแพ้หรอก! ข้าจะลองอีกครั้งเพื่อจะเป็นศิษย์ของสำนักเหิ่งยั่ว ถ้าพวกเขายังไม่รับข้าอีก อย่างน้อยข้าต้องหาทางสำนักเซียนที่อื่นให้ได้” ดวงตาของหวังหลินเติมเต็มไปด้วยความแจ่มชัด เขาเดินทางจากหมู่บ้านไปด้วยความหวังถือเพียงกระเป๋าหนึ่งใบ
ในเวลานั้นเองแสงจันทร์ได้ส่องถนนและส่องทางให้แก่เขา หวังหลินก้าวไปข้างหน้าด้วยเส้นทางของเขาเอง เงาบนร่างเขายาวขึ้นสะท้อนกับเส้นแสงจากดวงจันทร์นั้น
สามวันหลังจากนั้นหวังหลินเดินอยู่ ณ ภูเขาที่ห่างไกลตอนที่เขาถูกจางซิงพากลับ เขาได้กำหนดทิศทางเอาไว้ในใจไปทางทิศตะวันออก ถึงแม้หนามจะตำขาทั้งสองข้างของเขาจนมีแผลมากมายเขาก็ยังคงเดินต่อไป
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นหวังหลินอยู่ในส่วนป่าลึกของภูเขา โชคดีที่บริเวณที่เขาไม่อยู่ไม่มีสัตว์ร้ายมากเสียเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเขายืนอยู่บนยอดเขาและมองเห็นภูเขาที่เต็มไปด้วยหมอกอันคุ้นเคยอยู่สุดสายตาในที่สุด
ไท้จูได้นั่งลงพร้อมหยิบอาหารแห้งออกมาและกินไม่กี่คำระหว่างมองไปทางเข้าของสำนักเหิงยั่ว ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงสัตว์ป่าใกล้ๆ เขาค่อยๆหันหน้าไปมองและยืนขึ้นอย่างหน้าซีด
สิ่งที่เขาพบคือเสือขาวขนาดใหญ่ ดวงตาของมันแดงฉานเหมือนเลือด น้ำลายไหลหยดจากปากส่งเสียงกระทบกับพื้น
เสือขาวคำรามและกระโจนเข้าหาทันที หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่น และโดยไม่มีทางเลือกเขาได้กระโดดลงหน้าผาทันที สายลมปะทะใบหน้าขณะที่เขากำลังหล่น หวังหลินนึกถึงใบหน้าครอบครัวของเขาผ่านนัยน์ตา และคำพูดเย้ยหยันของญาติๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกท่านไม่เชื่อฟังและไม่สามารถทำฝันของท่านให้เป็นจริงได้ ลาก่อน…”
มีกิ่งไม้หลายชั้นปกคลุมข้างล่างราวปิรามิด ร่างไท้จูร่วงผ่านจนกิ่งไม้หักไปเรื่อยๆและลดความเร็วในการร่วงหล่นของเขาลง ไท้จูรู้สึกราวกับมีพลังมหาศาลดึงเขา
หวังหลินไม่สามารถควบคุมร่างตัวเองกับแรงดึงนี้ได้ ก่อนที่เขาจะไม่ได้สติ เขาได้เข้าไปในถ้ำที่อยู่ติดหน้าผา เขายังรู้สึกถึงแรงต้านจากร่างกายผ่านการกระแทกลงมา หลังจากผ่านแรงกระแทกอย่างยาวนาน สติเขาไ้ด้ดับลงและเขาสลบลงกับพื้น
มันดูจะเป็นเวลายาวนานก่อนที่เขาจะฟื้นคืนสติได้ ไท้จูพยายามดึงตัวเองกลับ เขาสังเกตเห็นได้ว่าเสื้อผ้าตัวเองขาดรุ่งริ่งและร่างกายเป็นรอยแผลตามตัวจากการขูดฉีก รอยแผลที่แขนขวาเขาเริ่มบวมเป่ง ความเจ็บปวดค่อยๆเพิ่มขึ้น เหงื่อชะโลมไหลไปทั่วร่างกาย หวังหลินจับแขนของตัวเอง เขาบอกไม่ได้ว่ากระดูกหักไปหรือไม่ อย่างไรก็ตามเขาได้รับการบาดเจ็บอย่างหนักจากการตกเขามากทีเดียว