964. เปลี่ยนศัตรูเป็นสหาย
หวังหลินเคลื่อนไหวดั่งสายน้ำ ฝ่ามือกำหมัดและชกออกไปอย่างลวกๆ พายุสีดำเหนือจินตนาการก่อตัวขึ้นมา สัมผัสวิญญาณที่ก่อตัวเป็นมังกรหนึ่งในนั้นพลันถูกกำปั้นหวังหลินกระทบเข้าใส่
สัมผัสวิญญาณแตกสลายก่อนที่มันจะทันได้ต่อต้าน
วินาทีที่สัมผัสวิญญาณแตกสลาย ในเมืองเนตรภูติ ชายวัยกลางคนชุดม่วงซึ่งอยู่ในห้องที่สองกำลังจิบน้ำชา พลันกระแทกถ้วยชาจนน้ำชาเหือดแห้ง ชายวัยกลางคนหน้าซีดและกระอักโลหิต สายตาตกตะลึง
หัวใจเต้นกระดอนเร็วรี่และอุทานขึ้นมา “หรือจะเป็นขั้นชำระสวรรค์!?” สีหน้าเปลี่ยนไปก่อนจะกัดฟันแน่นและหายตัวไปจากห้อง
ขณะที่หวังหลินลอยตัวกลางอากาศ สัมผัสวิญญาณตัวเองกลับเข้าสู่ร่าง จ้องมองสัมผัสวิญญาณสุดท้ายอย่างเย็นเยียบ เจ้าของสัมผัสวิญญาณนั้นคือปรมาจารย์ยี่เฉิน
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป สัมผัสวิญญาณสุดท้ายรีบถอยร่น
หวังหลินยื่นฝ่ามือออกไปด้วยสีหน้าไม่แยแส สัมผัสวิญญาณสุดท้ายดูเหมือนจะโดนโลกบีบรัดและถูกดึงเข้าหาหวังหลิน จากนั้นคว้าเอาไว้และบดขยี้มันตรงๆ
ในตึกสวยงามห้องแรกฝั่งตะวันออก ชายชราผมขาวยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะพร้อมกับพู่กันในมือ เขากำลังเขียนบนกระดาษบนโต๊ะอย่างขยันขันแข็ง
การทำหลายอย่างในครั้งเดียวเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเหล่าเซียนเช่นพวกเขา ทว่าวินาทีนั้นพู่กันในมือแตกหักและเขามองขึ้นไปทันที ใบหน้าซีดเผือด โลหิตย้อนขึ้นมาถึงลำคอแต่เขาก็บังคับไม่ให้มันออกมา
“ไม่เลว!” ชายชราสาปแช่งในใจ โบกสะบัดแขนเสื้อพลางพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
คลื่นลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นในเมืองเนตรภูติ กฏเกณฑ์ที่แตกสลายทำให้เซียนทั้งหมดสนใจ พวกเขามีระดับบ่มเพาะหลากหลายและต่างก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
หวังหลินสีหน้าสงบนิ่ง เขาอดทนมากพอแล้ว หากทั้งสามคนปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณของเขามันคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
แสงสามเส้นลอยออกมาจากเมืองและมาถึงเบื้องหน้าหวังหลิน ทั้งสามคนเผยตัวเองเป็นสามพี่น้องเฉิน!
ชายชราผมขาวคือปรมาจารย์ยี่เฉิน ด้านหลังเป็นชายชราชุดเขียวและชายวัยกลางคนชุดม่วง ทั้งสามต่างมีใบหน้าขมขื่น พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนผู้นี้ถึงทำลายสัมผัสวิญญาณของตนได้ง่ายๆทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่าสัมผัสวิญญาณอยู่ในขั้นส่องสวรรค์ชั้นต้น
หากเป็นพวกเขาเองคงไม่หวาดกลัวนักเนื่องจากสามารถร่วมมือกันได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวก็คือหวังหลินทำมันไปได้อย่างง่ายๆ
หนึ่งคว้าจับ หนึ่งกำปั้น หนึ่งบีบมือ ทุกอย่างเรียบง่าย ทั้งสามคนรู้สึกว่าคนผู้นั้นไม่ได้ใช้ความพยายามอันใดเลยและนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขากวาดกลัวถึงก้นบึ้ง
ไม่มีเซียนขั้นส่องสวรรค์จะทำเช่นนี้ได้ แม้กระทั่งขั้นส่องสวรรค์ระดับปลายสูงสุดก็ทำไม่ได้ เพราะพวกเขาอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังมีสามคน! มีสิ่งเดียวที่สามารถอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้นั่นก็คือคนตรงหน้าเป็นเซียนขั้นชำระสวรรค์!
“โปรดยกโทษให้เราด้วยสหายเซียนหวังหลิน เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของเรา…” ปรมาจารย์ยี่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น ทั้งสามคนยืนเบื้องหน้าหวังหลินค่อนข้างอับอาย พวกเขาทั้งหมดเป็นคนมีชื่อเสียงบนดาวเทียนหยุนและตอนนี้ไปล่วงเกินเข้า แม้จิตใจจะรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่อาจทำขุ่นเคืองได้
อีกทั้งเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงเซียนขั้นชำระสวรรค์ ลืมเรื่องการกวาดสัมผัสวิญญาณอย่างสุภาพไปได้เลย แม้อีกฝ่ายจะกวาดผ่านด้วยความโอหัง มันก็ยังเป็นเรื่องเข้าใจได้
หากพวกเขารู้ระดับบ่มเพาะอีกฝ่ายล่วงหน้า คงไม่กล้าหยุดยั้งไว้ อีกทั้งไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับเซียนขั้นชำระสวรรค์ที่มาเมืองเนตรภูติ แม้จะไม่มีใครส่งสารเชิญชวน พวกเขาคงถูกเลี้ยงดูดั่งแขกผู้มีเกียรติ
‘ในดาวเทียนหยุนและดาวใกล้เคียงรอบๆ เซียนขั้นชำรสวรรค์ถือว่าหาได้ยากยิ่ง คนระดับนี้ต่างทำให้ดาวเคราะห์เซียนสั่นไหวได้เพียงแค่กระทืบเท้า ข้าไม่เคยได้ยินใครชื่อหวังหลิน เขาพูดว่ามาจากสำนักชะตาสวรรค์…หรือจะเป็น…หรือจะเป็นศิษย์รุ่นเก่าแก่ของเทียนหยุน?’ ทั้งสามคนมองหน้ากันเองด้วยความสงสัย ทว่าพลังอำนาจที่หวังหลินเปล่งออกมานั้นคู่ควรพอกับเซียนขั้นชำระสวรรค์จริงๆ
ชายชราชุดเขียวรู้สึกค่อนข้างอับอาย “โปรดอย่าตำหนิเราเลย สหายเซียนหวัง เราสามคนรับผิดชอบเมืองนี้ ดังนั้นเราจึงอาจล่วงเกินท่านไปบ้าง ได้โปรดยกโทษให้เราด้วย!”
ชายวัยกลางคนเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวและคิดขึ้นมา ‘ชื่อเสียงของสามพี่น้องเฉินไม่ได้ตกจริงๆ นอกจากนี้ใครกันจะไปกล้าล่วงเกินเซียนขั้นชำระสวรรค์กันเล่า?’
ทั้งสามคนมีท่าทีจริงใจและขออภัยกับความผิดพลาดของตนเอง หวังหลินสีหน้าผ่อนคลายและเอ่ยขึ้นมา “เป็นข้าเองที่ทำผิดพลาดก่อน ดังนั้นถือว่าช่างมันเถอะ”
ทั้งสามคนถอนหายใจอย่างโล่งอก หากหวังหลินไม่ปล่อยเรื่องนี้ไป พวกเขาทำได้แค่ต้องหลบหนีเท่านั้น การไปล่วงเกินเซียนขั้นชำระสวรรค์เป็นเหมือนการโดนตีตราประทับว่าตายไปแล้ว
ปรมาจารย์ยี่เฉินกล่าวอย่างสุภาพ “สหายเซียนหวังต้องมาที่เมืองเนตรภูติเพื่อขวดหยกหยดม่วง อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายวันก่อนการประมูล สหายเซียนมีที่พักแล้วหรือยัง? หากไม่มีพวกเราสามคนสามารถจัดหาที่พักให้ท่านได้”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงและชายชราชุดเขียวต่างก็มองหวังหลินด้วยสายตาเชิญชวน
ไม่ว่าทั้งสามคนจะมีท่าทีโอหังเช่นไร เมื่อเผชิญกันเซียนขั้นชำระสวรรค์ พวกเขาก็ไม่กล้าเปิดเผยความเป็นปฏิปักษ์ แต่ต้องแสดงเจตนาเข้าใกล้แทน
‘ขวดหยกหยดม่วง?’ เสียงฟังดูคุ้นหูหวังหลิน หลังจากขบคิดเล็กน้อยเขามองทั้งสามคนและพยักหน้า “เช่นนั้นก็ขอรบกวนสหายเซียนทั้งสามแล้ว!”
ปรมาจารย์ยี่เฉินหัวเราะ “ไม่มีปัญหา โชคชะตาทำให้เราถือวิสาสะกับสหายเซียนหวังหลิน” เขายิ้มพลางใช้แขนขวาเป็นเชิงต้อนรับหวังหลิน
หวังหลินหันกลับมามองออกไปไกล ตรงประตูเมืองป๋ายเว่ยกำลังจ้องมองเขา ด้านหลังยังมีฉวี่ลี่กั๋ว
“พวกเจ้ามานี่” หวังหลินไม่ได้เอ่ยเสียงดังแต่ได้ยินชัดทั้งสองหูของป๋ายเว่ย
ป๋ายเว่ยลังเลเล็กน้อยก่อนจะเหาะเหินขึ้นสู่อากาศ ฉวี่ลี่กั๋วมองแผ่นหลังของป๋ายเว่ยด้วยท่าทีประทับใจและรีบติดตามไป
เมื่อทั้งสามคนเห็นป๋ายเว่ย พวกเขาตกตะลึงแต่ไม่ได้พูดสิ่งใด ทั้งหมดมุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันออกของเมืองจนถึงอาคารสี่ชั้นอันสง่างาม ลานกว้างรอบอาคารเต็มไปด้วยภูเขาและแม่น้ำ พลังปราณที่นี่หนาแน่นยิ่ง
ปรมาจารย์ยี่เฉินยิ้มออกมา “ที่นี่เป็นที่พักของเราสามคนในเมือง สหายเซียนหวังเลือกสักห้องสิ”
หวังหลินคำนับฝ่ามือพลางยิ้มแย้ม “ขอบคุณมาก!”
หลังจากเห็นรอยยิ้มของหวังหลิน ในที่สุดสามพี่น้องก็ผ่อนคลาย ชายวัยกลางคนชุดม่วงหัวเราะ “พี่หวังพักผ่อนก่อน ข้าจะสั่งให้คนเตรียมผลไม้มาให้ เมื่อเราพี่น้องไม่รู้จักพี่หวัง เราสี่คนต้องมาสนทนาเต๋ากันหน่อยเสียแล้ว”
ปรมาจารย์ยี่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ชายชราชุดเขียวหัวเราะ “น้องสามพูดถูก วิธีที่เราพบเจอสหายหวังถือว่าเป็นตำนาน!”
หวังหลินยิ้มบาง ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธการเชิญชวนอันอบอุ่นนี้ เขายังสนใจขวดหยกหยดม่วงด้วยจึงพยักหน้าไป “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยินดี”
“พี่หวังสุภาพเกินไปแล้ว” จากนั้นปรมาจารย์ยี่เฉินจากไปพร้อมกับอีกสองคน
ป๋ายเว่ยไม่เคยชินกับเรื่องทั้งหมดนี้ ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาจึงไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับเซียนระดับนี้ แม้เขาจะเป็นศิษย์ของเทียนหยุนก็ตาม
ไม่นานนักเหล่าคนรับใช้ก็มาหาและจัดที่พักให้อีกสองคน ที่นี่มีห้องว่างมากมาย หลังป๋ายเว่ยจากไปแล้วฉวี่ลี่กั๋วก็ติดตามไปอย่างไม่รู้ตัว แต่หลังจากหวังหลินส่งสายตาเยียบเย็นไปให้ มันจึงติดตามหวังหลินอย่างเชื่อฟังคำสั่ง
ห้องที่หวังหลินเลือกอยู่บนชั้นสอง เป็นห้องที่ค่อนข้างหรูหรา โต๊ะและเก้าอี้ไม้สีม่วง ตู้ไม้ใส่ของสีแดงและมีภาพวาดแขวนบนผนังทำให้จิตใจสงบ
ตะเกียงสีเหลืองตกแต่งเป็นเงาสลักรูปมังกร เมื่อแสงส่องผ่านเงารูปมังกรนั้นมันส่องสว่างอ่อนๆกระจายไปทุกมุมห้อง
ห้องนี้ไม่ได้ใหญ่แต่หวังหลินพึงพอใจยิ่ง ฉวี่ลี่กั๋วลอยตัวกลางอากาศและมองไปรอบๆ จิตใจเต็มไปด้วยความผิดหวังและสงสัยว่าที่นี่มันดีอะไร เจ้าปิศาจร้ายนี่ไม่เข้าใจการเพลิดเพลินกับตัวเองเสียจริงๆ หากมันขึ้นอยู่กับเขา คงหาสถานที่ที่มีสาวๆจำนวนมาก โอ้ นั่นมันจะสบายแค่ไหนกันเชียว
หวังหลินนั่งอยู่เงียบๆในห้อง ดวงตาปิดลงครึ่งนึงคล้ายกำลังมองหน้าต่าง แต่ความจริงกำลังคิดเรื่องท่าทางของป๋ายเว่ย
“ป๋ายเว่ยมาหาข้าเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่…เขาคงไม่ได้ให้ข้ามาที่นี่เสียเปล่า ทั้งยังมีรอยประหลาดนั่นบนร่างเขาด้วย…” หวังหลินขบคิด เขารู้สึกมาตลอดว่าป๋ายเว่ยอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา
‘ทุกอย่างที่เขาพูดระหว่างทางล้วนไร้จุดสำคัญ…เขาต้องการจะพูดอะไรกับข้ากัน…’ หวังหลินขมวดคิ้วพลางนึกถึงเรื่องทุกอย่างที่ป๋ายเว่ยพูด จากนั้นดวงตาหรี่แคบ
‘เป็นไปได้ว่าสิ่งที่ป๋ายเว่ยต้องการพูดนั้นแฝงอยู่ในเรื่องที่ไม่มีจุดหมายนั่น…หากเป็นเช่นนั้นจริงๆเขาต้องเผชิญกับความยากบางอย่างที่ทำให้ไม่กล้าพูดกับข้าตรงๆ เขาไม่ได้กลัวข้าแน่นอนแต่…อาจารย์?’ หวังหลินรู้สึกเหมือนจะคว้าเบาะแสบางอย่างได้แต่ไม่มั่นใจ
‘บางทีอาจจะมีกฏเกณฑ์ที่ป้องกันไม่ให้เขาบอกข้า…จึงได้แต่ใบ้ให้เท่านั้น…’ หวังหลินขบคิดถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของป๋ายเว่ยตอนที่เขาถามเรื่องระดับบ่มเพาะ
ทั้งยังตอนที่หวังหลินสังเกตเห็นอักขระประหลาดที่เกิดขึ้นตอนที่พลังงานหยินเคลื่อนอยู่ในตัวป๋ายเว่ยด้วย
‘ป๋ายเว่ยอยากจะพูดอะไรกันแน่…’ หวังหลินขบคิดชั่วขณะก่อนจะมองไปที่ประตู วินาทีต่อมาเสียงของปรมาจารย์ยี่เฉินก็ดังลอดผ่านมา
“พี่หวัง ผลไม้และอาหารได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว เรามาสนทนาเต๋าตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดกันดีไหม?”