Skip to content

Scumbag System 2

บทที่ 2

ภารกิจ

หลังจากได้บทเรียน เสิ่นชิงชิวก็ตีหน้าขรึมมาตลอดทาง นับว่าสงบราบรื่นจนกระทั่งถึงเมืองซวงหู

เมืองซวงหูนี้แม้ไม่ใหญ่มาก แต่ถือได้ว่าเจริญคึกคัก พอเข้าเมืองมาก็ตรงพำนักที่คฤหาสน์ของนายผู้เฒ่าเฉิน เศรษฐีอันดับหนึ่งของเมือง ซึ่งเป็นผู้ที่ส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากสำนักชางฉยงซานนั่นเอง

อนุภรรยาคนโปรดของนายผู้เฒ่าเฉินถูกมารถลกหนังกระทำจนถึงแก่ความตายอย่างสยดสยองถึง 2 คน เขาจึงเฝ้ารอการมาของเสิ่นชิงชิวอย่างใจจดใจจ่อ เขาลูบมือขาวผ่องละมุนราวกับหยกของอนุภรรยาแสนสวยคนที่สามพลางคร่ำครวญถอนใจด้วยน้ำตานองหน้า

“ท่านเซียนต้องจัดการให้พวกเรานะขอรับ ตอนนี้ข้าไม่กล้าให้เตี๋ยเอ๋อร์อยู่ห่างกายข้าแม้ชั่วขณะเลยทีเดียว กลัวว่าหากเผลอเพียงนิด นางจะถูกภูตผีปีศาจฆ่าตายไม่เหลือแม้วิญญาณไปอีกคน”

คำพูดที่เหมือนกับบทพูดของ NPC เป๊ะๆ รวมถึงภาพที่เห็นนั้น ทำเอาเสิ่นชิงชิวหน้ากระตุก

เขาไม่ได้ชอบดูตาแก่วัยหกสิบมาจิ๊จ๊ะจี๋จ๋ากับสาวเอ๊าะๆให้เห็นต่อหน้าหรอกนะ

ดีที่เสิ่นชิงชิวมีราศีของยอดคน หลังจากเจรจาทักทายพอเป็นพิธีก็เข้าห้องพักไปอย่างเชิดหยิ่ง ทิ้งให้หมิงฟานโอภาปราศัยกับนายผู้เฒ่าเฉินไป ยอดคนมีอภิสิทธิ์แบบนี้แหละ จะเชิดหยิ่งเช่นไรคนอื่นก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ยิ่งเชิดหยิ่ง คนรอบข้างยิ่งมองด้วยความเคารพเลื่อมใส

หนิงอิงอิงเคาะประตูแล้วเดินเข้ามากล่าวอย่างออดอ้อนว่า “ซือจุน อิงอิงอยากไปเที่ยวเล่นที่ตลาดในเมือง ซือจุนไปเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”

ว่ากันตามจริง มีผู้ชายคนไหนบ้างไม่ชอบให้หนูน้อยโลลิ* มาออดอ้อนตัวเอง

(หนูน้อยโลลิ มาจากคำสแลงญี่ปุ่น โลลิคอน หมายถึง ปมโลลิต้าคอมเพล็กซ์ ผู้ชายที่ชอบเด็กผู้หญิง หนูน้อยเหล่านี้จึงถูกเรียกว่า โลลิ)

เสิ่นชิงชิวเดิมนั่งหันหลังให้นางอยู่ พอถูกเรียกเข้าก็ใจอ่อนยวบ หันกายมาเสียครึ่ง ปรายตามองไปด้านหลังให้สมกับภาพลักษณ์ของผู้ดีเปี่ยมการศึกษาที่ผ่องแผ้วทั้งกายใจ ไร้ซึ่งกิเลสตัณหา แล้วกล่าวด้วยเสียงชืดชา “หากอิงอิงอยากออกไปเที่ยวเล่น ก็หาเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องไปเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน ก่อนที่จะเผชิญกับมารถลกหนังผู้นั้น เหวยซือยังมีธุระต้องจัดการ”

นางจะหาใครไปเป็นเพื่อน เสิ่นชิงชิวมีหรือจะไม่รู้

ว่าแต่เขาไม่อยากไปเที่ยวเล่นจริงๆหรือ ก่อนหน้านี้ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือนไผ่บนชิงจิ้งเฟิง ทุกวันต้องเก็กท่าเป็นซือจุนผู้สูงส่ง จะทำอะไรก็ต้อง ‘ชืดชา ไร้อารมณ์’ พูดอย่างชืดชา ฝึกกระบี่อย่างชืดชา เก็กอย่างชืดชา ชืดชาเสียจนอยากเอาเกลือมาโรยหัวตัวเองใจจะขาดอยู่แล้ว แม่ง เจ็บไข่!

กว่าจะได้ลงเขาไม่ใช้เรื่องง่าย เพราะถูกไอ้เจ้าระบบบอกว่า ‘เสิ่นชิงชิวถูกเขียนมาให้ชอบความสงบ ไม่ชอบไปสนุกสนานเฮฮากับคนเยอะๆ’ มาขังเขาให้อยู่แต่ในห้อง ขนาดแกล้งทำเป็นนั่งสมาธิเขายังไม่อยากทำ จึงนอนอืดบนเตียงมันซะเลย

ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หมิงฟานเข้ามารายงานเขา ในที่สุดก็มีคนเข้ามาคุยด้วยแล้ว เสิ่นชิงชิวแทบน้ำตาไหลพราก โชคดีมีไว้สำหรับพระเอก ส่วนความหงอยเหงามีไว้สำหรับพวกลิ่วล้อพลีชีพ การได้ไปเป็นเพื่อนหนูน้อยโลลิเดินชมเมืองดูโคมไฟ พวกเขาย่อมไม่มีเอี่ยวด้วยอยู่แล้ว

หมิงฟานกล่าวว่า “ศิษย์ตรวจสอบศพอย่างละเอียดแล้วขอรับ” จากนั้นประคองสิ่งของในมือส่งให้อย่างนอบน้อม

เสิ่นชิงชิวจ้องอย่างพิจารณา เบื้องหน้าคือยันกระดาษสีเหลืองสองปึกที่ใช้ชาดเขียน หน้ากระดาษเปลี่ยนเป็นสีดำเปื่อยยุ่ย “ยันต์กระดาษเหล่านี้ เจ้าเอาไปทดสอบปราณมารบนร่างศพมาอย่างนั้นหรือ”

หมิงฟานกล่าวว่า “ซือจุนหยั่งรู้ราวกับตาเห็น ยันต์กระดาษเหล่านี้ศิษย์ใช้ทดสอบไป 2 ที่ ที่หนึ่งคือดินข้างหลุมฝังศพของหญิงสาว อีกที่คือบนร่างของศพที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพยังมิได้นำไปฝังขอรับ”

ขนาดดินข้างหลุมฝังศพยังมีปราณมารติดมาจนมีสภาพเช่นนี้ จึงแน่ชัดแล้วว่าตัวตนของมารถลกหนังนั้นเป็นมารจริงๆอย่างไม่ต้องสงสัย ในที่สุดก็รู้เสียทีว่าสิ่งที่เขาต้องต่อการด้วยคืออะไร

เสิ่นชิงชิวกระแอม เพื่อให้เสียง “เฮอะ!” เปล่งออกมาได้อย่างดุดันยิ่งขึ้น “บังอาจมาคุกคามทำร้ายชีวิตชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ในรัศมีร้อยลี้ของชางฉยงซาน ในเมื่อพวกปลายแถวจากภพมารเหล่านี้มาถึงประตูบ้าน อย่าได้ตำหนิข้าก็แล้วกันที่ส่งศิษย์ไปผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์”

เชื่อเถอะว่าเขาไม่ได้อยากพูดอะไรสะเหล่อแบบนี้เลย แต่ถ้าไม่พูดก็ OOC น่ะซิ!

หมิงฟานมองเขาด้วยแววตาเปี่ยมความเคารพเป็นที่สุด “ซือจุนช่างปราดเปรื่อง! หากซือจุนออกโรงเองจะต้องจับเจ้ามารตนนั้นได้ในคราเดียวและช่วยขจัดเภทภัยให้ปวงประชาได้แน่นอนขอรับ!”

“…”

ดูท่าว่าสำหรับศิษย์อาจารย์คู่นี้ เมื่อก่อนคงเป็นโหมด ‘ดีครับนาย ได้ครับท่าน’ เข้าขากันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยซินะ

พูดกันตามจริง จากมุมมองของเสิ่นชิงชิว หมิงฟานเป็นศิษย์ที่เขาพอใจมาก แม้เป็นคุณชายน้อยจากตระกูลร่ำรวย นิสัยจองหองเอาแต่ใจ ทว่าไม่เคยใช้กิริยานี้ใส่อาจารย์แม้แต่น้อย กลับทำตามคำสั่งอย่างเต็มที่ด้วยความเคารพยกย่อง ย่อมไม่มีใครรังเกียจคนที่บูชาตัวเองราวกับพระเจ้าอยู่แล้ว เตรียมการเดินทางไกล อาหารการกินที่พักตลอดทาง หมิงฟานล้วนเป็นคนคอยจัดการ หากไม่ใช่ตอนเจอกับพระเอก แล้วดันทำไอคิวอีคิวหล่นวูบอย่างไม่อาจฝืน จนกลายร่างเป็นอันธพาลประจำโรงเรียน ที่ว่าไม่โฉดชั่วไม่กระทำแล้ว เขาจะเป็นคนหนุ่มอนาคตไกลคนหนึ่งเลยทีเดียว

นอกจากนี้ เสิ่นชิงชิวยังเห็นใจศิษย์ลิ่วล้อผู้นี้ในฐานะคนที่มีหัวอกเดียวกันอีกด้วย เพราะตอนหลังเขาจะโดนลั่วปิงเหอจับโยนลงหลุมให้หมื่นมดแมลงกัดกินจนตาย…

“ลงเขาคราวนี้เป็นการสั่งสมประสบการณ์ หากไม่จำเป็นจริงๆ เหวยซือจะไม่ลงมือช่วยเหลือ หมิงฟานในฐานะที่เจ้าเป็นศิษย์คนโต จะต้องวางแผนอย่างระวังให้จงหนัก อย่าให้เจ้ามารนั่นมาทำร้ายเพื่อนร่วมสำนักของเจ้าได้”

ขอรับ! ศิษย์กางข่ายเวทเอาไว้แล้ว ขอเพียงเจ้ามารนั่น…”

หมิงฟานพูดยังไม่ทันจบ คนผู้หนึ่งก็ถลันเข้ามาในห้องขัดจังหวะเขาเสียก่อน

ลั่วปิงเหอตะโกนหน้าซีดเผือด “ซือจุนขอรับ!”

เสิ่นชิงชิวในกระตุกวูบ แต่ภายนอกกลับแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ถึงได้เอะอะโวยวายตื่นตระหนกเช่นนี้”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ศิษย์พี่หนิงกับศิษย์ออกไปเที่ยวชมตลาดในเมืองตอนกลางวัน พอตกเย็นข้าคะยั้นคะยอให้ศิษย์พี่กลับ แต่นางไม่ยอม ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เพียงชั่วพริบตานางก็หายไปแล้ว ศิษย์…หาจนทั่วทั้งถนนแล้ว กลับไม่พบ เลยได้แต่กลับมาขอให้ซือจุนช่วยขอรับ”

หายตัวไปในเวลาคอขาดบาดตายเช่นนี้ ไม่น่าใช่เรื่องล้อเล่น ฟ้าใกล้มืดแล้ว! หมิงฟานกระโดนปราดขึ้นทันที “ลั่วปิงเหอ! เจ้า…”

เสิ่นชิงชิวรีบโบกแขนเสื้อ ถ้วยชาบนโต๊ะระเบิดแตกกระจาย ที่เขาทำเช่นนี้ไม่ใช่แค่ห้ามปราม แต่เพื่อไม่ให้เกิด OOC และยังป้องกันไม่ให้หมิงฟานรนหาที่ตายอีกด้วย

เขาแสร้งทำเป็นข่มความโกรธ “เรื่องถึงขั้นนี้แล้วพูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ลั่วปิงเหอ เจ้ามากับข้า หมิงฟานเจ้าพาศิษย์น้องสองสามคนไปขอให้เจ้าบ้านเฉินส่งคนไปช่วยตามหาศิษย์น้องหญิงกับเจ้า”

หมิงฟานจำใจรับคำ รีบออกไปทันที

ลั่วปิงเหอก้มหน้า พูดอะไรไม่ออก

เสิ่นชิงชิวรู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดเขาเลย เพราะหนิงอิงอิงไม่เพียงเป็นตัวละครหญิงหน้าตาสะสวยน่ารัก ทั้งยังเป็นตัวละครที่ชอบรนหาที่ตาย และเป็นตัวถ่วงของเรื่อง

ในนิยายดั้งเดิมการหายตัวไปอย่างกะทันหันของนางหรือการก่อเหตุในเวลาคอขาดบาดตายจนทำให้เสียเรื่อง เหตุการณ์พลิกผันเหล่านี้แหละที่ทำให้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีลากเนื้อเรื่องให้ยืดยาวได้อย่างน้อยเป็นร้อยบท

บางทีเสิ่นชิงิชวยังนึกเลื่อมใสลั่วปิงเหอที่สาวๆกี่คนก็รับเข้าฮาเร็มหมด แม้แต่คนที่ก่อเรื่องถึงเพียงนี้ยังกล้ารับ แถมยังรอดตายมาได้อีก พูดได้เพียงว่าพระเอกของเรานี่มันเทพเสียจริง สวยเด็ดพิเศษแค่ไหน ชาวบ้านทั่วไปก็รับไม่ลงแน่นอน

ลั่วปิงเหอเดิมทีเข้าใจว่าเสิ่นชิงชิวรั้งตัวเขาไว้เพราะอยากทุบตีแล้วด่าสักยก เขาจึงกล่าวเสียงอ่อย “เรื่องนี้เป็นความผิดของศิษย์เอง หากซือจุนอยากลงโทษ ศิษย์จะไม่นึกโกรธนึกเสียใจเด็ดขาด ขอเพียงตามหาศิษย์พี่หนิงกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอ”

เสิ่นชิงชิวมองท่าทางน่าสงสารของลั่วปิงเหอ นึกอยากเอามือลูบศีรษะ แต่ต้องห้ามตัวเองไว้เพราะระบบ

“เจ้ามานี่ พาข้าไปยังจุดที่เจ้ากับศิษย์พี่ของเจ้าพลัดหลงกัน” เขากล่าวเย็นชา

จุดที่ลั่วปิงเหอพลัดกับหนิงอิงอิงเป็นจุดที่คึกคักที่สุดของเมือง

เสิ่นชิงชิวหลับตา กลิ่นปราณมารสายหนึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มี เขาเดินตามปราณมารที่ทำท่าจะขาดหายไปได้ทุกเมื่อ พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เสิ่นชิงชิวก็พบว่าตนยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประทินโฉมแห่งหนิ่ง

เสิ่นชิงชิว “…”

อย่าบอกนะว่าฆาตกรเป็นคนในร้านขายเครื่องประทินโฉม เล่นกันง่ายๆอย่างนี้เนี่ยนะ

แต่หลังจากเข้าไปในร้าน ร่องรอยของปราณมารกลับสลายไปหมด

หรือว่าฆาตรกรจะไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในร้านขายเครื่องประทินโฉม เพียงแต่เข้ามาในร้านนี้ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้

เข้าร้านเครื่องประทินโฉม…

หรือว่ามารถลกหนังนั่นเป็นผู้หญิง?

เสิ่นชิงชิวคาดเดาเปะปะอยู่พักหนึ่ง ใช้ให้ลั่วปิงเหอไปสอบถามสองสามคำถามก็ไร้ผล

เควสต์ชนิดนี้สร้างขึ้นมาเพื่อให้เขาข้ามขั้นโดยเฉพาะ ไม่มีเนื้อเรื่องในนิยายดั้งเดิมให้อ้างอิง

เสิ่นชิงชิวรู้ตัวเองดีว่าไม่ใช่นักสืบมือฉมังผู้มีความคิดละเอียดรอบคอบ รู้จักพลิกแพลงต่อยอดอะไรพวกนั้น

เมื่อก่อนตอนเล่นเกมห้องปริศนาหรือไขคดีจับคนร้าย เขายังเคยทำให้ตัวเองถูกขังตายมาแล้วเลย ขณะกำลังนึกกลุ้ม ระบบก็โผล่มาให้คำแนะนำอย่างรู้ใจ

[ตรวจพบท่านเข้าสู่สถานการณ์ลำบาก ต้องการใช้ค่า B 100 คะแนนเพื่อเปิดการใช้งานอีซี่โหมดหรือไม่]

เสิ่นชิงชิว “เชี่ย! มีอีซี่โหมดให้เล่นก็ไม่บอกแต่แรก! เปิดเลย เปิดๆ!”

สายตาเขาจับนิ่งที่ตัวเลือก ‘ตกลง’ เป็นเวลา 3 วินาที หลังจากตัวเลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็หายไป ต่อมากลิ่นอายบางอย่างก็ทำให้ขนที่หลังของเขาลุกซู่ขึ้นมาทันควัน

ปะ…ปราณมารเข้มข้นมาก!

อย่างกับกลัวว่าคนอื่นจะหาเป้าหมายไม่เจออย่างนั้น

อีซี่โหมดไม่ได้หลอกเขาจริงๆด้วย!

เสิ่นชิงชิวไม่คิดว่าการใช้อีซีโหมดเป็นเรื่องน่าละอายแม้แต่นิดเดียว เขาเดินตามเส้นทางที่ปราณมารแผ่กระจายไปอย่างลิงโลด หลังจากเดินได้ 500 ก้าวก็ค่อยๆ ออกห่างจากย่านตัวเมือง จนมาถึงหน้าบ้านร้างแห่งหนึ่ง

ที่นี่แหละ ไม่หนีไปไหนหรอก! คุณมองโคมกระดาษขาวซีด มองประตูใหญ่เก่าโทรมนั่นซิ บ้านผีสิงชัดๆ

เสิ่นชิงชิวปรับสีหน้า กำชับลั่วปิงเหอที่ตามหลังเขามาอย่างเงียบเชียบว่า “เจ้ากลับไปที่คฤหาสน์เฉิน แจ้งหมิงฟานให้นำอาวุธวิเศษทั้งหมดที่มีและพาพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายมาที่นี่ให้หมด”

ลั่วปิงเหอยังไม่ทันได้เปิดปากตอบคำ รูม่านตาก็พลันหดเสียก่อน

เสิ่นชิงชิวเห็นสายตาของลั่วปิงเหอจ้องไปทางด้านหลังตนเองก็รู้ว่าไม่ดีแน่ สายไปเสียแล้ว ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง ประตูใหญ่เปิดออกดังปัง

“ซือจุน ซือจุน ฟื้นเร็วเข้า!”

เสิ่นชิงชิวฟื้นแล้ว

หลังจากฟื้นขึ้นมาก็เห็นสีหน้าร้อนใจของลั่วปิงเหอ อีกฝ่ายถูกจับมัดเท้ามัดมือไพล่หลังอยู่ตรงกันข้าม พอลั่วปิงเหอเห็นเขาฟื้นขึ้นมาก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แววตาเป็นประกายขึ้น ร้องเรียกซือจุนอีกครั้ง

หนิงอิงอิงที่ถูกมัดอยู่กับลั่วปิงเหอ เบะปากร้องไห้เรียกตามบ้าง

“ซือจุน”

เสิ่นชิงชิวรู้สึกมึนงงนิดหน่อย ไม่รู้ว่าของที่เจ้ามารนั่นพ่นใส่จะมีผลตกค้างอะไรหรือไม่

อารมณ์เขาไม่ดีเอามากๆ

อีซี่โหมดนี่เป็นอีซี่โหมดที่โหดของแท้! ส่งเขาตรงถึงปากบอสเล็กเลยทีเดียว

ที่ซวยสุดคือ เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงดันถูกบอสเล็กน็อคต่อหน้าต่อตาลูกศิษย์เสียอย่างนั้น

ดังนั้นพอเขาฟื้นขึ้นมา ระบบจึงร้องเตือนจนแสบแก้วหู [OOC : หักค่า B 50 คะแนน]

เพื่อเปิดใช้งานอีซีโหมดเมื่อครู่นี้ เขาก็ใช้ไป 100 คะแนนแล้ว โดนหักพรวดเดียว 50 คะแนน จะบอกว่าไม่ปวดใจได้อย่างไร ความจริงอาศัยพลังของเสิ่นชิงชิวตัวจริงในนิยายมารับมือกับปีศาจระดับนี้ ก็เหมือนใช้มีดเชือดโคมาฆ่าไก่ด้วยซ้ำ แต่ที่น่าอายคือยังไม่ทันจะได้ใช้มีดฆ่าโคเลยนี่ซิ

แต่ไม่ช้าเขาก็พบเรื่องที่ทำให้ยิ่งอารมณ์ไม่ดีเข้าไปอีก

เขารู้สึกว่าบนร่างกายตัวเองมีบางอย่างไม่ถูกต้อง มันออกจะหนาว ทั้งยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง พอก้มลงมองคำว่า ‘เชี่ย!’ ก็แทบหลุดจากปาก

เขา! ถูก! ลอก! คราบ! เกลี้ยง! เลย!

ถึงจะลอกคราบแค่ท่อนบน นี่ก็สยองพอแล้ว

เสิ่นชิงชิวจะดีจะชั่วก็เป็นถึงเจ้ายอดเขาคนหนึ่ง ร่างกายท่อนบนเปลือยโล่ง สวมเพียงกางเกงกับรองเท้าหุ้มแข้งสีขาวเท่านั้น ถูกมัดแขนขาอย่างแน่นหนาด้วยเชือกบางๆเส้นหนึ่ง ให้นอนอยู่กับพื้น สารรูปอุบาทว์เป็นที่สุด มองดูเหมือนไอ้หนุ่มหน้าขาวที่ถูกจับได้ว่ามีชู้คาเตียงไม่มีผิด มิน่า! ระบบถึงหักเขาไปตั้ง 50 คะแนน ควรอยู่หรอก ต่อให้หักจนเกลี้ยงก็ยังสาสม

ใบหน้าเสิ่นชิงชิวประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีด อยากเอากระบี่มาขุดดินฝังตัวเองไว้ในหลุมสักแป๊บ ทว่ากระบี่เขากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน

มิน่าเล่าเมื่อครู่ลั่วปิงเหอถึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนและกลัดกลุ้มกังวล เขาต้องคิดแน่เลยว่า การได้เห็นเสิ่นชิงชิวในสภาพอุบาทว์ขนาดนี้ กลับไปจะต้องโดนซ้อมอย่างหนักเพื่อเอาคืนแน่

หนิงอิงอิงร้องไห้สะอึกสะอื้น “ซือจุนท่านฟื้นเสียที อิงอิงกลัว…”

กลัว? ถ้ากลัว เธอก็อย่าเที่ยววิ่งเพ่นพ่านซิน้องหนู! เสิ่นชิงชิวคิดอย่างเซ็งๆ

เวลานี้เองเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ร่างในชุดดำปรากฏขึ้นจากความมืด

“ชางฉยงซานอะไรกัน เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงอะไรกัน ที่แท้ก็แค่นี้เอง หากคนของชางฉยงซานที่ประโคมโอ่ตัวเองว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าล้วนเป็นเช่นนี้ วันที่เผ่ามารยึดครองภพมนุษย์คงมาถึงในเร็ววันแน่” พูดจบก็เงยหน้าหัวเราะอย่างสะใจ

อีกฝ่ายคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่งสีดำ เสียงแหบพร่าไม่น่าฟัง เหมือนคอของพวกขี้ยาสูบฝิ่น

เสิ่นชิงชิวหรี่ตา “มารถลกหนัง?”

“ถูกต้อง ข้าเอง ข้าก็คือมารถลกหนัง! กระบี่ซิวหย่าผู้เลื่องชื่อวันนี้ตกอยู่ในกำมือข้า สาแก่ใจยิ่งนัก เสิ่นชิงชิวเอ๋ย เสิ่นชิงชิง ต่อให้เดาจนกะโหลกแตก เจ้าต้องเดาไม่ออกแน่ว่าข้าเป็นใคร!”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “แค่นี้เดายากตรงไหนกัน”

มารถลกหนัง “…”

เสิ่นชิงชิว “เจ้าก็คือเตี๋ยเอ๋อร์อย่างไรล่ะ”

มารถลกหนัง “…”

มันเลิกผ้าคลุมศีรษะสีดำออก พลางกล่าวอย่างฉุนเฉียว “เป็นไปไม่ได้! เจ้าเดาออกได้อย่างไร!”

เสิ่นชิงชิวพูดไม่ออก

แกนึกว่าฉันตาบอด ดูหุ่นไม่เป็นเรอะ ที่ผู้ชายชอบมองเป็นอันดันแรกยิ่งกว่าหน้าตาก็คือหุ่นนี่แหละ ส่วนหน้าอวบนูน ก้นงามงอน เอวเล็กคอด ต้องผู้หญิงแหงๆ แล้วไหนจะวิธีแต่งบ้านแบบพวกเศรษฐีใหม่ที่หาที่ไหนไม่ได้นี่อีก แกนึกว่าฉันไม่รู้รึว่าตัวเองถูกพากลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินแล้ว

คฤหาสน์ตระกูลเฉินถึงจะมีผู้หญิงมากมาย แต่คนที่ฉันได้เจอมีแค่ไม่กี่คน ที่แนะนำชื่อให้รู้จักก็มีแค่เตี๋ยเอ๋อร์ แกให้ฉันเดา ฉันมีแต่ต้องเดาว่าเป็นเตี๋ยเอ๋อร์น่ะซิ คนอื่นฉันไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำจะเดาได้อย่างไร ใครจะไปนึกว่าเดาทีเดียวก็โป๊ะเชะเลย แล้วใครจะไปนึกว่าแกจะฟิวส์ขาดง่ายแบบนี้ กระทั่งจะปฏิเสธไว้ก่อนยังทำไม่เป็น มาถึงก็เปิดผ้าคลุมปริศนาเลย!

เขาจะพูดออกไปได้หรือ พูดได้ด้วยหรือ จะให้เขาพูดออกไปได้อย่างไร เลยได้แต่เก็กทำเป็นมีลับลมคมในกลบเกลื่อนเอา

‘เตี๋ยเอ๋อร์’ หรือที่ควรเรียกว่า ‘มารถลกหนัง’ ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว สวมหน้าของอนุภรรยาคนโปรดของนายผู้เฒ่าเฉิน เอารอยยิ้มอ่อนหวานนุ่มนวลอย่างสุดจะเปรียบทั้งลำพองใจอยู่ในทีกลับมาอยู่บนหน้าอีกครั้ง “ถูกต้อง! เป็นข้าเอง! เสิ่นชิงชิว! ต่อให้เจ้าเดาจนกะโหลดแตกก็คิดไม่ออกว่าข้าจะเป็นหญิงสาวบอบบางเช่นนี้กระมัง”

เสิ่นชิงชิวนั่งตัวตรง พยายามให้ดูสง่าผ่าเผยขึ้นมานิดหนึ่ง สารรูปจะได้ไม่ดูหมดสภาพเกินไป

ตามธรรมเนียมแล้วพวกบอสต้องมีช่วงเวลาสำหรับการสารภาพ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องไว้หน้ามันหน่อย

เตี๋ยเอ๋อร์ไม่ต้องการกำลังใจจากเขา กล่าวต่อเองเสร็จสรรพว่า “ที่มารถลกหนังไปไหนมาไหนไร้รูปไร้รอย ความจริงแล้วมิใช่เพราะสามารถเหินฟ้าดำดิน หากแต่เป็นเพราะทุกครั้งหลังจากข้าฆ่าคนเสร็จ ก็จะเปลี่ยนคราบร่างใหม่ สวมหนังของหญิงสาวเหล่านั้น เลียนแบบกิริยาท่าทางของพวกนาง ปะปนอยู่กับพวกมนุษย์ได้อย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็น คอยมองหาเป้าหมายต่อไป”

เสิ่นชิงชิว “ไม่ถูกต้อง”

เตี๋ยเอ๋อร์หน้าดำทะมึน “มีตรงไหนไม่ถูกต้อง”

เสิ่นชิงชิว “หากทุกครั้งที่เจ้าฆ่าคนเสร็จก็เปลี่ยนคราบร่าง ตัวอย่างเช่น พอฆ่าเตี๋ยเอ๋อร์ก็ยึดครองคราบร่างของนาง กลายเป็นเตี๋ยเอ๋อร์ แต่ยังมีศพของเตี๋ยเอ๋อร์ที่ถูกเจ้าถลกหนังออกไปแล้ว ผู้คนจะไม่ประหลาดใจหรือว่าทำไมถึงมีเตี๋ยเอ๋อร์ 2 คน

แต่พอคิดดูก็กระจ่างแจ้งทันควัน

โลกนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีตรวจสอบ DNA  พอลอกหนังแล้วก็เป็นแค่ก้อนลือดเหวอะหวะก้อนหนึ่ง แยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร

เตี๋ยเอ๋อร์กล่าว “ดูท่าว่าเจ้าเข้าใจแล้ว ถูกต้อง ข้าจะใช้ศพของผู้หญิงคนถัดมาแทนศพของผู้หญิงคนก่อนหน้า อย่างเช่น ตอนข้าฆ่าเตี๋ยเอ๋อร์ ตอนนั้นข้าสวมคราบร่างของเซียงเอ๋อร์อยู่ ทุกคนเข้าใจว่าเวลานั้นเซียงเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ รอจนหลังจากข้าสวมคราบร่างของเตี๋ยเอ๋อร์แล้ว ศพของเตี๋ยเอ๋อร์ก็จะถูกข้าแสร้งทำให้เป็นศพของเซียงเอ๋อร์ แล้วมีคนมาพบเข้า”

เสิ่นชิงชิวรู้สึกนับถือผู้ร้ายเหล่านี้สุดๆ ช่างมีจรรยาบรรณวิชาชีพสูงกันเหลือเกิน ไม่เพียงต้องเปิดเผยความคิดจิตใจของตัวเอง แถมต้องอธิบายรายละเอียดของกระบวนการและวิธีคิดในการก่อคดีอีกด้วย อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบมาให้เสร็จสรรพ ช่าง…ช่างเอาจริงเอาจังและมีความรับผิดชอบเสียยิ่งกว่าพวกอาจารย์ที่คุมห้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก!

ลั่วปิงเหอฟังพวกเขาอย่างเงียบเชียบมาตลอด แววตาเป็นประกายลุกเรื่องด้วยความโกรธ หัวใจน้อยๆที่รักความเป็นธรรมของเด็กหนุ่มถูกการกระทำอันโหดเหี้ยมของเผ่ามารที่เสียสติผู้นี้ปลุกกระตุ้น

ส่วนหนิงอิงอิงถูกคำว่าเซียงๆเตี๋ยๆทำเอามึนศีรษะสมองพองบวม ฟังไม่รู้เรื่องสักกระผีกแต่ไม่กล้าสอดปาก

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ทุกช่วงระยะเวลาหนึ่งเจ้าต้องเปลี่ยนคราบใหม่เป็นเพราะเจ้ามีความสุขที่ได้เปลี่ยน หรือเพราะความจำเป็น”

เตี๋ยเอ๋อร์หัวเราะเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเจ้าหรือ”

เธอก็บอกฉันมาตั้งเยอะแล้วนี่นา พี่สาว(เอ๊ะ หรือจะพี่ชาย?) ไม่เห็นต้องยกเว้นเรื่องนี้เลย

เตี๋ยเอ๋อร์เดินไปตรงหน้าหนิงอิงอิงและลั่วปิงเหอที่ถูกจับมัดอยู่

ลั่วปิงเหอสงบนิ่งดังเดิม

แต่หนิงอิงอิงกรีดร้องลั่น “ปีศาจร้าย! อย่าเข้ามานะ! ซือจุนช่วยข้าด้วย!”

เตี๋ยเอ๋อร์หัวเราะหึๆ “ซือจุนของเจ้าถูกข้าใช้ ‘เชือกมัดเซียน’ มัดอยู่ ทั่วทั้งร่างไม่อาจโคจรพลังทิพย์ได้ ตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะช่วยเจ้าได้อย่างไร”

มิน่า เมื่อครู่เสิ่นชิงชิวลองออกแรงก็รู้สึกว่าพลังทิพย์ติดขัด ไม่รู้สึกเปี่ยมพลังดังเช่นก่อนหน้า

เตี๋ยเอ๋อร์เข้าสู่โหมดพูดกับตัวเองอีกแล้ว “น่าชังนัก หากมิใช่เพราะพลังวัตรของข้าได้รับความเสียหาย ไหนเลยจะต้องคอยเปลี่ยนคราบและดูดซับปราณของมนุษย์ นางเด็กคนนี้ผิวนุ่มเนียนใสกระจ่าง ทั้งยังเป็นศิษย์สำนักมีชื่อ คะเนว่าคงใช้ไปได้อีกนาน รอจนหนังของเจ้าถูกข้าสูบจนเหือดแห้งเมื่อใด ก็จะถึงตาซือจุนของพวกเจ้า สามารถใช้ร่างของกระบี่ซิวหย่า ชีวิตนี้นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว”

ลั่วปิงเหอ “…”

เสิ่นชิงชิว “…”

เมื่อกี้แกเพิ่งพูดอะไรออกมา ‘เจ้าคิดหรือว่าข้าจะบอกเจ้า’ ใช่ไหม

ตอนนี้ไม่ใช่แค่บอกฉัน แถมพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมาด้วย แผนการในอนาคตก็เอามาเปิดเผย จรรยาบรรณวิชาชีพของตัวร้ายในโลกใบนี้เกินเยียวยาแล้ว!

เสิ่นชิงชิวทำหน้าหนาเจรจากับระบบ “คือว่า…หากระหว่างทำเควสต์เกิดความผิดพลาดขึ้นมา แล้วผมถูกกำจัด จะมีโอกาสเอาข้อมูลเดิมที่เก็บไว้กลับมาใช้ใหม่อีกครั้งไหม”

ระบบ [ร่างทองคำไม่บุบสลายเป็นสิทธิ์พิเศษของพระเอกเท่านั้น]

ยังดีที่พวกผู้ร้ายมักมีนิสัยที่ดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ‘ถามมาเป็นต้องตอบ’

เสิ่นชิงชิวอยากถ่วงเวลา แค่ทำเป็นโยนคำถามใส่เตี๋ยเอ๋อร์ก็ได้แล้ว “เจ้ามิใช่มักลงมือแต่กับหญิงงามที่ยังเยาว์วัยหรอกหรือ”

“ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าเลือกลงมือแต่กับหญิงงามที่ยังเยาว์วัย ขอเพียงเป็นผู้ที่มีผิวพรรณเนียนละเอียดเกลี้ยงเกลา ข้าก็ลงมือหมด เพียงแต่ผิวของบุรุษส่วนใหญ่ไม่ดีเช่นสตรี ผิวของผู้เฒ่าไม่ดีเช่นผู้เยาว์” เตี๋ยเอ๋อร์ร่ายต่อเป็นฉากๆ

แต่แล้วสองตาพลันเขียววาบ ทำหน้าแสดงอาการอยากได้น้ำลายหกขึ้นมา สองมือที่ทาเล็บสีแดงสดลูบคลำไปตามร่างกายท่อนบนของเสิ่นชิงชิว “แต่…ร่างของผู้ที่ผ่านการฝึกวิชาเซียนนั้นแตกต่างออกไปจริงๆเสียด้วย ถึงจะเป็นบุรุษ ทว่าผิวพรรณเปล่งปลั่งเป็นประกายละเอียดเกลี้ยงเกลา นานเหลือเกินแล้วที่ข้าไม่ได้กลับไปใช้ร่างของบุรุษ…”

เสิ่นชิงชิวถูกสองมือของมารถลกหนังลูบคลำจนขนลุกซู่ แต่ต้องทำท่าผ่องแผ้วบริสุทธิ์ไร้มลทิน มิอาจล่วงละเมิด ทางหนึ่งสะอิดสะเอียน ส่วนอีกทางสงสารอยู่ในที

คิดดูแล้ว เจ้าปีศาจตนนี้ก็น่าเวทนาอยู่ เดิมทีมันคงเป็นเพศชาย แต่เป็นเพราะวิชาที่ฝึกเลยต้องใช้ผิวหนังของสตรีมาตลอด ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ น่ากลัวจะเป็นโรคจิตไปแล้วล่ะ…

อย่างไรเสียมันก็สวมใบหน้าของอนุภรรยาผู้สวยหยาดเยิ้มอยู่

เสิ่นชิงชิวถูกลูบคลำไปมาแบบนี้ ออกจะลำบากใจอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน อดหดตัวหลบเป็นระยะไม่ได้

สภาพเช่นนี้ของเขา ในสายตาของลั่วปิงเหอแล้วเกิดผลกระทบที่ไม่ธรรมดาเลย

เมื่อก่อนลั่วปิงเหอมักเห็นแต่สีหน้าที่ดูสูงส่ง ห่างเหิน ถากถาง และเย็นชาอยู่เป็นนิจ ต่างจากยามนี้ที่ได้เห็นเสิ่นชิงชิวมีใบหน้าค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นมิอาจควบคุม ทั้งแววตาท่าทางที่คอยหลบเลี่ยงนั่น ซ้ำท่อนบนซึ่งเปลือยเปล่าของเขา ตามลำตัวนอกจากรอยแดงอันเกิดจากการถูกเชือกมัดเซียนที่ถึงแม้จะบาง แต่ตัดไม่ขาดบาดเอาแล้ว ก็มีเพียงผมยาวดำขลับแผ่สยายปิดบังไว้แบบวับๆแวมๆเท่านั้น ในอกของลั่วปิงเหอพลันเกิดความรู้สึกยุ่งเหยิงปั่นป่วนที่ยากจะบรรยายชนิดหนึ่งเอ่อทะลักออกมา

ถ้าให้เสิ่นชิงชิวหาคำอุปมาสำหรับความรู้สึกตอนนี้ออกมา ก็จะเหมือนการดูหนังแอ็คชั่นโรแมนติกสักเรื่อง ดูๆไปผลปรากฎว่าพระเอกในเรื่องดันเป็นอาจารย์ภาษาอังกฤษที่คอยเรียกเขาให้ตอบคำถามในชั้นเรียนทุกวัน ถ้าตอบไม่ได้จะถูกตีมือ 300 ที นอกจากจะหงายหลังขาชี้ฟ้าแล้วยังเจ็บตัวอีก!

ทันใดนั้น เสิ่นชิงชิงก็ยิ้มกว้าง

เตี๋ยเอ๋อร์ถามอย่างระแวว “เจ้ายิ้มทำไม”

เสิ่นชิงชิวตอบท่าทีสบายไม่รีบไม่ร้อน “ข้าขันที่เจ้าตาต่ำซื้อไข่มุก ดันเก็บแต่กล่อง เอาไข่มุกไปคืน* ที่นี่มีคน 3 คน แต่คนที่มีหนังที่เหมาะให้เจ้าใช้ที่สุด เจ้ากลับหาได้สังเกตเห็นไม่”

(ซื้อไข่มุกเก็บไว้แต่กล่อง เอาไข่มุกไปคืน มีความหมายตรงกับสำนวนไทยว่า มีตาแต่ไร้แวว)

ลั่วปิงเหอได้ยินเข้าก็หน้าเปลี่ยนสีเดี๋ยวนั้น

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงเด็ดขาดว่าอยู่ดีๆ ดันโดนลากลงเหวเสียอย่างนั้น

เสิ่นชิงชิวไม่ได้พูดส่งเดช ลั่วปิงเหอเป็นใครกัน ฐานะที่แท้จริงของเขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นทายาทของมารฟ้าแห่งยุคบรรพกาลเชียวนะ เล่ากันว่าเป็นเผ่ามารที่เคยเป็นเทพตกสวรรค์แล้วแปรเปลี่ยนเป็นมาร เรียกย่อๆว่ามารฟ้า ว่าที่องค์ชายน้อยของเผ่ามารในอนาคต อันเป็นเลือดเข้มข้น มารทั่วไปนั้นหากสามารถได้คราบร่างของเขามา อย่าว่าแต่จะซ่อมแซมพลังวัตรที่เสียหายกลับคืนมาเลย อยากทำอะไรมีหรือจะทำไม่ได้

เตี๋ยเอ๋อร์มองลั่วปิงเหอกลับไปกลับมา ฝ่ายหลังฝืนทำเป็นไม่สะทกสะท้าน ในใจกลับรู้สึกเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูก คิดจนศีรษะแทบแตกก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมอยู่ๆความสนใจถึงได้ย้ายมาที่ตัวเขา

เตี๋ยเอ๋อร์กล่าวว่า “ต่อให้เจ้าอยากโกหกข้า ก็ต้องกุคำลวงให้น่าเชื่อถือหน่อย เจ้าเด็กคนนี้ถึงแม้ผิวพรรณดี กระดูกได้สัดส่วน อีกทั้งผิวนุ่มนวลเนียนแต่จะสู้ร่างจินตานระดับกลางของเจ้าได้อย่างไร”

เสิ่นชิงชิวหัวเราะ “ก็สายตาเจ้าเป็นแบบนี้ ไม่แปลกหรอกที่ฝึกวิชาไม่ประสบผล เจ้าไม่ลองคิดดูเล่า ข้า เสิ่นชิงชิวเป็นบุคคลระดับไหน หากเด็กคนนี้มีดีแค่ผิวพรรณดี กระดูกได้สัดส่วน นอกนั้นไม่มีดีสักอย่าง ข้าจะรับเขาเข้าสำนักเป็นศิษย์ทำไม หากต้องการศิษย์ที่กระดูดได้สัดส่วน ในบรรดาคนที่แห่กันมาขอเข้าสำนักชางฉยงซานทุกปี คนที่มีพรสวรรค์สูงส่ง สติปัญญาเป็นเลิศยังมีให้ข้าเลือกได้พออีกหรือ ปริศนาในการณ์นี้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจบอกต่อคนนอกได้”

เตี๋ยเอ๋อร์หวั่นไหวทันใด

ดีมาก ผู้ร้ายตัวนี้ไอคิวต่ำมากเสียจริง หลอกง่ายสุดๆ คำโกหกที่คิดขึ้นในเวลาจวนตัว ทั้งเต็มไปด้วยช่องโหว่นี้ มันกึ่งจะเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว

เสิ่นชิงชิวรีบตีเหล็กขณะยังร้อน “หากเจ้าสงสัยก็ง่ายมาก ข้าจะบอกวิธีพิสูจน์คำพูดของข้าให้ เจ้าเข้าไปฟาดที่ตำแหน่งกลางของกระหม่อมเขาทีหนึ่ง แล้วจะรู้ว่าข้าโกหกหรือไม่”

ลั่วปิงเหอหน้าซีดเผือดทันตา

ไม่ว่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอย่างไร ตอนนี้เขาก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ใหญ่สักคน เวลาเผชิญหน้ากับความตาย น้อยคนนักที่หน้าไม่เปลี่ยนสี อย่าว่าแต่เข้าที่อายุแค่ 14 เลย

เสิ่นชิงชิวพยายามไม่มองหน้าเขา ในใจเอาหัวโขกพื้นคุกเข่ากล่าวขอโทษลั่วปิงเหอไปแล้วไม่รู้กี่สิบรอบ ปิงเกอ ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างและมีเมตตา ท่านก็อภัยให้ผมที่ปากบอนสักครั้งเถอะนะ ต่อไปไม่กล้าอีกแล้ว วันหลังผมต้องใช้คืนให้แน่!

หนิงอิงอิงตกใจแทบตายแล้ว “ซะ…ซือจุน ทะ…ท่านคงมิได้พูดจริงใช่ไหมเจ้าคะ”

หัวใจของเสิ่นชิงชิวราวกับสายธนูที่พาดขึง ไหนเลยจะสนใจนาง ได้แต่กล่าวยิ้มๆกับเตี๋ยเอ๋อร์ “จริงไม่จริง เจ้าลองดูก็รู้แล้ว ทำไมเล่า กะอีแค่ฟาดหัวเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง ต่อให้ข้าหลอกเจ้า เจ้าก็ไม่ขาดทุนหรอก ใช่ไหมล่ะ หรือเจ้ากลัวว่าที่ข้าพูดจะเป็นความจริงเลยไม่กล้า”

คนที่ไม่รู้ความจริงมาเห็นเข้า จะต้องคิดโดยปราศจากความสงสัยเลยว่า นี่คือการผลักลั่วปิงเหอไปสู่ความตาย

ลั่วปิงเหอไม่อยากเชื่อ เขานึกในใจอย่างเลื่อนลอย เสิ่นชิงชิวเกลียดเขาถึงขนาดนี้เชียวหรือ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตอนขามาทำไมถึงได้ดีต่อเขาขึ้นมาหน่อยล่ะ

ลั่วปิงเหอออกแรงดิ้นโดยสัญชาตญาณ เชือกที่ผูกบนร่างเขาเลยยิ่งขึงตึงเข้าไปอีก

หนิงอิงอิงถึงแม้โดนดึงไปด้วยจนเจ็บ แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ได้แต่ร้องไห้กระซิกๆ

น้ำเสียงและคำพูดของเสิ่นชิงชิวมีพลังในการโน้มน้าวสูงมาก

เตี๋ยเอ๋อร์ลองคิดๆดูแล้วเห็นจริงตามนั้น มันฆ่าคนมาแล้วมากมาย กะอีแค่ฟาดหนึ่งฝ่ามือจะต้องไปกลัวอะไร

มันแค่นเสียง “ข้ากลับอยากเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะมีอุบายอะไรกันแน่”

ว่าแล้วก็ก้าวไปหาลั่วปิงเหอ ยกมือขึ้นฟาดทันที!

โอกาสมีเพียงชั่วเสี้ยววินาที! รูม่านตาของเสิ่นชิงชิวหดเล็กลงโดยพลัน

ขณะที่ฝ่ามือจะฟาดลงไปนี้เอง ขื่อตัวหนึ่งก็จับพลัดจับผลูหักลงมาพอดีราวกับเทพหรือผีก็ไม่รู้บันดาล…

หากตอนนี้เสิ่นชิงชิวยังเป็นนักอ่าน ‘เทพมารอหังการ’ อยู่ อ่านมาถึงตรงนี้เป็นต้องเขวี้ยงมือถือด่าเช็ดแน่

ระบบได้แจ้งกฎเหล็กหมื่นปีไม่คลอนแคลนเอาไว้แล้ว นั่นคือพระเอกไม่มีทางตาย หรือพูดอีกนัยหนึ่ง หากมีสิ่งใดคุกคามชีวิตพระเอก สิ่งนั้นจะถูกเหนี่ยวนำให้ไปสู่ความตายเสียเอง!

เสิ่นชิงชิวจงใจยุเตี๋ยเอ๋อร์ให้ไปทำร้ายลั่วปิงเหอ เพื่อเอากฎนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ หมายยืมมีดฆ่าคน แม้…ทำเช่นนี้จะดูใจร้ายไปสักหน่อย แต่ลั่วปิงเหอไม่มีทางได้รับอันตรายอย่างแน่นอน กลับกันหากไม่ทำเช่นนี้ ดีไม่ดีเสิ่นชิงชิวนั่นแหละที่ต้องมาตายเสียเอง มองกันในระยะยาว ตอนนี้เขาโยนขี้ให้ลั่วปิงเหอ วันหน้าก็ยังมีโอกาสเอาความรู้สึกที่ดีกลับคืนมาได้

แต่ว่า

ไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี แกเห็นไอคิวของนักอ่านเป็นอะไร บ้านเขาใหม่เอี่ยมหรูหรา อยู่ดีๆ ขื่อห้องก็พังลงมาเสียอย่างนั้นนี่นะ

ถึงต้องช่วยให้พระเอกรอดจากความตายอย่างฉิวเฉียด แต่นี่มันตัดฉากแข็งทื่อไปหน่อยไหม แบบนี้ต่างอะไรกับละครโทรทัศน์น้ำเน่าที่พระเอกนางเอกกำลังจะกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิด แล้วดันมีรถพุ่งเข้ามาชนให้จบแบบ Bad End. เสียอย่างนั้น พล็อตสุดป่วย!

ขื่อห้องที่แทบจะใหม่เอี่ยมตกลงมาใส่เตี๋ยเอ๋อร์พอดิบโดยไร้สาเหตุ ทำเอามันเกือบแบนแต๊ดแต๋กับพื้นลุกไม่ขึ้น แถมขื่อที่ตกลงมายังฟาดเสาที่ลั่วปิงเหอกับหนิงอิงอิงถูกจับมัดไว้ให้ล้มลงอย่างสุดจะประจวบเหมาะ

หนิงอิงอิงตกใจจนเป็นลมไปก่อนหน้าแล้ว

ลั่วปิงเหอดิ้นแรงๆสักพักก็หลุดออกมาอย่างไร้สาเหตุอีกเช่นกัน

หลังจากอุบัติเหตุต่อเนื่องอันไม่มีที่มาที่ไป สภาพในห้องก็เป็นดังนี้ เสิ่นชิงชิวถูกเชือกมัดเซียนมัดไว้ นั่งอยู่กับพื้นมองลั่วปิงเหอที่ยืนอึ้งด้วยความงุนงง ขณะที่เตี๋ยเอ๋อร์นอนสลบอยู่ข้างๆ

แค่นี้คือ…หมดเรื่องแล้ว?

เสิ่นชิงชิวคิดได้ไม่ทันไร เตี๋ยเอ๋อร์ก็พลิกกายหลุดจากใต้ขื่อกระโดดปราดขึ้นทันที

มันตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เสิ่นชิงชิว! คนของชางฉยงซานต่ำช้าไร้ยางอายเจ้าแผนการเสียจริง เมื่อครู่เจ้าใช้วิธีการชั่วร้ายอะไร ถึงลอบทำร้ายข้าลับหลังได้เช่นนี้”

ความจริงแล้วเสิ่นชิงชิวหาได้มีความผิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย ผู้ร้ายตัวจริงควรเป็นลั่วปิงเหอต่างหาก

เตี๋ยเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ลดละ “เจ้าจงใจหลอกข้าจริงๆด้วย คิดเบนความสนใจข้าแล้วลอบโจมตีซินะ ไม่อย่างนั้นทำไมขื่อห้องจะพังตกลงมาใส่ตัวข้าพอดิบพอดีได้”

เขา/เธอ อุตส่าห์สังเกตจุดที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลของเนื้อเรื่องได้อย่างหัวไว ไอคิวเยียวยาได้นี่! เสิ่นชิงชิวนึกปลื้มใจหน่อยๆ

เตี๋ยเอ๋อร์ยิ้มเหี้ยม “เจ้าคิดว่าแค่นี้จะสกัดข้าได้อย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ มีแต่กระบี่วิเศษของชาวเซียนเท่านั้นที่ตัดเชือกซึ่งพันธนาการเจ้าให้ขาดได้ หากใช้วิธีธรรมดาสามัญ อย่าคิดหมายจะดิ้นหลุดไปได้เลย”

…เพิ่งจะชมไปหยกๆ กลับมาโง่อีกแล้ว วิธีปล่อยศัตรูน่ะ ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้นะ!

แถมยังกลัวฉันจะมองไม่เห็นว่าแกเอากระบี่ซิวหย่าเก็บไว้ตรงไหน อุตส่าห์เปิดเสื้อคลุมโชว์กระบี่ที่ห้อยอยู่ข้างเอว แล้วตบเรียกความสนใจอีกต่างหาก!

เสิ่นชิงชิวข่มความสะเทือนใจต่อไปไม่ไหว เจียดเวลาไปเจรจากับระบบครู่หนึ่ง “ขอถามหน่อยเถอะ ผู้ร้ายทุกตัวนี่มากันแนวนี้หมดเลยรึ”

ระบบ [เพื่อเป็นการรับประกันว่าท่านจะสามารถผ่านภารกิจขั้นต้นไปได้อย่างราบรื่น หลังจากเปิดใช้งานอีซี่โหมด ไอคิวของผู้ร้ายจะถูกตั้งค่าให้ต่ำกว่าระดับปกติ]

ที่แท้ไม่ใช่บอสทุกตัวจะเลอะเลือนแบบนี้ เสิ่นชิงชิวนึกเสียดายขึ้นมานิดหน่อย แต่ยังกดไลค์ให้รัวๆ “อีซี่โหมดของพวกคุณออกแบบมาได้สะดวกต่อการใช้งานดีมาก บริการด้วยน้ำใจจริงๆ ขอชม ขอชม”

เตี๋ยเอ๋อร์กัดฟันกรอด “คราวนี้ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรอีก ข้าก็จะไม่ฟังแล้ว รับความตายเถอะ เสิ่นชิงชิว!”

เสิ่นชิงชิวตะโกนลั่น “ขอพูดคำสุดท้ายหน่อย!”

ภายใต้อานุภาพของอีซี่โหมด เตี๋ยเอ๋อร์หยุดมือไว้ก่อนจริงๆ “เจ้ายังมีอะไรจะสั่งเสียหรือ”

เสิ่นชิงชิวคิดนิดนึง แล้วค่อยถามว่า “รสชาติของการขึ้นเตียงกับตาแก่วัยหกสิบนี่มันเป็นเช่นไรรึ”

“…” เตี๋ยเอ๋อร์โกรธจนหน้าบิดเบี้ยว เนื้อตัวสั่นเทิ้ม

ลั่วปิงเหอที่อยู่ข้างหลังฉวยโอกาสนี้โผเข้าใส่ทันที

เขาฉวยกระบี่ซิวหย่าซึ่งห้อยอยู่ข้างเอวเตี๋ยเอ๋อร์ออกมา ทันทีที่ชักกระบี่ออกจากฝัก ประกายขาวพร่างก็สว่างวาบไปทั่วทั้งห้อง

เงาสีเงินกรีดผ่านลงมา เชือกมัดเซียนบนร่างของเสิ่นชิงชิวขาดสะบั้นโดยพร้อมเพรียงกัน

ได้แต่โทษไอคิวของบอสเล็กเตี๋ยเอ๋อร์อันต่ำกว่ามาตรฐานภายใต้อีซี่โหมดแล้ว

ลั่วปิงเหอตัวเป็นๆยืนอยู่ข้างหลังทั้งคน มันกลับถือเอาเป็นคนตายเสียอย่างนั้น

เตี๋ยเอ๋อร์ร้องลั่น “เป็นไปไม่ได้”

พอได้ละ ฉันไม่ขอฟังบอสวิเคราะห์จิตใจตัวเองก่อนตายตามหน้าที่เป็นอันขาด ไม่อยากฟัง มุมปากเสิ่นชิงชิวกระตุก โคจรพลังทิพย์ทั้งหมดมาไว้ที่มือขวา ฟาดไปที่ช่วงอกของเตี๋ยเอ๋อร์ ฝ่ายหลังกระเด็นออกไปทันทีราวกับว่าวสายป่านขาด

นี่เป็นการลงมือสังหารครั้งแรกของเสิ่นชิงชิว แต่เขากลับไม่ยั้งมือแม้แต่นิดเดียว

ข้อ 1 นี่คือนิยาย

ข้อ 2 นี่คือปีศาจที่สังหารคนมานับไม่ถ้วน

ข้อ 3 ถ้าเขาไม่ลงมือ ที่จะตายก็คือเขาเองนั่นแหละ

เสิ่นชิงชิวปรายตามองสภาพอเนจอนาถของ ‘เตี๋ยเอ๋อร์’ ที่แขนขาบิดเบี้ยว เลือดออกเจ็ดทวาร* ก่อนหันกลับมาแล้วใช้เหตุผล 3 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นล้างสมองตัวเอง เขาฝืนทำเป็นไม่สะทกสะท้าน ค่อยๆยันกายขึ้นทำใจให้สงบ จัดท่าทาง จากนั้นหันไปกล่าวกับลั่วปิงเหอ “เห็นการกำราบมารผดุงคุณธรรมครั้งแรก ตกใจกลัวหรือไม่”

(เลือดออกเจ็ดทวาร หมายถึง สองตา สองหู สองรูจมูก และหนึ่งปาก)

ใบหน้าที่ยังมีเค้าความเป็นเด็กของลั่วปิงเหอซีดเผือด

เสิ่นชิงชิวกล่าวหน้าตาเฉย “หากจะ ‘ผดุง’ ก็ต้อง ‘ปราบ’ ”

ลั่วปิงเหอกัดฟันกล่าวเสียงสั่น “ซือจุน ศิษย์ขอบังอาจถามคำหนึ่ง “เมื่อครู่…”

คำถามที่เหลือไม่ถามออกมาให้หมดเสียที เสิ่นชิงชิวเลยกล่าวว่า “เจ้าอยากถามว่า หากเมื่อครู่ขื่อห้องไม่ได้พังลงมากะทันหัน เหวยซือตั้งใจจะทำอย่างไรกระมัง”

เสิ่นชิงชิวได้แต่น้ำท่วมปาก เขาอยากบอกลั่วปิงเหอใจจะขาดว่าเจ้าวางใจเถอะ ต่อให้ขื่อไม่ได้พังลงมา ก็มีความเป็นไปได้ว่าผนังจะพังลงมา ต่อให้ผนังไม่พัง ก็มีความเป็นไปได้อีกเช่นกันว่า เสาจะพังแทน สรุปแล้วเจ้าไม่มีทางตาย แต่บอสต้องตายแน่นอน…

เรื่องนี้ยากจะกล่าว เขาได้แต่แกล้งวางมาดลึกล้ำสุดหยั่ง เสพูดเรื่องอื่นแทน “นี่จะถือว่าเจ้ากำลังตำหนิเหวยซือได้หรือไม่”

ลั่วปิงเหอส่ายศีรษะ กล่าวด้วยสีหน้าแววตาจริงใจ “มิได้ขอรับ หากสามารถสละชีวิตเพื่อซือจุนได้ สำหรับศิษย์แล้วถือเป็นเกียรติขอรับ”

…เสิ่นชิงชิวถูกความดอกบัวขาว(ความใสซื่อบริสุทธิ์ดุจบัวขาว) ของเขาทำเอาตื่นตะลึงถึงขีดสุดแล้ว!

เสิ่นชิงชิวคิดๆ แล้วจึงเลือกคำพูดที่ค่อนข้างกำกวมหน่อยมากล่าว “เช่นนั้นเหวยซือก็จะบอกต่อเจ้า ต่อให้เหวยซือเกิดเรื่อง ก็จะไม่เกิดเหตุอันใดกับเจ้าแน่นอน”

นี่เป็นความจริงอย่างที่สุด ต่อให้เสิ่นชิงชิวตายเป็นร้อยครั้ง เอี๊อก…ร้อยครั้ง พระเอกลั่วปิงเหอที่ร่างทองคำไม่บุบสลายก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ดีได้!

สีหน้าของเขามั่นใจและสงบนิ่ง ไม่มีท่าทางฝืนใจแม้แต่นิดเดียว กล่าวด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน “เรื่องนี้ ไม่มีการหลอกลวงเด็ดขาด”

ลั่วปิงเหอได้ฟังคำพูดนี้ คล้ายดั่งพลังชีวิตถูกจุดขึ้นมาใหม่ ดอกทานตะวันที่คอตกอยู่เมื่อครู่ชูคอบานสะพรั่งอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง สองมือประคองกระบี่ขึ้นสูงถึงคิ้ว น้อมส่งให้เสิ่นชิงชิว “ซือจุน กระบี่ของท่านขอรับ!”

เสิ่นชิงชิวรับมา ในใจลอบปาดเหงื่อ เด็กคนนี้หลอกง่ายจริงๆ เมื่อกี้ถูกให้ร้ายจนขวัญกระเจิดกระเจิง เพียงคำพูดสองสามคำก็สามารถฟื้นคืนชีพอีกครั้งแล้ว ถ้าเป็นเกมก็กลับมามีสถานะค่าเลือดเต็มแถบ แต่ในอนาคตจะไม่ถูกหลอกง่ายเช่นนี้อีก การเติบใหญ่ช่างเป็นเส้นทางอันโหดร้ายเต็มไปด้วยขวากหนามเสียจริง…

จากนั้นระบบก็กระหน่ำข้อความมาเป็นชุดที่ทำให้เขาปลื้มสุดๆ

[ระดับความประทับใจของหนิงอิงอิงเพิ่มขึ้น ค่าความฟินของพระเอกเพิ่มขึ้น 50 คะแนน]

[ได้รับไอเทมระดับสูง ‘เชือกมัดเซียน’ พลังของตัวโกงเพิ่มขึ้นมา 30 คะแนน]

[ทำภารกิจขั้นต้นเสร็จสมบูรณ์ ค่า B เพิ่มขึ้น 200 คะแนน ฟังก์ชั่น OOC ปลดล็อคแล้ว จากนี้ไป ท่านมีสิทธิ์ในการควบคุมแอคเคาน์เสิ่นชิงชิวโดยสมบูรณ์ ยินดีด้วย! ขอให้พยายามต่อไป]

เสิ่นชิงชิวชักชอบเกมประลองแบบนี้ตรงที่มีขึ้นมีลง เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจนี่แล้ว

ฟังก์ชั่น OOC ปลดล็อคแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไปเขาสามารถเดินหน้าโปรเจคอันทรงเกียรติในการเกาะแข้งเกาะขาพระเอกได้อย่างเต็มที่เสียที

กลับถึงชางฉยงซาน เรื่องแรกที่ทำคือขึ้นยอดเขาฉยงติ่งเฟิง(เพดานฟ้า) อันเป็นที่ทำการของเจ้าสำนัก เพื่อรายงานผลปฏิบัติการต่อเยวี่ยชิงหยวน

ก่อนหน้านี้เสิ่นชิงชิวมีความรู้สึกมาตลอดว่า ศิษย์พี่เจ้าสำนักผู้นี้ออกแนว NPC ที่มีไว้เพื่อคอยมอบเควสต์ แต่ความรู้สึกเหล่านี้สูญสลายไม่เหลือร่องรอยหลังย่างเท้าเข้าประตูใหญ่ของสำนัก

ยังไม่ทันก้าวเข้าห้องโถงใหญ่ เยวี่ยชิงหยวนก็เดินนำขบวนศิษย์ของยอดฉยงติ่งเฟิงมาต้อนรับเขาแล้ว ทั้งสองคนเพิ่งจะเจอหน้ากันก็ยิ้มทันที มือขวาของเยวี่ยชิงหยวนคว้าหมับเข้าที่ชีพจรของเสิ่นชิงชิว

เสิ่นชิงชิวพลันตกใจ แต่หลังจากนั้นเห็นว่าเยวี่ยชิงหยวนไม่ได้ทำอะไรเกินกว่าตรวจชีพจรอย่างตั้งใจ จากปราณอ่อนจางสายหนึ่งที่ถ่ายทอดเข้ามา เลยรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงตรวจการโคจรของปราณทิพย์ภายในร่างกายตนเท่านั้น จึงค่อยวางใจ

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเยวี่ยชิงหยวนก็ปล่อยมือ ก่อนหัวเราะและเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมเสิ่นชิงชิว ถามว่า “การไปสั่งสมประสบการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

น้ำเสียงแบบพี่ชายคนโต ชวนให้เสิ่นชิงชิวคิดถึงพี่ชายทั้งสองของตนขึ้นมาทันที แม้รู้สึกเศร้าขึ้นมาเพียงนิด แต่กลับอบอุ่นยิ่งกว่า กระทั่งคำพูดท้อใจยังกล่าวได้อย่างหน้าชื่น “ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังนักขอรับ”

เหล่าลูกศิษย์นั้น กระทั่งเงาของมารถลกหนังก็ไม่ได้เห็น เมื่อมองว่านี่คือการไปสั่งสมประสบการณ์ของศิษย์ ก็ถือว่าไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “อย่าร้อนใจไปเลย”

เสิ่นชิงชิวพยักหน้าแล้วเปลี่ยนหัวข้อฉับ “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ข้าอยากเข้าถ้ำหลิงซีด้านหลังฉยงติ่งเฟิงเพื่อปิดด่านฝึกวิชาขอรับ”

ยอดเขาฉยงติ่งเฟิงในฐานะที่เป็นยอดหลักของทั้งสิบสองยอดเขา ย่อมเก็บกักแก่นพลังงานชั้นยอดของฟ้าดินไว้ได้มากที่สุด ส่วนถ้ำหลิงซีคือสถานที่สำหรับฝึกบำเพ็ญเพียรที่ดีที่สุดของฉยงติ่งเฟิง เรียกได้ว่าลงแรงน้อยแต่ได้ผลมาก ด้วยเหตุนี้ บุคคลระดับผู้อาวุโสของสำนักหรือศิษย์ที่มีฝีมือโดดเด่นล้วนสามารถขอเจ้าสำนักเข้าไปปิดด่านฝึกวิชาในนั้นได้ เพียงแต่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าสำนักก่อนถึงจะเข้าไปได้

เสิ่นชิงชิวอยากเข้าถ้ำหลิงซีเพื่อปิดด่านฝึกวิชา แน่นอนว่าเยวี่ยชิงหยวนไม่มีทางไม่อนุญาต แต่รอยยิ้มที่ริมฝีปากกลับดูเจื่อนลง หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่ความรู้สึกนี้ก็วาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เยวี่ยชิงหยวนถามเขาอย่างนุ่มนวล “ไว้สำหรับงานชุมนุมเซียนครั้งใหญ่หรือ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ขอรับ”

ไม่ใช่แค่เพราะงานชุมนุมเซียนครั้งใหญ่ คดีมารถลกหนังคราวนี้ทำให้เสิ่นชิงชิวตระหนักถึงความสำคัญของการฝึกวิชาเซียนมากขึ้น ในโลกใบนี้ต้องมีกำลังที่แข็งแกร่งจึงจะมีสิทธิ์คิดเรื่องอนาคตได้ ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะมีอีซี่โหมดกับบอสไอคิวต่ำกว่ามาตรฐานทุกครั้งไป

ก่อนปิดด่านฝึกวิชา เสิ่นชิงชิวเรียกลั่วปิงเหอเข้ามาแล้วมอบวิชาบำเพ็ญฌานเบื้องต้นที่ถูกต้องให้เขา

ลั่วปิงเหอรับคัมภีร์ไป แล้วถามว่า “ทำไมซือจุนถึงมอบคัมภีร์เล่มที่ไม่เหมือนเก่าให้ศิษย์เล่าขอรับ”

เสิ่นชิงชิวปั้นน้ำเป็นตัวอย่างเอาจริงเอาจัง “พื้นฐานร่างกายเจ้าไม่เหมือนผู้อื่น ไม่สามารถฝึกตามแนวทางวิชาบำเพ็ญฌานทั่วไปของสำนักได้”

เขาไม่อยากเปิดโปงความจริงเรื่องที่เสิ่นชิงชิวยุหมิงฟานให้เราตำราปลอมมอบแก่ลั่วปิงเหอ ต่อให้อีกไม่นานความจริงก็จะเปิดเผยออกมาอยู่ดี

มองตาหลังเสิ่นชิงชิวที่เดินห่างออกไป ลั่วปิงเหอประคองคัมภีร์บำเพ็ญฌานเบื้องต้นเล่มนั้นไว้ ใจสั่นไหวอย่างรุนแรง

นี่คือคัมภีร์บำเพ็ญฌานเบื้องต้นที่ซือจุนมอบให้เขาคนเดียวโดยเฉพาะ

เสิ่นชิงชิวหันหน้ากลับมามองเป็นระยะ เห็นลั่วปิงเหอยังยืนเซ่ออยู่ที่เดิมก็คลึงหว่างคิ้วแล้วเดินต่อ

ถึงไม่รู้ว่าลั่วปิงเหอคิดอะไรอยู่ แต่สงสัยจะคิดมากไปแล้วล่ะ…

_________________________

ในถ้ำหลิงซี ทางเดินคดเคี้ยววังเวง หลังจากลดเลี้ยงมาร้อยคดพันโค้ง ก็ปรากฏสถานที่อันงดงามราวกับถ้ำฟ้า ไร้ลมไร้จันทร์ทว่าสงบเย็น หินขาวดุจเมฆ หินเขียวดังหยก มีแท่นหินที่เกิดตามธรรมชาติรูปทรงแปลกประหลาดน้อยใหญ่มากมาย ตรงกลางยังมีสระแห่งหนึ่ง น้ำในสระสีเขียวมรกตใสปานกระจก ภาพสะท้อนบนผิวน้ำชัดแจ๋วราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่ง

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของสถานที่อันสมบูรณ์แบบแห่งนี้คือ ผู้อาวุโสที่เข้ามาปิดด่านฝึกวิชาก่อนหน้าอาจไม่สนใจนักว่านี่เป็นสถานที่สาธารณะ ตามผนังถ้ำมีรอยคมกระบี่กรีดผ่าจนเป็นร่องทั้งแนวขวางและแนวตั้งนับไม่ถ้วน ม่านโลหิตปื้นใหญ่ที่จับตัวแข็งอยู่ตามผนังหิน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีคล้ำแล้ว

นี่เป็นเพียงโพรงหนึ่งในบรรดาโพรงมากมายที่มีอยู่ในถ้ำ ถึงจะชวนให้นึกสงสัยว่าเกิดการฆาตกรรมขึ้นที่นี่ แต่เสิ่นชิงชิวก็พอใจมากแล้ว ไม่คิดไปหาที่อื่นอีก

เขานั่งบนแท่นหิน เริ่มบำเพ็ญฌานตามวิชาในคัมภีร์โบราณที่ท่องมา

กระนั้นราวกับสวรรค์ไม่ยินยอมให้เขาเพิ่มค่า B โดยง่าย นั่งสมาธิได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้น

เสียงหอบหายใจแผ่วต่ำ

นี่เป็นเสียงของคนที่กำลังหอบหายใจอย่างทรมานด้วยความเจ็บปวด

ขณะเดียวกันเขาก็สำเหนียกได้ถึงคลื่นพลังทิพย์อันแปรปรวนระลอกหนึ่งที่จวนเจียนจะระเบิดออกเต็มที

เอาล่ะ เสิ่นชิงชิวรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ถ้ำหลิงซีใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่สามารถขอเข้ามาปิดด่านฝึกวิชาได้ ข้างในยังมีคนอื่นที่กำลังบำเพ็ญฌานอยู่เช่นกัน อีกทั้งตอนนี้กำลังธาตุไฟเข้าแทรก ตกอยู่ในจังหวะคับขันพอดี

ฉัน! แค่! อยาก! ปิด! ด่าน! ฝึก! วิชา! เลื่อน! เล! เวล! แต่! ไม่! เอา! แบบ! นี้! ได้! ไหม! ไม่! เอา! ไม่! เอา!

เสิ่นชิงชิวลืมตาขึ้นทันที ตกลงใจไปตรวจดูสักเที่ยวหนึ่ง เขาเดินตามเสียงและคลื่นแปรปรวนของพลังทิพย์ไป เลี้ยวประมาณเจ็ดโค้งแปดขด เสียงเคลื่อนไหวยิ่งเข้าใกล้ยิ่งดังชัดขึ้น

ในที่สุดก็เข้าสู่อีกโพรงหนึ่ง ทันทีที่เข้าไปก็เห็นร่างในชุดขาวของคนผู้หนึ่งหันหลังให้ กระบี่ยาวเล่มหนึ่งปักอยู่ในหินจมมิดด้าม

ปราณกระบี่ในถ้ำแตกฉานซ่านเซ็นสับสนไร้ทิศทาง ร่างของคนชุดขาวผู้นั้นเปื้อนเลือด แลดูคล้ายเหยื่อที่ถูกทำร้าย ทว่าครั้นมองท่าทางก็ดูคล้ายกับว่าเขานั่นแหละคือฆาตกรโรคจิตเสียเอง

คนผู้นี้กำลังธาตุไฟเข้าแทรกขั้นสาหัสจริงๆ!

เสิ่นชิงชิวยืนครุ่นคิดว่า ตนเองที่มีความรู้ครึ่งๆกลางๆหาสาระอะไรไม่ได้นี้ หากไปกรุยชีพจรให้ฝ่ายตรงข้าม ความเป็นไปได้ที่จะช่วย หรือความเป็นไปได้ที่จะซ้ำเติม อันไหนมีแนวโน้มมากกว่ากัน ขณะเดียวกันก็เหลือบมองกระบี่เล่มนั้นแวบหนึ่ง

ยามนี้ด้วยเหตุว่าพลังทิพย์ของผู้เป็นนายระเบิดออก ตัวกระบี่จึงสั่นไม่หยุด จนค่อยๆหลุดออกมาเองทีละนิด พลางส่งเสียงแหลมสูงแสบแก้วหู ประกายสีเงินแผ่ออกมาตามด้ามกระบี่ที่สลักอักขระมนตร์และลายหลวนเฟิ่ง* อย่างต่อเนื่อง

(หลวนเฟิ่ง คือวิหคเทพในตำนาน เดิมเรียกกันว่า นกหลวน ถูกจัดให้เป็นนกตระกูลเดียวกับนกเฟิ่ง(หงสา) แต่ต่อมาคนก็เรียกรวมๆกันว่า หลวนเฟิ่ง”

เสิ่นชิงชิวมองทีเดียวก็จำได้ว่านี่เป็นกระบี่อะไร และกระบี่ของใคร

ไข่แม่มึง!

ซวยสุดๆ ดันมาเจอคนๆนี้เข้า!

หากเมื่อครู่เจตนาของเขาคือช่วยคน ตอนนี้ความคิดกลับเหลือแค่อยากวิ่งหนีเท่านั้น ทว่าสายไปเสียแล้ว จู่ๆคนในชุดขาวก็หันกลับมากะทันหัน จนเห็นเขาเข้า!

เสิ่นชิงชิงไม่มีแก่ใจจะกล่าวชมว่า ‘หนุ่มหล่อ’ เลย ก็ถ้าหนุ่มหล่อนั่นมองคุณด้วยสองตาแดงเถือก เส้นเอ็นเส้นเลือดเขียวปูดโปนล่ะก็ คุกเข่าให้แทนจะดีกว่าไหม!

เขาสะบัดชายแขนเสื้อออกวิ่งทันที ชายหนุ่มผู้นั้นฟาดฝ่ามือกับผนังหิน ทำเอาสะเก็ดหินกระเด็นว่อน กระบี่ยาวหลุดออกจากหินในที่สุด และเหินมาปักตรงหน้าเสิ่นชิงชิวพอดี จนสะบั้นทางหนีของเขา หากวิ่งเร็วกว่านี้สักนิดคงหยุดไม่ทัน เขาเป็นได้หัวขาดคาที่ไปแล้ว ตอนนั้นเองคนชุดขาวที่สูญเสียสติรู้คิดไปแล้วก็โผเข้ามา

เสิ่นชิงชิวเห็นว่าหนีก็คงไม่ทันแล้ว ได้แต่แข็งใจสู้ โคจรพลังทิพย์มาไว้ที่มือขวา ฟาดเข้าที่อกของอีกฝ่ายสุดแรงเกิด

หากคนผู้นี้เป็นเหมือนที่ร่ำลือ คือมีพลังยุทธ์แทบจะสูสีกับพระเอก ถ้าอย่างนั้นฝ่ามือที่ฟาดไปก็ไม่มีประโยชน์ทำเบื๊อกอะไรเลย ไม่เพียงไม่มีประโยชน์ แถมเสิ่นชิงชิวอาจถูกดีดกระดอนออกไป 3 จั้ง* กระอักออกมาเป็นเลือดบ้างอะไรบ้างก็เป็นได้

(จั้ง คือ หน่วยวัดความยาวของจีน 1 จั้ง = ประมาณ 3 เมตร)

แต่มันกลับได้ผล ที่กระดอนออกไป 3 จั้ง กระอักออกมาเป็นเลือดไม่ใช่เสิ่นชิงชิว กลับเป็นอกีฝ่ายเสียอย่างนั้น

เสิ่นชิงชิวยกมือขวาของตนขึ้น มองดูคนชุดขาวที่ถูกตัวเองฟาดลงไปนอนคว่ำกับพื้น แล้วแอบคิดว่า ไม่ต้องเต๊ะมาก ก็เก่งเหมือนกันนะเรานี่!

ปกติแล้ว เวลาคนที่ธาตุไฟเข้าแทรก คลุ้มคลั่งขึ้นมานั้นน่ากลัวก็จริง แต่ในทางกลับกันบุคคลนั้นก็อ่อนแอมากเช่นกัน หากดวงดีพอ อาจฟาดแค่ฝ่ามือเดียวก็ส่งผลให้ฟางเส้นสุดท้ายของเขาขาดสะบั้นไปเลยก็เป็นได้

สีหน้าของเสิ่นชิงชิวสับสน ขณะมองดูคนผู้นั้นนั่งชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้นอย่างเจ็บปวดทุรนทุราย พยายามจะยักแยะยักยันลุกขึ้นมาฉีกตนเป็นชิ้นๆให้จงได้ แต่กลับไม่ประสบผล หัวเข่าทรุดลงไปอีก เสิ่นชิงชิวถอนใจในที่สุด เดินเข้าไปวางมือแปะบนหลังเขา

“พูดกันให้รู้เรื่องก่อนนะ” เสิ่นชิงชิวไม่สนใจว่าเขาจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ ก้มหน้าก้มตาพูดไปเรื่อย “ไม่ช่วยเจ้าตอนนี้ก็ช่วยไม่ทันแล้ว งานแบบนี้ข้าไม่ถนัด เผื่อว่าเจ้า…แหะ แหะ จะดีจะชั่วก็ถือว่าข้าทำเต็มที่แล้วนะ ห้ามมาโทษกันเด็ดขาด”

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าปราณทิพย์ในกายคนผู้นั้นค่อยๆสงบจนโคจรเป็นปกติ ใจที่แขวนค้างจึงค่อยๆวางลงได้ เขาชักมือกลับมา ที่เหลือได้แต่ภาวนาให้การรักษามั่วซั่วของเขาจะไม่ทำให้พลังฝึกปรือของอีกฝ่ายถดถอยลง

ผู้ที่ถูกเขาซัดหมอบแล้วช่วยกลับคืนมาใหม่ผู้นี่ยังคงคอพับคออ่อนไม่รู้สึกตัว

ความจริงเสิ่นชิงชิวพอจะเดาออกแล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร แต่ระบบก็อุตส่าห์ติ๊ดเข้ามาช่วยยืนยันให้อยูดี

[ยินดีด้วย ระบบขอแจ้งให้ทราบว่า การเปลี่ยนเนื้อเรื่อง ‘ความตายของหลิ่วชิงเกอ’ ส่งผลให้ค่ารนหาที่ตายและค่าความเกลียดชังของตัวร้ายเสิ่นชิงชิวลดลง ค่า B เพิ่มขึ้น 200 คะแนน]

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

นี่คือศิษย์น้องร่วมสำนักของเขา ทั้งยังเป็นคนที่ตายเปล่าด้วยน้ำมือของเสิ่นชิงชิวในนิยายดั้งเดิมอีกด้วย

เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิง(ร้อยสมรภูมิ) หนึ่งในสิบสองยอดเขาแห่งชางฉยงซาน ‘หลิ่วชิงเกอ’

หลิ่วชิงเกอ เป็นตัวละครที่เก่งกาจขั้นเทพคนหนึ่ง

ในสิบสองยอดเขาของชางฉยงซาน แต่ละยอดเขาต่างก็ดีและโดดเด่นแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น

ฉยงติ่งเฟิงที่เป็นผู้นำ คอยดูแลเรื่องทั่วไปและความเป็นอยู่ของทุกยอดเขาโดยรวม

ชิงจิ้งเฟิงของเสิ่นชิงชิว เป็นที่นิยมของบรรดาปัญญาชนและคนหนุ่มสาวที่ไฝ่ศิลปะวิทยามากที่สุด

ส่วนยอดวั่นเจี้ยนเฟิง ด้วยวาระฟ้า ชัยภูมิ และมนุษย์ที่ประสานอย่างลงตัว เกื้อหนุนให้ก่อเกิดยอดฝีมือนักหลอมกระบี่มากมายมาแต่โบราณ

ขู่สิงเฟิง(บำเพ็ญทุกข์กิริยา) แค่ชื่อก็บอกแล้วว่าทำอะไร ต่อให้เอาแส้เฆี่ยน เสิ่นชิงชิวก็ไม่คิดจะไปเหยียบเด็ดขาด

ส่วนการมีอยู่ของยอดเขาเซียนซูเฟิง(เทพธิดา) ช่างชวนให้คนน้ำลายหก เพราะยอดเขานี้รับแต่ศิษย์ผู้หญิงเท่านั้น แถมล้วนหน้าตาดีกันทุกรุ่น สาวงามมากมายราวกับเมฆบนท้องฟ้า

นักอ่านสายหื่นเขียนแฟนฟิคแนว YY ออกมากันไม่ขาดสายราวกับร้อยบุปผาบานพร้อมพรัก* ในบรรดานี้ ‘เซียนซูผู้เอาแต่ใจหลงรักผม’ และ ‘วันที่ได้ซ้ายโอบขวาประคองทั้งเซียนซูเฟิง’ นับว่าเป็นผลงานมาสเตอร์พีซ ประโยคและคำศัพท์แบบนักเรียนประถมเซ็กส์ซีน ต่ำตมชนิดไร้ขีดจำกัดสร้างความนิยมกลายเป็นแฟชั่นแทบจะสูสีกับนิยายต้นฉบับเลยทีเดียว

(สำนวน ร้อยบุปผาบานพร้อมพรัก อุปมาถึง การออกไอเดียกันอย่างเต็มที่)

แต่ยอดเขาที่เหล่าเด็กรุ่นๆชอบมากที่สุด เลื่อมใสเป็นที่สุด และอยากเข้าสังกัดมากที่สุด แน่นอนว่าคือยอดเขาไป่จั้นเฟิงของหลิ่วชิงเกอ!

นี่คือยอดเขาที่ชอบการต่อสู้ที่สุด อีกทั้งความสามารถในการต่อสู้นั้นแข็งแกร่งที่สุดของชางฉยงซาน

เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงทุกรุ่นวิชากระบี่ล้ำเลิศ รบร้อยครั้งชนะร้อยครา ตามความหมายของชื่อยอดเขา เจ้าของตำนานไร้พ่ายเปี่ยมด้วยพลังและความกล้าหาญ เท่เกินจะบรรยาย!

นักอ่านชายมักชื่นชมพวกสายแข็งเป็นพิเศษ ถึงหลิ่วชิงเกอจะไม่ได้มีบทเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็มีแฟนๆสายบ้าพลังยุทธ์ติดตามไม่เคยขาด เสิ่นหยวนเองก็เป็นสาวกเทพท่านนี้กับเขาเหมือนกัน ภาพของหลิ่วชิงเกอในหัวเขาเป็นหนุ่มหน้าคมเข้ม สง่างาม น่าเกรงขาม แนวเทพสงคราม!

แต่พอเสิ่นชิงชิวก้มหน้ามองใบหน้าที่สะสวยราวกับผู้หญิงนั่น ก็มีอันต้องฝันสลายวิญญาณสะบั้น ภาพที่ติดอยู่ในใจมาตลอดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงผู้ไร้พ่ายทำไมรูปลักษณ์ถึงเป็นแบบนี้ นี่มันแนวเจ้าชายสุดหล่อที่แสนจะเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วชัดๆ

แบบนี้ไม่ผิดต่อภาพลักษณ์ในหัวแฟนๆสายพลังยุทธ์โขยงนั้นของนายเหรอ

แต่มาคิดดู แบบนี้ก็เข้าเค้าอยู่ หลิ่วชิงเกอเป็นพี่ชายแท้ๆของหลิ่วหมิงเยียน นางเอกอันดับหนึ่งที่สวยเลอเลิศหาใดปาน แบบนี้เมียพระเอกคุณภาพต้องเต็มเปี่ยมแน่นอน พลังแห่งกรรมพันธุ์นั้นย่อมทรงอานุภาพอยู่แล้วตรงตามหลักวิทยาศาสตร์เป๊ะ!

ผู้ชนะศึกไร้พ่าย นิสัยเย่อหยิ่งจองหอง หน้าตาดี คนแบบนี้พอมีปิงเกอก็ไม่จำเป็นต้องมีอีกคนแล้ว มิน่าไอ้เจ้าต่าเฟยจีถึงได้เขียนให้เขาตายแต่เนิ่นๆ

ตัวประกอบกล้ามีคุณสมบัติแบบนี้หรือ ถ้าไม่ใช่ลิ่วล้อตัวสำคัญก็ต้องรีบส่งให้ตายไปเสีย!

เมื่อครู่ไม่ทันได้คิดถึงประเด็นนี้ ตอนนี้พอมาคิดดู การที่เขาช่วยคนๆนี้ไว้ จะมีผลกระทบต่อค่าความฟินของลั่วปิงเหอไหมนี่

หลิ่วชิงเกอมีบทไม่มากนัก แต่การมีอยู่ของเขาจะมีความสำคัญมากอย่างหนึ่ง เพราะเขาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเสริมแต่งความสารเลวของเสิ่นชิงชิว

แม้พวกเขาสองคนจะเป็นศิษย์ร่วมสำนัก แต่ไม่กินเส้นกัน

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมเสิ่นชิงชิวถึงได้คิดหนีเมื่อกี้นี้ คนสองคนที่ยามปกติเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน ฝ่ายหนึ่งธาตุไฟเข้าแทรก ถ้าไม่ใช่เขาเป็นฝ่ายจับเสิ่นชิงชิวฆ่าทิ้ง ก็ต้องเป็นเสิ่นชิงชิวที่ฆ่าเขาเหมือนในเนื้อเรื่องดั้งเดิม

ถึงแม้ไม่รู้ว่าตกลงแล้วสองคนนี้มีความแค้นฝังลึกอะไรกันอยู่ แต่การที่เสิ่นชิงชิวตัวจริงเป็นผู้สังหารหลิ่วชิงเกอก็เป็นข้อเท็จจริงที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่ ตอนที่ความจริงเรื่องนี้เปิดเผย ก็เป็น(หนึ่งใน) เหตุผลที่ผลักดันให้เสิ่นชิงชิวไปสู่จุดที่ชื่อเสียงฟอนเฟะ เกียรติยศสูญสิ้น เนื้อเรื่องดั้งเดิมที่ด่าเสิ่นชิงชิวไว้คือ ‘อาศัยโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามเกิดความผิดพลาดตอนฝึกวิชา ลอบทำร้ายจนตาย’ คงจะหมายถึงตอนนี้นี่เอง

เสิ่นชิงชิวฆ่าญาติสนิทเพียงคนเดียวของนางเอก แน่นอนว่าลั่วปิงเหอต้องแก้แค้นให้เมียเขาอยู่แล้ว ประเด็นแค้นของตัวละครเสิ่นชิงชิวนี่แน่นปึ๊กไม่ธรรมดาเสียจริง

ขณะที่เสิ่นชิงชิวยังมัวยืนกลุ้มเกี่ยวกับอนาคตของตนเองอยู่ ทางฝ่ายหลิ่วชิงเกอก็กระอักเลือดเสร็จพอดี ค่อยๆรู้สึกตัวในที่สุด

พอลืมตาเห็นเสิ่นชิงชิวนั่งทำหน้าสบายอารมณ์อยู่แถวนั้น เต๊ะท่ามองดูเขา ท่าทางเช่นนั้นดูอย่างไรก็น่าจะไม่มาดี ระฆังเตือนภัยในใจดังลั่นขึ้นมาทันที หลิ่วชิงเกอหมายลุกขึ้นนั่งเพื่อเตรียมรับมือ แต่กลับส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายใจที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักเมื่อครู่ ลมปราณสับสนขนานใหญ่จนกระอักออกมาเป็นเลือดอีกครั้งหนึ่ง

เสิ่นชิงชิวคุยกับเขาอย่างใจเย็น “ศิษย์น้อง ปรับลมปราณไว้ อย่าได้พลุ่งพล่านเช่นนี้ ในฐานะเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิง ไฉนถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้เล่า เอ้า! เช็ดก่อน” เสิ่นชิงชิวพูดพลางส่งผ้าเช็ดหน้าให้

หลิ่วชิงเกอกระอักเลือดไปด่าไป “สะ…เสิ่น เจ้ามีอุบายอะไรอีก…”

เสิ่นชิงชิวเห็นหลิ่วชิงเกอกำลังลำบากจริงๆ เลยตบหลังเขาเบาๆทีหนึ่ง

เดิมทีหลิ่วชิงเกอเข้าใจว่าตนจะถูกทำร้าย จนใจที่หลบไม่พ้น กระทั่งฝ่ามือแตะถูก จึงรู้สึกว่ามีปราณทิพย์อันบริสุทธิ์และคงที่สายหนึ่งถ่ายเทเข้าสู่ร่างกาย แล้วกระจายไปทั่วแขนขาอย่างเป็นจังหวะ ช่วยปรับลมปราณของตนให้มั่นคงขึ้น

คราวนี้หลิ่วชิงเกอตกใจเสียยิ่งกว่าพบว่าเสิ่นชิงชิวลอบทำร้ายข้างหลังอีก ไม่ว่าเช่นไรเรื่องลอบทำร้ายนี้ เขาก็คุ้นชินแล้ว

เสิ่นชิงชิงตบหลังให้เขาพลางกล่าวอย่างจริงใจว่า “ศิษย์น้องหลิ่วความจริงแล้ว ช่วงนี้ที่ศิษย์พี่ปิดด่านฝึกวิชาทำให้คิดได้หลายเรื่อง ยิ่งพอได้มาเห็นชีวิตเจ้าแขวนอยู่บนเส้นด้ายเกือบจะสุคนธ์สิ้นหยกสลาย…อะแฮ่ม…จากไปก่อนวัยอันควร หวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ศิษย์พี่ให้รู้สึกละอาย ยิ่งนักก็ยิ่งเสียใจนัก”

หลิ่วชิงเกอดูจะกระอักเลือดออกมารุนแรงหนักกว่าเก่า

เสิ่นชิงชิวกล่าวขอญาติดีอย่างอ้อมๆ “มิสู้จากนี้พวกเราโยนอดีตทิ้ง จับมือกันเดินไปข้างหน้า เป็นแบบอย่างของศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ดี เป็นสหายร่วมสำนักที่รักใคร่กลมเกลียว ศิษย์น้องเจ้าเห็นเป็นอย่างไร”

พูดตรงแบบนี้ก็รู้สึกเขินนิดหน่อย แต่ในเมื่อตอนนี้เขาไม่ได้ฆ่าหลิ่วชิงเกอ ค่าความเกลียดชังในเนื้อเรื่องถูกเปลี่ยนแปลงแล้ว ทำไมไม่ทำให้ถึงที่สุดไปเลย จะได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหลิ่วชิงเกอ ไม่แน่ว่าพี่หลิ่วอาจกลายเป็นผู้ช่วยเหลือเขาในภายหลังก็ได้

หลิ่วชิงเกอมีสีหน้าแย่มาก เขามองตาเสิ่นชิงชิวครู่หนึ่ง กล่าวในที่สุดอย่างอดรนทนไม่ไหว “เจ้า ออกไปให้ห่างหน่อย”

เสิ่นชิงชิวทำท่าเข้าใจ

ในเมื่อต่างฝ่ายต่างเกลียดชังกันมาหลายปี แน่นอนว่าไม่มีทางจะปรับเปลี่ยนความรู้สึกให้ดีขึ้นได้ในเวลาเพียงสั้นๆ เรื่องนี้ไม่อาจใจร้อย ต้องค่อยเป็นค่อยไป

เขาพยักหน้า ถูกบอกให้ไปก็ไปจริงๆ เดินไปก็โบกมือโดยไม่หันหน้ากลับมา “หากตอนศิษย์น้องฝึกวิชาแล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้น ไม่ต้องกระดากอาย ร้องขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่ดังๆได้เลย เราอยู่ห่างกันแค่นี้ ย่อมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันเข้าไว้”

หลิ่วชิงเกอทำเหมือนว่าหากเสิ่นชิงชิวขืนพูดต่ออีกสองประโยคก็จะกระอักเลือดออกมาอีก เห็นได้จากสายตาที่แทบกินเลือดกินเนื้อ

เสิ่นชิงชิวหุบปากอย่างรู้การควรไม่ควร ‘ออกไปให้ห่าง’ เหลือหลิ่วชิงเกอกระอักเลือดออกมาอย่างลำบากคนเดียว

พวกเขาสองคนไม่เคยญาติดีกัน ตอนยังเยาว์ หลิ่วชิงเกอชิงชังพฤติกรรมของเสิ่นชิงชิวอย่างมาก ต่างฝ่ายต่างเกลียดขี้หน้ากันอย่างถึงที่สุด

ความเกลียดขี้หน้าชนิดนี้หาใช่ประเภทคู่กัดทะเลาะกันเล็กน้อยเท่านั้น หากแต่เป็นประเภทคำเดียวไม่ถูกหูก็ลงไม้ลงมือจะเอาชีวิตอีกฝ่ายได้เลย การที่เสิ่นชิงชิวไม่เข้ามาซ้ำเติมก็พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกแล้ว อย่าว่าแต่จะช่วยชีวิตเขาเลย

ทว่าความจริงที่อยู่ตรงหน้า ทำเอาหลิ่วชิงเกอหน้าตาบิดเบี้ยวเหยเกอย่างลืมตัว

เขาจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้เพียงช่วงก่อนที่จะฝึกวิชาจนถึงตอนคุมสมาธิไม่อยู่ แต่ตอนนี้ปราณทิพย์ของเขาราบรื่นดี ไม่มีทางที่เขาจะกรุยลมปราณอันยุ่งเหยิงด้วยตัวเองได้แน่ ต้องเป็นการช่วยเหลือจากภายนอก

หรือที่เสิ่นชิงชิวช่วยเขาไว้เป็นเรื่องจริง

พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ หลิ่วชิงเกอพลันรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาระลอกหนึ่ง แบบนี้สู้ตายไปยังดีเสียกว่า

ถึงจะถูกคนที่อุตส่าห์ช่วยชีวิตไว้รังเกียจเอา แต่เสิ่นชิงชิวกลับรู้สึกพอใจสุดๆ

หลิ่วชิงเกอที่เดิมทีควรตายด้วยน้ำมือเขากลับถูกเขาจับพลัดจับผลูช่วยชีวิตเอาไว้แทน

หากว่าสามารถคบหากับคนๆนี้ได้ด้วยดี ต่อให้แผนการที่จะเลี้ยงลั่วปิงเหอให้เป็นลูกศิษย์ที่สมบูรณะแบบไม่สำเร็จ หลิ่วชิงเกอในฐานะที่เป็นเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิง อย่างน้อยที่สุดต้องเห็นแก่ความเป็นศิษย์ร่วมสำนักมาช่วยขวางหน้าให้เขาได้บ้าง

แม้จะดูเหมือนทำเพราะเห็นแก่ได้ไปหน่อย แต่ยามชีวิตอันมีค่าอยู่ตรงหน้าจะพูดถึงคุณธรรมไปทำไมล่ะ…

ภายในถ้ำไร้เดือนไร้ตะวัน เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันรู้สึกว่าตังเองได้อะไรเท่าไรก็ถึงเวลาสิ้นสุดการปิดด่านฝึกวิชา จำต้องออกจากถ้ำหลิงซี

เสิ่นชิงชิวหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหิน รอให้ปราณทิพย์สายสุดท้ายแล่นไปทั่วร่าง จึงค่อยลืมตาขึ้น

เขามุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญฌานอยู่หลายเดือน ตอนนี้เขาสามารถใช้พลังทิพย์ได้ตามใจปรารถนาแล้ว อีกทั้งพลังปราณยังเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกขั้นหนึ่ง นี่บ่งชี้ว่าอำนาจในการควบคุมร่างกายนี้เป็นของเขาเต็มร้อยแล้ว แม้แต่จุดท้ายสุดที่ติดขัดก็หายไป สายตาคมชัดเป็นประกายแวววาว ร่างกายและจิตใจแตกต่างจากเมื่อก่อน

เสิ่นชิงชิวกระโดดลงจากแท่นหิน เนื้อตัวเบาโหวง พลิ้วไหวขึ้นเรื่อยๆ แขนขาทั้งสี่ราวกับเปี่ยมด้วยสายลมเย็นฉ่ำ คล่องเบา พละกำลังเกินร้อย

แน่นอนว่านี่อาจแค่อุปทานไปเอง วันเวลาในการปิดด่านฝึกวิชาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับกดปุ่มกรอวีดีโอไปข้างหน้า หากเป็นนิยายถ้าไม่ทำเบบเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีที่น้ำท่วมทุ่ง ก็เขียนจบหนึ่งบทแล้ว

ก่อนจากไป เขาคิดว่าควรต้องไปทักทายเพื่อนบ้านสักหน่อย จึงตบที่ผนังหิน

เสิ่นชิงชิว “ศิษย์น้อง สถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์พี่ออกไปก่อนแล้วนะ”

เสียงของเขาสะท้อนก้องอยู่ในโพรงอันเวิ้งว้าง ไม่ดังมากนัก แต่เพียงพอให้ผู้ที่มีพลังฝึกปรือระดับหลิ่วชิงเกอได้ยินชัด

เป็นดังคาดไม่มีเสียงตอบจากทางนั้น เสิ่นชิงชิวไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ถือว่าแสดงน้ำใจ (…)* ก็แล้วกัน สะบัดชายเสื้อโลดแล่นออกจากถ้ำไปอย่างรวดเร็ว เพื่อเผชิญกับพายุฝนระลอกหนึ่งซึ่งกำลังจะมาถึง

(…) เป็นภาษาวัยรุ่นของจีน เพื่อแสดงความรู้สึกอึ้ง พูดไม่ออก ในบริบทนี้ นักเขียนแซวเสิ่นชิงชิวที่กล้าพูดว่าแสดงน้ำใจ

คำนวณเวลาดูน่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปมีความสำคัญมาก ถือว่าเป็นไคลแมกซ์เล็กๆฉากหนึ่งในช่วงต้นของ ‘เทพมารอหังการ’ เลยทีเดียว

เผ่ามารมาท้าทายถึงหน้าประตู ก่อให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนครั้งใหญ่

ตัวเอกฝ่ายหญิงสองคนในนิยายดั้งเดิมจะเปิดตัวในฉากไคลแมกซ์เล็กๆนี้เช่นกัน และเริ่มให้ความสนใจต่อลั่วปิงเหอ

ถ้ำหลิงซีตัดขาดจากโลกภายนอก ในถ้ำเงียบสงบ แต่พอออกจากถ้ำบนยอดฉยงติ่งเฟิงราวกับเกิดเพลิงไหม้ไปทั่ว บรรดาศิษย์วิ่งกันให้พล่าน เป็นที่สับสนอลหม่าน ระฆังเตือนภัยดังสนั่นหวั่นไหว

เสิ่นชิงชิวเข้าใจทันที พวกมันขึ้นเขามาแล้ว!

มาให้ถูกเวลา ช่างดีกว่ามาก่อนเวลาจริงๆ ทันการณ์พอดิบพอดี

ศิษย์สองสมคนที่ไม่รู้ว่าอยู่ใต้สังกัดใคร พอเห็นเขาก็โผเข้ามาทันที “อาจารย์ลุงเสิ่น อาจารย์ลุงเสิ่นออกจากด่านได้เสียที เกิดเรื่องใหญ่แล้ว คนของภพมารบุกขึ้นฉยงติ่งเฟิงทำร้ายศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกเราไปไม่น้อยแล้วขอรับ!”

เสิ่นชิงชิวมือข้างหนึ่งแตะตัวศิษย์คนหนึ่ง “ใจเย็นๆ ศิษย์พี่เจ้าสำนักเล่า”

ศิษย์ A ร้องไห้พลางกล่าว “อาจารย์ลุงเจ้าสำนักลงเขาไปทำธุระข้างนอกขอรับ หาไม่แล้วพวกปีศาจภพมารไหนเลยจะฉวยโอกาสขึ้นเขามาได้!”

ศิษย์ B กล่าวอย่างโกรธแค้น “พวกปีศาจภพมารต่ำช้าจริงๆขอรับ ไม่เพียงฉวยโอกาสบุกเข้ามา ยังสะบั้นสะพานสายรุ้งที่เชื่อมทั้งสิบสองยอดเขาจนขาด ทั้งยังกางข่ายเวทประหลาด ตอนนี้ฉยงติ่งเฟิงไร้หนทางจะขอความช่วยเหลือจากยอดเขาอื่นๆแล้วขอรับ”

เรื่องพวกนี้เสิ่นชิงชิวรู้อยู่แล้ว เมื่อครู่ทำเป็นถามไปอย่างนั้นเอง เขาในตอนนี้ผ่านการฝึกวิชาเซียน ซ้ำยังมีประสบการณ์ต่อยลั่วปิงเหอ เตะหลิ่วชิงเกอมาแล้ว (…) กล่าวอย่างองอาจฮึกเหิมว่า “ไม่ต้องตกใจไป ชางฉยงซานเป็นสำนักใหญ่เกรียงไกร จะมากลังอะไรกับพวกเผ่ามารปลายแถวไม่กี่ตน!”

เหล่าศิษย์รู้สึกเหมือนหาเสาหลักให้เกาะยึดพบแล้ว เลยเดินตามหลังเสิ่นชิงชิวกันมาเป็นขบวนอย่างกับรถไฟ ระหว่างที่เดินไป พวกที่ตอนแรกวิ่งกันเพ่นพ่านเหมือนแมลงวันไร้หัวก็มาเข้าร่วมด้วยทันที พวกที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เข้ามาร่วมด้วยอีก ในที่สุดขบวนยาวขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินกันมาถึงหน้าอารามใหญ่ของฉยงติ่งเฟิง

คนของชางฉยงซานที่อยู่บนฉยงติ่งเฟิงล้วนกรูกันเข้ามาล้อมเผ่ามารที่บุกมาถึงเขตชั้นในเอาไว้ ศิษย์ของชิงจิ้งเฟิงก็มาด้วย เพราะเนื้อเรื่องในยามนี้จำเป็นต้องมีพวกเขาซึ่ง ‘เผอิญ’ มาฉยงติ่งเฟิงเพื่อรับเสิ่นชิงชิวที่ออกจากด่านพอดี จึงมาพร้อมหน้ากับที่นี่อยู่ก่อนแล้ว

เสิ่นชิงชิวมองหาร่างของลั่วปิงเหอเป็นลำดับแรก เห็นลั่วปิงเหอยืนสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ท่ามกลางฝูงชน

ไม่เห็นหน้ามาพักหนึ่ง เขาโตขึ้นไม่น้อย รูปร่างของเด็กหนุ่มราวกับต้นไผ่ที่สูงพรวดพราด ทั้งสง่างามและเหยียดตรง ใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตายิ่งนัก เห็นพระเอกปรากฏตัว เสิ่นชิงชิวก็วางใจ ค่อยหันความสนใจไปที่ศัตรูได้

เบื้องหน้าอารามฉยงติ่งเฟิงอันเรียบหรูสง่างามเต็มไปด้วยพวกปีศาจนับร้อย ปราณมารดำคลั่ก ทว่าผู้นำการบุกครั้งนี้กลับเป็นสาวน้อยผู้หนึ่งที่ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกิน 15-16

เสิ่นชิงชิวใจเต้นรัวขึ้นมาชั่วขณะ ออกมาแล้ว! ในที่สุดก็ออกมาแล้ว!

ถึงอยู่ท่ามกลางเผ่ามารที่ชื่นชอบการแต่งกายด้วยชุดประหลาด แต่การแต่งตัวของสาวน้อยคนนี้ก็ยังแหวกกระแสอย่างมาก ผมยาวดำขลับถักเปียเล็กๆไว้ทั่วศีรษะ ผิวกายขาวกระจ่าง แต่งตาเข้ม ริมฝีปากสีแดงสด แม้อายุยังน้อย แต่ดูออกเลยว่า ในอนาคตจะต้องสวยหยาดเยิ้มตราตรึงแน่นอน

เสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันอากาศร้อนจัดดูน่าเย็นสบาย ด้วยมีเพียงผ้าโปร่งเนื้อเบาสีแดงเพียงไม่กี่ชิ้นห่อหุ้มร่างกายไว้เท่านั้น ข้อมือข้อเท้าสวมกำไลสีเงินเอาไว้ มีกระพรวนเล็กเต็มร่างส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งยามเคลื่อนไหว

เท้าเปล่าเปลือยขาวผ่องดุจหิมะเหยียบย่ำพื้นตรงๆ โดยไม่มีอะไรกั้น

เสิ่นชิงชิวอดสอดส่ายสายตาเหลือบมองไม่ได้

ไม่ใช่เกิดจากจิตใจต่ำช้าลามกอะไร แต่เป็นเพราะ…รอนแรมข้ามน้ำข้ามภูเขาจากแดนปีศาจมาเป็นหมื่นลี้เพื่อมาถึงนี่ แล้วยังต้องเดินเท้าเปล่าขึ้นเขาต่อ แม่นางน้อย…น้อง…น้องไม่เจ็บตีนแย่เหรอ…

ไม่ใช่ละ…นี่ไม่ใช่ประเด็นเสียหน่อย

ประเด็นก็คือในนิยาย ‘เทพมารอหังการ’ ฉบับดั้งเดิมนี่คือ(หนึ่งใน)ตัวเอกหญิงที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีตำแหน่งเป็น ‘พธูศักดิ์สิทธิ์’* ของเผ่ามาร…ซาหัวหลิง

(พธูศักดิ์สิทธิ์ ในเรื่องนี้เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางหญิงระดับสูงสุดของเผ่ามาร)

ซาหัวหลิงเป็นชาวเผ่ามารสายเลือดบริสุทธิ์ โหดเหี้ยมอำมหิต ยโสเอาแต่ใจ แต่กลับตกหลุมรักลั่วปิงเหอแบบโงหัวไม่ขึ้น หลังจากคบกับลั่วปิงเหออย่าว่าแต่เรื่องฆ่าคนเพื่อเขาเลย กระทั่งเรื่องเนรคุณอย่างทรยศเผ่ามารเพื่อเขาแล้วนางก็กล้าทำ

ต่อให้น้องสาวที่ตกอยู่ในห้วงรักอย่างไม่ลืมหูลืมตาประเภทนี้จะเป็นที่ก่นด่าอย่างมาก แต่ก็ช่วยไม่ได้ มีนักอ่านผู้ชายมากมายที่ชอบนาง น่าเสียดายที่น้องนางผู้ร้อนแรงราวกับไฟเช่นนี้ มีแต่พระเอกเท่านั้นที่มีวาสนาได้แอ้ม

เสิ่นชิงชิวอดมองไปทางลั่วปิงเหอไม่ได้ พอดีกับที่ลั่วปิงเหอกวาดตามองมาอย่างไม่ตั้งใจเช่นกัน ศิษย์อาจารย์สบตากันก็พากันชะงักไปครู่หนึ่ง

ลั่วปิงเหอทำท่าอยากพูด แต่ไม่ได้เอ่ยออกมา เสิ่นชิงชิวพยักหน้าให้เขาทีหนึ่ง

ตอนนี้สะพานสายรุ้งขาดแล้ว เจ้ายอดเขาที่นอนอยู่ก็นอนไป ที่ปิดด่านก็ปิดด่านไป ที่ไปเดินตลาดก็เดินตลาดไป ที่ไปทำธุระก็ทำธุระไป

การมาของเสิ่นชิงชิวที่เป็นผู้อาวุโส ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการช่วยฉีดยาระงับประสาทอย่างแรงให้แก่พวกเขา เหล่าศิษย์พากันบังเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาทันใด

หมิงฟานตะโกนลั่นออกมาก่อนใครเพื่อน “นางมารร้าย! ซือจุนของข้ามาแล้ว ดูซิว่าเจ้ายังจะกล้ากำเริบเสิบสานอีกไหม”

คนยิ่งมาออกันมากขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์หลายร้อยคนในชุดเครื่องแบบ แบบเดียวกันมีสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้น เข้ามาล้อมผู้บุกรุกไว้เป็นวงใหญ่อยู่หน้าอารามฉยงติ่ง

เผ่ามารสองสามคนที่คิดฝ่าทะลวงถูกเสิ่นชิงชิวถือโอกาสเอาเป็นที่ซ้อมมือ เพียงเอื้อมมือออกไปก็ทำพวกมันลอยขึ้นได้แล้ว ก่อนโยนพวกมันให้ลอยกลับไปตกแทบเท้าซาหัวหลิง

ซาหัวหลิงเป็นคนปราดเปรียวหัวไว ที่กำเริบเสิบสานได้เมื่อครู่ เพราะอาศัยว่าชางฉยงซานเป็นสำนักอันดับหนึ่งมานาน การระวังป้องกันหละหลวม อีกทั้งตรวจสอบมาแล้วว่าเยวี่ยชิงหยวนไปทำธุระข้างนอก ฉยงติ่งเฟิงไม่มีผู้อาวุโสดูแลควบคุมสถานการณ์เลยคิดจะมาก่อกวน

แต่ตอนนี้ชักเห็นท่าไม่ดี นางจึงแก้คำพูดเสียใหม่ “เผ่าข้าขึ้นเขาครั้งนี้ ความจริงมิได้มาเพื่อต่อสู้ เพียงแต่ได้ยินมานานแล้วว่าชางฉยงซานแห่งจงหยวนมากไปด้วยยอดฝีมือ เลยนึกใคร่รู้ อยากขึ้นเขามาแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือกันสักตั้ง เพื่อดูว่าเป็นอย่างไรกันแน่”

เสิ่นชิงชิวโบกพัดด้ามจิ้ว “กล่าวได้ดี กล่าวได้ดี”

แต่ในเมื่ออยากแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือสักตั้ง เหตุใดถึงฉวยโอกาสตอนเจ้าสำนักไม่อยู่มาขอแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือเล่า ไฉนจึงตัดสะพานสายรุ้ง อีกทั้งเพราะอะไรถึงได้ทำร้ายลูกศิษย์สำนักข้าบาดเจ็ดไปตามๆกัน ข้าไม่เคยเห็นการแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือเช่นนี้มาก่อนเลย”

ซาหัวหลิงกัดริมฝีปาก ใช้สิ่งที่เป็นอาวุธประจำกายของผู้หญิงทั้งหลาย นางทัดผมปอยหนึ่งที่ตกรุ่ยร่ายอยู่ข้างแก้มกับใบหู กล่าวแช่มช้า “ท่านผู้นี้คงเป็น ‘กระบี่ซิวหย่า’ ผู้อาวุโสเสิ่นชิงชิวที่ระบือนามไปทั่วหล้าแล้ว สมกับคำว่าร้อยได้ยินมิสู้หนึ่งพบพานโดยแท้ หลิงเอ๋อร์เยาว์วัย ไม่อาจควบคุมลูกน้องให้ดี หากล่วงเกินจนเกิดการเข้าใจผิดของเซียนซือ* ได้โปรดใจกว้างอภัยให้ด้วย”

ไม่ว่านางจะใช้น้ำเสียงนุ่มนวลแค่ไหน เสิ่นชิงชิวไม่มีทางใจอ่อนสักนิด ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเสิ่นชิงชิวแล้ว

(เซียนซือ เป็นคำเรียกอาจารย์ผู้ฝึกวิชาเซียนด้วยความยกย่อง)

ว่ากันตามตรง เหตุวุ่นวายครั้งนี้ความจริงเป็นเพราะซาหัวหลิงเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็น ‘พธูศักดิ์สิทธิ์’ ของเผ่ามาร คนหยิ่งลำพองอย่างนาง ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดบุกรุกยอดเขาสำคัญอันดับหนึ่งของสำนักชางฉยงซานในคราเดียว ยึดป้ายชื่ออารามฉยงติ่งเอากลับเผ่ามารไปเป็นที่ระลึก หมายสร้างความดีความชอบ และเพื่อเป็นการสำแดงอำนาจที่ภพมนุษย์ในคราเดียว

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เช่นนั้นตอนนี้แม่นางได้ข้อสรุปว่าอย่างไร”

ซาหัวหลิงยิ้มมุมปาก “แม้ตอนนี้เผ่าข้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นั่นก็เพราะว่าทางฝั่งของท่านมีคนมากกว่า หลิงเอ๋อร์ย่อมมิกล้าสรุปแล้ว”

เสิ่นชิงชิววางมาดของผู้อาวุโสได้อย่างคล่องแคล่วราวกับปลาได้น้ำ “อ้อ เช่นนั้นเจ้าจะเอาอย่างไรจึงจะได้ข้อสรุป”

ซาหัวหลิงแย้มริมฝีปาก เอ่ยวิธีที่ฟังเหมือนยุติธรรมออกมา

“พวกเรามิสู้คัดเลือกตัวแทนฝ่ายละสามคนเข้าประลองสามคู่”

วิธีนี้ถือว่าดีมา อย่างไรเสีย สมดุลระหว่างภพมนุษย์กับเผ่าปีศาจก็อุตส่าห์รักษามาได้อย่างยากเย็น ไม่มีการแตกหักผิดใจกันมาหลายปี หากผลีผลามกวาดล้างซาหัวหลิงกับลูกน้องอันธพาลโขยงนี้ไป ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่จะเป็นการจุดชนวนระเบิดขึ้นโดยง่าย ด้วยเผ่ามารย่อมไม่ยอมปล่อยให้นางตายเปล่า เช่นนี้จะเป็นการนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ ได้ไม่คุ้มเสีย ทว่าหากปล่อยให้พวกมันลอยนวลก็จะเป็นการหยามน้ำหน้ากันเกินไป จะปล่อยให้พวกต่างเผ่าต่างพันธุ์เข้าๆออกๆ ชางฉยงซานตามใจชอบได้อย่างไร กำหนดหลักเกณฑ์ประลองกันสักตั้ง ถือโอกาสสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามโดยทั้งสองฝ่ายยอมถอยคนละก้าว ไว้หน้าให้กันบ้าง ดูจะเป็นวิธีรับมือที่ดีที่สุด

ในนิยายดั้งเดิม เนื่องจากฉากนี้เป็นฉากไคลแมกซ์เล็กๆ เสิ่นชิงชิวนับว่าจำได้อย่างชัดเจน

คู่แรก เสิ่นชิงชิว VS ผู้อาวุโสแขนเดียวของเผ่ามาร เพื่อให้ความเลวระยำของเสิ่นชิงชิวโดดเด่นเป็นพิเศษ แน่นอนว่าเขาย่อมใช้วิธีต่ำช้าแฝงเล่ห์กระเท่ห์เอาชนะ เทียบกับลั่วปิงเหอในคู่ที่สามที่ใช้วิธีการอันบริสุทธิ์และเปิดเผย ให้ผู้อ่านตระหนักถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน

ทว่า ณ ที่นี้เสิ่นชิงชิวย่อมไม่มีทางทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองอยู่แล้ว

ผู้อาวุโสแขนเดียวสวมชุดสีม่วงเข้มทั้งตัว นิสัยเงียบขรึม พูดน้อย ได้ฟังคำสั่งของซาหัวหลิงก็เดินมายังที่ว่างข้างหน้าทันที

พวกศิษย์ส่งเสียงเชียร์อาจารย์ลุงเสิ่นเป็นการใหญ่

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าผู้อาวุโสแขนเดียวผู้นี้มีความสามารถแค่ไหน จึงกล่าวยิ้มๆ “เจ้ามีเพียงแขนเดียว เช่นนี้ต่อให้ข้าชนะก็มีชัยอย่างเอาเปรียบ”

ซาหัวหลิงเอามือปิดปากพูด “อ้อ เช่นนั้นหลิงเอ๋อร์กลับมีวิธี ข้าว่ามิสู้…เซียนซือหักแขนตัวเองสักหนึ่งข้างเป็นอย่างไร เช่นนี้ก็ไม่ถือว่ามีชัยอย่างเอาเปรียบแล้ว!”

ในลานพลันระงมไปด้วยเสียงด่าทออย่างโกรธแค้น เสิ่นชิงชิวไม่ถือสา เพียงยิ้มน้อยๆ เอาพัดด้ามจิ้วออกมากางช้าๆ “แขนเดียวก็ไม่ใช้เป็นอย่างไร”

พอพูดวาจานี้ออกมาก็เรียกเสียงฮือฮาไปทั่ว ลั่วปิงเหอที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนตะลึงลานไปด้วย

แขนเดียวก็ไม่ใช้หรือ

ซาหัวหลิงแค่นเสียง เข้าใจว่าเสิ่นชิงชิวประมาทคู่ต่อสู้ ในใจลอบดีใจอยู่ในที สามารถเอาชนะง่ายดายหนึ่งรอบ เหตุใดจะไม่เอาเล่า นางรีบกล่าว “ในเมื่อผู้อาวุโสเสิ่นกล่าวเช่นนี้ ก็เริ่มกันเลยเถอะ!”

คนไม่น้อยคิดว่าหญิงผู้นี้หน้าหนาเสียจริง ฉากหน้าท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ ในน้ำคำกลับเจือความอำมหิต หน้าเนื้อใจเสือ ซ้ำยังคอยเอาเปรียบผู้อื่น

ตอนเสิ่นชิงชิวอ่านนิยาย ในฐานะคนอ่านความรู้สึกเป็นแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้ในฐานะคนในก็รู้สึกอีกแบบหนึ่ง ยังดีว่าเมื่อก่อนเขาเองก็รับรูปแบบการจัดการของซาหัวหลิงไม่ค่อยจะได้นัก แต่เห็นว่านางยังเด็ก อีกทั้งหน้าตาดี จึงคิดเสียว่านางเป็นหนูน้อยโลลิน่ารักที่เอาแต่ใจไป

ท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คน เสิ่นชิงชิวไม่ได้ชักกระบี่ออกมาตามที่พูดไว้จริงๆเสียด้วย หากแต่เอาพัดด้ามจิ้วในมือมาเล่น พลางยิ้มให้ผู้อาวุโสแขนเดียว

ผู้อาวุโสแขนเดียว ถึงมีแค่แขนเดียว แต่ไม่มีผลต่อการกวัดแกว่งดาบหัวปีศาจแต่อย่างใด ทว่าดาบที่กวัดแกว่งอย่างทรงพลังนี้ กลับฟันไม่ถูกเป้าหมาย พอหันกลับไปก็เห็นเสิ่นชิงชิวยืนยิ้มอยู่อีกด้านหนึ่ง ยิ่มจนเมื่อยแก้มกันเลยทีเดียว

กระนั้นกระบี่ซิวหย่ากลับออกจากฝักแล้ว เสิ่นชิงชิวหาได้ใช้มือแตะต้องกระบี่แม้แต่น้อยไม่ มือซ้ายแอบวาดท่าร่ายกระบี่สั่งการกระบี่ซิวหย่าให้บินฉวัดเฉวียนไปมา

ผู้อาวุโสแขนเดียวถูกรังสีกระบี่อันเจิดจ้าทำเอาแสบตารีบยกดาบขึ้นสู้ทันที

ทันทีที่กระบี่กับดาบปะทะกัน เกิดเสียงเคร้งคร้างแสบแก้วหูไม่หยุด สะเก็ดไฟปลิวกระเด็นว่อน

ทุกคนล้วนชมดูกันจนไม่กล้าเบนสายตาไปทางอื่น ความจริงการประลองยกนี้กล่าวได้ว่าทั้ง ‘น่าดู’ และ ‘น่าดู’

‘น่าดู’ คำแรกหมายถึงการต่อสู้รอบนี้เปี่ยมพลัง ใช้อาวุธจริงถึงขั้นเอาชีวิตกันจริงๆ ส่วน ‘น่าดู’ คำหลังหมายถึงภาพสวยอลักการมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสิ่นชิงชิวที่รับมือได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญการด้วยราศีของบัณฑิตผู้สง่างาม ประกายดาบเงากระบี่วูบวาบ ท่าทีสบายโบกพัดด้ามจิ้วไปมาเบาๆ ประหนึ่งว่าทุกเจ็ดก้าวก็ร่ายโครงออกมาบทหนึ่ง ท่วงท่าเช่นนี้งดงามชวนตะลึงราวกับต้องมนตร์เลยทีเดียว!

ไม่ซิ ต้องบอกว่า ความสามารถในการเต๊ะท่าของเขานี่สมบูรณ์แบบเลยต่างหาก!

ลั่วปิงเหอชมดูจนแทบใจสั่นขวัญสะเทือน เขารู้ว่าเสิ่นชิงชิวร้ายกาจ แต่คาดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจขนาดนี้

ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!

ท่ามกลางเสียงเชียร์ของศิษย์ในสำนัก เสิ่นชิงชิวเป็นผู้คว้าชัยในรอบแรกไป

เวลานี้เองที่เสิ่นชิงชิวเข้าใจถึงความรู้สึกของตัวออริจินอลที่ถ้าไม่ได้เก็กแล้วจะตาย!

เพราะว่ามันฟืนสุดๆไปเลย!

สายตาที่มองมาด้วยความเลื่อมใสของเหล่าลูกศิษย์กลายเป็นผืนฟ้าพร่างดาวระยิบระยับ

เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าเรื่องราวของตัวเองช่างเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนโดยแท้!

ตัวโกงเศษสวะก็สามารถเพิ่มค่าบารมีได้ด้วย!

ขณะเดียวกันระบบก็แจ้งข่าวดี : [มารบุกบรรพตเซียน การประลองรอบแรก เสิ่นชิงชิวชนะ ค่าพลังยุทธ์บวกเพิ่ม 50 คะแนน ค่า B บวกเพิ่ม 50 คะแนน]

รอยยิ้มชื่นใจของเสิ่นชิงชิวอยู่ได้ไม่นาน ข้อความต่อมาของระบบตบบ้องหูเขาดังผัวะ

[ประกาศเตือน : หากลั่วปิงเหอไม่เข้าร่วมการประลอง ค่าความฟินของพระเอกจะถูกหัก 1,000 คะแนน]

“หา!” เสิ่นชิงชิวที่ไม่ได้เตรียมใจไว้สักนิด ตกใจจนเสียงหลง

เขาครางโอดโอยราวกับวัวแก่เทียมเกวียนเก่า ค่าความฟินที่สะสมมาอย่างยากเย็นเพิ่งจะได้แค่สามร้อยกว่าเอง คราวนี้จะมาหักกัน 1,000 คะแนนเลยเหรอ!

ไอ้คุณระบบ นี่กะจะฆ่ากันเลยใช่ไหม!

เนื้อเรื่องตอนประลองรอบนี้มีความสำคัญมาก ขณะเดียวกันก็เป็นจุดไคลแมกซ์เล็กๆ ตอนต้นเรื่องด้วย ส่งผลสำคัญคือตัวเอกฝ่ายหญิงสองคนจะออกโรงมาประชันโฉมกัน การรับลูกน้อง การได้คัมภีร์ลับ ฯลฯ หากไม่สามารถทำให้ลั่วปิงเหอออกโรงในเวลานี้ได้ ลั่วปิงเหอก็ไม่อาจเสนอหน้าดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ ค่าความฟืนจะลดลงไป 1,000 คะแนน

แต่หากให้เขารับหน้าที่เป็นตัวแทนของสำนักออกมาสู้ เสิ่นชิงชิวที่เป็นผู้สั่งการจะกลายเป็นตัวอะไรล่ะ

การที่เสิ่นชิงชิวตัวออริจินอลสามารถผลักลั่วปิงเหอขึ้นสู้เวทีประลองได้นั้น เป็นเพราะเขามันไร้ยางอาย ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีหน้าตาของสำนักด้วยซ้ำ ตัวออริจินอลนั้นเกลียดชังลั่วปิงเหอเข้ากระดูกดำ ขนาดคิดยืมมือของเผ่ามารมาทารุณพระเอกก็เอา

แต่ตอนนี้เสิ่นชิงชิวไม่ตรงกับประเด็นทั้งสามข้อนี้เสียหน่อย

ว่ากันตามจริงแล้ว ทำไมค่าความฟินของพระเอกผู้ยิ่งใหญ่จะต้องเป็นภาระให้คนอื่นแบกด้วยล่ะ

ขณะที่เสิ่นชิงชิวยังคงตำหนิความไม่เป็นวิทยาศาสตร์ของระบบ การประลองรอบที่สองก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

ซาหัวหลิงกลัวว่าเสิ่นชิงชิวจะชนะหนึ่งต่อสามรีบกล่าวว่า “หากว่าสามยกล้วนขึ้นอยู่กับคนๆเดียว เช่นนั้นการแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือก็ไร้ความหมาย ผู้ที่เผ่ามารของข้าจะส่งเป็นตัวแทนประลองรอบสอง ก็คือข้าเอง”

ที่นางอยากออกมาประลอง ข้อแรก เพราะนางเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองยิ่งนัก ข้อสอง คือคิดว่าเสิ่นชิงชิงไม่น่าเป็นคนที่ใช้ศักดิ์ฐานะของผู้อาวุโสมารังแกผู้น้อย

เสิ่นชิงชิวแสดงท่าทีว่าเป็นคนไม่ถือสาเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อย ต่อให้เดิมทีมุ่งมั่นอยากใช้วิธีชนะรวดทั้งสามรอบเพื่อเพิ่มค่าพลังยุทธ์และค่าบารมี แต่คำเตือนของระบบก็ทำเขาห่อเหี่ยวไปแล้ว

และในอีกแง่ของการประลองรอบสองนั้นก็มีความสนุกสนานเร้าใจมากเช่นกัน

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “พวกเจ้าได้ยินคำพูดของนางแล้ว มีใครอยากรับภาระนี้บ้าง”

ถึงที่เขาถามจะเป็นการถามศิษย์ทั้งสำนัก แต่สายตากลับจับอยู่ที่จุดหนึ่ง

พื้นที่บริเวณนั้นมีศิษย์สตรีหน้าตางดงามยืนอยู่ล้วนๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือบรรดาศิษย์ของเซียงซูเฟิงนั่นเอง และท่ามกลางเหล่าสาวงามของเซียงซูเฟิงที่แต่ละคนผิวขาวผ่องหน้าตางดงามดูเป็นกุลสตรีกลุ่มนี้ มีอยู่คนเดียวที่คลุมหน้าอย่างไม่เข้าพวกกับชาวบ้าน

หลังจากที่เสิ่นชิงชิวถามออกไป คนผู้นี้ก็ค่อยๆเดินออกมา

เสิ่นชิงชิวรู้สึกได้ถึงอาการขนลุกซู่ของตัวเอง

มาแล้ว! กำลังจะมาแล้ว! PK* รอบแรกระหว่างสองตัวเอกฝ่ายหญิงในนิยายเชียวนะ!

(PK มาจากคำว่า Player Kill เป็นโหมดการเล่นเกมแบบหนึ่งที่ผู้เล่นประลองฝีมือด้วยการต่อสู้ฆ่ากัน)

หลิ่วหมิงเยียนเป็นผู้หญิงสวยจัดที่งามชนิดสวรรค์ตะลึงภูตผีปีศาจสะอื้นไห้ ต่อให้อยู่บนเซียงซูเฟิงที่มีแต่หญิงงามมาแต่โบร่ำโบราณ นางก็ยังโดดเด่นเป็นหงส์ในฝูงกา เป็นนกกระสาในฝูงไก่ได้สบาย

พี่ชายของนางคือเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิง เพราะอายุน้อย เข้าสำนักทีหลัง จึงกลายเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของเซียงซูเฟิงไป

ด้วยหน้าตาสวยสะคราญระดับยึดครองขวัญดึงดูดวิญญาณ จึงได้แต่ใช้ผ้าคลุมหน้าปิดบังหน้าตาตลอดทั้งปี เหมือนบุปผาบนยอดเขาสูงเห็นแต่ไกลๆ ไม่อาจเอื้อมปีนป่าย

กล่าวโดยสรุป เพื่อบรรยายหน้าตาของนางเอกคนนี้ เดาว่าไอ้คุณเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีคงต้องใช้พรรณนาโวหารที่เรียนมาตั้งแต่ระดับประถมยันมัธยมจนหมดไส้หมดพุงเลยทีเดียว ลำบากเขาแล้วจริงๆ

เสิ่นชิงชิวชอบนางเอกคนนี้มาก ไม่เพียงเพราะความสวยของหลิ่วหมิงเยียน แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้กล้าหาญ เข้าใจสถานการณ์ รู้จักผลประโยชน์ส่วนรวม กระทำการเที่ยงตรงเปิดเผย เป็นเมียไอคิวสูงมีคุณธรรมที่มีอยู่น้อยมากในฮาเร็มอันใหญ่โตมโหฬารของลั่วปิงเหอ

ยังมีอีกประเด็น หลิ่วหมิงเยียนเป็นตัวละครหญิงคนเดียวที่เซี่ยงเทียนต่าไฟยจีไม่ได้บรรยายรายละเอียดช่วงเหตุการณ์ตอนเข้าพระเข้านาง แม้การทำเช่นนี้จะทำให้นักอ่านจำนวนมากไม่พอใจใหญ่หลวงถึงขนาดตั้งกระทู้ด่าแต่ก็ทำให้หลิ่วหมิงเยียนมีสิ่งที่ตัวละครหญิงคนอื่นไม่มี นั่นคือ ภาพลักษณ์อันสะอาดบริสุทธิ์ราวกับหยกน้ำแข็ง!

ช่วยไม่ได้ สิ่งที่ไม่อาจได้มามักดีที่สุดเสมอ

ประเด็นที่ต้องดูในศึกนี้อยู่ตรงนี้แหละ มีหญิงงามจากฝ่ายอธรรมก็ต้องมีหญิงผู้สูงส่งจากฝ่ายธรรมะ ผู้ชายทุกคนล้วนมีความฝันที่จะได้ยืนอยู่ตรงกลาง แล้วถูกนางฟ้ากับนางมารกดดันอย่างลำบากใจทั้งนั้น ครู่ก่อนหน้ายังเห็นพวกนางตบตีกันแย่งชิงความรักจากตนอยู่เลย ครู่ต่องมากลับยอมพลีชีพเพื่อตนแล้ว

นี่เป็นฉากในฝันของนิยาย YY ที่สิ่งมีชีวิตเพศชายเทิดทูนบูชาสูงสุดเลยเชียวนะ เสน่าห์อันดุเดือดเลือดพล่านของนางมารสามารถพาให้พวกเขาเคลิบเคลิ้มหลงใหล ส่วนท่าทางพิสุทธิ์แบบผู้ทรงศีล เหมือนจะป้องปัดแต่แอบให้ท่าอยู่ในทีของนางฟ้าผู้บริสุทธิ์น่ายกย่อง มีหรือจะไม่ทำให้คนรู้สึกระวนกระวายใจได้

ได้แต่กล่าวว่า ไอ้คุณเฟยจีมันจับจุดฟินของคนไว้ได้อยู่หมัดจริงๆ

เสิ่นชิงชิวอดหันไปมองลั่วปิงเหออีกครั้งไม่ได้

ลั่วปิงเหอถูกเขามองจนรู้สึกผิดสังเกต

ไม่รู้ว่าทำไมเสิ่นชิงชิวถึงได้ให้ความสนใจตนขนาดนี้ หรือว่าความจริงแล้ว ซือจุน…ใส่ใจตนจริงๆ?

เสียดายที่ภายใต้ปากกาของไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี ศึกระหว่างตัวละครฝ่ายหญิง นอกจากตบตีกันเพื่อแย่งผู้ชาย ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจให้ดูเลยสักนิดเดียว อันที่จริงมาคิดดูแล้ว การบรรยายฉากต่อสู้ไม่ว่าจะฉากไหนก็ไม่มีอะไรให้ดูจริงๆนั่นแหละ เพราะไปๆมาๆก็ใช้แค่ไม่กี่ประโยคอย่าง ‘ประกายสีขาววาบผ่าน’ ‘สายรุ้งเจ็ดสี’ ‘ไอกระบี่หลากเฉดสีเรืองวาบ’ ‘สยดสยองปานนั้น’

หลิ่วหมิงเยียนพ่ายแพ้หลังจากผ่านไปสองสามชั่วก้านธูป อย่างไรเสียตอนนี้นางก็ยังไม่ได้ไปเลือกกระบี่ของตนเองที่วั่นเจี้ยนเฟิง ต่อให้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว น่าเสียดายที่อาวุธที่ใช้เป็นแค่กระบี่เรียวบางธรรมดาเล่มหนึ่ง ส่วนซาหัวหลิงเป็นพธูศักดิ์สิทธิ์เผ่ามาร พกพาอาวุธวิเศษเต็มตัว ความแกร่งระหว่างคนทั้งสองจึงห่างชั้นกันเยอะ

หลิ่วหมิงเยียนเดินมาตรงหน้าเสิ่นชิงชิว “ศิษย์พ่ายแพ้ พลาดพลั้งทำให้สำนักเสียหน้า ขออาจารย์ลุงเสิ่นโปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”

เสิ่นชิงชิวปลอบว่า “ก้าวออกมาในยามที่คนอื่นยืนอยู่กับที่ เจ้าเอาตัวเองเข้ามาแบกรับภาระนี้ นับว่าไม่ง่ายแล้ว แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนมีได้ก็ต้องมีเสีย เจ้าไม่ต้องใส่ใจ วันหลังค่อยเอาชนะใหม่ก็แล้วกัน”

ซาหัวหลิงที่กลับมาได้ชัยชนะยกหนึ่งก็หน้าตาสดใสหัวเราะเบิกบาน “รอบที่สามนี้ เป็นการตัดสินแพ้ชนะแล้ว ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเสิ่นจะส่งผู้ใดออกมาประลอง ครั้งนี้ต้องเลือกอย่างระวังหน่อยนะเจ้าคะ”

เสิ่นชิงชิวยืนเอามือไพล่หลัง กล่าวแฝงความหมาย “ไม่รบกวนแม่นางให้ต้องกังวล ผู้แซ่เสิ่นมีตัวเลือกแล้ว ทั้งผู้แซ่เสิ่นยังรับประกันว่า ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ คนผู้นี้จะต้องเป็นดาวข่มในชีวิตของเจ้าอย่างแน่นอน”

ซาหัวหลิงเพียงยึดถือคำพูดของเขาเป็นคำขู่ ปรบมือกล่าวว่า “ผู้กล้าท่านไหนจะออกมาประลองในยกที่สาม”

ในบรรดาเผ่ามาร มีผู้อาวุโสตัวใหญ่ยักษ์ผู้หนึ่งค่อยๆเดินออกมา

พูดว่าใหญ่ยักษ์ ความจริงเป็นเพราะเขาตัวสูงมาก

สูงชะลูดเกินกว่าหนึ่งจั้งแน่นอน

หุ่นล่ำเหมือนหมี ผมยามกระเซิง สวมเกราะที่เป็นหนามแหลมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ลากค้อนเหล็กใหญ่เบ้อเริ่ม ทุกก้าวของเขาส่งผลให้เสิ่นชิงชิวรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพื้นดินมีการสั่นสะเทือนเบาๆ

ซาหัวหลิงกล่าวอย่างภาพภูมิใจ “ขอเตือนท่านเซียนทุกท่านบนบรรพตเซียนไว้ก่อนเลยนะ หนามบนเกราะของผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ฉาบพิษร้ายแรงเอาไว้ พิษนี้ไม่มีผลต่อเผ่ามาร แต่หากมนุษย์ต้องหนามเข้า จะไม่มียาใดถอนพิษได้เลย”

ความรู้สึกแรกเมื่อเสิ่นชิงชิวได้ฟังประโยคนี้คือ

แม่ง! ไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี ตั้งชื่อไม่ต้องมักง่ายขนาดนี้ก็ได้นะ! แขนเดียวก็ดันเรียกผู้อาวุโสแขนเดียว อาวุธคือค้อนใหญ่ก็เรียกผู้อาวุโสค้อนสวรรค์เนี่ยะ ช่วยใส่ใจกับการตั้งชื่อหน่ยยได้ไหม!

คนที่มุงดูอยู่พากันเป็นเดือดเป็นแค้นไปตามๆกัน

“นางมารหน้าเหม็น! การประลองคือการประลอง ใช้พิษร้ายยังจะเรียกว่าเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรมได้อีกหรือ!”

ซาหัวหลิงกล่าวปฏิเสธ “ข้ามิได้ปิดบังจุดนี้ หากคิดว่าไม่ยุติธรรม หรือกลัวจะถูกพิษถึงแก่ความตายก็ยกเลิกการประลอง ยอมรับความพ่ายแพ้ไปเสีย เผ่ามารจะไม่หัวเราะเยาะเผ่ามนุษย์ อย่างไรรักถนอมชีวิตก็เป็นปกติวิสัยของมนุษย์อยู่แล้ว ขณะที่เผ่าข้ากลับมองว่าเกียรติยศอยู่เหนือทุกสิ่ง!

ท่ามกลางเสียงหัวเราะกึกก้องของเผ่ามารและเสียงก่นด่าของเหล่าศิษย์ เสิ่นชิงชิวคลึงหว่างคิ้ว ถอนใจเงียบๆ

ผู้หญิงแบบซาหัวหลิงนี้ เวลามองจากมุมมองของนักอ่าน เป็นตัวละคร YY ที่จะได้หมื่นไลค์หมื่นฟิน แต่ถ้าต้องกลายเป็นคนที่มาอยู่ใกล้นาง เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครชอบนางขึ้นมาได้

ไม่ใช้เพราะแตกต่างจากที่บรรยายในนิยาย อันที่จริงส่วนที่แย่ก็คือ สมจริงเกินไป!

บุคลิกโหดเหี้ยมอำมหิต บวกกับงมงายในรักชนิดหัวปักหัวปำ ถ้าคุณไม่ใช่พระเอกก็จงรีบหลบไปโดยเร็ว หากว่าคุณคุกคามเศษเสี้ยวผลประโยชน์ของนางหรือของลั่วปิงเหอ นางจะหมายหัวสุนัขของคุณเป็นอย่างแรก ความเป็นไปได้ที่จะตัดแค่มือ ตัดเท้า ควักลูกตานี่ไม่มีเลย ต่อให้คุณเป็นพ่อที่แท้จริงของนางก็ต้องระวังเอาไว้สักนิด ในเรื่องเดิมเพื่อช่วยลั่วปิงเหอขึ้นเป็นผู้นำภพมาร คนที่นางทรยศมิใช่พ่อแท้ๆของตัวนางเองหรอกหรือ

เสิ่นชิงชิวไม่สะดุ้งสะเทือนต่อคำยั่วยุของซาหัวหลิง เว้นจังหวะครู่หนึ่งเพื่อสร้างความกดดันแก่เผ่ามาร สุดท้ายจึงค่อยหันกายกลับมา สายตาจับจ้องไปยังจุดที่คนผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างแน่วแน่

“ลั่วปิงเหอ เจ้าออกมา”

ศิษย์ทุกคนของยอดชิงจิ้งเฟิงส่งเสียงอื้ออึงทันที

ศิษย์อื่นยังไม่เท่าไร เพราะไม่รู้สถานการณ์ของยอดชิงจิ้งเฟิง ยังเข้าใจว่าผู้ที่ถูกส่งออกมาจะต้องเป็นศิษย์อัจฉริยะสวรรค์ประทานที่เสิ่นชิงชิวภาคภูมิใจ จึงสามารถแข่งกับผู้อาวุโสเผ่ามารที่ดูแล้วอายุน่าจะอย่างน้อยก็สองสามร้อยปีขึ้นไปได้ แปลกตรงที่เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน แถมดูแล้วอายุก็ยังไม่มาก แต่คนของชิงจิ้งเฟิงจะไม่ตระหนักถึงความสามารถของลั่วปิงเหอได้อย่างไร

หมิงฟานหน้าซีดเผือด ร้องตะกุกตะกัก “ซือจุน ส่งเจ้าเด็ก…ศิษย์น้องปิงเหอ ไม่เหมาะกระมังขอรับ”

เสิ่นชิงชิว “อ้อ เช่นนั้นเจ้าออกมาเองไหมล่ะ”

หมิงฟานส่ายหน้าไม่หยุด ถึงไม่คิดออกไปประลอง ทั้งยังชอบใจที่จะได้เห็นลั่วปิงเหอต้องเจ็บตัว แต่เขาก็เป็นห่วงศักดิ์ศรีหน้าต่ของสังกัดตัวเองเช่นกัน ปล่อยให้คนปีนขึ้นเขามาถอดป้ายชื่อสำนักไป แล้วยังแพ้การประลองอีก ชางฉยงซานเสียหน้า ชิงจิ้งเฟิงยิ่งเสียหน้าหนักกว่า

หนิงอิงอิงกังวลจนน้ำตาไหลพราก กอดแขนลั่วปิงเหออย่างไม่อายใคร กระทืบเท้าพลางตะโกนลั่น “ไม่เอา! ไม่เอา! ไม่เอา! ลั่วปิงเหอไม่มีประสบการณ์จริงในการต่อสู้ ส่วนผู้อาวุโสเผ่ามารมีพิษทั่วตัว ค้อนเหล็กนั่นดูท่าหนักไม่น้อยกว่าสองสามร้อยชั่ง* ไม่ถูกฟาดตายก็มหัศจรรย์แล้ว!”

(ชั่ง หรือภาษาจีน คือ 斤จิน เป็นมาตราชั่วตวงวัดของจีน 1 ชั่ง หนักประมาณ 0.5 ก.ก.)

พวกเธอเข้าใจว่าฉันอยากส่งเขาออกไปประลองหรือ ฉันก็ถูกบังคับไม่มีทางเลือกเหมือนกันนั่นแหละ!

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ข้าบอกว่าให้เขาออกไปคือให้เขาออกไป พวกเจ้าไม่พอใจการตัดสินใจของเหวยซือหรือ อิงอิง ปล่อยเขา”

หนิงอิงอิงเห็นอาจารย์หน้าขึงก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว

ลั่วปิงเหอตบแขนนางอย่างปลอบใจ แม้หน้าซีดขาว แต่น้ำเสียงกลับมั่นคงยิ่ง “ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง ถึงแม้ข้าใช้การอะไรไม่ได้ แต่ในเมื่อซือจุนเลือกให้ออกไปประลอง ข้าก็จะทำให้ดีที่สุด ต่อให้ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันก็ไม่มีทางทำให้สำนักเราขายหน้าแน่”

หนิงอิงอิงปาดน้ำตาปล่อยแขนลั่วปิงเหอ เห็นชัดว่าไม่อาจทนมองชายในดวงใจถูกทุบตีไหว กระทืบเท้าร้องไห้โฮวิ่งออกไป

เสิ่นชิงชิวแอบดีใจ ไปซะได้ก็ดี พอไปแล้วฉากต่อมาที่หนิงอิงอิงจะก่อให้เกิดความวุ่นวายจะได้ไม่มี

ทุกคนต่างคิดว่าเด็กหนุ่มผู้ยืนเด่นออกมานี้ ถึงแม้บุคลิกหน้าตาจะใสสะอาด ดูซื่อตรง ท่าทางพื้นฐานไม่เลว แต่ดูแล้วเป็นศิษย์ที่พลังฝึกปรือยังตื้นเขิน ตรงกันข้ามกับผู้อาวุโสค้อนยักษ์ที่เผ่ามารส่งออกมา รูปร่างหนาล่ำบึกบึน ตั้งแต่หัวจรดเท้าแผ่ปราณมารดำมืดม้วนตลบ พอยืนอยู่ตรงนั้นเทียบกับลั่วปิงเหอที่ร่างกายยังเติบโตไม่เต็มที่ ก็ก่อเกิดเป็นความรู้สึกกดดันชนิดหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ทุกผู้คนล้วนไม่กล้าปักใจเสียทีเดียว บ้างเดาว่าลั่วปิงเหออาจปกปิดความสามารถที่แท้จริงอยู่ ทว่าครั้นการต่อสู้ของจริงเริ่ม ก็พากันพูดไม่ออกเสียแล้ว

ปกปิดความสามารถที่แท้จริงอะไรกัน! สู้ไม่ได้ของจริงต่างหากเล่า!

นี่มันใช่การประลองที่ไหนกัน เป็นการลงมืออยู่ฝ่ายเดียวชัดๆ

นับจากลั่วปิงเหอเข้าสู้สนามประลองก็ไม่มีโอกาสลงมือแม้แต่น้อย ผู้อาวุโสเผ่ามารผู้นั้นแข็งแกร่งสุดจะเปรียบ ยามกวัดแกว่งค้อนยักษ์ฉวัดเฉวียนจะเกิดลมที่มีกำลังมหาศาล ลั่วปิงเหอที่พยายามหลบและหาจังวะแทรกตีโต้ไม่วายโดนค้อนทุบเข้าที่ร่างเป็นพักๆ

ไม่เพียงฝั่งชางฉยงซานเท่านั้นที่ตกตะลึง ทางฝั่งเผ่ามารก็อ้ำอึ้งพูดไม่ออกเช่นกัน นี่มันน่าอนาถเกินไปแล้ว…

มีคนเอ่ยเสียงเบาว่า “แพ้กันเห็นๆแล้ว ยังจะประลองอะไรอีก”

ค้อนยักษ์ โอ้ ไม่ซิ ผู้อาวุโสค้อนสวรรค์แหงนหน้าหัวเราะก้อง เสียงราวกับระฆังลั่นกังวาน “กล่าวได้ถูกต้อง! เจ้าหนูรีบยอมรับความพ่ายแพ้แต่เนิ่นๆ ออกจากการประลองไปเถอะ ผู้อาวุโสเช่นข้ายังอาจเหลือลมหายใจให้เจ้าได้”

เสิ่นชิงชิวกล่าวเสียงเรียบ “เขาจะชนะ”

เหลวไหล นี่คือพระเอกดัชนีทองคำนะ ต้องชนะอยู่แล้วซิ เพียงแต่จะชนะยากหน่อยเท่านั้น

เสียงเขาไม่เบาไม่ดัง กลับสามารถถ่ายทอดไปถึงกลางลานประลองได้พอดิบพอดี

ลั่วปิงเหอโดยทุบเข้าอย่างจัง ทำเอาบาดเจ็บไปหลายแห่ง เลือดจุกแน่นคอหอย พอได้ยินประโยคที่กล่าวอย่างมั่นใจลอยมาเข้าหู ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลืนเลือดลงท้องไป

จะชนะ…หรือ

เพราะซือจุนคิดว่าเขาจะชนะ จึงมอบโอกาสในการขึ้นประลองให้เขาอย่างนั้นหรือ

บรรดาเผ่ามารพร้อมใจกันหัวเราะลั่น ตะโกนเซ็งแซ่ให้เขารีบยอมแพ้

ลั่วปิงเหอไม่เพียงไม่ทำตามที่พวกเขาปรารถนา ถึงจะรับค้อนไปหลายครั้งติดกัน ท่าทีกลับนิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทำหูทวนลมต่อเสียงของโลกภายนอก ฝีเท้าคล่องแคล่วยิ่งขึ้น ค้อนของผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ที่ทุบลงมาสิบครั้ง กลับมีเก้าครั้งที่วืดออกด้านข้าง

บนร่างของผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ มีเพียงใบหน้าและหมัดที่มิได้ห่อหุ้มโดยเกราะหนามอาบยาพิษ นี่ไม่ใช่ข่าวดีอะไรเลย เพราะมันแสดงว่าสองตำแหน่งนี้ฝึกจนบรรลุถึงขั้นต่อให้ไม่มีเกราะหนามอาบยาพิษปกป้องก็ไม่มีทางเสียเปรียบ

แต่ขณะเดียวกัน นี่ก็อาจเป็นตำแหน่งที่จะฝ่าทะลวงได้

ลั่วปิงเหอผ่อนลมหายใจช้าๆ ตั้งสติพิจารณา

ซือจุนเลือกเขาขึ้นประลอง ดูเหมือนเป็นการสร้างความลำบากให้แกเขา แต่ในทางตรงกันข้ามหากการประลองรอบนี้พ่ายแพ้ ที่เสียหน้าไม่ใช่มีแค่ลั่วปิงเหอ แต่คนทั้งสำนัก รวมทั้งตัวเสิ่นชิงิชวที่เลือกเขาก็จะถูกลากมาพัวพันด้วย

ซือจุนเชื่อมั่นจริงๆว่าเขาจะชนะจึงได้เลือกเขาขึ้นประลอง!

ภายใต้การคิดเป็นตุเป็นตะของเด็กชายลั่วปิงเหอ ได้ทำการเปิดระบบมโนเอาเองครั้งมโหฬารเป็นที่เรียบร้อย

ไม่เคยมีใครเชื่อมั่นในตัวเขาเช่นนี้มาก่อน

ซือจุนถึงกลับกล้ามอบหมายภารกิจนี้ให้เขา เขาก็ต้องคว้าชัยชนะมาให้ทุกคนดูเพื่อซือจุนให้ได้

ค้อนยักษ์หวีดเสียงลมอันหนักหน่วงโจมตีเข้ามาอีกครั้ง รูม่านตาดำลั่วปิงเหอหดแคบ โคจรพลังมาไว้ที่ฝ่ามือ

ทุกคนในที่นั้นล้วนถูกหนุ่มน้อยที่มุ่งมั่นไม่ลดละผู้นี้ตรึงความสนใจไว้จนหมด แม้ลั่วปิงเหอหาจังหวะรุกไล่กลับไม่ได้เลย ก็ไม่เคยทิ้งโอกาสที่จะตอบโต้ ทั้งไม่ยอมแพ้ แต่ตอนนี้โอกาสในการโต้กลับในที่สุดก็มาถึงแล้ว เศษเสี้ยวสุดท้ายของโอกาสที่ว่าถูกลั่วปิงเหอคว้าเอาไว้ในมือได้อย่างแม่นยำ

หลังจากยื้อกันมาครึ่งชั่วยาม การประลองรอบที่สาม ในที่สุดก็ทราบผลแล้ว

นอกจากเสิ่นชิงชิวแล้ว คนอื่นๆล้วนไม่มีใครคาดคิดว่าผลจะออกมาเช่นนี้เลย

ผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ที่ครอบครองพลังยุทธ์หลายร้อยปี ทั่วร่างเต็มไปด้วยหนามพิษ กลับถูกเด็กหนุ่มอายุ 15โค่นล้มลงแล้ว!

หลิ่วหมิงเยียนและซาหัวหลิงถูกลั่วปิงเหอตรึงความสนใจไปจนสิ้น ดวงตาคู่งามสองคู่มองจ้องร่างของลั่วปิงเหอไม่วางตา

[ได้รับความสนใจจากหลิ่วหมิงเยียนและซาหัวหลิง สร้างชื่อจากศึกเผ่ามารบุกชางฉยงซาน ค่าความฟินของพระเอกบวกเพิ่ม 500 คะแนน]

เสิ่นชิงชิวโมโหหนัก

อะไรวะ! หักทีหัก 1,000 บวกเพิ่มแค่ 500 ไอ้ระบบใจดำ ไอ้สองมาตรฐาน

แต่ว่าไม่เป็นไร ในใจของทุกคนตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน

ลั่วปิงเหอคือคลื่นลูกใหม่ไล่คลื่นลูกเก่าจริงๆ

เสิ่นชิงชิวคือผู้ลึกล้ำสุดหยั่งจริงๆ

ซาหัวหลิงจุกอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็เค้นออกมาได้ “ชางฉยงซานมากด้วยอัจฉริยะ ผู้กล้ารุ่นเยาว์ปรากฏตัวไม่ขาดสาย หลิงเอ๋อร์…เลื่อมใสยิ่งนัก”

เสิ่นชิงชิวเอ่ยว่า “กล่าวได้ดี กล่าวได้ดี ในเมื่อการประลองปรากฏผลแล้ว แม่นางจะสั่งคนของพวกเจ้ากลับไปได้หรือยัง ขออภัยที่ชางฉยงซานตอนนี้กำลังวุ่นวาย ไม่สะดวกรับแขกแดนไกล”

ประโยคนี้พูดเป็นนัยว่า…ที่จริงก็ไม่มีความนัยอะไรหรอก เขาแค่เชิญแขกกลับไปตรงๆแบบที่เข้าใจง่ายเท่านั้นแหละ

ซาหัวหลิงโกรธ แต่ไม่มีที่ให้ระบาย ใช้นิ้วบิดผ้าโปร่งสีแดงบนร่างเป็นเกลียว ในที่สุดก็ทนไม่ไหว

นางยื่นมือออกไปอย่างว่องไวตบหน้าผู้อาวุโสค้อนสวรรค์โดยแรงตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “ประลองกับศิษย์ใต้สังกัดผู้อาวุโสเสิ่นที่อายุน้อยเพียงนี้ ยังแพ้ได้ทุเรศนัยน์ตาขนาดนี้ ทั้งเผ่ามารเสียหน้ากันหมดแล้วก็เพราะเจ้า!”

ผู้อาวุโสค้อนสวรรค์น่าสงสารมาก เผ่ามารปกครองตามลำดับชั้นอย่างเข้มงวด ซาหัวหลิงเป็นพธูศักดิ์สิทธิ์ที่ชาติกำเนิดสูงส่ง ถูกตบหน้าหัน คงได้แต่ก้มหน้ารับลูกเดียว ไม่กล้าตอบโต้ “ผู้น้อยไร้ความสามารถ ขอพธูศักดิ์สิทธิ์โปรดลงโทษ”

เสิ่นชิงชิวทนดูไม่ไหวอีกต่อไป “แม่นางซา หากอยากลงโทษลูกน้องขอเชิญไปลงโทษกันที่อื่น ฉยงติ่งเฟิงหาใช่สถานที่ให้เผ่าเจ้ามาแสดงอำนาจ”

ซาหัวหลิงได้ตบระบายอารมณ์ไปหนึ่งฉาด นับว่าได้ปลดปล่อยความขุ่นเคืองแล้ว หันมาอีกที ใบหน้าก็เปื้อนยิ้ม “ผู้อาวุโสเสิ่นกล่าวได้ถูกต้อง หลิงเอ๋อร์เพียงเห็นผู้มีความสามารถอายุเยาว์ในสำนักท่าน แล้วมาเห็นพวกลูกน้องเศษสวะของตัวเองเช่นนี้ ในใจบังเกิดความผิดหวังอย่างใหญ่หลวง ผู้อาวุโสโปรดอย่าได้หัวเราะเยาะเลยนะเจ้าคะ”

นางหันไปหาผู้อาวุโสค้อนสวรรค์อีกครั้ง แล้วำทหน้าเย็นยะเยียบประดุจน้ำค้างแข็งใส่เขา “ผู้อาวุโสแขนเดียวแพ้ให้กับผู้อาวุโสเสิ่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่เจ้ากลับแพ้การประลองไปด้วยอีกคน ไม่ต้องให้ข้าพูดแล้ว เจ้าจัดการเอาเองเถอะ”

คำว่า ‘จัดการเอาเอง’ หมายความว่าอย่างไร ค้อนสวรรค์ย่อมเข้าใจชัดเจนไม่อาจชัดไปกว่านี้แล้ว

ผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ใจหายวาบขึ้นมาทันที เดิมทีเขาคิดว่านอกจากเสิ่นชิงชิวแล้ว บนฉยงติ่งเฟิงส่วนใหญ่มีแต่เด็กน้อยไม่ประสาและศิษย์ที่พลังฝึกปรือตื้นเขิน จึงอยากฉวยโอกาสสำเร็จรูปนี้ไว้ หวังสร้างความดีความชอบต่อหน้าพธูศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ แต่คิดไม่ถึงผลจะออกมาหกคะเมนนตีลังกาเช่นนี้ กระทั่งชีวิตยังรักษาไว้ไม่ได้ ชั่วพริบตานั้นเขาหันไปเห็นลั่วปิงเหอถูกผู้คนรุมล้อมถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เจตนาชั่วร้ายพลันบังเกิด

เสิ่นชิงชิวเขาไม่กล้าแตะ แต่เจ้าหนูที่ทำเขาตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ เขาจะลากมันให้ตกตายไปด้วย!

เสิ่นชิงชิวจับตามองทุกสีหน้าและการเคลื่อนไหวของเผ่ามารกลุ่มนี้อยู่ เจตนาชั่วร้ายที่วาบขึ้นในแววตาของค้อนสวรรค์จึงไม่คลาดไปจากสายตาของเขา เผ่ามารเป็นเผ่าพันธุ์ที่โจ่งแจ้งเปิดเผย คิดจะทำก็ทำเลยจะเว้นช่วงสักนิดก็ไม่มี วินาทีก่อนหน้าบังเกิดจิตชั่วร้าย ต่อมาก็แกว่งค้อนยักษ์เข้าใส่ทันที

ผู้อาวุโสค้อนสวรรค์รูปร่างสูงใหญ่ พุ่งกายเข้าหาอย่างรวดเร็วดูคล้ายภูเขาเหล็กทั้งลูกพุ่งใส่หน้า

ลั่วปิงเหอบาดเจ็บไม่เบา เคลื่อนไหวเชื่องช้าเห็นว่าจะต้องถูกฟาดแน่แล้ว กลับได้ยินเสียงเสิ่นชิงชิวแค่นเสียงเย็นยะเยียบปรากฏร่างขึ้นในชั่วพริบตา เอาพัดด้ามจิ้วจี้ไปที่ตำแหน่งหนึ่งบนเข่าของผู้อาวุโสค้อนสวรรค์

ผู้อาวุโสค้อนสวรรค์คุกเข่ากับพื้นเดี๋ยวนั้น

เป็นการคุกเข่าจริงๆ แล้วร่างค้อนสวรรค์ก็ทรุดลงไปกองกับพื้น สิ้นสติไปทันที ส่วนค้อนเหล็กอันนั้นถูกเสิ่นชิงชิวถือโอกาสคว้าขึ้นมาเดาะเล่นในมือ มันมีน้ำหนักอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรคนที่ภาพพจน์สูงส่งสง่างามเช่นเชามาถือค้อนอันเบ้อเริ่มก็ดูไม่ค่อยเท่นัก จึงเหวี่ยงค้อนไปทางฝั่งที่เผ่าปีศาจยืนรวมกลุ่มกันอยู่ทันที เสียงค้อนฟาดพื้นดังสนั่นหวั่นไหว น้ำหนักของค้อนก็ทำให้คนตกใจกลัวพอแล้ว แต่เสียงค้อนกระทบพื้นยิ่งชวนผวากว่า

เสิ่นชิงชิวยิ้มเชือดเฉือน “คิดฆ่าปิดปากหรือ ศิษย์ในสังกัดข้ายังไม่ถึงตาพวกเจ้ามารังแกหรอกนะ”

ยามกล่าววาจาด้วยท่วงทำนองอันเที่ยงตรงและเที่ยงธรรมนั้น ไม่เพียงเผ่ามารที่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก แม้แต่ตัวเสิ่นชิงชิวเองก็แอบหน้าแดงแปร๊ดอยู่ในใจด้วยเหมือนกัน

เซียนซือมิใช่ว่าท่านผู้เฒ่าก็จับลูกศิษย์ตัวเองส่งไปให้คนเขารังแกด้วยหรอกหรือ

ลั่วปิงเหอตะลึงงันยามเห็นร่างในชุดเขียวเอาตัวเข้ามาบังร่างตนเองไว้ กระทั่งกล่าวคำขอบคุณยังลืม ซือจุนเข้ามาช่วยเขาไว้อีกครั้งแล้ว

ซือจุนเป็นเช่นนี้เสมอ ดูเหมือนเข้มงวดกับเขา แต่ในเวลาคับขันที่สุดจะเอาตัวเข้ามากำบังให้

เสิ่นชิงชิวหันไปมองเขาแวบหนึ่ง “ไม่เป็นไรนะ”

เขาพยายามยกระดับความรู้สึกดีๆ อย่างคนกินปูนร้อนท้อง…

ลั่วปิงเหอรีบกล่าวว่า “ศิษย์ไม่เป็นไร ขอบพระคุณซือจุนที่ช่วยชีวิตขอรับ”

โอย…เด็กคนนี้ใสซื่อเสียจริง ทำเอาหนังหน้าแก่ๆของเสิ่นชิงชิวยิ่งแดงหนักขึ้น รีบหันไปกล่าวต่อซาหัวหลิงว่า “แม่นางซา ลูกน้องตัวเอง ตัวเองก็ต้องอบรมสั่งสอนให้ดี ในเมื่อแพ้ไม่เป็น แล้วจะประลองกันสามคู่แต่แรกทำไม”

เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของซาหัวหลิง ทำเอานางรู้สึกอับอายอยู่บ้าง ขณะกำลังจะกล่าวสองสามประโยคกู้หน้า ใครเลยจะไปนึกว่าเวลานี้กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน

ผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ที่เดิมทีแน่นิ่งไม่ขยับอยู่บนพื้นพลันกระโดดปราดขึ้น โผเข้าใส่ลั่วปิงเหออีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้

ค้อนของผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ถูกเสิ่นชิงชิวยึดเอาไปแล้ว หรือเขาคิดจะใช้ลำตัวทับลั่วปิงเหอให้ตาย?

แต่พอเห็นสองแขนของเขากางออกกว้างทำท่าราวกับจะเข้าไปกอดลั่วปิงเหอ ในสมองของเสิ่นชิงชิวพลันผุดความคิดเราวกับถูกฟ้าผ่า เหงื่อเย็นๆแตกพลั่ก

เชี่ยเอ๊ย! เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! บนตัวมันยังสวมเกราะหนามอยู่เลย!

ชั่วพริบตานั้นเสิ่นชิงชิวลืมกฎว่าด้วยร่างทองคำของลั่วปิงเหอที่ไม่บุบสลาย ไม่มีวันตายไปจนหมดสิ้น ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย จิตใต้สำนักสั่งให้เขาเอาตัวไปขวางไว้อีกครั้ง

ซิวหย่าออกจากฝัก รังสีกระบี่ขาวพร่างตาพุ่งเข้าเสียบร่างอันหนาหนักของผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ ทว่าด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลและความอึดของร่างกาย ครั้นถูกกระบี่แทงใส่ก็ไม่ผงะ กลับร่าเริงยินดีด้วยซ้ำ เขาแอ่นอกรับทันที ปล่อยให้ซิวหย่าทะลุผ่านร่างกายออกไปข้างหลัง ใบหน้าแสยะยิ้มอำมหิต พุ่งกายเข้าหาเสิ่นชิงชิว

เสิ่นชิงชิวตัดสินใจละมือเดี๋ยวนั้น แต่เสียดายที่สายไปแล้ว

มือขวาเจ็บแปลบขึ้นมาเป็นระลอก ความหนาวยะเยือกแล่นจากหัวใจสู่ปลายเท้าในฉับพลัน

ค้อนสวรรค์ล้มลงกับพื้น ถ่มเลือดออกจากปาก จากนั้นหัวเราะอย่างสะใจ “เสิ่นชิงชิวตายเป็นเพื่อนข้า ฮ่าๆๆ กำไร! กำไรแล้ว!”

“ซือจุน” ลั่วปิงเหอคว้ามือขวาของเสิ่นชิงชิวไว้ทันที “ท่านถูกพิษหรือขอรับ”

เสิ่นชิงชิวสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา “ไม่เป็นไร ไม่ได้ถูกพิษ อย่าไปฟังคำขู่ของเขา” พูดแล้วก็ก้มหน้ามองแวบหนึ่ง ในใจมีคำว่า เชี่ยๆๆๆๆๆๆ วิ่งมาเป็นแถว

จากหลังมือไล่ไปถึงแขน มีรูเล็กๆขนาดเท่ารูเข็มแถวหนึ่ง เริ่มกลายเป็นสีแดงแล้ว!

ดีที่เขาไม่ได้เป็นโรคกลัวรู*

(โรคกลัวของที่เป็นรูๆ และเบียดกันถี่ๆ หมายถึงโรง Trypophobia เช่น อาการกลัวรังผึ้ง รังมด ฝักบัว เป็นต้น)

แต่พอลั่วปิงเหอเห็นเข้าก็หน้าซีดเผือดทันควัน

มีใครได้ยินเสียงคลื่นที่ซัดโหมในใจของเสิ่นชิงชิวอย่างบ้าคลั่งบ้างไหม แม่ง! นี่ตูโดนพระเอกมันทำให้เดือดร้อนกี่ครั้งแล้ว! บอกว่ามันไม่ตายก็ไม่ตายซิฟะ! ยังเจือกไปช่วยทำเชี่ยอะไร!

ผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ลากคนให้ตายตกตามกันไปด้วยในที่สุด ทั้งคนที่ลากไปตายนั้นยังเป็นระดับเจ้ายอดเขาเสียด้วย เขาจึงไม่เศร้าเลยสักนิดและกล่าวอย่างได้ใจว่า “ผู้อาวุโสเช่นข้าไม่เคยขู่ขวัญใคร พิษนี้ไม่มียาถอนก็คือไม่มียาถอน เจ้ายอดเขาเสิ่นรอความตายอย่างสงบเถอะ!”

รังสีกระบี่วาบขึ้น ลั่วปิงเหอชักซิวหย่าจ่อเข้าที่ลำคอเขา การเคลื่อนไหวฉับไวไม่มีสะดุด เสิ่นชิงชิวยังเกือบมองไม่ทัน

ลั่วปิงเหอเวลานี้ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน กล่าวเสียงเย็นเยียบ “พวกเจ้าต้องมีวิธีซิ ถ้าไม่ส่งมองยามา ข้าจะให้เจ้าตายก่อน!”

ซาหัวหลิงกล่าวทันที “คุณชายน้อยผู้นี้ ค้อนสวรรค์ไม่ได้โกหก ยาพิษนี้มีชื่อว่า ‘พิษไร้ยาถอน’ สำหรับมนุษย์แล้ว ไม่มียาใดจะถอนพิษได้จริงๆ แพ้การประลองแล้วยังทำเรื่องเช่นนี้ อย่างไรเขาก็ต้องตายอยู่แล้ว ยังจะกลัวเจ้าเอาความตายมาขู่อีกหรือ”

‘พิษไร้ยาถอน!’

เกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อยาพิษอะไรตั้งได้ส่งเดชเท่านี้เลย!

เพราะเคยอ่านนิยายเลยรู้มาก่อนว่ามีพิษประหลาดแบบนี้ แต่นั่นไม่อาจห้ามเสิ่นชิงชิวไม่ให้แขวะสไตล์การตั้งชื่อแบบเน้นประโยชน์ใช้สอยเข้าว่าของเซี่ยงเทียนต่เฟยจีได้

ซาหัวหลิงนัยน์ตาวาววับ เห็นชัดว่ามองออกถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และกำลังดีดลูกคิดอย่างปราศจากเจตนาดี

เสิ่นชิงชิวจะไม่เข้าใจนิสัยของตัวละครนี้ได้อย่างไร เขาโคจรพลังทิพย์เพื่อสะกดความเจ็บปวดและอาการชักกระตุกที่ฝ่ามือขวาซึ่งถาโถมเข้ามาไม่หยุด ขณะที่ปากยังคงยิ้มน้อยๆ แกล้งทำเป็นพูดด้วยท่าทีสบายว่า “ถึงจะพูดได้ไม่ผิด แต่แม่นางซาคงลืมไปแล้วกระมัง ข้าได้ฌานมากี่ปีแล้ว จินตานชั้นกลางนี้ยังนับว่าเป็นคนธรรมดาหรือไม่”

ซาหัวหลิงหน้าเปลี่ยนสี แต่เสปกปิดอย่างรวดเร็ว กล่าวเสียงสดใส “คนธรรมดาหรือไม่ ข้าไม่รู้ รู้เพียงว่ามีอยู่วิธีหนึ่งที่จะตัดสินได้ว่าตกลงแล้วผู้อาวุโสเสิ่นถูกพิษหรือไม่ คนที่ถูก ‘พิษไร้ยาถอน’ การไหลเวียนของพลังทิพย์จะเริ่มสะดุด โดยเริ่มจากบริเวณปากแผล ค่อยๆลามไปทั้งตัวอย่างช้าๆ สุดท้ายไม่เพียงแค่พลังทิพย์ กระทั่งเลือดก็จเริ่มจับตัวเป็นลิ่ม ไม่สูบฉีด เชิญผู้อาวุโสเสิ่นลองใช้มือขวาจู่โจมออกด้วยท่าระเบิดพลังทิพย์ก็จะทราบผลแล้ว”

โจมตีออกด้วยท่าระเบิดพลังทิพย์ มีความหมายตามชื่อของมัน คือ โคจรพลังทิพย์มาไว้ที่จุดหนึ่ง จากนั้นปะทุพลังออกไปทันที ใช้การสั่นสะเทือนอันรุนแรงของคลื่นพลังทิพย์สร้างผลลัพธ์ในการโจมตี ผลลัพธ์นั้นจะเหมือนกับการเหนี่ยวไกปืนปล่อยลูกกระสุน หรือไม่ก็การขว้างระเบิดในมือออกไป ผลที่ได้จะแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับพลังฝึกปรือของผู้ปล่อยพลัง

เสิ่นชิงชิวเคยแอบทดลองมาก่อน เขาสามารถทำได้ถึงขั้นโยนลูกระเบิดมือ แต่ตอนนี้มือขวาของเขาเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกแกะเอาสายไฟออกไปส่วนหนึ่ง ถึงพอจะออกแรงได้บ้าง แต่การไหลเวียนของพลังทิพย์กลับถูกสกัดกั้นอย่างสิ้นเชิง

เซ็งโว้ย! ไม่ใช่ว่าต้องพิการเพราะสาเหตุนี้หรอกนะ!

ลั่วปิงเหอได้ยินสรรพคุณของ ‘พิษไร้ยาถอน’ ริมฝีปากก็สั่นระริก

เวลานี้ภาพเสิ่นชิงชิวที่เคยปฏิบัติกับเขาไม่ดีถูกลบทิ้งออกไปจากใจเกลี้ยงแล้ว

ที่เขาชัดเจนที่สุดในเวลานี้คือ ภาพซือจุนที่ถูกเผ่ามารทำร้ายจนอาจสูญเสียพลังวัตร หรือถึงขั้นเสียชีวิต

ทั้งหมดเป็นเพราะเขา!

เสิ่นชิงชิวเห็นสีหน้าแปรปรวนของลั่วปิงเหอก็เอามือลูบศีรษะเขา “ไม่ต้องกังวล”

เสิ่นชิงชิวเหลือบตาขึ้น ยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะทดสอบก็ไม่มีปัญหา แต่ไม่ควรทดสอบอย่างเปล่าประโยชน์ แม่นางซา วันนี้เจ้ามาสร้างความวุ่นวายที่ฉยงติ่งเฟิง ผู้แซ่เสิ่นก็อดทนมาตลอดจนถึงเมื่อครู่ ทว่าตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยให้เจ้านึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป เช่นนั้นสำนักชางฉยงซานของข้าจะไม่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอาหรือ มิสู้พวกเราโจมตีคนละหนึ่งฝ่ามือตัดสินเป็นตายกันไปเลย ไม่ว่าใครจะบาดเจ็บเสียหายขนาดไหนก็ไม่อาจโทษกัน ผลจะออกมาเป็นอย่างไรล้วนไม่อาจสืบสาวราวเรื่อง เจ้าว่าเป็นอย่างไร”

ตอนนี้เขาจะแสดงความอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด

บนยอดเขาฉยงติ่งเฟิงทั้งลูก ตอนนี้ได้แต่อาศัยเขาที่เป็นผู้อาวุโสค้ำยันไว้ หากเขาล้มลง ดูจากความอำมหิตของซาหัวหลิง อย่างเบาคือเผ่ามารทุบทำลายอารามฉยงติ่ง แบกป้ายชื่ออารามและป้ายประตุสำนักกลับเผ่ามารไปเป็นที่ระลึก จากนี้ไปชื่อเสียงสำนักป่นปี้ อย่างหนักคือฆ่าล้างบาง!

ไม่ต้องสงสัย ผู้หญิงคนนี้จะต้องทำเรื่องพรรค์นั้นได้แน่

สู้เสี่ยงแบบจนตรอกไปเลยดีกว่า พนันกันสักตั้ง! สุดท้ายแล้วจะฆ่ายัยคนนี้ให้ตายก็ไม่ยาก!

เสิ่นชิงชิวไม่ได้สังเกตเลยว่า เขาไม่ได้เห็นพวกลูกศิษย์ที่อาจกังวล เด็ดเดี่ยว โกรธแค้น หรือลังเล เป็นแค่เหล่าตัวประกอบอย่างที่ในนิยายบรรยายอีกต่อไปแล้ว

ซาหัวหลิงกัดริมฝีปาก สับสนในใจอย่างยิ่ง

หากเสิ่นชิงชิวไม่ถูกพิษจริงๆ สองคนโจมตีคนละฝ่ามือโดยทุ่มพลังทิพย์เข้าสู้ ตนคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าเขาแค่สร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาไปอย่างนั้นเอง ก็จะพลาดโอกาสใหญ่ที่จะได้กวาดล้างฉยงติ่งเฟิงให้ราบเป็นหน้ากลอง แบบนั้นจะไม่เสียใจตราบชั่วชีวิตหรือ

เสิ่นชิงชิวมองซาหัวหลิงอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน แววตาไม่แสดงความคาดหวัง และไม่มีทีท่าว่าจะหนี รอให้นางตัดสินใจ

ลั่วปิงเหอฉุดชายแขนเสื้อเขา “ซือจุน ศิษย์เต็มใจรับฝ่ามือให้ซือจุนขอรับ”

เสิ่นชิงชิวถึงแขนเสื้อกลับอย่างแนบเนียน “มีอย่างที่ไหนลูกศิษย์ออกหน้าแทนอาจารย์

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุนบาดเจ็บก็เพราะศิษย์”

เสิ่นชิงชิวจ้องหน้าเขา “ในเมื่อรู้ว่าบาดเจ็บเพราะข้า ก็ต้องปกป้องชีวิตตัวเองให้ดีๆ”

ลั่วปิงเหอหัวใจเต้นกระหน่ำ พูดอะไรไม่ออก ขอบตาแดงก่ำ

ท้ายที่สุดซาหัวหลิงกัดฟันกล่าว “เช่นนั้นผู้อาวุโสเสิ่นโปรดให้อภัยในความไร้มารยาทของหลิงเอ๋อร์ด้วย”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “มาเลย ไม่ต้องยั้งมือ เป็นตายแล้วแต่สวรรค์ลิขิต”

ซาหัวหลิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ กระทั่งวาจายังไม่กล้าโต้ตอบ เงาร่างสีแดงเพลิงกระโดดปราด ฝ่ามือขาวผ่องประดุจหยกหอบปราณมารสีดำโจมตีมา

เสิ่นชิงชิวเตะลั่วปิงเหอออกไปให้พ้นทาง พร้อมรับมือ ฝ่ามือนี้จะต้องบอบช้ำกันไปทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน

ทว่าเขากลับไม่ไดถูกซาหัวหลิงฟาดกระเด็น ทั้งไม่ได้กระอักเลือดร่างระเบิดตาย

รังสีอำมหิตเข้มข้น!

เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงที่เหมือนกระบี่ถูกชักออกจากฝัก อาศัยเพียงกระแสปราณทิพย์ที่ปะทุออกมาจากร่างโดยไม่ขบับแม้แต่นิ้วเดียว ก็กระแทกซาหัวหลิงที่ทุ่มพลังทั้งหมดออกมาให้กระดอนไปได้

หลังจากความเงียบปกคลุมเป็นระยะเวลาสั้นๆ บนฉยงติ่งเฟิงก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที

“อาจารย์อาหลิ่ว”

อาจารย์อาหลิ่วออกจากด่านแล้ว!”

“เทพสงครามแห่งไป่จั้นเฟิงออกจากด่านแล้ว พวกปีศาจภพมาร ดูซิว่าพวกเจ้าจะกล้ากำเริบเสิบสานอีกหรือไม่”

เสียงฮือฮาดังกว่าเมื่อครู่ที่เสิ่นชิงชิวลำบากลำบนเก็กมาทั้งวันรวมกันเสียอีก เสิ่นชิงชิวน้ำตาตกใน

ไอ้รูปหล่อขี้เก็ก! แม่งออกมาช้ากว่านี้หน่อยเอ็งจะตายรึไง จะได้เหลือที่ให้ตูเก็กบ้าง!

สมกับเป็นนิยายฮาเร็มที่เต็มไปด้วยฉากแฟนเซอร์วิสของแท้ หลังจากซาหัวหลิงโดยกระแทกออกไป นอกจากเสียงหวีดร้องอ้อยสร้อยแล้ว ผ้าโปร่งเนื้อบางเบาสีแดงที่เดิมทีปกคลุมร่างกายได้น้อยนิดอยู่แล้วก็ฉีกกระจุยกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เรียกเสียงกรีดร้องฮือฮาขึ้นมาทันที นางใช้ท่าร่างอันอ่อนช้อยกลิ้งตัวต้านแรงแระแทก กลิ้งหลุนๆ แล้วคลานขึ้นมาจากฟื้น เผ่ามารช่างแสดงออกเปิดเผยจริงๆ ถึงทั่วทั้งร่างจะอยู่ในภาพขนาดต้องทำเป็นภาพโมเสกเซ็นเซอร์ แต่นางก็ไม่นึกเดือดร้อน แค่กระชากเสื้อคลุมของลูกน้องที่อยู่ข้างกายมาคลุมร่างอย่างลวกๆ “ทุกท่าน วันนี้ข้าคำนวณผิดพลาด วันหน้ายังมีเวลาอีกมากที่จะได้เจอกันใหม่ ไป!”

หลิ่วชิงเกอหัวเราะหยัน “นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป หน้าใหญ่จริง เข้าใจคิดนักนะ!”

เขาหมุนตัวขวับ กระบี่เฉิงหลวน (ขี่วิหคไฟ) บนหลังทะยานขึ้นเวหา ก่อเกิดเป็นรังสีกระบี่นับร้อยนับพันเส้นเรียงตัวกันเป็นข่ายมนตร์อันเจิดจ้า จากนั้นตกลงมาแทงใส่ชาวเผ่ามารราวกับห่าฝน

ซาหัวหลิงนำลูกน้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนพลางหมุนผ้าโปร่งสีแดงในมือจนดูเหมือนเมฆแดงก้อนหนึ่งแล้วโยนขึ้นฟ้า แต่เสียดายที่ไม่อาจสกัดกั้นรังสีกระบี่อันคมกริบได้เลย ผ้าโปร่งถูกแทงจนเป็นรูพรุนไปทั้งผืน บรรดาศิษย์ชางฉยงซานที่เข้ามาล้อมก็โดนลูกหลงไปด้วย เผ่ามารส่วนใหญ่ที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ ที่ถูกจับก็ถูกจับ มีแต่คนสนิทกลุ่มเล็กๆ ที่ประกบซาหัวหลิงหนีลงเขาไปได้อย่างทุลักทุเล

หลิ่วชิงเกอสอดกระบี่ลงฝักแล้วทำหน้าขึง หันกลายกลับมามองบาดแผลบนมือเสิ่นชิงชิว ขณะที่พวกศิษย์ชิงจิ้งเฟิงพากันมาห้อมล้อมเขา สีหน้าตื่นตระหนกเป็นพิมพ์เดียวกัน

เสิ่นชิงชิวถอนใจ “ให้อิงอิงเลียนแบบน้าเสวี่ย* ร้องให้ตบกำแพงถ้ำหลิงซีเรียกเจ้าออกมา เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องจริงๆ”

(น้ำเสวี่ย เป็นตัวละครจากเรื่องมนตร์รักในสายฝน นำแสดงโดยจ้าวเหว่ยและหลินซินหยู ในเรื่องมีฉากที่ตัวละครน้าเสวี่ยไปตบประตูเรียกคนมาช่วย)

หลิ่วชิงเกอถามว่า “น้าเสวี่ยเป็นใคร”

เสิ่นชิงชิว “สาวสวยน่ะ อาการข้าเป็นอย่างไร”

หลิ่วชิงเกอแค่นเสียง “ตอนนี้ยังไม่ตายหรอก”

ถึงจะพูดเช่นนี้ ทว่าเขากลับใช้มือซ้ายถ่ายทอดพลังทิพย์เข้าสู่ร่างเสิ่นชิงชิวไม่ขาดสาย สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทุกที เสิ่นชิงชิวมองมือของเขา

หลิ่วชิงเกอกล่าวอย่างชัดเจน “ที่คิดค้างเจ้าในถ้ำหลิงซี ขอคืนให้เจ้า”

พวกจองหองปากเสียเอ๊ย!

แผนการที่จะดึงหลิ่วชิงเกอมาเป็นเพื่อนร่วมทีมสำเร็จแล้ว! แต่อาการชีพจนทิพย์ทั่วร่างกระตุกเป็นระลอกทำให้เสิ่นชิงชิวยิ้มไม่ออก

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “อาจารย์อาหลิ่ว ยาพิษอย่าง ‘พิษไร้ยาถอน’ ไม่มีทางรักษาจริงๆหรือขอรับ”

หลิ่วชิงเกอปรายตามองลั่วปิงเหอแวบหนึ่ง ยังไม่ได้ตอบ เสิ่นชิงชิวพลันเข่าอ่อนยวบ แทบจะลงไปคุกเข่ากับพื้น ดีที่มีลั่วปิงเหอประคองอยู่ แต่เขายืนไม่อยู่แล้วจริงๆจึงบอกว่า “ให้ข้านอนลง…ขอข้านอนลงหน่อย”

ลั่วปิงเหอไม่เคยเห็นเสิ่นชิงชิวในสภาพอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน เขาคุกเข่าอยู่ข้างเสิ่นชิงชิว สองดาแดงก่ำดุจเลือด กลั้นสะอื้นเรียก “…ซือจุน”

เสิ่นชิงชิวยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างอ่อนแรง ลูบศีรษะปิงเกออย่างที่คิดอยากลูบมาตลอด เลือดในลำคอที่กลั้นอยู่นานในที่สุดก็พ่นออกมา ร่างกายสั่นเทิ้มเป็นลูกนอก

ทั้งที่อยู่ในสภาพนี้ เขายังคงมุ่งมั่นที่จะกล่าวประโยคเด็ดเพื่อยกระดับความรู้สึกดีๆให้สำเร็จ

“ข้ารู้…เจ้า…จะต้องชนะ”

ฟังประโยคนี้แล้วลั่วปิงเหอก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว

เมื่อมาคิดดูในภายหลัง เสิ่นชิงชิวคิดว่าหากใช้มุมมองของพระเจ้าเขาจะต้องเขวี้ยงนิยายแล้วด่าด้วยความทนไม่ไหวแน่ ตัวละครอะไรวะ เดี๋ยวทุบตี เดี๋ยวก็ช่วย แม่งป่วยชัวร์! หลายบุคลิก + โรคประสาท!

เวลานี้เอง ระบบส่งข้อความมา

[ระดับความซับซ้อนของตัวละครเสิ่นชิงชิว บวกเพิ่ม 20 คะแนน ความลึกซึ้งของอิมเมจในแง่ปรัชญา บวกเพิ่ม 20 คะแนน ค่าความลึกลับของคาแรคเตอร์ บวกเพิ่ม 10 คะแนน รวมค่า B ทั้งหมดที่เพิ่มมาเป็น 50 คะแนน]

เสิ่นชิงชิวสยอง ค่าความลึกซึ้งด้านปรัชญาของตัวละครนี่มันคำนวณกันแบบนี้เหรอ

และกรุณาอย่าเปิดค่าตัวเลขแปลกๆมาใช้ตามใจชอบได้ไหม จะเป็นพระคุณอย่างสูง!

เสิ่นชิงชิวที่สองตาเริ่มพร่ามัวเงยหน้าขึ้น รู้สึกเหมือนจะเห็นน้ำตาของลั่วปิงเหอไหลรินออกมาเป็นสาย

ภาพลวงตามั้ง

นี่เป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดสติไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version