74. ภัยร้าย
หลิวซานได้ตรวจสอบหวังหลินอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็ได้ถามขึ้น “เจ้าเป็นนักเรียนที่รีบวิ่งเข้ามาสอบที่นี่หรือ?”
ใบหน้าหวังหลินสงบเยือกเย็น เขาส่ายหัว “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเข้าสอบ ข้ามีวิชาประดิษฐ์อยู่บ้างและอาจจะอาศัยในเมือง”
หลิวซานผ่อนคลายเล็กน้อย คำถามเขามีความหมายลึกซึ้งส่วนใหญ่คนที่เข้ามาสอบจากหมู่บ้านชนบทพวกนักเรียนจะถือกล่องวัสดุอุปกรณ์การเขียนมาด้วยแต่หวังหลินเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ถืออะไรเลย หากเขายอมรับว่ามาสอบที่นี่จริงๆก็คงต้องระวังตัวเจ้าคนนี้ แต่หลิวซานไม่ได้เคร่งครัดมากเกินไปเขาหัวเราะและพูดออกมา “บังเอิญจริงๆพวกเราก็กำลังจะไปเมืองเทียนฉุยเหมือนกัน สหายงั้นเจ้ามาเดินทางกับเราว่าอย่างไรหล่ะ?”
ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเผยแววปลื้มปิติของหวังหลิน “ขอบคุณท่านมาก หัวหน้าคุ้มกัน!”
ชายบหน้าคล้ำได้มองหวังหลินและหัวเราะขึ้นมา “เด็กน้อย เจ้าขี่ม้าเป็นไหม?”
หวังหลินยิ้มแก้เก้อและส่ายหัว
หลิวซานชี้ไปที่รถเทียมม้าด้านหลังเขา “จะขอบคุณกันไปเพื่ออะไร? ทุกคนต่างมีช่วงเวลายากลำบากเมื่อออกมาท่องโลกกว้างกันทั้งนั้น เจ้าหนุ่มมีเวลาเพียงสี่วันก่อนจะถึงเมืองเทียนฉุย”
หวังหลินคารวะด้วยสองมือ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปบนรถม้าเขามองไปด้านหลังตัวเองก็พบกับรถเทียมม้าจำนวนมากหลายสินคับหลังจากตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณก็พบว่าข้างในรถพวกนี้มีแต่ของว่างเปล่าหวังหลินไม่ตรวจสอบดูต่อไปและนั่งลงขัดสมาธิ
หยางเสินดึงบังเหียนม้าตัวเองและเดินไปถัดจากหวังหลิน “สหาย ทำไมเจ้าไม่พกพาข้าวของออกเดินทางมาด้วยเล่า?”
หวังหลินถอนหายใจและส่ายหน้าขึ้นมา “ข้าถูกโจรปล้นกลางทางไปหมดแล้ว”
หยางเสินตกตะลึง เขามองหวังหลินชั่วครู่จากนั้นพูดขึ้น “การรักษาชีวิตตัวเองสำคัญกว่า บริเวณนี้ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่นัก”
หลังจากเริ่มพูดคุยกัน ใบหน้าหวังหลินก็เปลี่ยนไปเขาพยักหน้าและมองไปตรงป่าด้านหน้าตัวเองหวังหลินขยายสัมผัสวิญญาณและพบกับคนสองคนซ่อนอยู่ตรงนั้น จ้องมาทางคาราวาน
กระทั่งหลังจากกองคาราวานผ่านไป ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้ทำอะไร หวังหลินจึงไม่พูดอะไรและเพิกเฉยพวกเขา
หลังจากการเดินทางหนึ่งวันผ่าไปดวงอาทิตย์เริ่มลาลับและยามดึกได้ก้าวเข้ามา หลิวซานตะโกนจากด้านหน้า “เด็กหนุ่มทั้งหลาย เราจะถึงพื้นที่เมืองเทียนฉุยในวันพรุ่งนี้ตระกูลเหนือจะส่งคนมาทักทายพวกเรา วันนี้เรายังไม่สามารถหาที่พักดีดีให้ได้ดังนั้นเราจะตั้งค่ายที่นี่เพื่อพักผ่อนชั่วคราวยามสายวันพรุ่งนี้เราก็ถึงเมืองแล้วข้าจะพาพวกเด็กหนุ่มไปปราสาทแดงเยือกแข็งเพื่อหาหญิงสาวน่ารักมาเล่นด้วย”
เหล่าชายหนุ่มต่างส่งเสียงหัวเราะจากนั้นก็ลงจากม้าพวกเขาทำเกวียนเป็นวงกลมและผูกม้าไว้กับเกวียนพวกนั้นหลังจากนั้นปักหมุดกระโจม บางคนก็หลับขณะที่บางคนก็เริ่มดื่มบรรยากาศกลายเป็นมีชีวิตชีวา
มีจำนวนสามถึงห้าคนที่กำลังลาดตระเวนพื้นที่
หลังจากหวังหลินลงจากรถม้า หยางเสินก็ดึงเขาไปข้างกองไฟระหว่างการพูดคุยในวันนี้หยางเสินพบว่าเขาเริ่มจะชอบหวังหลินขึ้นมาจริงๆและเริ่มโอ้อวดเรื่องราวของตัวเอง
เรื่องราวดูน่าสนใจมากขึ้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องของเขาเองเรื่องน่าตื่นเต้นมากขึ้นขณะที่พูดคุยด้วยกันนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ลากหวังหลินเข้ามาร่วมวงสนทนาเมื่อทั้งกลุ่มหยุดพัก
มีคนสามคนนั่งถัดจากกองไฟ ด้านข้างเป็นหัวหน้าคุ้มกันหลิวซานชายใบหน้าคล้ำ มีชายวัยกลางคนที่ดูเป็นผู้รอบรู้ เขาสวมชุดคลุมสีน้ำเงินผิวซีดเผือกและหน้าผากกว้าง แต่สายตาเผยแววตาแห่งปัญญา
เมื่อเห็นหวังหลินมาถึง หลิวซานหัวเราะ “ท่านนี่คือน้องเล็กที่ข้ากำลังเล่า เขากำลังไปเมืองเทียนฉุยอยู่อาศัย” จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับหวังหลิน “น้องเล็กนี่คือท่านหวังของกองกำลังคุ้มกันของเรา เจ้าก็ชื่อหวังเช่นกันบางทีทั้งสองคนอาจจะมีความสัมพันธ์กัน พวกเจ้าควรจะพูดคุยกันนะท่านหวังเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางมากคนหนึ่งเลยทีเดียว”
ชายวัยกลางคนผู้รอบรู้หัวเราะเบาๆ “หลิวซาน อย่าเอาข้าไม่โม้นักเลย ข้าไม่ได้รู้เยอะมากมายเช่นนั้น”
หลิวซานกรอกตาและพูดขึ้น “กล่าวหาใครกันเล่า? ถ้าท่านเป็นผู้น้อยข้าคงไม่มีอะไรอวดอ้าง น้องเล็ก นี่คือท่านหวังเป็นเซียนที่มีชีวิต!เขารู้ทุกอย่างทั้งเหนือและใต้ การพยากรณ์ของเขาอัศจรรย์มาก!”
หวังหลินมองชายวัยกลางคนอย่างระวังตัว เขายิ้มขึ้น “ครับท่านมีพลังงานเต็มเปี่ยมและสายตาเปล่งปลั่งยิ่งนักท่านเป็นคนที่มีเชาว์ปัญญาอย่างแน่นอน”
ชายวัยกลางคนได้มองหวังหลินอย่างประหลาดใจและพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าน้องเล็กคนนี้จะเหมือนกับข้างั้นหรือ? ข้าเห็นได้ว่าน้องเล็กก็เป็นผู้รอบรู้เหมือนข้าแต่มีมังกรซ่อนอยู่ข้างในอนาคตเจ้าไม่ใช่คนทั่วไปเป็นแน่”
หวังหลินยิ้ม “ครูที่หมู่บ้านข้าก็พูดเรื่องนักพยากรณ์เช่นกัน หลังจากข้าได้ยินมา ข้าก็เรียนรู้มันได้น้อยนิด”
ชายวัยกลางคนส่งเสียงหัวเราะ ชายใบหน้าคล้ำรีบพูดขึ้นมา “ท่านหวัง ตรวจสอบข้าหน่อยเถิด ข้าแก่แล้ว จะไ้ด้มีโชคแต่งงานบ้างไหม?”
หลิวซานหัวเราะ “เจ้าถามในการเดินทางนี้ไปกี่ครั้งแล้วหล่ะ? ทุกครั้งที่ท่านหวังพยากรณ์ให้สักคน มันต่างก็สูญเสียพลังงานมหาศาลดังนั้นลืมไปซะเถอะ”
ชายใบหน้าคล้ำเมินคำพูดของหลิวซานและจ้องไปที่ชายวัยกลางคนผู้รอบรู้
ชายวัยกลางคนครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นก็ตอบกลับมา “ก็ได้ข้าจะพยากรณ์ให้เจ้า หยางเสิน เจ้าไม่ถามข้าด้วยหรือ? ข้าจะได้พยากรณ์ให้ทั้งสองคน”
เมื่อพูดเช่นนั้น เขาหลับตาลงเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็มีแสงสีทองส่องสว่างขึ้นมาใบหน้าหวังหลินยังสงบเงียบเหมือนเดิมแต่ใจเต้นถี่เขาปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณและพบว่ามีพลังปราณเคลื่อนไหวในร่างร่างชายวัยกลางคนนั้น
พลังปราณได้เคลื่อนตัวด้วยเส้นทางที่แปลกประหลาดและถึงที่ดวงตาของเขา
ชายวัยกลางคนจ้องมองบุรุษใบหน้าคล้ำเขาพึมพำเป็นประโยคราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่างและมือได้สร้างผนึกขึ้นใบหน้าเขาขึ้นสีแดงขณะที่พูดด้วยคิ้วขมวด “หลิวหลาวหวู่(劉老五 Liú lǎo wǔ) จะมีภัยร้ายในอนาคต ถ้าเจ้าผ่านมันไปได้เจ้าจะได้แต่งงานภายในสามเดือนหลังเกิดเหตุการณ์นี้”
บุรุษใบหน้าคล้ำตกตะลึง “ภัยร้าย? ไม่มีปัญหากองกำลังคุ้มกันอาศัยอยู่ในอันตรายอยู่แล้วการต่อสู้หลั่งเลือดถือเป็นเรื่องปกติ” เขาตอบกลับ
ชายวัยกลางคนจ้องไปที่หยางเสิน สีหน้าเขาเปลี่ยนไป “ประหลาดทำไมข้าถึงได้เห็นรังสีเลือดที่เป็นตัวแทนของภัยพิบัติ?” พูดเช่นนั้นเขามองไปที่หลิวซานและใบหน้าเขากลายเป็นมืดทะมึน “มีบางสิ่งผิดพลาด วิชานี้ได้ตกทอดจากตระกูลข้าที่ไม่เคยพบความผิดพลาดหลิวหลาว เจ้าก็มีสัญลักษณ์ของภัยร้ายเหมือนกัน”
จบประโยค เขายืนขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและมองไปที่คนรอบๆใบหน้าเขาเริ่มเครียดมากขึ้นทันที “หลิวหลาว ข้าคิดว่ามีบางสิ่งผิดปกติข้าเห็นทุกคนที่นี่มีรังสีภัยร้ายกันหมด นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” จากคำพูดนั้น สายตาของหลิวซานหรี่แคบลง เขามองรอบๆจากนั้นถามขึ้น “ท่านหมายความว่าพวกเราจะประสบกับภัยร้ายเช่นนั้นหรือ?”
ชายวัยกลางคนผู้รอบรู้พยักหน้า หลังจากเขากวาดสายตาผ่านไปที่หวังหลินเขาก็ตกตะลึง เมื่อมองหวังหลินอย่างระมัดระวัง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนทันทีใบหน้าได้ขึ้นสีแดงและกระอักเลือดออกมาจากปาก สีหน้าเขาเผยแววตาหวาดกลัวเขาชี้ไปที่หวังหลินและระเบิดคำพูดออกมา “เจ้า….”