Skip to content

Scumbag System 1

ตัวร้ายอย่างข้าจะหนีเอาตัวรอดยังไงดี

人渣反派自救系统

บทที่ 1

เศษสวะ

‘เทพมารอหังการ’ เป็นนิยาย YY* แนวฮาเร็มเรื่องหนึ่ง

(นิยาย YY ย่อมาจากคำว่า 意淫 ‘Yiyin’ หมายถึงนิยายที่เต็มไปด้วยฉากเซ็กส์โลดโผน)

พูดอย่างเป็นรูปธรรมหน่อย ‘เทพมารอหังการ’ เป็นนิยายขายฟินแนวผู้ฝึกวิชาเซียนปราบภูตผีปีศาจที่ยาวสุดๆ พระเอกมีดัชนีทองคำ*เก่งจนผิดมนุษย์มนา มีสาวในฮาเร็มจำนวนหลักร้อย ตัวละครสาวๆทั้งเรื่องพากันหลงรักตัวเอกชนิดหัวปักหัวปำ

(ดัชนีทองคำ หมายถึง ตัวช่วยสารพัด เช่น อาจารย์เก่งกาจที่คอยช่วยเหลือ ทักษาพิเศษ สกิลเป็นอมตะ และอาวุธวิเศษของพระเอก)

ไม่มีนิยายแนวฮาเร็มเรื่องไหนในปีนี้จะร้อนแรงเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว!

ลั่วปิงเหอซึ่งเป็นตัวเอกในนิยายมิได้มาแนวหลงอ้าวเทียน*หรือแนวเศษฟืนแต่อย่างใด แต่กระนั้นก็ยังฮิตในหมู่นักอ่านบนเน็ตชนิดยอดวิวเป็นล้านๆ จนก่อให้เกิดกระแสการเขียนนิยายแนว YY เลียนแบบนับไม่ถ้วน

(หลงอ้าวเทียน ใช้เสียดสีนิยายที่ตัวเอกเก่งกาจ เอาชนะอุปสรรคได้ง่ายๆ มีที่มาจากนิยายจีนเรื่อง ราชันย์อหังการ ส่วนแนวเศษฟืน คือตัวเอกไม่ฉลาด ปราศจากพรสวรรค์ ไม่มีความถนัดด้านใดเป็นพิเศษ แต่กลับเคราะห์ดีประสบเหตุเกื้อหนุนหรือพบเจอของวิเศษ ชะตาชีวิตจึงพลิกผันประสบความสำเร็จ)

แต่ลั่วปิงเหอมาสายดาร์ก

ก่อนลงเอยด้วยการเป็นพระเอกสายดาร์ก ชีวิตลั่วปิงเหอประสบชะตากรรมอันรันทดมาก่อน

ข้างล่างนี้ก็ให้เสิ่นหยวนนักอ่านผู้รู้ลึกรู้จริงของนิยายเรื่องนี้ตัดเนื้อหาส่วนที่เป็นฉากแฟนเซอร์วิสออก แล้วสรุปเนื้อเรื่องที่ยาวเป็นล้านตัวอักษรออกมาเป็นเรื่องย่อสั้นๆ ดังนี้

‘ลั่วปิงเหอพอถือกำเนิดก็ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง เขาถูกห่อด้วยผ้าขาว วางในถังไม้แล้วปล่อยให้ลอยไปตามน้ำ

วันที่เหน็บหนาวที่สุดของฤดูเหมันต์ ชาวประมงคนหนึ่งเก็บเขาขึ้นมาได้จากแม่น้ำ เขาจึงไม่แข็งตายก่อนวันอันควร ด้วยเหตุที่เขาลอยมาตามแม่น้ำลั่ว อีกทั้งเป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำลั่วจับตัวเป็นฝ้าน้ำแข็ง*บางๆ เขาจึงได้ชื่อนี้มา

(冰 ปิง แปลว่า น้ำแข็ง 河 เหอ แปลว่า แม่น้ำ)

วัยเด็กเขาเร่ร่อนอยู่ข้างถนน กินไม่อิ่ม สวมใส่ไม่อุ่น มีวัยเด็กที่แสนจะรันทด ต่อมาหญิงซักผ้าของตระกูลเศรษฐีเห็นว่าเด็กคนนี้น่าสงสาร ทั้งตัวนางเองก็ไม่มีลูก จึงเก็บเขาไปเลี้ยงราวกับเป็นลูกแท้ๆของตัวเอง สองแม่ลูกยากจนข้นแค้น ต้องอาศัยบ้านเศรษฐีคุ้มกะลาหัวและถูกกลั่นแกล้งรังแกสารพัด

สภาพวัยเด็กที่ต้องอยู่อย่างกระเสือกกระสนเป็นปมสำคัญที่ส่งผลให้ลั่วปิงเหอเมื่อเปลี่ยนเข้าสู่ด้านมืดจึงมีนิสัยบิดเบี้ยว ชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ นิดหน่อยเป็นต้องเอาคืน ปากสนทนายิ้มแย้ม แต่ในใจคิดสังหารไปแล้วพันตลบ

เพื่อโจ๊กเนื้อเย็นชืดหนึ่งถ้วย เขายอมทนรับการทุบตีของเหล่าคุณชายน้อยในบ้าน แต่สุดท้ายก็ยังสายไปก้าวหนึ่งอยู่ดี ไม่ทันเอาโจ๊กไปให้แม่บุญธรรมได้ชิมสักคำก่อนที่จะลาโลกไป

ต่อมาด้วยโชคชะตาฟ้าลิขิต ลั่วปิงเหอจับพลัดจับผลูได้รับเลือกให้เข้าสำนักชางฉยงซาน อันเป็นหนึ่งในสี่สำนักผู้ฝึกวิชาเซียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพ และเข้าเป็นศิษย์ในสังกัดเสิ่นชิงชิวเจ้าของฉายากระบี่ซิวหย่า(ธำรงไว้ซึ่งความสง่างาม)

ลั่วปิงเหอยังหลงเข้าใจว่าจากนี้ไปชีวิตของเขาจะเข้ารูปเข้ารอยได้เสียที แต่นึกไม่ถึงว่าเสิ่นชิงชิวกลับเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก ต่ำช้าอย่างถึงที่สุด เสิ่นชิงชิวอิจฉาพรสวรรค์อันไร้เทียมทานของลั่วปิงเหอ ในใจนึกกริ่นเกรงลูกศิษย์ที่นับวันวิชาฝีมือมีแต่จะก้าวหน้ารวดเร็วปานก้าวกระโดด จึงคอยหาโอกาสเหยียงย่ำทุกที่ เย้ยหยันทุกทาง กระทั่งศิษย์ร่วมสำนักก็พากันดูถูกเขา

ฝึกวิชาอยู่หลายปี กล้ำกลืนความอัปยศถึงที่สุด นับเป็นชะตาชีวิตที่แสนจะโศกเศร้าเคล้าน้ำตาอีกเรื่องหนึ่ง

ลั่วปิงเหอฝ่าฟันหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามอย่างยากลำบากจนกระทั่งถึงวัย 17 ในที่สุดก็มาถึงงานชุมนุมนี่เองที่ลั่วปิงเหอถูกเสิ่นชิงชิวลอบทำร้าย จนตกลงไปในรอยต่อระหว่างภพมารกับภพมนุษย์ – ห้วงอเวจี

และนี่คือจุดเริ่มต้นอย่างแท้จริงของเรื่อง

ลั่วปิงเหอไม่เพียงไม่ตาย กลับได้พบสุดยอดกระบี่วิเศา ‘ซินหมัว’(จิตมาร) ของตนในห้วงอเวจี และได้รับรู้ชาติกำเนิดของตัวเอง

ว่าที่แท้ลั่วปิงเหอเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชาภพมารกับหญิงมนุษย์ สายโลหิตของมนุษย์และสายโลหิตอันเก่าแก่ของมารบรรพกาลที่ตกจากสวรรค์จึงไหลเวียนอยู่ในภายของเขา ‘เทียนหลางจวิน’ พ่อแท้ๆของเขาถูกสะกดไว้ใต้ภูเขาสูง ไม่อาจหลุดออกมาได้ชั่วชีวิต ส่วนแม่แท้ๆนั้นเป็นศิษย์ของสำนักผู้ฝึกวิชาเซียนระดับแถวหน้า เนื่องจากนางลักลอบมีความสัมพันธ์กับเผ่ามารจึงถูกขับออกจากสำนัก หลังคลอดลั่วปิงเหอก็เสียชีวิตเพราะตกเลือด ก่อนสิ้นใจนางปล่อยบุตรชายแรกเกิดของตนเองลงจากเรือน้อย นี่เองจึงทำให้ลั่วปิงเหอมีโอกาสรอดชีวิตมาได้

ลั่วปิงเหอใช้กระบี่ซินหมัวปลดผนึกโลหิตมารบนร่างของตน ทุ่มเทฝึกฝนอยู่ในห้วงอันมืดมิดจนบรรลุวิชาชั้นสูงอย่างยากพบพาน ก่อนหวนคืนสู่สำนักชางฉยงซานอีกครั้ง

จากตรงนี้เอง ที่จิตใจของลั่วปิงเหอค่อยๆเปลี่ยนเข้าสู่ด้านมืดโดยไม่เหลียวหลังนับแต่นั้น

ศัตรูในวันวานไม่มีแม้สักรายที่ไม่จบชีวิตด้วยน้ำมือเขาอย่างสยดสยอง ต้องรับทัณฑ์ทรมานอย่างแสนสาหัส ลั่วปิงเหอใช้กลอุบายและวิธีตบตาสารพัดรูปแบบที่นับวันก็ยิ่งชำนาญ ไม่ว่าจะตีสองหน้า ตลบตะแลง ลอบแทงข้างหลัง ค่อยๆหลอกผู้คนให้ตายใจ จากนั้นก็ยึดอำนาจแล้วก้าวขึ้นเป็นผู้นำ ก่อมรสุมโลหิตจนกลายเป็นคลื่นยักษ์ที่ถาโถมขึ้นฟ้า เรื่องราวดำเนินไปโดยที่ด้านมืดของลั่วปิงเหอรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขากลับไปสืบทอดตำแหน่งราชาแห่งภพมาร แค่นั้นยังไม่หนำใจ เขาเริ่มเข่นฆ่าสังหารผู้คนของสำนักผู้ฝึกวิถีพรตวิชาเซียนใหญ่ๆทั้งหลายในภพมนุษย์ ใครก็ตามที่ต่อต้านเขา เป็นต้องถูกกำจัดชนิดถอนรากถอนโคน

สุดท้ายลั่วปิงเหอเทพมารแห่งยุกในตำนาน ผู้รวบรวมอาณาจักรสามภพให้เป็นหนึ่ง ก็ได้ครอบครองฮาเร็มที่มีสาวๆเป็นร้อย ให้กำเนิดลูกหลานไม่มีที่สิ้นสุด’

“นักเขียนเฮงซวย! นิยายเฮงซวย!”

นี่คือประโยคสุดท้ายก่อนจะสิ้นลมของเสิ่นหยวน

นึกภาพชายหนุ่มดีๆคนหนึ่ง ที่ยอมเสียเงินค่าสมาชิกวีไอพีเพื่ออ่านนิยายบนเว็บอย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นเชา พอพบว่านิยายที่มุ่งมั่นจะอ่านให้จบก่อนตาย กลับเป็นนิยายแนวฮาเร็มที่หลอกเอาเงินผู้อ่านชนิดอ่านจบแล้วโกรธจนถึงกับขนชี้ชันแทบหายใจไม่ออก แล้วจะไม่ให้เขาด่าได้อย่างไร

ผู้เขียน ‘เทพมารอหังการ’ คือ เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี* (ชักว่าวขึ้นสวรรค์)

(เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี เป็นคำสแลงหมายถึง “ช่วยตัวเอง” ของผู้ชาย)

แค่เห็นชื่อไอดีนี้ ก็เหมือนมีรังสีแห่งความลามกกระแทกใส่หน้าแล้ว วิธีการเขียนยังกับนักเรียนประถม พล็อตป่วยๆเต็มไปหมด

เสิ่นหยวนรู้สึกละอายด้วยซ้ำที่จัดให้นิยายซึ่งเขียนมั่วซั่ว โครงเรื่องขี้หมูขี้หมาของนักเขียนพรรค์นี้ให้อยู่ในนิยายแนวผู้ฝึกวิชาเซียน

คุณเคยเห็นผู้ฝึกวิชาเซียนที่ขี่ม้า นั่งรถม้ามันทั้งวันไหม เคยเห็นผู้ฝึกวิชาเซียนที่ฝึกถึงขั้นปี้กู่*แล้วยังต้องกินต้องนอนอีกไหม คุณเคยเห็นนักเขียนคนไหนบ้างที่บางครั้งแม้แต่จู้จีกับหยวนอิงซึ่งเป็นระดับฌานก็ยังเอามาสลับกันมั่วไปหมด

(ปี้กู่ คือ สภาวะที่ไม่ต้องกินอาหาร ร่างกายก็อยู่ได้ คล้ายๆกับอิ่มทิพย์)

เวลาอยู่ต่อหน้าตัวเอก ไอคิวของตัวละครทุกตัวในเรื่องราวกลับถูกรัศมีของไอ้เวรตะไลนี่เขมือบหายไปหมด โดยเฉพาะเจ้าอาจารย์ของลั่วปิงเหอ ‘เสิ่นชิงชิว’ ผู้นั้น เรียกได้ว่าปัญญาอ่อนขั้นหนัก เป็นหลี่เทียนอี* ในหมู่เดนคน ความหมายในการคงอยู่ของตัวละครตัวนี้ก็เพื่อรนหาที่ตายโดยแท้ เพียงแต่รนหาที่ตายเองไม่สำเร็จ กลับถูกพระเอกจับฆ่าทิ้งเสียก่อน

(หลี่เทียนอีเป็นลูกชายนักร้องดัง หนึ่งในคนร้ายก่อคดีรุมโทรมหญิงปี 2013)

แล้วทำไมเสิ่นหยวนจะต้องอ่านนิยายแบบนี้ แถมยังอ่านจนจบด้วยล่ะนี่

อย่าเข้าใจผิดนะ เสิ่นหยวนไม่ใช่พวกชอบหาทุกข์ใส่ตัว และที่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาแสนจะเจ็บใจเป็นที่สุด

นิยายเรื่องนี้ผูกเงื่อนปมไว้นับไม่ถ้วน ขุดหลุมทิ้งๆขว้างๆมันทั่วทั้งเรื่อง ทุกอย่างล้วนเป็นปริศนายุ่งเหยิงอีรุงตุงนังไปหมด แต่สุดท้ายก็หาอะไรมาคลี่คลายไม่ได้สักอย่าง!

ล่อเสียคนอ่านกระอักเลือดสาดกระจายเต็มท้องฟ้าเลย

ทำไมพวกหญ้ามหัศจรรย์หายาก โอสถวิเศษ และสาวงามถึงหาได้เกลื่อนกลาดจนดูไม่มีค่า ทำไมท่าทางและบทพูดของพวกตัวโกง ไม่ว่าจะตอนรนหาที่ตายเองหรือตอนถูกกำจัดจนถึงแกความตายถึงได้เป็นสูตรสำเร็จตายตัวเหมือนๆกันหมด

น้องๆหนูๆคนสวยที่บอกว่าจะรับเข้าฮาเร็มตกลงแล้วไปอยู่ไหนกัน เอ่อ ข้ามตรงนี้ไปก่อนก็ได้ แล้วไอ้มือสังหารที่ก่อคดีสยองไปหลายคดีนั่น ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่! ไหนจะตัวละครที่มีชื่อเสียง บอกว่าเก่งกาจเหลือเกินเหล่านั้นสุดท้ายแล้วเอ่ยถึงทำไมไม่ทราบ เพราะอะไรจวบจนท้ายเรื่องแล้วก็ไม่เห็นโผล่ออกมาสักคน

พี่เซี่ยงเทีย พี่เฟยจี พี่ๆ เรามาคุยกันหน่อยได้ไหม กลบ! หลุม! หน่อย! เถอะ!

เสิ่นหยวนรู้สึกโกรธเสียจนฟื้นคืนชีพขึ้นมาเลยทีเดียว

ในความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด เสียงคอมพิวเตอร์สังเคราะห์ดังขึ้นที่ข้างหูเขา

[รหัสเปิดการใช้งาน ‘นักเขียนเฮงซวย นิยายเฮงซวย’ ได้กระตุ้นให้ระบบทำงานโดยอัตโนมัติ]

“ท่านคือผู้ใด”* วิธีการออกเสียงเหมือนเว็บแปลภาษาของกูเกิลเลย

(ประโยค “ท่านคือผู้ใด” เป็นสำนวนภาษาแบบโบราณ ที่เสิ่นหยวนพูดออกไปแบบนี้ เพราะเป็นหฏิกิริยาหลังจากเจอเสียงสังเคราะห์ของระบบ ด้วยประโยคนี้เป็นประโยคสนทนาที่มักปรากฏในเกมจีน เพื่อเป็นการแสดงบุคลิกของเสิ่นหยวนว่าเป็นคอเกม)

เสิ่นหยวนมองไปรอบๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในที่ว่างคล้ายโฮโลแกรม มืดสนิทชนิดมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ส่วนเสียงนั้นดังมาจากทุกทิศทาง

[ขอต้อนรับเข้าสู่ระบบ ระบบนี้พัฒนาขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่า you-can-you-up, no can-no-BB* เราหวังว่าจะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ท่าน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าระหว่างการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ท่านจะได้รับผลสำเร็จตามที่ต้องการ สามารถปรับปรุงแก้ไขนิยายเฮงซวยให้เป็นไปตามที่ท่านปรารถนา จนกลายเป็นวรรณกรรมชั้นสูง คลาสสิคมีระดับ หวังว่าท่านจะได้รับความเพลิดเพลินอย่างเต็มที่]

(you-can-you-up, no can-no-BB เป็นภาษาอังกฤษสไตล์จีน หมายถึง คุณทำได้คุณลงมือ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดมาก)

ท่ามกลางความวิงเวียน เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างหู “…ศิษย์น้อง? ศิษย์น้องได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่”

เสิ่นหยวนพลันรู้สึกตัว ตั้งสติและพยายามฝืนเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งอย่างยากลำบาก ภาพที่อยู่เบื้องหน้าเหมือนดอกไม้ใบไม้นับหมื่นปลิวคว้าง ผ่านไปสักพักจึงค่อยๆซ้อนทับรวมเป็นหนึ่ง ปรากฏเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้น

เขานอนอยู่บนเตียงหลังหนึ่ง

มองขึ้นไป เห็นม่านผ้าโปร่งสีขาวยาว เพดานเตียงทั้งสี่มุมนั้นแขวนถุงหอมงามประณีต

มองลงไป เห็นตัวเองสวมชุดขาวแบบโบราณ พัดกระดาษเล่มหนึ่งวางพิงอยู่ข้างหมอน

มองทางซ้าย ชายหนุ่มในชุดดำแบบเสวียนตวน* ผู้หนึ่งหน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่งนั่งอยู่ข้างเตียง กำลังมองมาด้วยสีหน้ากังวล

(ชุดเสวียนตวน เป็นชุดแบบโบราณใช้ในงานพิธีการสำหรับบุรุษ ประกอบด้วยเสื้อคลุมตัวนอกสีดำยาวถึงเข่า ผ้าคาดเอวมีแถบว่าสองแถบห้อยอยู่ด้านหน้า และกระโปรงสีตามลำดับชนชั้น ปัจจุบันยังมีการนำมาใช้ในโอกาสต่างๆ รวมถึงงานแต่งงาน)

เสิ่นหยวนหลับตา ยื่นมือพรวดไปหยิบพัดด้ามจิ้ว* เล่มนั้นแล้วคลี่ออกโบกเบาๆ เพื่อไล่เหงื่อเย็นชื้นบนศีรษะออกไป

(พัดด้ามจิ้ว คือ พัดจีบที่คลี่และหุบได้)

ในดวงตาของชายหนุ่มมีแววปิติยินดีวาบขึ้น ก่อนถามเสียงนุ่ม “ศิษย์น้องนับว่าฟื้นเสียที บนร่างมีตรงไหนไม่สบายหรือไม่”

เสิ่นหยวนตอบอย่างระมัดระวัง “ไม่มีปัญหา”

คำพูดนี้มีปริมาณข้อมูลแฝงอยู่ค่อนข้างมาก เขาพยายามลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังมึนงง อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็ยื่นมือมาช่วยพยุงหลังให้เขานั่งพิงกับหัวเตียง

นิยายแนวเกิดใหญ่ทะลุมิติของเว็บจงเตี่ยน* นี่เขาอ่านมามาก เสิ่นหยวนเคยคิดเอาไว้นานแล้วว่าหากวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาแล้วพบตนเองนอนอยู่ในสถานที่ผิดไปจากปกติ ก่อนที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ได้อย่างแจ่มชัด จะได้ไม่ต้องยิ้มบื้ออย่างดีใจ แล้วพูดจาเหมือนคนปัญญาอ่อนที่แสวงหาความรู้สึกปลอดภัยอย่าง ‘กำลังถ่ายละครทีวีกันอยู่หรือครับ ฉากสมจริงมากเลย ทีมงานของพวกคุณเจ๋งมาก!’

(เว็บจงเตี่ย{จุดสิ้นสุด} เป็นการตั้งชื่อล้อเลียนเว็บนิยายจีนชื่อดังที่ชื่อฉีเตี่ยน{จุดเริ่มต้น})

เขาเพียงแสร้งทำหน้าตามึนๆ แบบคนเพิ่งฟื้น “ข้า…ที่นี่คือที่ไหน”

ชายหนุ่มตกตะลึง ถามว่า “เจ้านอนจนเลอะเลือนไปแล้วหรือไร ที่นี่ก็คือยอดเขาชิงจิ้งเฟิง(สงบบริสุทธิ์) ของเจ้าอย่างไรเล่า”

เสิ่นหยวนแอบตื่นตระหนก อยากเป็นลมต่อ “ข้า…เหตุใดข้าถึงสลบไปนานขนาดนี้”

ชายหนุ่มกล่าวว่า “ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย อยู่ดีๆ ไฉนจึงมีไข้สูงได้ ข้ารู้งานชุมนุมเซียนครั้งใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าสอนลูกศิษย์ด้วยความร้อนใจ อยากให้ประสบความสำเร็จ แต่ด้วยรากฐานและชื่อเสียงของสำนักชางฉยงซานเรายามนี้ ต่อให้ครั้งนี้มิได้ส่งคนเข้าร่วม ก็ไม่น่ามีผู้ใดกล้าซักไซ้หรอก ไยต้องสนใจชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้นด้วย”

เสิ่นหยวนยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ

คำพูดพวกนี้ทำไมฟังคุ้นๆวะ ไม่ซิ พล็อตนี้ทำไมถึงฟังคุ้นๆจังวะ

ต่อมาชายหนุ่มผู้นั้นได้กล่าวประโยคหนึ่งด้วยท่าทางจริงจังและจริงใจซึ่งคลายข้อสงสัยของเขาในที่สุด “ศิษย์น้องชิงชิว เจ้ากำลังฟังศิษย์พี่พูดอยู่หรือไม่”

เวลานี้เองก็มีเสียง ‘ติ๊ง’ ดังขึ้น เสียงคอมพิวเตอร์สังเคราะห์ที่ไร้อารมณ์ประหนึ่งเสียงของเว็บแปลกูเกิลก็ดังขึ้นอีกครั้งเหมือนเมื่อตอนที่เขาคิดว่าตกอยู่ในห้วงฝัน

[ระบบเปิดใช้งานสำเร็จ!]

[บทตัวละครที่ลงทะเบียนผูกติด : เสิ่นชิงชิว อาจารย์ของลั่วปิงเหอ เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงแห่งสำนักชางฉยงซาน]

[อาวุธ : กระบี่ซิวหย่า]

[ค่า B* ตั้งต้น : 100]

(B ในที่นี้มาจากคำว่า Bige ออกเสียงว่า ปีเก๋อ หมายถึง ระดับความสามารถในการทำเนียน หรือ เต๊ะท่า)

“เฮ้ยๆๆ คุณเป็นตัวอะไรเนี่ย ทำไมเหมือนพูดในหัวผมโดยตรงเลย ขโมยพล็อต ‘เทพมารอหังการ’ แบบนี้ เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีเขารู้รึเปล่านี่”

แน่นวนว่าเสิ่นหยวนไม่ได้พูดออกไปจริงๆ แต่เสียงนั้นตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า

[ท่านได้กระตุ้นให้ระบบดำเนินงานตามคำสั่ง ระบบได้ผูกท่านไว้กับแอคเคาน์ ‘เสิ่นชิงชิว’ แล้ว]

[เมื่อเรื่องราวดำเนินไป จะมีการเปิดค่าคะแนนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โปรดดูให้แน่ใจว่าทุกๆค่าคะแนนจะต้องมีไม่ต่ำกว่า 0 ไม่เช่นนั้นจะมีการลงโทษจากระบบโดยอัตโนมัติ]

หยุดเลย พอได้ละ เสิ่นหยวนแน่ใจแล้วว่า เขาถูกหวยโป๊ะเช๊ะ ได้มาเกิดใหม่แล้ว!

มาเกิดใหม่ในนิยายฮาเร็มสายดาร์กที่เขาเพิ่งอ่านจบและสุดจะเกลียด แถมยังมีระบบบ้าๆนี่ติดมาด้วย ในฐานะนักอ่าน VIP เก่าแก่ของเว็บจงเตี่ยนจากศตวรรษที่ 21 ตะลุยอ่านนิยาย YY แบบทะลุมิติไปเกิดใหม่และแบบยืมร่างคืนชีพในรูปแบบต่างๆมาก็มาก

เดิมทีเสิ่นหยวนก็น่าจะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้อย่างรวดเร็วและยินดี แต่แย่ตรงที่ร่างซึ่งเขายืมมานี้ดันเป็นเสิ่นชิงชิว ผู้ร้ายเศษสวะที่เป็นอาจารย์ของพระเอก นี่มัน…เอ่อ สถานการณ์ออกจะซับซ้อนไปหน่อยแล้ว

พี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ท่าทางจะคุยด้วยง่ายคนนี้ก็คือเยวี่ยชิงหยวน เจ้าสำนักชางฉยงซานคนปัจจุบัน ศิษย์พี่ของเสิ่นชิงชิว ฉายากระบี่เสวียนซู่(สารทฤดูอันเหน็บหนาว”

เวรละ!

ที่เสิ่นหยวนร้อง ‘เวรละ!’ ใส่เยวี่ยชิงหยวนโดยเฉพาะ ก็เพราะมีสาเหตุหลักๆคือ ในนิยายต้นฉบับ เยวี่ยชิงหยวนจะถึงแก่ความตายก็เพราะเสิ่นชิงชิวศิษย์น้องตัวดีของเขาน่ะซิ

ตายชนิดอเนจอนาถเสียด้วย

หมื่นศรเสียบทะลุร่างแม้กระทั่งศพก็ไม่เหลือ

แต่ในเวลานี้ผู้เป็นเหยื่อกำลังนั่งประจันหน้ากับ ‘ผู้ประทุษร้าย’ อย่างเขาคนนี้ แถมยังนั่งถามไถ่อย่างเป็นห่วง ช่างกดดันสุดๆ

แต่ตอนนี้ดูท่าว่าเนื้อเรื่องยังคงไม่คืบหน้าไปถึงขั้นนั้น เยวี่ยชิงหยวนยังอยู่ดี เป็นที่แน่ชัดว่าเวลานี้เปลือกแห่งความเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมของเสิ่นชิงชิวยังไม่ถูกปอกออก ชื่อเสียงยังไม่เหม็นโฉ่

เยวี่ยชิงหยวนนั้นเป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง ไม่มีอะไรน่ากลัว ถึงจะน่าอึดอัดไปหน่อย ตอนเสิ่นหยวนอ่านนิยายเรื่องนี้ก็ชอบตัวละคนนี้ไม่น้อยทีเดียว

ขณะที่เขากำลังนึกวางใจขึ้นมาเล็กน้อย ข้อความแถวหนึ่งก็เรียงรายกันผุดขึ้นมาในหัวอย่างแปลกประหลาด

[ในห้องมืดสลัว โซ่เหล็กเส้นหนึ่งห้อยลงมาจากขื่อ ปลายโซ่มีห่วงกลมอันหนึ่งห้อยอยู่ ห่วงนี้รัดเอวคนผู้หนึ่งไว้ หากนั่นยังพอจะนับได้ว่าเป็น ‘คน’ อยู่ คนผู้นี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาสกปรกมอมแมมเหมือนคนเสียสติ ที่น่ากลัวที่สุดคือแขนขาทั้งสี่ของเขาถูกตัดขาดออกจากตัวจนหมด หัวไหล่กับต้นขามีเพียงท่อนเนื้อด้วนๆสี่ท่อน พอแตะถูกผู้นั้นก็จะร้อง อา…อา…ด้วยเสียงแหบแห้ง ลิ้นของเขาถูกตัดออกไปด้วย ดังนั้นเขาจึงพูดเป็นคำไม่ได้]

คัดจากบท จุดจบของเสิ่นชิงชิว ใน ‘เทพมารอหังการ’

เสิ่นหยวน ไม่ซิ เสิ่นชิงชิวก้มหน้า เอามือกุมหน้าผาก

เขามีคุณสมบัติไปปลงอนิจจังกับการตายอย่างอนาถของคนอื่นเสียที่ไหนกัน ในเมื่อคนที่ตายอย่างอนาถที่สุดน่ะ มันเขาต่างหาก

ห้ามทำพลาดเด็ดขาด

ต้องรับตัดไฟแต่ต้นลม ก่อนจะเกิดข้อผิดพลาด \/

จากนี้ไปต้องเกาะแข้งเกาะขาพระเอกให้แน่นสุดๆ \/

จะต้องทำตัวเป็นครูที่ดีและมิตรแท้ที่คอยสั่งสอนด้วยความห่วงใย จริงใจ อบอุ่นอ่อนโยน ดูแลเอาใจใส่ทุกเรื่องราว \/

เพิ่งจะเกิดความคิดเท่านั้น ในสมองของเสิ่นหยวนก็พลันมีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังสนั่นหวั่นไหวราวกับมีรถตำรวจสักร้อยคันกำลังขนสัตว์เป็นร้อยๆ ที่ร้องกันระงมวิ่งหวือผ่านไป เสียงนี้ดังแสบแก้วหูจนเขาสั่นไปทั้งตัว ต้องเอามือกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด

เยวี่ยชิงหยวนถามด้วยความเป็นห่วง “ศิษย์น้อง เจ้ายังปวดศีรษะอยู่หรือ”

เสิ่นชิงชิวกัดฟันกรอด ไม่อาจพูดตอบ ระบบร้องเตือนเสียงโหยหวน

[ขอเตือน แผนการของท่านเมื่อครู่อันตรายมาก ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎ โปรดอย่าได้คิดลอง หาไม่แล้วระบบจะลงโทษท่านโดยอัตโนมัติ]

“ละเมิดกฎตรงไหน”

[ตอนนี้ท่านอยู่ในขั้นเริ่มต้น ฟังก์ชั่น OOC ถูกล็อค หลังจากกระทำภารกิจเริ่มต้นสำเร็จจึงจะสามารถปลดล็อคได้ ก่อนจะปลดล็อค พฤติกรรมใดๆ ที่ละเมิดความเป็น ‘เสิ่นชิงชิว’ ฉบับดั้งเดิมตามที่เขียนไว้ในนิยาย จะต้องถูกหักค่า B ไปจำนวนหนึ่ง]

ในฐานะที่เป็นกึ่งๆโอตาคุ เมื่อก่อนเสิ่นชิงชิวย่อมเคยอ่านพวกโดจินหรือแฟนฟิคมาบ้าง ก็นะ เขารู้หรอกน่าว่า OOC หมายถึงอะไร

OOC ย่อมาจาก out of character ความหมายก็ตรงตามตัวอักษร คือ การฉีกคาแรคเตอร์ของตัวละครที่ไม่เป็นไปตามบทประพันธ์ดั้งเดิม

“หมายความว่า ก่อนจะปลดล็อกฟังก์ชั่นอะไรนั่นได้ การกระทำทั้งหมดของผมจะไม่สามารถออกนอกกรอบที่ ‘เสิ่นชิงชิว’ จะทำใช่ไหม”

[ท่านเข้าใจถูกต้อง]

อุตส่าห์ส่งเขามาเกิดใหม่ในร่างของเสิ่นชิงชิวแล้ว ยังต้องสนเรื่องหยุมหยิมอย่าง OOC อีกหรือเนี่ย

เสิ่นชิงชิวถามต่อ “เมื่อกี้คุณบอกว่า ค่าคะแนน…อะไรนั่นต้องไม่ต่ำกว่า 0 หากต่ำกว่า 0 จะเกิดอะไรขึ้น”

[ท่านจะถูกส่งกลับไปยังโลกเดิมของท่านโดยอัตโนมัติ]

โลกเดิมหรือ…แต่ว่าที่โลกเดิมตอนนี้ร่างของเสิ่นหยวนตายแล้วนี่นา

สรุปก็คือหากค่า B อะไรนั่นถูกหัวไม่เหลือ สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือความตาย…

ถ้าอย่างนั้นหากเขาไม่ดูดำดูดีพระเอก ไม่ทำอะไรเลยก็ได้ใช่ไหม

เขาเงยหน้าขึ้น กวาดตามองไปรอบๆ ในบรรดาศิษย์ที่ยืนรอปรนนิบัติรับใช้อยู่ด้านข้างไม่มีใครมีลักษณะเหมือนลั่วปิงเหอตามที่บรรยายไว้ในนิยายเลย เขาแกล้งทำเป็นถามลอยๆว่า “ลั่วปิงเหออยู่ที่ใดหรือ”

เยวี่ยชิงหยวนชะงัก มองเขาอย่างแปลกใจ

เสิ่นชิงชิวทำหน้านิ่ง แต่แอบดีใจไม่หยุด หรือว่าเวลาไม่ถูกต้อง พระเอกยังไม่ได้เข้ามาเป็นศิษย์สำนักชางฉยงซาน?

เยวี่ยชิงหยวนตอบว่า “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าโมโหไปเลย”

เสิ่นชิงชิวสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที

เยวี่ยชิงหยวนถอนใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบเขา แต่เด็กคนนั้นก็พยายามเต็มที่แล้ว ทั้งยังไม่ได้ก่อความผิดพลาดใหญ่หลวงอะไร เจ้าก็อย่าลงโทษเขาอีกเลย”

เสิ่นชิงชิวได้ฟังแล้วปากคอแห้ง เขาเลียริมฝีปาก “ท่านบอกมาเลยเถอะ เขาอยู่ที่ใด”

เยวี่ยชิงหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง ตอบว่า “หลังจากเจ้าจับเขาแขวนโบยปกติแล้วมิใช่ส่งเขาไปห้องเก็บฟืนหรอกหรือ”

เสิ่นชิงชิวหน้ามืด

ชาติที่แล้วเสิ่นหยวนเกิดในครอบครัวผู้มีอันจะกิจ จะมากจะน้อยก็นับเป็นเศรษฐีรุ่นสอง*คนหนึ่ง เขามีพี่ชายสองคนที่วันหน้าจะต้องสืบทอดกิจการของครอบครัว และน้องสาวอีกหนึ่งคนที่เขาแสนจะรักเอ็นดู คนในครอบครัวรักผูกพันกันแน่นแฟ้น

(เศรษฐีรุ่นสอง หมายถึง เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่ฐานะร่ำรวยขึ้นมาหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้งเสี่ยวผิง)

เสิ่นหยวนทราบดีมานานแล้วว่า ต่อให้นั่งกินนอนกินไปทั้งชีวิตก็ไม่มีทางอดตาย บางทีคงเป็นเพราะแต่เล็กจนโตเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สุขสบาย ไม่มีความกดกันที่ต้องแข่งขันกับผู้อื่น จึงคิดมาแต่ไหนแต่ไรว่า หกามีการแข่งขันกันเกินสิบคนขึ้นไป แล้วติดเพียงหนึ่งในสิบก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

ด้วยเหตุนี้เขาเลยไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเสิ่นชิงชิวผู้ร้ายเศษสวะของเรื่องถึงต้องรนหาที่ตายขนาดนี้ด้วย

เสิ่นชิงชิวในนิยายนั้น พลังฝึกปรือก็มี ความสามารถและประสบการณ์ก็พรั่งพร้อม ความภูมิฐานสง่างามอันเกิดจากการเก็กจนติดเป็นนิสายก็ไม่ขาด ฐานะชื่อเสียงไม่บกพร่อง มีผู้หนุนหลังเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า เงินทองไม่เคยขาดมือ แต่ทำไมกลิ่นอายแห่งความเป็นผู้บำเพ็ญพรตบำเพ็ญเซียนถึงไม่เข้ากระดูกสักนิด ทำตัวเยี่ยงพวกอนุขี้หึงสมัยก่อนที่อยู่ในบ้านว่างๆไม่มีอะไรทำก็หาเรื่องทะเลาะกันอย่างไรอย่างนั้น เสิ่นชิงชิวคนนี้ วันทั้งวันดีแต่หาเรื่องรังแกพระเอกที่เป็นชนชั้นล่าง ในหัวมีแต่แผนการร้ายต่อพระเอก ทั้งยังคอยสั่งให้คนทุบตีพระเอกอยู่เนืองๆ

ต่อให้ลั่วปิงเหอเป็นผู้มีพรสวรรค์เหนือใคร สติปัญญาล้ำเลิศ เป็นผู้มีดัชนีทองคำคนหนึ่ง…ก็ไม่ต้องอิจฉาริษยาเขาถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง

แต่จะโทษเสิ่นชิงชิวก็ไม่ได้หรอก ต้องโทษคนแต่งต่างหาก ในนิยายพวกตัวโกงเลวๆพรรค์นี้มีให้เกลื่อนเหมือนฝูงปลาตะเพียนแหวกว่ายในน้ำ เพียงแต่เสิ่นชิงชิวแค่ถูกเขียนมาให้ต่ำช้ำเป็นพิเศษเท่านั้น

แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ บอสตัวใหญ่สุดในนิยายเรื่องนี้ดันเป็นพระเอกเสียด้วย แสงหิ่งห้อยจะบังอาจไปแข่งกับแสงเดือนแสงตะวันได้อย่างไรกัน

ผู้คนในโลกของผู้ฝึกวิถีพรตวิถีเซียนเรียกเขาอย่างยกย่องว่า ‘กระบี่ซิวหย่า’ บุคลิกหน้าตาของเขาจึงนับว่าไม่เลวนัก

อย่างเช่นตอนนี้ เสิ่นชิงชิวเหลียวซ้ายแลขวาอยู่หน้ากระจกทองเหลืองซึ่งขุ่นมัวยังกับโจ๊ก ทว่าหน้าตาเขาก็ยังนับว่าน่าพอใจอยู่

คนผู้นี้หน้าตาคมสัน คิ้วคมเข้ม ดวงตาดำขลับ ริมฝีปากบางเฉียบ จมูกโด่ง บุคลิกท่าทางแบบบัณฑิต รูปร่างยังสูงโปร่ง แข้งขายาว จะอย่างไรก็นับได้ว่าเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่ง แม้อายุที่แท้จริงจะไม่รู้ชัด แต่นี่คือนิยายแนวผู้ฝึกวิชาเซียน เสิ่นชิงชิวมีพลังฝึกปรือระดับจินตานขั้นกลาง จึงสามารถคงหน้าตาให้อ่อนเยาว์ได้เป็นอย่างดี หล่อกว่าที่เขานึกภาพไว้ตอนอ่านนิยายไม่รู้กี่เท่า

แม้จะเทียบกับลั่วปิงเหอไม่ได้เลยก็ตาม

พอนึกถึงลั่วปิงเหอ เสิ่นชิงชิวก็ปวดกะโหลกอย่างแรงขึ้นมาทันที เขาอยากไปดูลั่วปิงเหอที่ตอนนี้ถูกขังในห้องเก็บฟืน แต่พอเดินได้เพียงหนึ่งก้าว สมองก็มีเสียงปี๊ดแสบแก้วหูร้องเตือนว่า

[โปรดระวัง โปรดระวัง OOC! ‘เสิ่นชิงชิว’ ไม่มีทางเป็นฝ่ายไปเยี่ยมลั่วปิงเหอเด็ดขาด]

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างผิดหวังระคนโกรธ ‘ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นผมส่งคนไปเรียกเขามาแทนละกัน’

เขาคิดแล้วก็ตะโกนขึ้นว่า “หมิงฟาน!”

เด็กหนุ่มรูปร่างสูงผอม อายุประมาณ 15-16 เดินเข้าประตูมาทันที ก่อนกล่าวว่า “ศิษย์อยู่นี่แล้ว อาจารย์มีคำสั่งใดขอรับ”

เสิ่นชิงชิวอดมองอีกฝ่ายให้เต็มตาอีกทีไม่ได้ หน้าตาถือว่าใช้ได้ทีเดียว เพียงแต่ออกจะปากแหลมแก้มตอบไปหน่อย ชวนให้เขาจะปากในใจด้วยความเสียดาย หน้าตาสมกับเป็นลิ่วล้อพลีชีพจริงๆ

ในนิยายนี่ก็คือศิษย์คนโตของเสิ่นชิงชิว เป็นศิษย์พี่ของลั่วปิงเหอนามว่าหมิงฟาน

นี่คือลิ่วล้อพลีชีพในตำนานที่ต่ำตมที่สุด

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ปล่อยให้ลั่วปิงเหอถูกขังอยู่ข้างนอกบ่อยๆในยามวิกาล จงใจให้ตำราฝึกบำเพ็ญฌานเบื้องต้นแก่เขาผิดเล่ม เรื่องพวกนี้หมิงฟานล้วนมีส่วนร่วมและออกอุบายไม่ใช่น้อย ไม่ว่ายามใดหากเสิ่นชิงชิวนึกอยากทรมานลั่วปิงเหอขึ้นมา ผู้ช่วยที่แข็งขันและพร้อมจะตอบสนองที่สุดก็คือคนผู้นี้นี่เอง

พอนึกถึงว่าจุดจบของคนๆนี้ในนิยายดั้งเดิมก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าไร ในฐานะคนหัวอกเดียวกัน เสิ่นชิงชิวจึงอดไม่ได้ที่จะมองเด็กคนนี้อย่างสงสาร “ไปเอาตัวปิงเหอมา”

หมิงฟานนึกประหลาดใจ เมื่อก่อนเวลาอาจารย์เรียกลั่วปิงเหอ จะเรียกว่าเจ้าเดรัจฉานน้อยบ้างล่ะ มารผจญบ้างล่ะ เจ้านั่นบ้างล่ะ เด็กเหลือขอบ้างล่ะ จะเรียกชื่อเต็มๆเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แล้วไฉนจู่ๆ ถึงเรียกเสียสนิทสนมเช่นนี้เล่า

แต่คำสั่งของอาจารย์ หมิงฟานย่อมไม่กล้าถามมาก รีบจ้ำไปยังห้องเก็บฟืนแล้วถีบประตูทันที

“ออามา! ซือจุน* เรียกเจ้า!”

(ซือจุน แปลว่า อาจารย์ที่เคารพ)

เสิ่นชิงชิวเดินกลับไปกลับมาในห้อง สมองก็ทำการศึกษาระบบเป็นการใหญ่

[ค่า B คือค่าความสามารถในการวางท่าตีเนียน ค่า B ยิ่งสูง หมายถึงยิ่งมีระดับ มีรสนิยมสูงส่ง]

ถ้าอย่างนั้นควรอัพค่า B อย่างไรล่ะ

[1.เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องที่เขียนอย่างปัญญาอ่อน อัพเกรดไอคิวของตัวโกงและพวกตัวประกอบ]

[2.หลีกเลี่ยงพล็อตห่วยๆ บทป่วยๆ]

[3.คอยรักษาค่าความฟินของพระเอกเอาไว้]

[4.แก้ไขปริศนาและพล็อตเรื่องที่ยังไม่คลี่คลาย]

เสิ่นชิงชิววิเคราะห์อย่างละเอียด

สรุปแล้วเขาไม่เพียงต้องช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้เจ้าเสิ่นชิงชิวตัวออริจินอลที่เที่ยวไปก่อนศัตรูหนี้แค้นไว้เป็นกระบุงโกย ซ้ำยังต้องคอยระวังไม่ให้ตัวละครอื่นๆทำเสียเรื่องด้วย

เพียงเอาตัวเองให้รอดจะได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย ยังต้องคอยดูแลให้ดัชนีทองคำ ภาพลักษณ์ รวมทั้งจำนวนสาวๆของพระเอกไม่ให้ลดน้อยลงไปอีก

หลุมสวรรค์ที่เป็นปริศนาคาใจทั้งหลายเหล่านั้น นักเขียนยังไม่ได้กลบให้เรียบร้อยเลย เขากลับต้องเป็นคนแบกพลั่วมากลบต่อให้เรียบอีก

เฮ้อ…

ไอ้คุณเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีเคยกล่าวไว้ เป้าหมายของนิยายเรื่อง ‘เทพมารอหังการ’ ชัดเจนมาก ทุกๆตัวอักษรที่เขียนก็เพื่อเป้าหมายนี้ นั่นก็คือ ‘ความฟิน’

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พระเอกเริ่มเข้าสู่ด้านมืดและมาพร้อมกับดัชนีทองคำสารพัด แล้วแสร้งทำตัวใสซื่อเป็นหมูเพื่อกินเสือ ยิ่งตอนที่กลับมาทรมานพวกสารเลวทั้งหลายยิ่งฟินสุดๆ ดังนั้นมันเลยฮิตมาก ยิ่งเขียนยิ่งยาว ยาวกว่าผ้าพันเท้าเสียอีก

เสิ่นชิงชิวคิด แค่ภารกิจต้องจำพล็อตเรื่องหลักๆให้ได้ แรงกดดันนี้ก็ใหญ่หลวงแล้ว พล็อตอุบาทว์ๆไร้รสนิยมก็มีอยู่เกลื่อนเรื่อง แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามีปัญญาหลบหลีกได้หมด!

เสิ่นชิงชิวถามระบบ “แล้วพล็อตแบบไหนถึงจะเรียกว่าไม่ปัญญาอ่อน”

[ไม่มีมาตรฐานที่ตายตัว อยู่ที่ความรู้สึกของผู้อ่านแต่ละคนเป็นหลักว่าชอบไม่ชอบ]

“งั้นตกลงต้องสะสมคะแนนให้ถึงเท่าไหร่ ถึงจะเริ่มทำภารกิจขั้นต้นได้”

[ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดจะมีการแจ้งจากระบบเอง]

ตรรกะที่ว่า ปัญหาซึ่งต่างกัน ย่อมมีหลักการวิเคราะห์ที่แตกต่างกันนี้ ใช้ได้ครอบจักรวาลเหมือนยาหม่องตราเสือจริงๆ เสิ่นชิงชิวหัวเราะฝืด

ครั้นได้ยินเสียงเคาะประตู เขาก็หันหน้ามาเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งค่อยๆเดินเข้ามาในห้อง

แม้เดินกระย่องกระแย่ง แต่เขายังคงพยายามฝืนตัวตรง ส่งเสียงเรียกอย่างนอบน้อมว่า “ซือจุน”

ปากของเสิ่นชิงชิวที่กำลังยิ้มค้างอยู่สามส่วนพลันแข็งทื่อทันที

ตูตายแน่!

ทุบตีทำร้ายโฉมหน้าพระเอกผู้ได้ชื่อว่าเป็น แมรี่ ซู* เพศชาย ที่ในอนาคตจะเป็นที่คลั่งไคล้ของยายแก่อายุแปดสิบยันทารกแบเบาะเสียจนมีสภาพเช่นนี้ ตูตายสถานเดียวแน่นอน! แต่ต่อให้ใบหน้าถูกทารุณมาอย่างเต็มที่จนฟกช้ำดำเขียวไปหมด พระเอกก็ยังสมกับเป็นพระเอก!

(แมรี่ ซู Mary Sue ใช้เปรียบตัวละครที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบและเพอร์เฟคในทุกๆด้านจนรู้สึกเหลือเชื่อและไร้เหตุผล อนึ่ง แมรี่ ซู นั้นเดิมเป็นตัวละครจากแฟนฟิคชั่นเรื่อง Star Trek)

ดวงตาคู่นั้นของลั่วปิงเหอยังคงสุกใสราวกับดวงดารา เป็นหนุ่มน้อยวัยละอ่อนผิวใสเนียนที่มีเค้าว่าจะหล่อมากคนหนึ่ง

สีหน้าเด็ดเดี่ยวทว่านอบน้อม ให้ความรู้สึกถึงความสูงส่ง บริสุทธิ์และไม่ย่อท้อต่ออะไรทั้งสิ้น

รูปร่างและลำตัวเหยียดตรงแสดงถึงความทระนงองอาจซึ่งไม่อาจคลอนแคลน

สารพัดคำเปรียบเปรย อุปมา อุปลักษณ์ และพรรณนาโวหารพรั่งพรูในใจเสิ่นชิงชิวจนเจียนหลุดปากออกมา

ยังดีที่ยั้งม้าไว้ที่หน้าผาได้ทัน เขากู่ร้องในใจว่า เกือบไปแล้วไหมล่ะ รัศมีของพระเอกช่างทรงพลังจริงๆ เกือบไปแล้ว…

พอเห็นลั่วปิงเหอเดินกะโผลกกระเผลกเข้ามา ทั้งยังพยายามจะคุกเข่า เสิ่นชิงชิวก็มุมปากกระตุก คิดในใจว่า ข้าน้อยรับการคารวะของท่านไม่ได้หรอกขอรับ วันนี้ท่านคารวะข้าน้อย วันหน้ากระดูกสะบ้าข้าน้อยคงได้ถูกท่านควักออกมาแน่ จึงรับห้ามไว้ทันควัน “ไม่ต้องแล้ว”

เขาโบกมือ โยนขวดเล็กๆออกไปใบหนึ่ง “นี่ยา” สุดท้ายยังใช้น้ำเสียงกระแทกแดกกันกล่าวกว่า “อย่าให้ผู้อื่นเห็นแล้วคิดว่าชิงจิ้งเฟิงของข้าทารุณศิษย์”

เสิ่นชิงชิวเข้าถึงบทบาทอย่างรวดเร็ว เขาทำขวัญกล้ามอบยาให้ด้วยท่าทางที่ดูชั่วร้ายหน่อยๆ ซึ่งถือว่ายังคงคาแรคเตอร์เดิมในนิยายของเสิ่นชิงชิว ทั้งยังคงความเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมที่กล้าทำชั่ว ทว่าก็หวาดเกรงผู้อื่นจะล่วงรู้เช่นกัน

จริงดังคาด ระบบไม่ได้ส่งสัญญาณเตือน OOC ออกมา เสิ่นชิงชิวจึงระบายลมหายใจอย่างโล่งอก

ลั่วปิงเหอเดิมทีเข้าใจว่าที่ซือจุนเรียกตนมาเพราะหมายจะ ‘สั่งสอน’ ต่อ ไม่นึกจริงๆว่ากลับเป็นเพราะต้องการมอบยาให้ จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ ไม่นานจากนั้นก็ยื่นสองมือไปรับขวดยามาอย่างนอบน้อม กล่าวสำนึกบุญคุณอย่างจริงใจ “ศิษย์ขอบพระคุณซือจุนที่ประทานยาให้ขอรับ

ใบหน้าของลั่วปิงเหอในตอนนี้ยังดูเด็กอยู่เลย รอยยิ้มอบอุ่นจริงใจเหมือนแสงตะวันยามเช้า เสิ่นชิงชิวจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น

นิสัยใจคอของพระเอกคนนี้ก่อนจะเข้าสู้ด้านมืดนั้น ถือเป็นเด็กหนุ่มที่ดีคนหนึ่ง ดีใจกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ เป็นคนประเภทที่หากท่านให้อะไรเขาหนึ่งส่วน เขาจะตอบแทนกลับมาสิบส่วน จะบอกว่าเป็นลูกแกะน้อยก็หาได้เกินความจริงแต่อย่างใดไม่

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างดีใจว่า “ต่อไปศิษย์จะทุ่มเทฝึกฝนเป็นสองเท่าจะไม่ทำให้ซือจุนต้องผิดหวังแน่ขอรับ”

เอ่อ ไม่ใช่ หากนายทุ่มเทฝึกฝนเป็นสองเท่าซิ อาจารย์คนเก่าของนายคงต้องผิดหวังจริงๆ…

หากเสิ่นชิงชิวไม่เคยอ่านนิยาย ‘เทพมารอหังการ’ มาก่อน แล้วมาเห็นฉากนี้เข้าจะต้องโศกเศร้าด้วยความสงสารลั่วปิงเหอจนน้ำตาไหลพรากแน่นอน

ทว่าด้วยมุมมองของพระเจ้าทำให้เขารับรู้ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดจิตใจของลั่วปิงเหอมาตั้งแต่ต้นจนกลายมาเป็นพระเอกสายดาร์ก จาการสรุปของเขา ยิ่งตอนนี้ลั่วปิงเหอน่าสงสารมากเท่าไร สักวันในอนาคตตอนที่เหยียบหัวทุกคนได้แล้ว ก็จะยิ่งหัวเราะด้วยความสะใจมากขึ้นเท่านั้น ภายนอกใบหน้ายิ้มแย้มราวกับสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วในใจคิดเพียงว่าจะทำเช่นไรถึงจะถลกหนัง กระชากเอ็น เฉือนกระดูก จับศัตรูตากแห้งได้

[ลั่วปิงเหอกล่าวยิ้มๆ ความอัปยศที่ศิษย์ได้รับในวันวาน วันนี้ตั้งใจมาตอบแทนเป็นร้อยเท่าโดยเฉพาะ คนที่ทำให้แขนขาข้าบาดเจ็บ ข้าจะตัดแขนขามัน แล้วป่นกระดูกให้เป็นผุยผง]

จากคำโปรยบทที่ 2 ของ ‘เทพมารอหังการ’

แล้วเขาก็จับเสิ่นชิงชิวหั่นเป็นดุ้นไปจริงๆ

เสิ่นชิงชิวนั่งลงไปบนเก้าอี้ไม้จันทร์แดง เลือกใช้น้ำเสียงที่ฟังแล้วไม่เป็นกันเองเกินไปเอ่ยขึ้นว่า “ปิงเหอ วิชาบำเพ็ญฌานเบื้องต้นฝึกถึงขั้นไหนแล้ว”

เสียงที่เรียก ‘ปิงเหอ’ นั้น ฟังสยองเสียจนตัวเองยังขนลุกซู่ ส่วนลั่วปิงเหอก็เห็นได้ชัดว่าสั่นไปทั้งตัว แต่เขายังคงเผยรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นถึงความเก้อกระดากอยู่บ้าง “ศิษย์โง่เขลา ยังคงจับแก่นที่เป็นหัวใจสำคัญไม่ได้ขอรับ”

 

นั่นปะไร ผลของการเอาเคล็ดวิชาบำเพ็ญฌานเบื้องต้นของปลอมให้เขาฝึกก็แบบนี้แหละ ดีที่เขาเป็นพระเอกหนังหนาทรหด ไม่ธาตุไฟเข้าแทรกไปเสียก่อน หากจับแก่นที่เป็นหัวใจสำคัญขึ้นมาได้จริงๆ ก็มหัศจรรย์แล้ว

เสิ่นชิงชิวกล่าวในใจ ไอ้น้อง นายมาอยู่กับฉัน ให้เหวยซือ* สอนวิชาบำเพ็ญฌานเบื้องต้นที่ถูกต้องให้ละกัน

(เหวยซือ เป็นคำเรียกตัวเองของผู้เป็นอาจารย์ แปลว่า ตัวข้าผู้เป็นอาจารย์)

เสียงเตือนที่ราวกับภูตผีปีศาจดังรัวไม่หยุด เสิ่นชิงชิวกล่าวกับระบบ “ผมแค่คิดเอง รู้น่าว่านี่เป็นการละเมิดกฎ”

จากนั้นเขาก็กล่าวพล่ามไปเรื่อย “ครั้งนี้เหวยซือลงโทษเจ้าเพราะเป็นห่วง อย่างไรเสียเวลาก็ไม่คอยท่า นึกๆขึ้นมาแล้ว เจ้าเข้าสังกัดมาก็พักใหญ่ ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”

ลั่วปิงเหอตอบอย่างว่าง่าย “ศิษย์อายุ 14 ขอรับ”

โอย 14 เอง

นั่นหมายความว่าเวลานี้ศิษย์อาจารย์ลั่วปิงเหอเสิ่นชิงชิวได้ผ่านเหตุการณ์ลงโทษให้คุกเข่าหน้าประตูทางขึ้นเขา เหตุการณ์ที่โดนเหล่าศิษย์สังกัดชิงจิ้งเฟิงรุมทุบตี เหตุการณ์ ‘กระด้างกระเดื่อง’ ต่ออาจารย์จนถูกแขวนแล้วโบย เหตุการณ์ทำอาวุธวิเศษพังจึงถูกลงโทษให้ทำงานเยี่ยงทาส ฯลฯ สารพัดผลงานอันยิ่งใหญ่ในอดีต [โบกมือบ๊ายบาย]

เสิ่นชิงชิงเอามือกุมหน้าผาก โบกมือไล่เขา “…ข้าต้องการความสงบ”

เสิ่นชิงชิวเป็นคนที่ปรับตัวเก่งคนหนึ่ง

ในเมื่อย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ใน ‘เทพมารอหังการ’ อีกทั้งตัวเขาที่โลกเดิมยังม่องเท่งไปแล้ว ก็คิดเอาเสียว่าที่นี่เป็นบ้านไปเลยดีกว่า

ในเมื่อเข้ามาอยู่ในโลกของผู้ฝึกวิถีพรตวิชาเซียนแล้ว มิหนำซ้ำยังได้วิทยายุทธ์กับวิชากระบี่ที่นับว่าไม่เลวมาแบบฟรีๆ ทั้งยังอยู่ในสำนักดังฝ่ายธรรมะ อยากเสนอหน้าเมื่อไรก็ทำได้เมื่อนั้น อยากหดหัวก็อยู่เสียแต่ในชิงจิ้งเฟิงของสำนักชางฉยงซาน ไม่ต้องถามไถ่เรื่องราวในใต้หล้าก็นับว่าไม่เลวอยู่หรอก

เพียงแต่อาจหาแฟนยากอยู่สักหน่อย

นิยาย YY สายฮาเร็มพวกนี้ หญิงสาวที่มีหน้าตาไม่ถึงกับขี้ริ้วขี้เหร่ แน่นอนว่าเดี๋ยวก็ต้องกลายเป็นสมบัติในคลังของพระเอกต่อไป เรื่องนี้ใครๆก็รู้ทั้งนั้น

แต่ความต้องการของเสิ่นชิงชิวไม่สูงนัก เมื่อมาอยู่ทางนี้เขาขอแค่กินๆนอนๆรอวันตาย ได้พักผ่อนอย่างสุขสบายในบั้นปลายชีวิตก็พอใจแล้ว ถึงอย่างไรชีวิตในชาตินี้ก็คงไม่ต่างกับชีวิตในชาติที่แล้วของเขานักหรอก

ทว่าตราบใดที่ยังมีลั่วปิงเหออยู่ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเสนอหน้าแล้ว ตราบเท่าที่เขายังรั้งอยู่ในดินแดนที่ผู้เขียนท่านนี้สร้างขึ้น ต่อให้ปลีกวิเวกหนีไปยังเมืองลับแล พอลั่วปิงเหอเรืองอำนาจเมื่อไร ก็มีปัญญาจับตัวเขามาหั่นเป็นดุ้นอยู่ดี

ไม่ใช่เขาไม่คิดเรื่องเกาะแข้งเกาะขาพระเอก แต่ใครใช้ให้ไอ้พระเอกคนนี้มันดาร์กเยี่ยงนั้นล่ะ แถมมาแนวมีแค้นต้องเอาคืนเป็นพันเท่าด้วยนี่ซิ

หลังจากก่นด่าโคตรเหง้าไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีตามกิจวัตรประจำวันแล้ว เสิ่นชิงชิวก็กำหนดเป้าหมายอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ ก่อนอื่นต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเอาไว้ เจรจาซักถามระบบให้มาก ขยันอัพเกรดผลงาน เพิ่มค่า B ปลดล็อค OOC ให้เร็วที่สุด หากเห็นท่าไม่ดีก็ต้องรีบหาทางแก้

บรรพตชางฉยงซานมีสิบสองยอดเขา มองดูเหมือนกระบี่ขนาดยักษ์สิบสองเล่มตั้งตระหง่านชี้ขึ้นฟ้าประหนึ่งจะเสียดแทงทะลุเมฆา สูงชัน อันตราย

ยอดเขาชิงจิ้งเฟิงซึ่งเป็นฐานที่มั่นของเสิ่นชิงชิวนั้นไม่ใช่ยอดที่สูงที่สุด ทว่าเงียบสงบที่สุด เขียวชอุ่มลออตาด้วยต้นไผ่ กอปรกับศิษย์ของเสิ่นชิงชิวทุกคนล้วนต้องศึกษาวิชาอย่างพวกศิลปะทั้งสี่* อะไรเทือกนั้น

(ศิลปะทั้งสี่ ได้แก่ ดีดฉิน หมากล้อม เขียนต้องอักษรและวาดภาพ)

จึงมักมีเสียงอ่านตำราเจื้อยแจ้ว เสียงดีดฉินลอยแผ่วๆมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราว นับเป็นสถานที่ชั้นยอดสำหรับผู้เยาว์ที่ศึกษาศาสตร์ศิลป์ของยุกโบราณอย่างแท้จริง ช่างเหมาะเจาะกับความต้องการของตัวละครจอมสร้างภาพอย่างเสิ่นชิงชิวในนิยายฉบับดั้งเดิมเอามากๆ

ศิษย์สองสามรายที่เจอระหว่างทางทักทายเสิ่นชิงชิวอย่างนอบน้อม เขาพยายามรักษามาดของตัวจริงให้เนียนที่สุด สีหน้าเย็นชา ผงกหัวน้อยๆ เอามือไพล่หลังเดินตรงไปข้างหน้า นับว่าพอถูไถเอาตัวรอดไปได้ เพียงนึกปวดหัวว่าหลังจากนี้จะไปจับคู่ชื่อตัวละครในนิยายกับหน้าคนที่โฉบผ่านไปผ่านมาเหล่านี้อย่างไรดี

ทว่านี่ไม่ใช่ภาระเร่งด่วนที่สุดที่เสิ่นชิงชิวต้องจัดการ สำคัญที่สุดคือการปกป้องชีวิตตัวเอง ดังนั้นจึงจำต้องฟื้นฟูวิทยายุทธ์กับวิชากระบี่ที่เป็นของตัวออริจินอลให้กลับคืนมาเสียก่อน

หากจำไม่ผิด ก่อนที่บุคลิกและจิตใจของลั่วปิงเหอจะเข้าสู่ด้านมืด สำนักชางฉยงซานจะประสบกับเหตุการณ์ใหญ่อยู่สองสามครั้ง เผ่ามารมาก่อกวนเอย งานชุมนุมเซียนครั้งใหญ่เอย ล้วนเป็นเรื่องที่เขาต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตราบใดที่เขาอยู่ในร่างนี้ หากไม่มีพลังฝึกปรือติดกาย อย่าว่าแต่จะดำเนินเรื่องเลย ไม่ต้องให้ถึงมือพระเอกหรอก แค่ปีศาจเล็กปีศาจน้อยใดก็สามารถเล่นงานเขาถึงตายได้ทั้งนั้น

เสิ่นชิงชิวเดินลึกเข้าไปในป่าตามลำพัง พอแน่ใจว่าไม่มีคนจึงปลดกระบี่ที่แขวนเอว มือซ้ายถือฝักกระบี่ มือขวากุมด้ามกระบี่ ค่อยๆชักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ

กระบี่ซิวหย่าเป็นกระบี่คู่กายมาแต่ครั้งเสิ่นชิงชิวเริ่มสร้างชื่อเมื่ออายุยังน้อย ถือได้ว่ามีชื่อเสียงโดดเด่น รังสีกระบี่ขาวพร่างพิสุทธิ์แต่ไม่บาดตาเป็นอาวุธชั้นหนึ่งโดยแท้ ยามที่ถ่ายทอดปราณทิพย์ของตัวเองเข้าสู่กระบี่ ตัวกระบี่จะเรืองแสงจางๆ

เสิ่นชิงชิวกำลังคิดว่าหากอยากถ่ายทอดปราณทิพย์เข้าสู่กระบี่ต้องทำเช่นไร ก็พลันเห็นกระบี่ในมือเรืองประกายวาบขึ้น

ดูท่าเขาจะได้รับสืบทอดพลังฝึกปรือและวิทยายุทธ์จากเจ้าของเดิมติดมาด้วย ไม่ต้องทบทวนความจำให้ลำบากก็กระจ่างในทุกเรื่องแล้วอย่างปรุโปร่ง เสิ่นชิงชิวอยากทดสอบพลังดูว่าเป็นอย่างไร เลยวาดกระบี่ออกไป

ใครเล่าจะรู้ว่าวาดกระบี่ออกไปทีเดียวกลับทำเอาหัวใจแทบวาย รังสีกระบี่เปล่งประกายสว่างวาบราวกับมีสายฟ้าพุ่งออกจากมือ เจิดจ้าเสียจนเขาต้องหลับตาเพื่อปกป้องดวงตาตัวเอง พอลืมตาขึ้นอีกที ก็เห็นพื้นดินตรงหน้าแยกออกเป็นรอยกรีดลึกสายหนึ่งเหมือนถูกฟ้าผ่า

“เชี่ย!…”

เสิ่นชิงชิวทำหน้านิ่ง ทว่าความฟินในใจทะลุปรอทไปแล้ว

ทรงพลังอหังการที่สุด! สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ระดับเจ้ายอดเขา มีพลังฝึกปรือติดกายแบบนี้หากมุมานะฝึกฝนอีกสักยี่สิบปี ไม่แน่ว่าวันหนึ่งถึงคราวจวนตัว ต้องเผชิญกับลั่วปิงเหอที่มีดัชนีทองคำ ก็อาจหนีเอาตัวรอดได้

นั่นซินะ ขอเพียงหนีเอาตัวรอดได้ก็พอแล้ว!

เขาคิดจะซ้อมมือต่อ แต่ได้ยินเสียงเหยียบใบไม้เบาๆดังขึ้นเสียก่อน

ความจริงเสียงนี้อยู่ไกลมาก แต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาตอนนี้เฉียบคม จะไม่ให้รู้ตัวเลยนั้นคงเป็นเรื่องยาก เสิ่นชิงชิวมองดูรอยแยกลึกบนพื้นดิน แล้วสอดกระบี่คืนลงฝัก ก่อนจะเร้นกายเข้าไปในป่าที่รกทึบมากขึ้น

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ คนที่มาได้มีแค่คนเดียวจริงดังคาด หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ที่ปรากฏขึ้นก่อนคือใบหน้าซึ่งเหมือนมีแสงรัศมีอาบไล้ของลั่วปิงเหอ ส่วนเสียงที่ดังมาก่อนตัวนั้นกลับเป็นเสียงสดใสนุ่มนวลของสาวน้อยคนหนึ่ง

“อาลั่ว อาลั่ว เจ้าดูซ ที่พื้นตรงนี้มีรอยแยกใหญ่เบ้อเริ่มเลย”

ได้ยินวิธีการเรียกชื่อเช่นนี้ พาให้เสิ่นชิงชิวที่ซ่อนตัวอยู่เกือบเซวูบ

ระบบกล่าวแนะนำ [ศิษย์หญิงคนเล็กสุดของเสิ่นชิงชิว หนิงอิงอิง]

เสิ่นชิงชิว “ที่คุณแนะนำนี่มีประโยชน์รึ ใครบ้างไม่รู้ล่ะว่าคนที่เรียกลั่วปิงเหอแบบนี้ได้ก็มีอยู่คนเดียวนี่แหละ!”

สาวน้อยหน้าตาสะสวยที่เดินตามหลังลั่วปิงเหอในที่สุดก็ปรากฏกาย เธอดูเด็กกว่าลั่วปิงเหอยู่เล็กน้อย ขาวผ่องเป็นยองใย น่ารักน่าเอ็นดู ผูกปลายผมเปียด้วยแถบผ้าสีส้ม เดินก้าวหนึ่งสลับกับกระโดดก้าวหนึ่ง ใสซื่อบริสุทธิ์ ภาพลักษณ์ต้องตามมาตรฐานของศิษย์น้องผู้น่ารักที่นิยายทุกเรื่องต้องมี

และศิษย์น้องผู้นี้ ทำให้เสิ่นชิงชิวเกิดความรู้สึกซับซ้อนอยู่นิดหน่อย

เป็นเพราะว่าเขาเกิดความคิดนอกลู่นอกทางกับหนิงอิงอิง เฮ้ย ไม่ใช่ ต้องบอกว่า เสิ่นชิงชิวตัวจริงในนิยายต่างหากที่เกิดความคิดนอกลู่นอกทางกับหนิงอิงอิง

เสิ่นชิงชิวนั้นถูกเขียนมาให้เป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมที่แฝงไว้ด้วยความชั่วช้า ภายนอกดูเป็นคนจิตใจสะอาด ปราศจากกิเลส ครองตัวบริสุทธิ์ผุดผ่อง รักเกียรติรักศักดิ์ศรี ทว่าภายในกลับชั่วร้าย หน้าด้าน มักมาก ไร้ยางอาย ในฐานะอาจารย์ดันเกิดความคิดไม่สมควรต่อลูกศิษย์น้อยที่หัวอ่อน น่ารัก สดใน ตั้งท่าจะลงมือก็หลายครั้ง เกือบสำเร็จเสียด้วย

บังอาจแตะต้องหญิงสาวของพระเอก ผลลัพธ์จเป็นอย่างไรไม่ต้องจินตนาการก็รู้ได้

ตอนที่อ่านนิยายนั้น เสิ่นชิงชิวยังนึกประหลาดใจ ทำไมลั่วปิงเหอถึงไม่จับมันตอนไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แบบนี้ดูไม่สอดคล้องกับสไตล์อำมหิตของปิงเกอ* เอาเสียเลย ตอนนั้นเขาถึงกับไปเข้าฟอรัมที่มีผู้อ่านกลุ่มใหญ่มาร่วมกันตั้งกระทู้ในหัวข้อ ‘ช่วยจับเสิ่นชิงชิวตอนที ไม่งั้นจะเลิกอ่าน’ เวลานี้นึกขึ้นมาแล้วช่างน่ากลัวสุดๆ ถ้าเสียงเรียกร้องในครั้งนั้นประสบความสำเร็จ เขาคงตัดมือข้างที่กดไลค์ไปตอนนั้นทิ้งเป็นแน่

(เกอ แปลว่า พี่ชาย ปิงเกอ หมายถึง พี่ชายปิง เนื่องจากแฟนนิยายเทพมารอหังการจะเรียกลั่วปิงเหอว่าพี่ชายปิง)

ลั่วปิงเหอมองรอยแยกนั้นแวบหนึ่ง เพียงยิ้มอย่างไม่ค่อยสนใจนัก

หนิงอิงอิงกลับอยากตื้อเขาต่อ เลยพยายามหาเรื่องชวนคุย “อาลั่ว เจ้าว่าเป็นศิษย์พี่คนไหนมาฝึกกระบี่ที่นี่”

ลั่วปิงเหอเอาขวานที่แบกมาเริ่มฟันต้นไม้ พลางตอบว่า “บนยอดชิงจิ้งเฟิง คนที่มีพลังฝึกปรือระดับนี้ เกรงว่าจะมีแต่ซือจุนเท่านั้น”

เขาพูดเพียงประโยคเดียวก็ไม่สนใจนางอีก ก้มหน้าก้มตาเอาขวานตัดฟืนต่อ

ต้นไม้เหล่านี้ไม่ได้เปราะบางเลย ทั้งขวานยังขึ้นสนิมเกือบทั้งเล่ม

ลั่วปิงเหอยามนี้ให้อย่างไรก็อายุเพียง 14 เท่านั้น การตัดฟืนจึงถือได้ว่าเป็นงานหนัก ไม่นานนักเหงื่อก็ออกเต็มหน้า

หนิงอิงอิงนั่งอยู่บนซากต้นไม้แห้งที่ล้มขวาง เอามือเท้าคางมองเขา สักพักก็เบื่อจึงกล่าวชักชวนเสียงออดอ้อน “อาลั่วๆ เจ้าไปเล่นเป็นเพื่อนข้าเถอะ!”

ลั่วปิงเหอกระทั่งเหงื่อยังไม่สนใจจะเช็ด ก้มหน้าก้มตาตัดฟืนต่อไปกล่าวว่า “ไม่ได้ ศิษย์พี่สั่งไว้ ตัดฟืนของวันนี้เสร็จแล้วยังต้องไปตักน้ำต่อ หากข้าตัดฟืนเสร็จเร็ว จะได้มีเวลานั่งฝึกฌานนิดหน่อยก็ยังดี”

หนิงอิงอิงทำปากยื่น “พวกศิษย์พี่แย่จริงๆ ชอบสั่งเจ้าทำนั่นทำนี่ตลอดเลย ข้าว่าพวกเขาต้องจงใจแกล้งเจ้าแน่ๆ เฮอะ กลับไปข้าจะฟ้องซือจุน รับรองว่าพวกเขาไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแน่”

เสิ่นชิงชิวเดิมทีกะจะทำตัวเป็นแค่คนที่บังเอิญเดินผ่านกองถ่ายเทพมารอหังการ เลยแวะยืนชมคู่หวานวัยใสเข้าฉากกันเสียหน่อย แต่พอได้ยินคำพูดนี้เข้าก็หน้าซีดทันควัน

ไม่นะ ไม่ ห้ามเลย ห้ามเอามาฟ้องฉันเด็ดขาด นี่ฉันจะทำยังไงดี OOC ก็ไม่ได้ แล้วจะไปสั่งสอนฝ่ายไหนดีล่ะ!

ลั่วปิงเหอน้อยที่แม้ต้องประสบกับความยากลำบากของโลกมนุษย์อย่างหนักนั้น กลับบังมีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ดุจดอกบัวขาว เขาส่ายหน้ากล่าวห้ามหนิงอิงอิง “ห้ามเด็ดขาดเลยนะ ข้าไม่อยากให้ซือจุนต้องมาลำบากใจกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกศิษย์พี่เขาไม่ได้คิดร้ายอะไรเลย เพียงแต่เห็นข้ายังเด็ก เลยอยากให้ข้าได้มีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์ให้มากหน่อย”

ชั่วเวลานั้นเอง เสิ่นชิงชิวรู้สึกเหมือนได้เห็นรัศมีแผ่ประกายเรืองรองออกมาจากด้านหลังลั่วปิงเหอนับหมื่นเส้น จนถอยหลังไปสามก้าวอย่างอดไม่อยู่ ด้วยไม่อาจมองดูพระเอกที่จิตใจสูงส่ง มีการตระหนักรู้ลึกซึ้งระดับนี้ไหว

ท่ามกลางเสียงคุยจ้อของหนิงอิงอิง ในที่สุดลั่วปิงเหอก็ตัดฟืนได้ปริมาณมากพอ เขาวางขวาน จากนั้นก็หาพื้นที่แห้งสะอาดแล้วนั่งลงหลับตาทำสมาธิ

เสิ่นชิงชิวแอบถอนใจยาวเหยียด

ความจริงแม้ในช่วงชีวิตที่แสนรันทดนี้ ดัชนีทองคำของพระเอกก็ได้เริ่มปรากฏเค้าบ้างแล้ว วิชาบำเพ็ญฌานเบื้องต้นที่หมิงฟานเอาให้เขานั้นเป็นของปลอม หากเป็นผู้อื่นฝึกตามนั้น เป็นได้เตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่แน่ แต่อาศัยว่าลั่วปิงเหอมีพรสวรรค์เลิศล้ำ ซ้ำสายเลือดที่แฝงเร้นอยู่ในกายครึ่งหนึ่งเป็นของเผ่ามาร จึงโชคดีหาหนทางให้ตัวเองได้โดยบังเอิญ…ไม่เป็นเหตุเป็นผลเลยจริงๆ

ระหว่างที่ถอนใจ พลันมีเสียงฝีเท้าสับสนดังขึ้น

เสิ่นชิงชิวได้ยินเข้าก็รู้ทันทีว่าแย่แล้ว เดี๋ยวต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่

หมิงฟานนำศิษย์ชั้นต่ำสองสามคนมา ครั้นเห็นหนิงอิงอิงก็ปรี่จะเข้ามาฉุดมือด้วยความดีใจ “ศิษย์น้องหญิง! เจอตัวเสียที ทำไมเจ้าถึงได้หนีมาถึงนี่โดยไม่บอกไม่กล่าวเล่า หลังเขากว้างใหญ่เช่นนี้ หากเจอสัตว์ร้ายเจองูพิษเข้าจะทำเช่นไร มานี่ดีกว่า ศิษย์พี่มีของน่าสนใจจะให้เจ้าดู”

แน่นอนว่าหมิงฟานย่อมเห็นลั่วปิงเหอที่นั่งสมาธิอยู่อย่างเงียบเชียบ แต่ยังทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ

ลั่วปิงเหอเสียอีกกลับมีมารยาทลืมตาขึ้นกล่าวทักทายศิษย์พี่

หนิงอิงอิงหัวเราะคิก “ข้าไม่กลัวงูพิษหรือว่าสัตว์ร้ายหรอก อีกอย่างมิใช่ยังมีอาลั่วอยู่เป็นเพื่อนข้าหรอกหรือ”

หมิงฟานปรายตามองลั่วปิงเหอ แค่นเสียงทีหนึ่ง

ในหัวหมิงฟานคิดอะไร เสิ่นชิงชิวเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จะต้องเป็นเพราะได้ยินหนิงอิงอิงเรียกลั่วปิงเหออย่างสนิทสนม หมิงฟานเลยยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตาศิษย์น้อยผู้น่าชังคนนี้ขึ้นไปอีก

หนิงอิงอิงถึงอย่างไรก็มีนิสัยแบบเด็กผู้หญิง ไม่รู้จักดูแววตา อ่านบรรยากาศ นางเอียงคอถาม “ศิษย์พี่มีของเล่นอะไรหรือ รีบเอาออกมาให้ข้าดูเร็วเข้า”

หมิงฟานปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม แกะป้ายหยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวยื่นไปตรงหน้าเธอ “ศิษย์น้อง คนที่บ้านมาเยี่ยมข้าคราวนี้เอาข้าวของดี น่าสนใจมาให้ไม่น้อย ข้าเห็นว่าชิ้นนี้สวยเป็นพิเศษ จึงขอมองให้เจ้า!”

หนิงอิงอิงรับมาแล้วยกขึ้นส่องกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องทะลุใบไม้อย่างพิจารณา

หมิงฟานถามอย่างกระตือรือร้น “เป็นอย่างไร ชอบหรือไม่”

แอบดูถึงตรงนี้ ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็นึกเนื้อเรื่องตอนนี้ออก

แย่แล้ว เขาไม่น่ามาอยู่ที่นี่เลย อันตราย!

แต่จะโทษเขาที่จำไม่ได้ก็ไม่ถูกนัก หากลองให้ใครสักคนอ่านนิยายงี่เง่าของนักเขียนงี่เง่าที่ใช้เวลาเขียนสี่ปีดูซิ ใครจะไปจำเนื้อหาช่วงแรกของนิยายที่ในท้องเรื่องกินเวลายาวนาน 200 ปีได้ เขาอ่านอยู่ 20 วันถึงจบบทรันทดช่วงเข้าสำนักใหม่ๆ ที่มีเพื่อกดขี่พระเอกโดยเฉพาะก็ลืมหมดแล้ว!

หนิงอิงอิงดูไม่ออกเลยว่านี่เป็นของดีหรือไม่อย่างไร เธอมองอยู่ครู่หนึ่งแบบขอไปทีก่อนจะโยนคืนกลับไป

หมิงฟานยิ้มค้าง

หนิงอิงอิงย่นจมูก กล่าวตามที่ใจคิดว่า “อะไรกัน สีน่าเกลียดจะตาย ยังสู้ของชิ้นนั้นของอาลั่วไม่ได้เลย”

ครานี้ไม่เพียงหมิงฟานที่สีหน้าไม่สู้ดี กระทั่งลั่วปิงเหอที่สำนักว่าตนเองไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นยังสั่นเบาๆไปทั้งตัว รีบลืมตาขึ้นทันที

หมิงฟานเค้นคำพูดลอดไรฟัน “…ศิษย์น้องก็พกของเช่นนี้หรือ”

ลั่วปิงเหอลังเลเล็กน้อย ยังไม่ทันตอบคำ หนิงอิงอิงก็ชิงกล่าวว่า “เขาย่อมต้องมีอยู่แล้ว ห้อยติดคอตลอดเวลา ของรักของหวงของเขาเลยเชียว ขนาดข้าขอดูยังไม่ยอมให้ดูเลย”

ต่อให้ลั่วปิงเหอสงบเยือกเย็นแค่ไหน ครั้งนี้ยังหน้าเปลี่ยนสี มือกุมจี้หยกรูปเจ้าแม่กวนอิมที่ห้อยคออยู่ใต้เสื้อผ้าแน่นโดยไม่รู้ตัว

ทั้งไอคิดอีคิวไปไหนหมดล่ะเนี่ย สาวน้อย! พระเอกเลยซวยเลย

ยามหนิงอิงอิงกล่าววาจามิได้นึกถึงผลที่ตามมาแม้แต่น้อยว่าจะเป็นอย่างไร เธอก็แค่เห็นว่าลั่วปิงเหอห้อยจี้หยกรูปเจ้าแม่กวนอิมชิ้นนั้นติดตัวไว้ตลอดไม่ยอมให้ห่างกาย สิ่งของสำคัญของชายในดวงใจนั้น เด็กสาวมักอยากได้มาครอบครองเป็นพิเศษ เพราะหากได้มาก็เท่ากับว่าตนมี ‘ตำแหน่งพิเศษในใจ’ ของเขานั่นเอง พอลั่วปิงเหอไม่ยอมให้นางจึงไม่พอใจ ที่พูดขึ้นมาตอนนี้ ครึ่งหนึ่งคือการออดอ้อน อีกครึ่งหนึ่งคือความเอาแต่ใจ

แน่นอนว่าเขาไม่ยอมยกให้อยู่แล้ว นั่นเป็นของที่หญิงซักผ้าผู้เป็นแม่บุญธรรมของลั่วปิงเหอใช้เงินที่เก็บรวบรวมมาค่อยชีวิตอย่างยากลำบากซื้อเครื่องรางปลุกเสกมาให้บุตรชายเชียวนะ เป็นความอบอุ่นเล็กๆเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนลั่วปิงเหอตลอดชีวิตอันมืดมน ต่อไปภายหน้าหลังจากเข้าสู่ด้านมืดแล้ว ในห้วงเวลาร้ายแรงก็ยังช่วยขืนดึงความเป็นมนุษย์ที่หลงเหลือเพียงเล็กน้อยกลับคืนมาได้บ้าง จะเอาให้ผู้อื่นส่งเดชได้อย่างไรกันเล่า!

หมิงฟานทั้งโกรธทั้งอิจฉา ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กล่าวเสียงเหี้ยมเกรียม “ศิษย์น้องลั่วช่างวางท่าดีแท้ ศิษย์น้องหนิงอิงอิงอยากดูหยกพก เจ้ากลับไม่ยอมให้ดู ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป วันหน้าหากเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเข้า คงมิใช่ว่ากระทั่งจะยื่นมือช่วยเหลือ ก็ยังไม่ยอมหรอกนะ!”

ไอ้หนุ่ม! ประโยคแรกกับประโยคหลังของนายมันเป็นเหตุเป็นผลกันตรงไหนนี่

หนิงอิงอิงไม่คาดว่าสถานการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้ก็กระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “เขาไม่อยากก็ช่างเถอะ ศิษย์พี่ท่านห้ามรังแกเขานะ!”

ลั่วปิงเหอในยามนี้จะมีปัญญาไปสู้หมิงฟานได้อย่างไร ยังไม่นับบรรดาศิษย์สุนักรับใช้ที่หมิงฟานพาด้วยอีกหนึ่งโขยงเข้ากลุ้มรุมเขาตามคำสั่ง

เพียงไม่นานหยกชิ้นนั้นก็เปลี่ยนมาอยู่ในมือหมิงฟาน พอฝ่ายนั้นยกขึ้นดูได้ครู่เดียวก็หัวเราะลั่น

หนิงอิงอิงถามอย่างแปลกใจ “ทะ…ท่านหัวเราะอะไร”

หมิงฟานโยนหยกพกชิ้นนั้นใส่มือหนิงอิงอิง กล่าวอย่างลำพองว่า “ข้าหลงนึกว่าเป็นของมีค่าหายากอะไร ถึงปกป้องหวงแหนเช่นนี้ ศิษย์น้องหญิง เจ้าเดาว่าเป็นอะไรเล่า ก็แค่หอยตะวันตก* น่ะซิ ฮ่าๆๆๆๆ…”

(หอยตะวันตก เป็นคำสแลงของคำว่า สินค้าปลอม ภาษาจีนคือ ซีเป้ยฮั่ว)

หนิงอิงอิงถามด้วยความงุนงง “หอยตะวันตกคืออะไรหรือ”

มือของลั่วปิงเหอค่อยๆกำแน่น กระบอกตามีน้ำเอ่อท้น เขากล่าวทีละคำ “คืนให้ข้า”

นิ้วของเสิ่นชิงชิวงอเข้าแล้วคลายออกอยู่สองสามรอบโดยไม่รู้ตัว

อันที่จริงเขาเองก็รู้ว่าจี้กวนอิมนั่นเป็นหยกปลอม ทั้งยังเป็นหนึ่งในประเด็นที่ลั่วปิงเหอเจ็บแค้นที่สุดในชีวิต

ในเวลานั้นหญิงซักผ้าต้องใช้ชีวิตอย่างกระเบียดกระเสียร ทว่าด้วยรู้ไม่เท่าทันเลยถูกหลอกให้ซื้อหยกปลอมมาในราคาสูง สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจเป็นที่สุด นับจากนั้นมาสุขภาพก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นความเจ็บปวดที่ลั่วปิงเหอไม่อาจคลี่คลายได้ตลอดชีวิต มีเพียงประเด็นนี้เท่านั้นที่ลั่วปิงเหอมักอดกลั้นไม่อยู่

ในฐานะผู้สังเกตการณ์ เสิ่นชิงชิวอยากเข้าไปอัดหมิงฟานสักตั้ง แล้วชิงหยกพกคืนให้ลั่วปิงเหอเสียจริง หากเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าหมิงฟาน คงไม่หาทางไปล่วงเกินลั่วปิงเหออย่างถึงที่สุด วันหน้าอาจยังสามารถรักษาชีวิตน้อยๆของเขาเอาไว้ได้อีกด้วย

ระบบ [OOC]

เสิ่นชิงชิว “ขอบใจ หุบปากไปเลย”

หมิงฟานเอาหยกพกในมือหนิงอิงอิงมาหมุนเล่น กล่าวด้วยท่าทางรังเกียจ “คืนให้เจ้าก็คืนให้เจ้าซิ ไม่รู้ว่าเป็นของกะหลั่วๆ ที่ซื้อจากแผงข้างทางที่ใดมา เอามามอบให้ศิษย์น้องหญิงยังเกรงว่าจะทำให้มือของนางต้องมัวหมองด้วยซ้ำ”

ปากกล่าวเช่นนี้ แต่กลับหาได้มีความตั้งใจจะคืนสักนิดไม่

ลั่วปิงเหอสีหน้ากระด้าง ปล่อยหมัดคู่ออกไปทันที โจมตีศิษย์สองสามคนที่เข้ามายื้อยุดเขาไว้

ยามถูกยั่วโมโหคนเรามักถีบต่อยเปะปะไร้ทิศทาง เพียงอาศัยเพลิงโทสะในใจต่อยตีออกไปอุตลุด ตอนแรกยังพอขู่ขวัญศิษย์ชั้นต่ำสองสามคนนั่นได้อยู่ แต่แล้วพวกเขาก็พบอย่างรวดเร็วว่าศิษย์น้องคนนี้กระจอกกว่ามากนัก มีดีแค่ท่าทางที่ทำให้ผู้คนตกใจกลัวเท่านั้น

ซ้ำหมิงฟานยังคอยสั่งการอยู่ด้านข้างอีก “ยังจะมัวเหม่อหาอะไร บังอาจลงมือกับศิษย์พี่อย่างนั้นหรือ แบบนี้ต้องสั่งสอนเสียบ้าง จะได้รู้จักผู้ใหญ่ผู้น้อย”

กำลังขวัญของเหล่าศิษย์นั้นพลันกลับมาทันที จึงเข้าไปกลุ้มรุมลั่วปิงเหอพันพัลวัน

หนิงอิงอิงตะลึงลานไปแล้ว ปริมาณความจุสมองอันน่าสงสารของเธอไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นเพราะอะไรสถานการณ์จึงพลิกผันเป็นเช่นนี้ไปได้ นางตะโกนลั่น “ศิษย์พี่ ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร! รีบสั่งให้พวกเขาหยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้น…ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่สนใจท่านอีกต่อไป!”

หมิงฟานลนลาน “ศิษย์น้องหญิง อย่าโกรธซิ เดี๋ยวข้าสั่งให้พวกเขาหยุดตีเจ้าเด็กนี่ก็แล้วกัน…”

พูดยังไม่ทันขาดคำ เผลอหน่อยเดียวลั่วปิงเหอก็ดิ้นหลุดจากมือและเท้าที่กระหน่ำเข้ามา ก่อนพุ่งพรวดเข้าไปต่อยจมูกของหมิงฟานทันที

“โอ๊ย” หมิงฟานร้องลั่น เลือดกำเดาสองสายไหลออกมาทางจมูกของหมิงฟานทันใด

หนิงอิงอิงเดิมทีน้ำตาคลอเจียนจะทะลัก แต่พอเห็นภาพนี้เข้าก็หัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่

เสิ่นชิงชิวนึกในใจ น้องสาว นี่ตกลงเธอชอบลั่วปิงเหอหรืออยากทำร้ายเขากันแน่

ความจริงหมิงฟานยังพอจะปล่อยลั่วปิงเหอไปได้ แต่เมื่อเสียท่าต่อหน้านางในดวงใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยผ่าน

ทั้งสองเข้าตะลุมบอนกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

ลั่วปิงเหอถึงจะมีพรสวรรค์ล้ำเลิศแค่ไหน ถึงอย่างไรก็เป็นเด็ก ทั้งไม่เคยฝึกวิชาจากคัมภีร์ของจริง ส่วนใหญ่จึงเป็นฝ่ายถูกต่อยอยู่ข้างเดียว ทว่ายังกัดฟันไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ

เสิ่นชิงชิวคิดลงมือช่วยโดยสัญชาตญาณ แต่ระบบกลับกระหน่ำเสียงเตือนรัวๆ ชนิดเอาเป็นเอาตาย

[OOC ขั้นรุนแรง! OOC ขั้นรุนแรง! OOC ขั้นรุนแรง! เรื่องสำคัญต้องพูดสามรอบ! ‘เสิ่นชิงชิว’ ภายใต้สถานการณ์นี้ควรยืนยิ้มเฉย นิ่งดูดาย หรือไม่ก็ร่วมวงด้วยอีกคน!]

ให้ยืนเก็กมองเด็กถูกทารุณก็ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว…แต่เสิ่นชิงชิวก็ไม่อาจทะเล่อทะล่าเข้าไปแบกรับความเสี่ยง ขณะกำลังนึกร้อนใจ เขาก็ฉุกคิดวิธีแบบพบกันครึ่งทางได้

สำนักชางฉยงซานนั้นมีวิชาคาถาเล็กๆ คาถาหนึ่งชื่อ ‘ปลิดใบไม้ปลิวบุปผา’ ดูเหมือนเป็นวิชาที่ไม่มีประโยชน์มากนัก เพียงแค่ดูสวยงามชวนมองเท่านั้น ในนิยายดั้งเดิมได้บรรยายไว้ว่าลั่วปิงเหอได้หัวใจสาวคนที่ N มาอย่างง่ายดายด้วยการใช้วิชานี้นี่แหละ ช่วงนี้เสิ่นชิงชิวหาตำรับตำราคัมภีร์ต่างๆมาอ่านอย่างเต็มที่จึงเคยเห็นคาถานี้มาก่อน

เขาปลิดใบไม้มาใบหนึ่ง แล้วถ่ายเทพลังทิพย์เข้าไป รอบแรกถ่ายเทพลังมากไปหน่อย เกินกว่าที่ใบไม้จะรับไหว จึงแหลกเป็นจุณในพริบตา รอบต่อมาถึงสำเร็จผล เขาคีบใบไม้ด้วยปลายนิ้วแล้วเป่าเบาๆ พอคลายมือใบไม้นั้นก็พุ่งหาหมิงฟานทันทีราวกับมีดบิน

ครั้นได้ยินเสียงหมิงฟานร้องโหยหวน เสิ่นชิงชิวสะบัดมือ ปาดเหงื่อที่ผุดเป็นเม็ดๆบนหน้าผาก

มิน่าเล่าถึงพูดกันว่าหากเป็นยอดฝีมือแค่ใช้ดอกไม้ใบหญ้าก็ทำร้ายคนได้ ครั้งนี้เขาคงไม่ถึงขั้นทำให้หมิงฟานตายหรอกนะ…

ลั่วปิงเหอโดนทั้งมือและเท้าไปหลายที จู่ๆก็รู้สึกว่าหมิงฟานผงะถอยออกไป พอลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าหน้าผากตนมีเลือดไหลย้อยลงมาเข้าตา ยิ่งไม่นึกเลยว่าพอหมิงฟานยื่นมือออกมา ที่มือของฝ่ายนั้นก็มีเลือดเปรอะอยู่ด้วย

หมิงฟานไม่อยากเชื่อ “เจ้ากล้าใช้มีดทำร้ายข้าหรือ”

หนิงอิงอิงเมื่อครู่เห็นพวกเขาตะลุมบอนกันอย่างดุเดือนจึงไม่กล้าเข้าใกล้ ยามนี้เลยรีบเข้าไปแทรกระหว่างทั้งสองฝ่าย “เปล่าเลยๆ เมื่อกี้อาลั่วไม่ได้ใช้มีดเลยนะ ไม่ใช่เขาที่ทำร้ายท่านหรอก”

ลั่วปิงเหอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเม้มปากแน่น ปาดเลือดบนหน้าผากตน ที่แผ่นหลังของหมิงฟานมีเลือดไหลซึมคล้ายดั่งถูกปลายกระบี่กรีด

หมิงฟานหันไปถามเหล่าลูกสมุน “เมื่อครู่พวกเจ้าเห็นชัดเจนหรือไม่ เขาถือมีดหรือไม่”

พวกศิษย์น้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บางคนส่ายหน้า บางคนพยักหน้าให้มั่วซั่วไปหมด

หมิงฟานเป็นคุณชายน้อยที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามอกตามใจมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยได้รับบาดเจ็บจนเลือดตกยางออกมาก่อน พอเห็นมือตนเองเต็มไปด้วยเลือด ในใจก็เริ่มกระสับกระส่าย ที่น่าประหลาดคือ ไม่ว่าจะที่พื้นหรือบนร่างผอมบางของลั่วปิงเหอกลับมองไม่เห็นอาวุธเลย อย่างไรก็ไม่น่าจะอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอยหรอกกระมัง

เสิ่นชิงชิวกลั้นหายใจ ภาพตรงหน้าพลันกลายเป็นสีแดงเถือก อักษรตัวใหญ่เป้งสีแดงสยดสยองแถวหนึ่งผุดขึ้นเบื้องหน้า

[ละเมิดกฎ : OOC หักค่า B 10 คะแนน ค่า B ปัจจุบันคงเหลือ 90]

เสิ่นชิงชิวผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ตอนแรกเขานึกว่าคงโดนหักสัก 50 หรือไม่ก็หักเกลี้ยงไม่เหลือ แต่หักเพียง 10 คะแนน ถือว่าดีกว่าที่เขาคิดไว้มาก หักไปวันนี้ ภายหลังยังมีโอกาสเอากลับคืนมาใหม่ได้ แต่โล่งอกได้ไม่ทันไร หมิงฟานก็ชี้ไปที่ลั่วปิงเหอแล้วตวาดลั่น “จัดการมัน!”

เสิ่นชิงชิวแทบกระอักออกมาเป็นเลือด

บรรดาศิษย์น้องผู้เชื่อฟังโถมเข้าใส่ลั่วปิงเหอทันที

เสิ่นชิงชิวรูดใบไม้ออกมากำหนึ่งโดยพลันตามสัญชาตญาณ แล้วซัดหวือออกไปทั้งหมดนั่นในคราเดียว

ทว่าพอซัดออกไปแล้วก็มานึกเสียใจภายหลัง

นี่ตูหวังผลอะไรเนี่ย ลั่วปิงเหอยังไงก็เป็นพระเอกนะ ใช่ว่าเมื่อก่อนไม่เคยโดนรุมซ้อมซะที่ไหน มีหรือจะโดนซ้อมตายได้

ยังต้องให้นายเป็นห่วงทำเบื๊อกอะไร

เมื่อกี้ยังพอทำเนียนผ่านไปได้ แต่คราวนี้วิเศษล่ะ ไม่ว่าใครก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลนี้แล้ว

พวกศิษย์พี่แต่ละคนพอได้แผลก็ไม่กล้ารุมลั่วปิงเหอต่อ พอกันไปออรอบตัวหมิงฟานอย่างงงงวย

“ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้น”

“ศิษย์พี่ข้ารู้สึกเหมือนโดนมีดบาดเช่นกัน”

หมิงฟานหน้าเขียวแล้วซีด ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงกล่าว “ไป!”

แล้วพาลูกสมุนที่กุมก้นประคองแขนกันยกขบวนเดินจากไป ช่างมาเหมือนสายลม ไปเหมือนสายลมเสียจริง

หนิงอิงอิงถูกทิ้งให้ยืนเซ่ออยู่พักหนึ่ง ก่อนตะโกนถาม “อาลั่ว เมื่อครู่เจ้าเป็นผู้ที่จัดการจนพวกเขาหนีไปหรือ”

ลั่วปิงเหอส่ายศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เขาฝืนยืนตรง แต่แล้วสีหน้ากลับส่อแววกังวล จากนั้นก้มหน้าก้มตาเหมือนหาอะไรบางอย่างบนพื้น ใบไม้ใบหญ้าถูกเขาพลิกเขี่ยเป็นการใหญ่

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหาอะไร ต้องเป็นจี้หยกที่หายไปตอนชุลมุนชิ้นนั้นแน่นอน

เขาเห็นอย่างชัดเจน ก่อนที่หมิงฟานจะเริ่มจู่โจมก็ฉวยโอกาสเหวี่ยงมันทิ้งไป ด้ายสีแดงเกี่ยวค้างอยู่บนยอดไม้สูงเหนือศีรษะพวกเขานี่เอง แต่ไม่อาจชี้บอกได้ อีกทั้งหลังจากสะบัดใบไม้ออกไปแล้ว เสิ่นชิงชิวก็ได้ยินเสียงที่ทำให้ใจสลายดังขึ้นจากระบบ

[ละเมิดกฎ : OOC หักค่า B 10×6 ค่า B ปัจจุบันเป็น 30]

แป๊บเดียวลดต่ำพรวดลงมาเหลือ 30 หากเป็นคะแนนสอบก็สอบตกไปแล้ว!

ใบไม้หนึ่งใบนับเป็นสิบคะแนนเลยรึ อย่าบวกลบคูณหารโหดร้ายแบบนี้ซิ

หนิงอิงอิงไม่กล้ากล่าวอันใด เพราะอย่างไรนางก็คือต้นเหตุที่ก่อให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากไม่ใช่เพราะความปากมากของนาง ลั่วปิงเหอคงไม่ต้องสูญเสียจี้หยกและโดนรุมอัดเสียเปล่าแบบนี้ จึงรีบช่วยลั่วปิงเหอหาด้วยอีกแรง

แต่จนกระทั่งฟ้ามืดทั้งสองก็ยังหาไม่พบ

ลั่วปิงเหอยืนซึมกะทืออยู่กับที่ มองพื้นซึ่งเละเทะไปหมด พื้นดินส่วนใหญ่ถูกคุ้ยจนทั่ว

หนิงอิงอิงมองเขายืนเหม่อลอยไม่รู้สึกตัว นึกหวั่นในใจ นางดึงมือเขา “อาลั่ว หาไม่เจอก็แล้วไปเถอะ ขอโทษนะ ไว้ข้าจะชดเชยให้เจ้าทีหลังก็แล้วกัน ดีหรือไม่”

ลั่วปิงเหอไม่สนใจนาง ชักมือกลับ ก้มหน้าเดินออกจากป่า หนิงอิงอิงรีบตามไปทันที

เสิ่นชิงชิวนับถือตัวเอง เด็กสองคนนี้หาอยู่ตลอดทั้งบ่าย เขาก็ดูอยู่ตลอดทั้งบ่ายเช่นกัน นอกจากว่างจัดไม่มีอะไรทำแล้ว ยังมีคำอธิบายอื่นอีกไหมเนี่ย

รอจนพวกเขาเดินไปไกล เสิ่นชิงชิวถึงออกมาจากที่พรางตัว เงยหน้าขึ้น เท้าสะกิดพื้นทีหนึ่งก็เหินไปเอาจี้หยกที่แขวนอยู่บนยอดไม้ลงมาอย่างง่ายดาย ทีนี้เขาเข้าในแล้วว่า ‘ตัวเบาเหมือนนางแอ่น’ มันเป็นอย่างไร

ความจริงเสิ่นชิงชิวคิดเอาจี้หยกคืนให้ลั่วปิงเหออย่างลับๆ แต่เขาคุ้นเคยกับลักษณะของระบบแล้ว นี่ต้องนับเป็นการละเมิดกฎอีกแน่ เขาไม่มีค่า B เหลือพอให้ผลาญเล่นอีกต่อไป

คิดดูแล้ว เสิ่นชิงชิวเลยตกลงใจเก็บไว้กับตัวก่อน

บางทีวันหน้าจี้หยกอาจมีประโยชน์ใหญ่หลวงก็ได้ อย่างเช่นในช่วงเวลาคับขันอาจนำมาเป็นเครื่องต่อรองแลกกับชีวิตของเขา…จะได้ไหมนะ เสิ่นชิงชิวครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้นี้อย่างจริงจัง

คราวนี้ตัวอักษรสามมิติสีเขียวตัวใหญ่เป้งแถวหนึ่งปรากฏขึ้นเบี้ยงหน้าสายตาเขาอย่างแจ่มชัด

[ยินดีด้วย! ได้รับไอเทมชิ้นสำคัญ จี้กวนอิมหยกปลอมx1 เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่อง ไอคิวของ ‘เสิ่นชิงชิว’ เพิ่มขึ้น เพิ่มค่า B 100 คะแนน ค่า B ปัจจุบันเป็น 130 ขอให้พยายามต่อไป]

แต้มที่เมื่อกี้เพิ่งโดนหัก ไม่เพียงได้คืนมา แต่ยังเพิ่มขึ้นด้วย

อีกทั้งกวนอิมหยกชิ้นนี้ อาศัยที่มันมีความสำคัญต่อลั่วปิงเหอ ถือเป็นไอเทมที่มูลค่าสูงมาก ใช้ช่วยชีวิตได้แน่

เป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมายจริงๆ

เสิ่นชิงชิวสบายเนื้อสบายตัว ความหงุดหงิดอัดอั้นที่ต้องนั่งหมอบอยู่ในมุมมืดตลอดบ่ายหายเป็นปลิดทิ้ง กระทั่งเสียงกวนประสาทของระบบที่ตายด้านเหมือนเว็บแปลภาษากูเกิลก็ยังฟังสบายหู

ด้านนอกป่า ลั่วปิงเหอที่ออกจากหลังเขาแล้วค่อยๆแบมือออก

ในมือเขามีใบไม้เขียวสดอยู่สองสามใบ ขอบใบคมกริบนั้นมีคราบเลือดติดอยู่

นับจากเสิ่นชิงชิวฟื้นขึ้นมาจากอาการไข้สูงอันแสนประหลาด ระหว่างที่ ‘พักฟื้น’ เยวี่ยชิงหยวนได้มาเยี่ยมเขาอยู่หลายครั้ง

ในฐานะเจ้าสำนักวิชาเซียนอันดับหนึ่งในแผ่นดิน หรือพูดอีกอย่างว่า เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยสำหรับผู้ฝึกวิชาเซียน ภาระที่เขาต้องแบกรับไม่อาจพูดได้ว่าไม่หนัก กระนั้นก็ยังปลีกเวลามาดูแลศิษย์น้องผู้นี้ได้ ยามที่ยังรู้สึกแปลกที่เช่นนี้ เสิ่นชิงชิวประทับใจในตัวเขาจนแทบน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว

ตัวออริจินอลนั้น แม้กับหัวหน้าและเพื่อนร่วมสำนักเหล่านี้ยังตลบหลังไม่นับญาติได้ บทจะฆ่าก็ฆ่าเลย เห็นชัดว่าเขาเป็นคนสารเลวเพียงใด

เยวี่ยชิงหยวนประคองถ้วยชากระเบื้องสีขาวเนื้อละเอียดที่เรือนไผ่นำมารับรอง แววตาแฝงความห่วงใยอย่างจริงใจ “ศิษย์น้องพักฟื้นหลายวันแล้ว ร่างกายดีขึ้นบ้างหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวโบกพัดด้ามจิ้วไปมา หลอมรวมไปกับบรรยากาศศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักรักใคร่กลมเกลียว “ชิงชิงไม่เป็นไรแล้ว ทำให้ศิษย์พี่ต้องเป็นห่วง ใช้ไม่ได้จริงๆ”

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ลองนับดู ศิษย์น้องน่าจะได้เวลาลงเขาแล้วกระมัง ยังต้องการอะไรหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวโบกพัดด้ามจิ้วค้าง “ลงเขา?”

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างฉงน “ศิษย์น้องป่วยไปพักหนึ่งเลยลืมไปแล้วกระมัง เจ้าเคยบอกข้าไว้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองซวงหูนั้นให้มอบเจ้าจัดการ จะได้ถือโอกาสให้บรรดาศิษย์ของเจ้าได้ไปสั่งสมประสบการณ์?”

ที่แท้เป็นเรื่องยุ่งที่ตัวออริจินอลรับปากเอาไว้นั่นเอง แต่ตอนนี้ตัวเขายังไม่สามารถใช้พลังทิพย์และวิทยายุทธ์ได้อย่างคล่องตัวเลย จะมีปัญญาพาลูกศิษย์ลงเขาไปสั่งสมประสบการณ์ที่ไหนกัน ขณะคิดจะทำหน้าหนากลืนน้ำลายตัวเองบอกไปว่าความจริงแล้วเขายังไม่หายดี เสียงตายด้านของระบบก็ดังขึ้น

[แถลงภารกิจขั้นต้น]

[สถานที่ : เมืองซวงหู ชื่อภารกิจ พาศิษย์ไปสั่งสมประสบการณ์ โปรดกดตกลง]

ขณะเดียวกันเบื้องหน้าปรากฏข้อมูลเบื้องต้นของภารกิจขึ้น โดยที่ข้างใต้มีปุ่มให้เลือก 2 ปุ่ม ทางซ้ายคือ ‘ตกลง’ ทางขวาคือ ‘ปฏิเสธ’

ที่แท้นี่ก็คือเควสต์ขั้นต้น สายตาของเสิ่นชิงชิวจับที่คำว่า ‘ตกลง’ อยู่ชั่วขณะ ตัวเลือก ‘ตกลง’ พลันเปลี่ยนเป็นสีเขียว แล้วมีเสียง ‘ติ๊ง’

ระบบอธิบาย [การตอบรับภารกิจสำเร็จเรียบร้อย โปรดศึกษาไฟล์ข้อมูลให้ละเอียดเพื่อเป็นการเตรียมพร้อม ขออวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จ]

เสิ่นชิงชิวได้สติกลับคืนมา หันไปยิ้มให้เยวี่ยชิงหยวน “ข้าย่อมจำได้อยู่แล้ว เพียงแต่หลายวันนี้ร่างกายพักผ่อนจนเกียจคร้าน แทบลืมเรื่องนี้ไป อีกสองสามวันข้าจะออกเดินทาง”

เยวี่ยชิงหยวนพยักหน้ากล่าว “หากยังไม่สะดวกก็ไม่จำเป็นต้องฝืน การพาศิษย์ไปสั่งสมประสบการณ์ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน อันที่จริงเรื่องขจัดเภทภัยให้ปวงประชา เจ้าไม่ต้องเป็นธุระด้วยตัวเองก็ได้”

เสิ่นชิงชิวอมยิ้มตอบรับ แต่อดไม่ได้ที่จะมองเยวี่ยชิงหยวนให้เต็มตา

ศิษย์พี่เจ้าสำนักบทบาทของท่านตอนนี้เหมือน NPC* ที่มีหน้าที่มอบเควสต์เลย

(NPC คือ non-player character ตัวละครที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้เล่นในเกม)

เรื่องราวน้อยใหญ่ของยอดเขาชิงจิ้งเฟิงล้วนมีหมิงฟานซึ่งเป็นคนสนิทดูแลจัดการ เสิ่นชิงชิวพบว่าเวลาที่เด็กคนนี้ไม่ไปยุ่งกับพระเอกก็ทำงานได้มีประสิทธิภาพและมีไอคิวสูงใช้ได้อยู่

วันต่อมาพวกเขาก็สามารถออกเดินทางได้แล้ว

ก่อนออกจากชิงจิ้งเฟิง เสิ่นชิงชิวสำรวจดูภาพลักษณ์ของตัวเอง ชุดเขียว สายคาดเอว ห้อยกระบี่ไว้ที่เอวด้านซ้าย มือขวาถือพัดด้ามจิ้ว หล่อเหลาดูดีมีการศึกษา ดูน่าไว้ใจ สุภาพสง่างาม ยอดคนแห่งยุคชัดๆ!

สรุปสั้นๆ ไม่มีทาง OOC แน่นอน เพอร์เฟกต์!

เมื่อลงบันไดหินที่ยาวแสนยาวนับร้อยขั้น ข้างประตูทางขึ้นเขามีรถม้าซึ่งเตรียมไว้สำหรับรอเสิ่นชิงชิวอยู่ และยังมีม้าอีกหลายตัวที่เตรียมไว้สำหรับศิษย์ผู้ติดตาม

เสิ่นชิงชิวกล่าวกับระบบว่า “ล้อเล่นรึเปล่า อย่างน้อยๆก็เป็นนิยายว่าด้วยโลกของผู้ฝึกวิถีพรตวิชาเซียน ตอนเดินทางทำไมไม่ท่องกระบี่เหินฟ้าล่ะ”

ระบบตอบอย่างเย่อหยิ่งเย็นชา [ต่อให้เป็นโลกเวทมนตร์ในแฮรี่ พอตเตอร์ ก็ใช่ว่าพวกพ่อมดจะเดินทางด้วยการขี่ไม้กวาดทุกคนนี่ มันจะเป็นจุดสนใจเกินไป]

เสิ่นชิงชิวบ่นพึมพำ “คุณรู้ดีเหมือนกันนะเนี่ย เคยไปปฏิบัติการใน แฮรี่ พอตเตอร์มาก่อนรึ”

ระบบส่ง [……….] ลอยมาในอากาศตัวเบ้อเริ่ม

นับแต่เริ่มดำเนินการส่งคนมาหลายปี คนที่ยังมีอารมณ์พยายามจะตีซี้พูดจาเลอะเทอะได้สาระกับระบบ คงมีเสิ่นชิงชิวนี่แหละเป็นคนแรก

เสิ่นชิงชิวมาคิดๆดูอีกที ก็ถูกของระบบมันนั่นแหละ ลงเขาคราวนี้เพื่อสั่งสมประสบการณ์ ศิษย์เหล่านี้อายุยังน้อยประสบการณ์ไม่มาก ยังไม่มีกระบี่ที่เหมาะกับตน ซึ่งตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาของสำนักชางฉยงซานนั้น เมื่อพลังฝึกปรือของศิษย์ในสำนักถึงระดับหนึ่ง ถึงจะสามารถไปยังยอดเขาวั่นเจี้ยนเฟิง(หมื่นกระบี่) อันเป็นหนึ่งในสิบสองยอดเขา เพื่อคัดเลือกกระบี่ที่เหมาะกับตนเองได้

บอกว่าคนเลือกกระบี่ ความจริงแล้วเป็นกระบี่ต่างหากที่เลือกคน หากว่าคนผู้หนึ่งไม่มีพรสวรรค์อะไรเลย แต่ดื้อรั้นจะเอาสุดยอดกระบี่ที่รวมปราณทิพย์ของฟ้าดินไว้เข้มข้น ก็ไม่ต่างอะไรกับสาวงามที่จับคู่กับหนุ่มอัปลักษณ์ อย่างที่โบราณว่าเหมือนบุปผาปักบนมูลโคอะไรเทือกนั้น ลองคิดดูซิ กระบี่ก็คงไม่เต็มใจนักหรอก

ดัชนีทองคำของลั่วปิงเหอก็เริ่มเปิดใช้งานตอนที่เขาหากระบี่วิเศษมหัศจรรย์ ‘ซินหมัว’ ของตนเองพบเช่นกัน

เสิ่นชิงชิวขึ้นรถม้า รถคนนี้ดูภายนอกไม่สวยงามอะไรนัก แต่ข้างในกลับกว้างขวางนั่งสบาย มีเตากำยานเล็กๆจุดไว้ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ พอนั่งลงเรียบร้อยเสิ่นชิงชิวก็รู้สึกเหมือนมีตรงไหนสักแห่งผิดปกติ เขาจึงเอาพัดเลิกม่านรถขึ้น ครั้นมองออกไปก็ตาค้างทันที

มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกว่าร่างที่ผลุบๆโผล่ๆวุ่นวายอยู่แถวรถม้าช่างดูคุ้นตานัก คนที่ถูกทุกคนเรียกใช้ให้ไปทางโน้นทีทางนี้ที ให้ทำโน่นทำนี่ไม่หยุดก็คือท่านลั่วปิงเหอ พระเอกของเรานี่เอง

ประจวบกับที่ลั่วปิงเหอเอาของชิ้นสุดท้ายขึ้นรถเสร็จพอดี ซึ่งก็คือกระดานหมากล้อมทำจากหยกขาวอันเป็นของที่เสิ่นชิงชิวนำติดตัวมาด้วยทุกครั้งเวลาเดินทาง(เอาไปอย่างนั้นเอง ไม่เคยใช้)

พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเสิ่นชิงชิวกำลังมองตนด้วยสีหน้าซับซ้อน ลั่วปิงเหออึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม “ซือจุน”

บาดแผลที่ถูกเสิ่นชิงชิว ‘อบรมสั่งสอน’ ก่อนหน้านี้เกือบหายดีแล้ว รอยฟกช้ำบนหน้าไม่เหลือ ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าตาเขาแบบชัดเจนเสียที ถึงแม้อายุยังน้อย หน้าตายังดูอ่อนเยาว์อยู่มาก กลับไม่อาจปิดกั้นความงามโดดเด่นของใบหน้านี้ได้เลย กอปรกับท่าทางเดินเหินของเขาที่สดใสร่าเริง ใครก็นึกไม่ถึงเด็ดขาดว่านี่เป็นดอกไม้ตูมที่เจอลมฝนกระหน่ำซัด ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากอยู่บนชิงจิ้งเฟิงมาแล้วหลายปี

แม้ทำงานแบกหามขนของจิปาถะ ลั่วปิงเหอกลับไม่เสียกิริยาแม้แต่น้อย ท่าทางขยันขันแข็งเอาการเอางานของเขาชวนให้ผู้พบเห็นล้วนประทับใจกันทั้งนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสิ่นชิงชิวที่เดิมทีก็รู้สึกดีต่อพระเอกคนนี้อยู่หน่อยๆ

เวลาอ่านนิยายเขาชอบพระเอกที่เด็ดขาด แยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจนแบบนี้นี่แหละ

เสิ่นชิงชิวมองลั่วปิงเหออยู่ครู่หนึ่งก็ทำเสียงอืม เก็บพัดกลับ เอาม่านลง

ไม่อาจไม่กล่าว พระเอกอย่างไรก็เป็นพระเอกวันยังค่ำ มิน่าเจ้าเด็กนี่ถึงแม้ตกต่ำไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีอนาคต ไร้พ่อขาดแม่ แต่ยังมีสาวๆเบอร์ 1…2…3…4 และอีกนับไม่ถ้วนดาหน้ากันกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของเขาไม่ขาดสาย หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ

และนี่ก็สามารถอธิบายได้อีกเช่นกันว่าทำไมพวกลิ่วล้อถึงได้เห็นเขาขัดหูขัดตานัก จ้องจะจับเขาซ้อมระบายอารมณ์จนกลายเป็นหัวหมู

ครั้นมาคิดดูอีกทีก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ไม่ถูกซิ ศิษย์ที่เดินทางมาคราวนี้นับลั่วปิงเหอด้วยก็รวมเป็น 10 คน แต่มีม้าเพียง 9 ตัว ยังขาดอีก 1 ตัว

ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าเป็นแผนชั่วของใคร

เป็นดังคาด ท่ามกลางเสียงกลั้นหัวเราะ เสียงกล่าวอย่างลำพองใจของหมิงฟานดังลอดรถม้าเข้ามา “ม้าไม่พอจริงๆ ได้แต่ลำบากศิษย์น้องสักครั้งแล้ว จะว่าไปศิษย์น้องพื้นฐานยังอ่อนด้อย ถือเป็นโอกาสให้เจ้าได้ฝึกฝนร่างกายไปด้วยก็แล้วกัน”

ม้าไม่พอบ้านแกซิ! สำนักชางฉยงซานในฐานะที่เป็นสำนักผู้ฝึกวิชาเซียนอันยิ่งใหญ่ มีผลงานอันดับหนึ่งในช่วงหลายปีมานี้ เรียกได้ว่ารวยจนเหลือกินเหลือใช้ด้วยซ้ำ จะขาดม้าแค่ตัวเดียว เป็นไปไม่ได้

หมิงฟานผู้เลือกหนทางสายลิ่วล้อ ชอบรนหาที่ตาย ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “มีปัญหาใดหรือ เจ้าทำหน้าแบบนั้นไปไย ไม่พอใจ?”

ลั่วปิงเหอตอบเสียงเรียบ ไม่แหยไม่โอหัง “มิกล้า”

จังหวะนี้เองเสียงหัวเราะสดใสราวกับระฆังเงินของสาวน้อยผู้หนึ่งก็ดังขึ้น หนิงอิงอิงออกโรง “ศิษย์พี่ พวกท่านกำลังคุยอะไรกัน”

เสิ่นชิงชิวกุมหน้าผาก สาวน้อย เธอมาได้ถูกเวลาจริงๆ

หนิงอิงอิงคือตัวกระตุ้นความบาดหมางระหว่างหมิงฟานกับลั่วปิงเหอ ทุกครั้งที่เธอออกโรง ลั่วปิงเหอเป็นได้เดือดร้อนเสียทุกครั้ง ส่วนหมิงฟานก็รนหาที่ได้ตลอดอีกเช่นกัน

เสิ่นชิงชิวลงทุนเลิกม่านรถตีหน้าขรึม ทำท่าจะพูดแต่ไม่ได้พูด เห็นหนิงอิงอิงโบกไม้โบกมือดีอกดีใจ “อาลั่ว ม้าไม่พอหรือ มาขี่ตัวเดียวกับข้าซิ”

ช่างเป็นมือวางอันดับหนึ่งที่ชักนำความเกลียดชังมาให้ลั่วปิงเหอเสียจริง

พึงทราบว่าพล็อตเรื่องแนวพระเอกน่าสงสาร ได้รับความเห็นใจจากสาวงามพรรค์นี้ ถึงแม้จะเป็นแพทเทิร์นในการสร้างความฟินที่มีอยู่เกร่อในนิยายของเว็บจงเตี่ยน แต่ก็ทำให้คนอิจฉาจนกดขี่ข่มเหงพระเอกได้ง่ายมาก ยามนี้หลากลั่วปิงเหอรับข้อเสนอของหนิงอิงอิง การเดินทางเที่ยวนี้ก็อย่าคิดฝันถึงความสุขสงบเลย

เสิ่นชิงชิวทนดูต่อไปไม่ไหว “อิงอิง เจ้าอย่าได้วุ่นวาย ชายหญิงไม่ชิดใกล้ทั้งการให้และการรับ ต่อให้สนิทสนมกับศิษย์น้องอย่างไรก็ต้องมีขอบเขต หมิงฟาน ไฉนมัวโอ้เอ้อยู่ได้ ยังไม่ออกเดินทางอีก”

หมิงฟานดีใจใหญ่ นึกในใจว่า ซือจุนช่างใจเดียวกับข้าจริงๆ

รีบเร่งสั่งการให้ขบวนออกเดินทางทันใด

หนิงอิงอิงทำปากยื่น ไม่เอ่ยวาจาอีก

เรื่องวุ่นวายเล็กน้อยจึงสงบลงชั่วคราว เสิ่นชิงชิวดึงความคิดกลับคืนมา นั่งอ่านข้อมูลที่วางอยู่บนตั่งต่ออย่างเงียบเชียบ

เดินทางคราวนี้ไม่เพียงเป็นฉากการลงเขาครั้งแรกที่ควรค่าแก่การจดจำ ทั้งยังเกี่ยวพันถึงเควสต์ขั้นต้นว่าจะสามารถปลดล็อกฟังก์ชั่น OOC ได้หรือไม่ เขาจึงต้องตั้งใจให้ดี

จากข้อมูลที่ได้รับมา สถานที่นั้นคือเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากสำนักชางฉยงซานหลายสิบลี้ ไม่นานมานี้ในเมืองเกิดคดีร้ายแรงขึ้นหลายครั้ง มีผู้เสียชีวิตต่อเนื่องไปแล้ว 9 ราย

ผู้ตายทุกรายมีจุดร่วมที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ผิวหนังถูกลอกอย่างพิถีพิถันออกจากร่างจนหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า ฝีมือละเอียดประณีตราวกับบนร่างของผู้ตายไม่เคยมีผิวหนังปกคลุมมาก่อน เป็นการกำระทำที่อุกอาจ ด้วยเหตุนี้มือสังหารจึงถูกเรียกว่า ‘มารถลกหนัง’

ผู้ที่มารถลกหนังเลือกลงมือล้วนเป็นสตรีอายุน้อย หน้าตาสะสวย ดังนั้นในเมืองซวงหูใครที่มีลูกสาวสุดหวง ภรรยาสาวสุดที่รัก หรืออนุภรรยาคนงาม พอตกค่ำเป็นต้องปิดประตูห้องหับมิดชิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสกัดมารถลกหนังไว้ไม่ได้อยู่ดี

คนตายต่อเนื่องอย่างสยดสยองถึง 9 คน ทางการกลับไม่มีหนทางรับมือเรื่องนี้ได้เลย ชาวบ้านในเมืองต่างพากันหวาดผวา แถมมีคนปล่อยข่าวลือว่าเป็นภูตผีปีศาจออกอาละวาด มิฉะนั้นจะไปมาโดยไร้ร่องรอยได้อย่างไร

คหบดีสองสามตระกูลจึงรวมตัวกัน ตกลงใจเชิญยอดฝีมือผู้ฝึกวิชาเซียนจากสำนักชางฉยงซานมาช่วยเหลือ

เสิ่นชิงชิวอ่านข้อมูลเหล่านี้จบไปหลายรอบแล้ว แต่ไม่ว่าจะอ่านเพิ่มอีกสักกี่จบ ก็ไม่เห็นอะไรที่จะมาเป็นตัวช่วยได้เลย

มารถลกหนังเป็นตัวอะไรกันแน่ เขายังไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นพล็อตที่เพิ่มเข้ามาโดยเฉพาะหรือว่าเป็นพล็อตที่แอบซ่อนไว้ อันตรายรึเปล่า พลังยุทธ์สูงไปม แล้วเกอ* จะรับมือไหวหรือ นี่ไม่เหมือนที่คุยกันไว้เลยนะ”

(เกอ ในที่นี้คือเสิ่นชิงชิวเรียกตัวเองว่า พี่ชาย หรืออารมณ์ประมาณว่า เฮีย)

ตอนที่เขาถามคำถามเหล่านี้ ระบบตอบว่า [มีตรงไหนไม่เหมือน สถานะของคุณก่อนหน้านี้คือผู้อ่านนิยาย นิยายก็คือศิลปะสร้างสรรค์ชนิดหนึ่ง ศิลปะสร้างสรรค์ต้องมีการเลือกสรรกันบ้าง ส่วนไหนควรละไว้ก็ละ ตอนนี้คุณกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้แล้ว จึงสมควรเผชิญกับเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งปวงในเนื้อเรื่องด้วยตัวเอง เนื้อเรื่องในพล็อตเดิมที่ถูกละเอาไว้คุณก็ต้องดำเนินต่อให้จบสมบูรณ์]

เสิ่นชิงชิวไม่มีทางเลือก จึงได้แต่ฝึกวิชาอย่างขยันขันแข็งอยู่หลายวันเพื่อให้ใช้วิชาได้อย่างคล่องตัวแต่เนิ่นๆ มิเช่นนั้นแทนที่จะต้องตายใต้ฝ่าเท้าพระเอก อาจจะถูกฆ่าตายด้วยมือของภูตผีปีศาจจากไหนก็ไม่รู้เสียก่อนที่งานจะสำเร็จ

ลั่วปิงเหอยังอยู่ข้างนอก เสิ่นชิงชิวไม่กล้าคลายการระวังป้องกัน คอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวมาตลอดทาง ขณะเดียวกันก็รื้อข้าวข้องในรถม้าให้วุ่นไปหมด ในรถไม่ว่าอะไรก็มีพร้อมสรรพ

ครั้นเสิ่นชิงชิวงัดชุดถ้วยชาออกมาได้ห้าหกชุดก็ถือกับพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ขี้หมูขี้หมาชาติที่แล้วเขาก็ถือว่าเป็นพวกเศรษฐีรุ่นสองคนหนึ่ง แต่ยังไม่เคยทำตัวพิถีพิถันเรื่องมากเช่นนี้เลย

เวลานี้เองเสียงหัวเราะครืนดังมาจากนอกรถม้า เขากวาดสายตามองออกไปข้างนอก

ลั่วปิงเหอถูกทิ้งอยู่ท้านขบวนคนเดียว เดินบ้างวิ่งบ้าง บางคราก็มีม้าป้วนเปี้ยนรอบตัวเขา จงใจทำฝุ่นฟุ้งใส่ ทำเอาเขาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว

เสิ่นชิงชิวกำพัดด้ามจิ้วแน่นอย่างอดรนทนไม่ไหว คันไม้คันมือยิบๆ

นี่เป็นแค่นิยายเรื่องหนึ่ง ตัวละครทุกตัวล้วนถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เสิ่นชิงชิวเข้าใจความจริงข้อนี้อย่างชัดแจ้ง ทว่า…ต้องมาเห็นตัวละครถูกกลั่นแกล้งต่อหน้าต่อตาจะจะแบบนี้ จะไม่ให้เขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว

หลังห้ามปรามหลายครั้งไม่เป็นผล ในที่สุดหนิงอิงอิงค่อยรู้ตัวว่าการเข้าไปช่วยของเธอ รังแต่จะได้ผลตรงกันข้าม จึงรับกระตุ้นม้ามาเทียบรถม้าร้องบอกอาจารย์ว่า “ซือจุน! ท่านดูพวกศิษย์พี่ซิเจ้าคะ”

เสิ่นชิงชิวได้ความคิดอย่างหนึ่งขึ้น แต่ไม่แสดงอาการออกมา กล่าวด้วยเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ว่า “พวกเขาทำอะไร”

น้ำเสียงของหนิงอิงอิงเจือความน้อยอกน้อยใจ กล่าวอย่างไม่ยินยอมว่า “พวกเขารังแกคนเช่นนี้ ท่านก็ไม่ว่ากล่าวพวกเขา ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ศิษย์ที่ท่านสอนจะกลายเป็นกระไรเล่า”

นี่ถือเป็นการฟ้องกันซึ่งๆหน้า แต่หมิงฟานกับพวกหาได้รู้สึกกดดันไม่ ความที่การกระทำเหล่านี้เสิ่นชิงชิงล้วนแอบเห็นชอบโดยดุษณีมาตลอด พวกเขาเลยคิดว่ายิ่งรังแกลั่วปิงเหอหนักข้อขึ้นเท่าไร ซือจุนยิ่งชอบในขึ้นเท่านั้น ไหนเลยจะยอมเก็บอาการ

หมิงฟานกระหยิ่มใจเป็นที่สุด วันนั้นบาดแผลที่หลังเขาเป็นฝีมือของลั่วปิงเหอแน่นอน บังอาจเอาวิชามารที่เรียนจากไหนไม่รู้มาทำร้ายคน แต่วันนี้ซือจุนอยู่ที่นี่ด้วย มันต้องถูกกำราบเป็นแน่

เสิ่นชิงชิวทำเสียง “อืม” จากนั้นกล่าวว่า “ลั่วปิงเหอ เจ้ามานี่”

ลั่วปิงเหอสีหน้าราบเรียบอย่างชินชา เขาตอบว่า “ขอรับ” แล้วเดินขึ้นหน้า

ตอนแรกทุกคนยังนึกยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น เข้าใจว่าที่ซือจุนเรียกลั่วปิงเหอไปใกล้ ก็พื่อจะอบรม ‘สั่งสอน’ เป็นแน่ ที่ไหนได้ ครู่ต่อมาแทบหงายหลังขาชี้ฟ้าไปตามๆกัน!

เสิ่นชิงชิวใช้พัดด้ามจิ้วเลิกม่านรถขึ้น ทำหน้าเชิดใส่ลั่วปิงเหออย่างยโสโอหัง แล้วบุ้ยสายตาเข้ามาในรถม้า แม้ไม่พูดอะไร แต่ความหมายของการกระทำนี้ก็ชัดเจนจนไม่อาจชัดไปกว่านี้แล้ว

หนิงอิงอิงร้องอย่างดีใจ “อาลั่ว รีบขึ้นรถเร็ว ซือจุนให้เจ้าโดยสารรถคันเดียวกับท่าน”

ฟ้า! ผ่า! กลาง! แดด! เปรี้ยง!

ถ้าไม่ทราบว่าซือจุนได้ฌานระดับจินตานมาหลายปีแล้ว หมิงฟานกับพวกจะต้องเข้าใจว่าเสิ่นชิงชิวถูกผีสิงแน่!

ลั่วปิงเหอเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน แต่เขาตั้งตัวได้เร็ว ไม่ลังเลให้มากความตอบไปว่า “ขอบพระคุณซือจุนขอรับ”

พอขึ้นรถม้าได้ก็นั่งตัวตรงแน่วสงบเสงี่ยมอยู่ที่มุมรถ เมื่อนั่งลงเรียบร้อยก็พยายามเก็บมือเท้าให้มากที่สุด เหมือนกลัวว่าชุดผ้าขี้ริ้วปุปะของตัวเองจะทำให้รถสกปรก

ระบบ [ขอเตือน…]

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ขอปฏิเสธการเตือน ผมไม่ได้ OOC เลยนะ”

ระบบ [‘เสิ่นชิงชิว’ ไม่มีทางกระทำการที่ช่วยลั่วปิงเหอพ้นจากความลำบากเช่นนี้]

[คำตัดสิน : OOC=100%]

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “คุณไม่เคยศึกษาให้ดีเลยซินะว่าจิตใจของตัวละครนี้ซับซ้อนแค่ไปน หากเพียงเพื่อช่วยลั่วปิงเหอให้พ้นจากความลำบาก แน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้เป้าหมายของผมคือเพื่อไม่ให้หนิงอิงอิงผิดหวังในตัวซือจุน หนิงอิงอิงเป็นศิษย์ที่ผมเอ็นดูที่สุดนะ เธอขอร้องผมทั้งที ผมจะทำให้เธอเสียแรงเปล่าได้อย่างไร”

ระบบ [……….]

เสิ่นชิงชิว “การกระทำของผมจึงถือว่าสอดคล้องเป็นเหตุเป็นผลกับบท ‘เสิ่นชิงชิว’ อย่างสมบูรณ์ คำเตือนถือเป็นโมฆะ!”

หลังจากปฏิสัมพันธ์กับระบบในช่วงหลายวันมานี่ เขาค่อยๆคลำเจอเคล็ดลับบ้างแล้ว ระบบแม้มีกฎเกณฑ์ แต่ไม่ใช่กฎตายตัว ในเมื่อกฎเป็นสิ่งที่ดิ้นได้ เช่นนั้นก็ยังมีช่องทางให้ต่อรอง

จริงดังคาด ตอนนี้ระบบคิดหาข้ออ้างมาหักคะแนนเขาไม่ได้ ศึกยกแรกเสิ่นชิงชิวเป็นฝ่ายชนะ เขาสะใจจนเผลอหัวเราะออกมา

คราแรกลั่วปิงเหอเห็นเขานั่งหลับตาทำสมาธิเงียบๆอยู่ในรถราวกับเข้าฌานไปแล้ว จู่ๆพลันได้ยินเสียงเขาหัวเราะออกมา จึงลอบชำเลืองมองอย่างอดใจไม่อยู่

พูดกันตามจริง หากบอกว่าลั่วปิงเหอไม่ประหลาดใจก็เท่ากับโกหก ถึงเขาจะเคารพเสิ่นชิงชิวอย่างยิ่งยวด ทว่าซือจุนปฏิบัติต่อเขาอย่างไร มองเขาอย่างไร เขาย่อมกระจ่างแกใจ

ก่อนหน้านี้ลั่วปิงเหอยังเข้าใจว่าที่ซือจุนเรียกเขาขึ้นรถ ต้องมีอะไรที่เลวร้ายมากกว่ารออยู่เป็นแน่ จึงเตรียมใจเอาไว้แล้ว ใครจะรู้ว่าซือจุนหาได้สนใจเขาสักนิดไม่ กลับเอาแต่นั่งทำสมาธิเสียอย่างนั้น

ลั่วปิงเหอคิดในใจ ดูเหมือนว่าตนจะไม่เคยมองเสิ่นชิงชิวอย่างใกล้ชิดและพินิจพิเคราะห์เช่นนี้มาก่อน

ในด้านรูปลักษณ์หน้าตาของเสิ่นชิงชิวคงไม่ต้องพูดอะไรมาก อาจไม่ถึงขึ้นเป็นชายรูปงามอันดับหนึ่ง แต่ก็ถือว่าหน้าตาดีชนิดที่ยิ่งดูยิ่งเจริญสายตา เสี้ยวหน้าด้านข้างราวกับถูกลำธารในหุบเขาเจียระไนออกมา หากมิได้ทำหน้าตาเย็นชา จะดูอ่อนโยนและสดใสยิ่งนัก

เสิ่นชิงชิงลืมตาขึ้น เห็นลั่วปิงเหอกำลังจ้องมองตนอยู่ พระเอกในอนาคตผู้เป็นเจ้าของคำบรรยาย ‘สองตาดำขลับเป็นประกายดุจดารา ยิ้มน้อยๆเห็นไรฟัน ท่าทางสุภาพอ่อนโยน’ เวลานี้พอมองเห็นเค้าขึ้นมาบ้างแล้ว

ลั่วปิงเหอถูกเขาจับได้ว่ากำลังจ้องมอง ขณะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เสิ่นชิงชิวก็ส่งยิ้มมาให้

เป็นการยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ลั่วปิงเหอราวกับถูกยิ้มนี้ทิ่มแทงเข้าไปทีหนึ่ง รีบเบือนสายตาหนีทันที กลับยิ่งกระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่

แต่เพียงไม่นานเสิ่นชิงชิวก็ยิ้มไม่ออก

ระบบประกาศ [ละเมิดกฎ : OOC หักค่า B 5 คะแนน ค่า B ปัจจุบันเป็น 165]

เสิ่นชิงชิว “แค่ยิ้มก็ต้องหักคะแนนด้วยเรอะ”

ระบบให้เหตุผลว่า [OOC ก็คือ OOC]

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version