921. หยกเขียว
แรงสั่นจากร่างดั้งเดิมทำให้ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง ดาวเทพโบราณระหว่างคิ้วกระพริบวูบวาบ พลันสูดหายใจลึกและระงับแรงสั่นครั้งนี้ ดาวเทพโบราณจึงหยุดกระพริบ
พอจ้องเจ้าอสรพิษพิฆาตจันทร์ที่มีหนวดส่ายไปมาอยู่ไกลๆ หวังหลินจึงตกตะลึงยิ่ง
‘ตอนนั้นข้ายืมเจ้าอสรพิษพิษฆาตจันทร์เพื่อฆ่าคนตระกูลเหยาและซ่อนตัวในร่างมัน ข้าคิดว่ามีใครสักคนในฝ่ายทุกชั้นฟ้ารู้เรื่องอสรพิษพิฆาตจันทร์ซะอีก คนแบบไหนกันถึงจับมันแล้วส่งมาเป็นอาวุธสังหารในดาราจักรพันธมตรเซียน? หรือจะเป็น…เขา!?’ หวังหลินอ้าปากค้างและคิดถึงคนที่เขาเจอมาแล้วสองครั้ง
ครั้งแรกระหว่างการต่อสู้ระหว่างฉิงชุ่ยและเทพโลหิต ครั้งที่สองระหว่างการประทานตำแหน่งเทพซึ่งเขาเป็นคนเปิดเส้นทางระหว่างสองดาราจักร!
วินาทีนี้เสียงหวีดหวิวของเศษไม้ยักษ์ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ระลอกคลื่นเข้ามาใกล้ เซียนด้านหลังหวังหลินเริ่มส่งเสียงเชียร์
ขณะเดียวกันเหล่าเซียนก็เหาะเหินไปข้างหน้าทันที
หวังหลินลังเลเล็กน้อยก่อนจะเคลื่อนไปข้างหน้าพุ่งเข้าหาเศษไม้ยักษ์ ตอนที่อยู่ไกลๆมันก็ใหญ่พอแล้ว เมื่อเข้าไปใกล้อีกพวกเขาจึงรู้สึกถึงแรงกดดันอันเหลือล้นจากมันได้
เหล่าเซียนนับไม่ถ้วนก้าวไปบนสมบัติมากมายและติดตามเศษไม้ยักไป บนเศษไม้ก็พอมีเซียนอยู่บนนั้นบ้างแต่มีไม่มากที่ยืนอยู่ได้ ประมาณร้อยคน
บนเศษไม้ยักษ์มีเซียนสองคนยืนอยู่ข้างหน้าซึ่งเป็นบรรพชนตระกูลจาง ลี่หยุนจื่อและบรรพชนตระกูลเฉินกง!
เสื้อผ้าทั้งสองพริ้วไหวแม้ไม่มีสายลม ดวงตาดุจลำแสงและเยือกเย็นอย่างมาก
ด้านหลังเขาคือเหล่าเซียนที่เหลืออยู่ ส่วนใหญ่มีตำแหน่งเป็นร้อยแปดเทพแต่ก็ยังมีคนที่หวังหลินไม่เคยเห็นมาก่อน บางคนมีความผันผวนออกมาจากวิญญาณดั้งเดิม หวังหลินมองออกว่าคนพวกนี้ไม่ได้อ่อนแอ ระดับอยู่ที่ขั้นรูปธรรมหยางสูงสุด
ขั้นส่องสวรรค์มีอยู่สิบคน อีกทั้งในสิบคนนี้มีอยู่สามคนทำให้หวังหลินสนใจ หนึ่งในนั้นนั่งอยู่ทางฝั่งขวาของเศษไม้ยักษ์ สวมชุดคลุมสีดำ เส้นผมสีขาว ใบหน้ามีรอยแผลเป็นหลายแห่งน่าประหลาด มันไม่ได้อยู่ที่เดิม คล้ายจะเคลื่อนไหวจนมองแทบไม่ออก แค่ชำเลืองมองก็ทำให้คนอ้าปากค้างได้แล้ว
วินาทีที่สายตาหวังหลินจับจ้องไปยังเขา ชายชราดวงตาส่องสว่างขึ้นมาและมองหวังหลินกลับ เขาเผยรอยยิ้มด้วยความเย็นชา
อีกคนที่ทำให้หวังหลินสนใจเป็นสตรีผู้หนึ่ง นางอรชร น่ารักดั่งลูกท้อและบริสุทธิ์ดั่งดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วง ลักษณะอายุราวๆสามสิบปี ดวงตาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ จมูกสวยตั้งโด่ง มีลักยิ้มเล็กๆบนแก้ม ผิวกายนวลผ่อง ดวงตาสีน้ำทะเล
นางยืนอยู่บนเศษไม้ยักษ์ สวมชุดสมสง่าสีเขียวอ่อนประดับด้วยไหมทองบางๆ เสื้อผ้ากว้างประดับลวดลายสีม่วง เส้นผมสีดำประมาณสามพันสายม้วนด้านหลังอย่างว่าง่าย บางส่วนก็ปกคลุมรอบคอ อัญมณีสีแดงเม็ดเล็กประดับกลางหน้าผากทำให้นางดูสว่างขึ้นไปอีก
นางงดงามยิ่งไร้การเติมแต่ง ผิวกายส่องสว่างและขาวดั่งหิมะ ผสมกันเป็นสีครีมอ่อนๆดุจดอกไม้ละเอียด อาจเนื่องจากเศษไม้ยักษ์เดินทางเร็วเกินไปจึงเกิดสายลมพัดผ้าไหมบางให้ลอยขึ้นในอากาศ นางดุจเทพธิดาขึ้นไปอีก
หลังจากเห็นสายตาของหวังหลิน นางค่อยๆยิ้มอ่อนกลับมาหา ทว่ารอยยิ้มนั้นมีสัมผัสแห่งคนชั้นสูงราวกับไม่มีใครจะแตะต้องนางได้
คนสุดท้ายคือเด็กหนุ่มชุดขาว ล้อมรอบด้วยขลุ่ยไม้ไผ่สามเลา ทั้งสามส่งเสียงประหลาดออกมาคล้ายจะเปลี่ยนสิ่งที่มีตัวตนให้กลายเป็นภาพมายารอบตัว แค่อยู่ในภาพมายานี้ก็ทำให้หลงอยู่ในความคิดได้ง่ายๆ
ชายหนุ่มกระทั่งไม่สนใจสายตาของหวังหลินเลย เขาเพ่งสมาธิหลับตาฝึกฝนต่อไปและเต็มไปด้วยความหยิ่งโอหัง
เหตุผลที่ทั้งสามคนนี้ทำให้หวังหลินสนใจก็เพราะหวังหลินไม่สามารถอ่านระดับบ่มเพาะพวกเขาได้เลย!
ขณะที่หวังหลินสังเกตการณ์ผู้คนบนเศษไม้ เหล่าเซียนบนนั้นก็มองหวังหลินเช่นเดียวกัน ด้วยชื่อเสียงของหวังหลินในดาราจักรทุกชั้นฟ้าแล้ว ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็จดจำหวังหลินได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งเสียงคำรามของพยัคฆ์เหินด้านหลัง
ผู้คนติดตามเศษไม้ยักษ์ไป ระหว่างทางจึงได้เห็นเซียนฝ่ายทุกชั้นฟ้าบางส่วน ทว่าส่วนใหญ่เหลือคนเพียงไม่กี่คนและต่างอยู่ในสภาวะย่ำแย่
ตอนนี้กลุ่มของหวังหลินรวบรวมคนได้หลายร้อยคนแล้ว ทำให้เซียนรอบเศษไม้ทั้งหมดต่างก็มองมาที่หวังหลิน
แน่ชัดว่าเพราะตัวตนของซิ่วมู่จึงมีเซียนมากมายอยู่ที่นี่!
“เทพสายฟ้าซิ่วมู่!”
เขาคือซิ่วมู่ ฮีโร่แห่งการแข่งขันตำแหน่งเทพ แม้กระทั่งซิ่วถิงแห่งดาวตงหลินยังพ่ายแพ้และซิ่วมู่กลายเป็นเทพสายฟ้า!
“ไม่รู้ว่าซิ่วมู่จะมีคุณสมบัติพอก้าวไปบนเศษไม้หรือไม่!”
สายตาหลายคนมองไปที่หวังหลิน หลายคนไม่เคยเจอหวังหลินมาก่อน ความประทับใจจึงมีแค่จากที่เห็นในการประลองผ่านหินหยกสื่อสารเท่านั้น
หลายคนกำลังเฝ้ามองเขาอยู่แต่หวังหลินไม่มีท่าทีเปลี่ยนไปเลย เขาสงบนิ่งอย่างมาก
“ซิ่วมู่ มาหาข้า!” ลี่หยุนจื่อเห็นหวังหลินอยู่แล้ว ใบหน้าเย็นเยียบละลายลงเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มออกมา
หวังหลินพยักหน้าและพุ่งเข้าหาไม้ยักษ์ แรงกระทบจากไม้ยักษ์ทำให้เกิดความต้านทานครั้งใหญ่ หวังหลินรู้สึกเหมือนตัวเองจมอยู่ในโคลน เมื่อตระหนักสถานการณ์ได้ สีหน้าสงบนิ่ง พลังดั้งเดิมในร่างกายชะลอตัวลงจนเกือบจะหยุดนิ่ง จากนั้นวินาทีถัดมามันก็ระเบิด เปลี่ยนจากหยุดนิ่งเป็นรวดเร็วในพริบตา
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดแรงเหวียงทรงพลังระเบิดขึ้นมาในร่างหวังหลิน เกิดเสียงดังสนั่นรอบตัวเขาที่สามารถทำให้สรวงสวรรค์ล่มสลาย
ตู้มมมม!
เสียงรุนแรงดังสนั่น อวกาศเบื้องหน้าหวังหลินบิดเบี้ยวทันที ทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าล่มสลายอย่างรวดเร็วพร้อมกับหวังหลินก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
หวังหลินเข้ามาถึงใกล้เศษไม้ที่กำลังร่ำร้อง พลันก้าวไปด้านบนโดยไม่มีการต่อต้าน
ในวินาทีนี้สายตาของเซียนทั้งหมดรอบเศษไม้ต่างก็หรี่แคบ แม้พวกเขาจะรู้ว่าหวังหลินโหดเหี้ยมแค่ไหน แต่การได้เห็นกับตาถึงกับทำให้พวกเขาตกตะลึง!
หวังหลินไม่รู้ว่าการก้าวไปบนไม้ยักษ์นี้เป็นตัวแทนของสถานะอันสูงส่งยิ่งยวด ตราบใดที่คนผู้นั้นเชื่อว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอ พวกเขาสามารถลองก้าวไปบนไม้ยักษ์ได้
ทว่ามีน้อยคนนักที่จะก้าวไปอยู่บนไม้ยักษ์ได้ กระนั้นคนส่วนใหญ่ที่อยู่ด้านบนก็ยังใช้สมบัติพร้อมกับวิชาหลายอย่างกว่าจะก้าวขึ้นไปได้ด้วยความพากเพียรยิ่งหลายครั้ง
ถึงแบบนั้น ไม่มีเซียนรอบด้านคนใดกล้าประเมินคนพวกนี้ต่ำไป ใครก็ตามที่สามารถก้าวไปบนไม้ยักษ์ได้คือคนแข็งแกร่ง!
อย่างไรก็ตามเมื่อหวังหลินก้าวไปบนไม้ยักษ์ พลันเกิดคลื่นลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นในใจเซียนรอบด้านหลายหมื่นคน หวังหลินสามารถก้าวไปบนไม้ยักษ์โดยไม่ต้องพยายามอะไรนัก จากสิ่งที่พวกเขาเห็น นอกจากลี่หยุนจื่อและบรรพชนตระกูลเฉินกงแล้ว มีเพียงอีกสามคนที่สามารถก้าวไปบนไม้ยักษ์ได้ง่ายๆ!
หวังหลินคือคนที่สี่!
‘เทพสายฟ้าซิ่วมู่ คู่ควรต่อชื่อเสียงสมคำร่ำลือ!’
วินาทีนั้นความคิดคล้ายๆกันนี้ปรากฏขึ้นในในเซียนรอบด้าน
ผู้คนบนไม้ยักษ์ทั้งหมดต่างก็มองหวังหลิน สายตาทั้งหมดเปลี่ยนไป บางส่วนเป็นคนที่ได้รับประทานตำแหน่งเทพ ดังนั้นพวกเขาจึงชื่นชมหวังหลินอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่เคยเจอหวังหลิน ความคิดแต่ละคนสั่นสะท้านและในที่สุดก็เข้าใจความโหดร้ายของเขา
เด็กหนุ่มขลุ่ยไม้ไผ่พลันลืมตาขึ้นทันทีและมองหวังหลินอย่างลวกๆ เขาพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร
สตรีชุดสวยสง่ายิ้มขึ้นอีกครั้ง ส่วนชายชราชุดดำมองหวังหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทั้งสามคนต่างมีระดับบ่มเพาะสูงส่ง อย่างน้อยก็ขั้นส่องสวรรค์ระดับปลาย จึงมีสายตาดีกว่าคนอื่นๆที่นี่ แค่ชำเลืองก็บอกได้ว่าสิ่งที่หวังหลินทำลงไปนั้นพิเศษแค่ไหน
พลังการระเบิดนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พลังดั้งเดิมแต่ยังแฝงกฏเข้าไปด้วย ทั้งสามคนเห็นจุดนี้อย่างชัดเจนและวางตำแหน่งหวังหลินสำคัญมากขึ้น แม้ระดับบ่มเพาะหวังหลินจะอ่อนแอกว่าพวกเขาแต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน
อีกทั้งมีเซียนขั้นส่องสวรรค์ไม่มากนักที่จะรู้แจ้งกฏได้
ความแข็งแกร่งคือกฏอันสูงสุดในโลกแห่งเซียน หากต้องการให้ผู้อื่นจดจำ เมื่อนั้นต้องบรรลุระดับให้เท่าเทียมกับพวกเขา!
หวังหลินยืนอยู่ด้านข้างลี่หยุนจื่อพลางกล่าวอย่างเคารพ “ซิ่วมู่คำนับผู้อาวุโสลี่หยุนจื่อ”
หลังจากนั้นเขาก็หันมาคำนับฝ่ามือให้บรรพชนตระกูลเฉินกงอีกคน
ลี่หยุนจื่อยิ้มบาง ขณะที่กำลังจะเอ่ยขึ้นมาสีหน้าพลันเปลี่ยนไป อสรพิษพิฆาตจันทร์ด้านหลังไม้ยักษ์พลันเริ่มร้องคำรามราวกับบ้าคลั่งไปแล้ว
เมื่อมันจ้องหวังหลินบนขอนไม้ ดวงตาของมันเปลี่ยนไปมาระหว่างความสับสนและความแจ่มชัด มันร้องคำรามรุนแรงขึ้นไปอีก คลื่นเสียงทรงพลังดังกึกก้องทำให้สีหน้าเซียนรอบด้านไม้ยักษ์ต้องเปลี่ยนไปมหาศาล ความคิดแต่ละคนสั่นสะท้าน
หวังหลินหันกลับมาจ้องอสรพิษพิฆาตจันทร์อย่างเยือกเย็น หวังหลินไม่ได้ประหลาดใจที่มันจำเขาได้ เขาเข้าใจอสรพิษตัวนี้เป็นอย่างยิ่ง มันมีความทรงจำที่ดีเยี่ยมกับคนที่ทำให้มันบ้าคลั่ง ซึ่งมันจดจำหวังหลินได้อย่างแจ่มชัดเพราะทำให้มันคลั่งไปถึงสองครั้ง!
ขณะที่มันโกรธเกรี้ยวและกำลังจะพุ่งออกไปนั้น หนวดมากมายรอบมันยื่นยาวออกมาเข้าหาไม้ยักษ์
ลี่หยุนจื่อขมวดคิ้ว แขนขวายื่นเข้าหาอากาศ รอยแยกเปิดขึ้น หินหยกเขียวก้อนหนึ่งลอยออกมา
หินหยกก้อนนี้ธรรมดามากจนดูไม่มีอะไรผิดปกติ ลี่หยุนจื่อคว้าเอาไว้และโยนใส่อสรพิษพิฆาตจันทร์ มันเร็วมากจนเข้าใกล้อสรพิษในพริบตา หินหยกแตกสลายก่อเกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง
“ซุน หยุน โกว!” น้ำเสียงแปลกประหลาดและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเซียนรอบด้านคนไหนเข้าใจมัน แต่ในใจหวังหลิินกลับตกตะลึงเพราะมันคือภาษาเทพโบราณ! หลังจากเข้าใจความหมายเบื้องหลังแล้ว แม้หวังหลินจะมีจิตใจแข็งแกร่งก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป