Skip to content

Scumbag System 3

บทที่ 3

ความรู้สึกดีๆ

ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน เสิ่นชิงชิวถึงค่อยฟื้นขึ้นมาอย่างลำบาก

ลืมตาขึ้นก็เห็นม่านผ้าโปร่งสีขาวเหนือศีรษะอันคุ้นตา เลยรู้ว่าอยู่ในเรือนพำนัก ‘ชิงจิ้ง’ บนยอดเขาชิงจิ้งเฟิงแล้ว

เขาสูดลมหายใจ อยากบิดขี้เกียจ ทันใดนั้นเองประตูห้องถูกเปิดออก คนผู้หนึ่งเดินเข้ามา

หมิงฟานประคองถาดในมือ ครั้นเห็นเขาตื่นแล้วก็เหวี่ยงถาดไปที่โต๊ะทันที ร้องไห้โฮ “ซือจุน ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว”

ยังมีอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอก ลั่วปิงเหอยืนอยู่หน้าประตูเหมือนอยากเข้ามาแต่ไม่กล้า

หมิงฟานร้องไห้ฟูมฟายอยู่สักพักทำเอาผ้าปูที่นอนเปียกเป็นดวง จากนั้นหันไปดุลั่วปิงเหอ “เหตุใดจึงยืนอยู่ตรงนี้ ไม่รู้หรือไงว่าซือจุนเห็นเจ้าแล้วรำคาญ” แล้วหันมากล่าวกับเสิ่นชิงชิว “ไม่รู้เจ้าเด็กนี่เป็นโรคอะไร รบเร้าจะขออยู่ตรงนี้ให้ได้ ยืนปักหลักราวกับไม้ตะบอง ไล่ก็ไม่ไปขอรับ”

เสิ่นชิงชิวโบกมือ “ไม่เป็นไร ปล่อยเขาเถอะ”

หมิงฟานกล่าวว่า “ขะ…ข้าจะไปตามอาจารย์อาหลิ่ว อาจารย์ลุงเจ้าสำนัก และอาจารย์อามู่! พวกท่านสั่งไว้ว่าพอท่านฟื้นแล้วให้ไปแจ้งด้วยขอรับ!” พูดจบก็ลุกพรวด พุ่งกายออกไปนอกประตูทันที

ดูท่าว่าจะหลับไปนานมากจริงๆ…เยวี่ยชิงหยวนกลับมาแล้ว ส่วนที่พูดว่า ‘อาจารย์อามู่’ จะต้องเป็นมู่ชิงฟางเจ้ายอดเขาเชียนเฉ่าเฟิงแน่ (หนึ่งพันสมุนไพร) เชียนเฉ่าเฟิงเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร ชำนาญทักษะการแพทย์เลยต้องออกโรง

ลั่วปิงเหอหลีกทางให้ พอเห็นหมิงฟานไปไกลแล้ว ก็ยังไม่ยอมจากไป เอาแต่เมียงมองเข้ามาในห้อง กำหมดแน่น

เสิ่นชิงชิวค่อยๆลุกนั่ง กล่าวกว่า “เจ้ามีวาจาอยากกล่าวหรือ เช่นนั้นก็เข้ามาเถอะ”

ลั่วปิงเหอเดินเข้ามาตามที่เขาบอก แต่แล้วจู่ๆก็คุกเข่าดังตุ้บที่หน้าเตียง

เสิ่นชิงชิว “…!!!”

ระบบ เดี๋ยวนะ! เกิดอะไรขึ้น ผมแค่หลับไปงีบเดียวเอง ทำไมพอตื่นมาก็เปลี่ยนเป็นโหมดนี้แล้วล่ะ นี่ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนนี้ผ่านไปสิบปีแล้วเหรอ

ลั่วปิงเหอคุกเข่า เงยหน้าขึ้น แววตาลุกโชนของเขาเจือไว้ด้วยความรู้สึกผิดอยู่ในที “ขอซือจุนโปรดให้อภัยความโง่เขลาไม่รู้ความของศิษย์ในกาลก่อนด้วยขอรับ”

‘โง่เขลาไม่รู้ความ’ 5 พยางค์นี้ จะใช้กับใครก็ได้ แต่ไม่สามารถใช้กับลั่วปิงเหอเด็ดขาด

เมื่อก่อนศิษย์เพียงเข้าใจว่าซือจุนไม่ค่อยเมตตาศิษย์นัก จนกระทั่งหลังการประลองรอบที่สาม ศิษย์จึงค่อยกระจ่างถึงความลำบากใจของซือจุนในกาลก่อน”

เสิ่นชิงชิวนึกในใจว่า ไม่ๆๆๆ ตอนแรกไอ้อาจารย์คนนั้นของนายมันไม่เคยเป็นห่วงนายจริงๆนั่นแหละ มันอยากให้นายตายใจจะขาด…ว่าแต่ที่บอกกระจ่างถึงความลำบากใจของฉันน่ะ มันอะไรรึ นายลองบอกมาที ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน!

แต่ลั่วปิงเหอดันไม่พูดต่อเสียอย่างนั้น เพียงกล่าวอย่างเอาจริงเอาจังว่า “นับจากนี้ไปศิษย์จะตั้งใจทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้ซือจุนสุดความสามารถ เชื่อฟังคำสั่งของซือจุนขอรับ”

เสิ่นชิงชิวมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน

ช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งเดียว ที่ดุด่าทุบตีข่มเหงรังแกเมื่อก่อนก็ลืมหมดเกลี้ยงเลยเหรอ ความรู้สึกดีๆ นี่จะยกระดับง่ายไปไหม

แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของลั่วปิงเหอขณะนั้นว่ามันสับสนเวียนวนไปมากี่ร้อยรอบพันตลบ

เสิ่นชิงชิวเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ลุกขึ้นมาก่อนเถอะ”

แม้เขาจะยังไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า ตกลงแล้วปิงเกอกระจ่างแจ้งเรื่องอะไร

เห็นลั่วปิงเหอลุกขึ้นยืน แต่ไม่ยอมจากไป ทำท่าเคอะเขิน เหมือนมีอะไรอยากพูด เสิ่นชิงชิวจึงถาม “ยังมีเรื่องอะไรอีก”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุนหลับไปนานหลายวัน เพิ่งจะตื่นขึ้นมา ไม่ทราบว่าอยากอาหารหรือไม่ขอรับ”

พูดกันตามจริง เสิ่นชิงชิวผ่านขั้นปี้กู่แล้ว ไม่กินก็ไม่เป็นไร แต่ไม่อาจต้านทานสัญชาตญาณความอยากกินอาหารได้อยู่ดี พอได้ฟังว่ามีอาหารให้กินก็ตาลุกวาว “อยากซิ อยากมาก”

ลั่วปิงเหอวิ่งออกจากห้องทันที หลายวันมานี้เขาคอยต้มโจ๊กหม้อใหม่ทุกหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ได้ใช้แล้ว เขาประคองถ้วยโจ๊กร้อนๆที่ยังมีไอควันลอยกรุ่นวางลงบนโต๊ะ จากนั้นช่วยพยุงเสิ่นชิงชิวนั่งบนเตียงให้ถนัดถนี่ เอาใจใส่จนชวนขนลุก ขาดก็แต่ยังไม่ได้ตักป้อนเท่านั้น

เสิ่นชิงชิวขนแขนลุกซู่ รีบถือช้อนมาตักเข้าปากกินเอง เห็นลั่วปิงเหอยังคงยืนอยู่ข้างเตียงจ้องตนไม่วางตา

เสิ่นชิงชิวขบคิด จากนั้นค่อยนึกขึ้นได้ เลยกล่าวชมเสียงเรียบ “รสชาติไม่เลว”

ใครว่าแค่รสชาติไม่เลย ยอดชิงจิ้งเฟิง (สงบบริสุทธิ์) พอฟังก็ให้นึกถึงแนวทางอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วละแล้วซึ่งกิเลสตัณหา กระทั่งสไตล์การปรุงอาหารก็ยึดแนวทางนี้

เสิ่นชิงชิวกินมานานจนปากชืดชาไร้รสชาติไปหมดแล้ว แม้ที่อยู่ในถ้วยซึ่งเขาถือไว้นี้จะเป็นเพียงโจ๊ก แต่อาจแตกต่างที่เครื่องปรุงรสและวิธีการปรุง จึงห่างคนละชั้นกับสารพัดโจ๊กที่ใสโจ๋งเจ๋งเป็นน้ำก่อนหน้านี้ เนื้อโจ๊กขาวเนียนโรยต้นหอมซอยบาง หมูสับที่ปรุงรสมาอย่างดี และยังมีขิงซอยโรยมาอย่างพอเหมาะ ร้อนกำลังดี!

ไม่ได้พบไม่ได้เจอนานเหลือเกินแล้ว เสิ่นชิงชิวแทบน้ำตาไหลพราก

ลั่วปิงเหอฟังคำชมของเขา ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที กล่าวว่า “หากซือจุนชอบ ศิษย์จะทำแบบไม่ซ้ำให้ซือจุนทุกวันเลย เป็นอย่างไรขอรับ”

เสิ่นชิงชิวถึงกับสำลัก

ลั่วปิงเหอรีบตบหลังให้เขา เสิ่นชิงชิวโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

เขาแค่ตกใจไปนิดเท่านั้นเอง

ฝีมือการทำอาหารของลั่วปิงเหอคืออาวุธสังหารอันดับหนึ่งในการพิชิตใจสาว นึกไม่ถึงว่าตนกลับได้รับเกียรตินั้นด้วย ในนิยายดั้งเดิมมีน้องหนูคนสำคัญในฮาเร็มของเขาไม่กี่คน จำนวนประมาณว่านับได้ด้วยมือเดียวเท่านั้นที่ได้กิน ‘อาหารตำหรับลั่วปิงเหอ’

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ‘ทำ(อาหาร) แบบไม่ซ้ำให้เจ้าทุกวันเลย’ เป็นประโยคที่ลั่วปิงเหอเอาไว้ใช้ตอนปะเหลาะคุณหนูสองสามคนให้เต็มใจเข้าฮาเร็มของเขาไม่ใช่เหรอ

อาหารสามารถกินมั่วได้ แต่คำพูดจะพูดมั่วไม่ได้นะ

เห็นเสิ่นชิงชิวทำหน้าแปลก ลั่วปิงเหอก็ใจคอไม่ดี ถามว่า “ซือจุนไม่ชอบหรือขอรับ”

ทำให้กินฟรีๆ ใครไม่ชอบก็โง่แล้ว

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างเป็นกันเอง “เหวยซือชอบมาก เช่นนั้นจากนี้ไปเรื่องพวกนี้ก็มอบให้เจ้าแล้ว”

ในที่สุดก็ไม่ต้องกินโจ๊กใสเป็นน้ำอีกต่อไป เป็นถึงผู้นำของยอดชิงจิ้งเฟิงอันยิ่งใหญ่ทั้งที ทำไมจะเปิดครัวเล็กๆของตัวเองไม่ได้ล่ะ!

พอได้รับคำยืนยัน ลั่วปิงเหอก็ดูสดใสราวกับดอกไม้แย้มบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นขึ้นมาทันตา

เสิ่นชิงชิวเห็นเขาในสภาพเช่นนี้ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกคันไม้คันมืออยากลูบหัวเขาทันควัน หรือจะเป็นได้ว่าหัวของปิงเกอมีสนามแม่เหล็กอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงควบคุมมือไม่อยู่ทุกทีล่ะ

หลังจากปล่อยลั่วปิงเหอที่(รับปากทำงานให้คนอื่นฟรีๆ) ยิ้มจนแก้มแทบฉีกออกไปแล้ว เสิ่นชิงชิวก็เคาะเรียกระบบ “เนื้อเรื่องในห้วงอเวจีนี่เลี่ยงไม่ได้เลยรึ”

ระบบ [หากลั่วปิงเหอพลาดจากเนื้อเรื่องตอน ‘ห้วงอเวจี’ ค่าความฟินจะถูกหัก 10,000 แต้ม]

พอได้ยินตัวเลขท้ายประโยคถนัดหู เสิ่นชิงชิวก็กระอักเลือดออกมาด้วยความเคยชิน กระอักเสร็จก็เช็ดๆปาก ช่างเถอะ กระอักก็กระอักไป เขาชินแล้วล่ะ

ก็มีเหตุผลอยู่ หากไม่สามารถฟาดให้ลั่วปิงเหอร่วงลงไปในห้วงอเวจีได้ เขาก็เปิดใช้ดัชนีทองคำไม่ได้ พระเอกใช้ตัวช่วยไม่ได้ ยังจะมีค่าความฟินอะไรเหลืออยู่อีกล่ะ

ดังนั้นเนื้อเรื่องว่าด้วยห้วงอเวจีจึงไม่มีไม่ได้ แต่ในฐานะตัวบัดซบอันดับหนึ่ง และตัวโกงเศษสวะอันดับหนึ่งของนิยายเรื่องนี้ ภารกิจอันทรงเกียรติและจำเป็นนี้แน่นอนว่าจะมอบหมายให้ใครอื่นไม่ได้นอกจากตน

เสิ่นชิงชิวถามอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ อยากร้องไห้นัก ให้อย่างไรก็ทำใจไม่ได้จริงๆ ลั่วปิงเหอที่สดใสราวกับดวงตะวันดวงน้อยในเวลานี้ ต้องตกต่ำกลายเป็นมารหนุ่มเลือดเย็น จิตใจมืดมัว แม้แต่เขาที่ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในนิยาย และตามหลักน่าจะเปิดใช้ตัวช่วยได้ ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้

เขาถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเป็นคนฟาดพระเอกให้ตกลงไปในห้วงอเวจี เปิดเส้นทางตำนานยอดบุรุษดัชนีทองคำแห่งยุค!

นี่เป็นงานที่ไร้อนาคตเสียจริง

ไม่ทำ ค่าความฟินก็จะถูกหักทันที 10,000 คะแนน ตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรได้อีก

ถ้าทำ หลังจากลั่วปิงเหอเปิดใช้ดัชนีทองคำ และเปลี่ยนไปเป็นพระเอกสายดาร์ก ยิ่งไม่มีทางปล่อยเขาไปอยู่ดี งานลำบาก เงินเดือนน้อย สวัสดิการ…ไม่มี

นี่มันอะไรกันโว้ย!

ลั่วปิงเหอเดินออกไปได้ไม่นาน ครู่ต่อมาศิษย์พี่ศิษย์น้องสองสามคนของเสิ่นชิงชิวก็เข้ามาเยี่ยม

เสิ่นชิงชิวนอนอยู่บนเตียง เอานิยายเล่มเล็กสอดไส้ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิง* แล้วอ่าน พอเห็นเยวี่ยชิงหยวนเดินนำเข้ามาก่อน ก็ปิดหนังสือเงียบๆ ซุกไว้ในผ้าห่ม เหลือแต่ปกของเต้าเต๋อจิงโผล่ให้เห็น เขาทำท่าจะลงจากเตียง เยวี่ยชิงหยวนรีบเข้ามาห้าม “อย่าขยับ ตอนนี้เจ้าไม่เหมาะจะลงจากเตียงนอนไปเช่นนั้นแหละ จากนั้นหันไปหามู่ชิงฟางที่อยู่ด้านหลัง “ศิษย์น้องมู่ เจ้าเข้ามาดูเขาอีกทีเถิด”

(คัมภีร์เต้าเต๋อจิง คือ หนังสือปรัชญาของลัทธิเต๋า)

ระหว่างที่หมดสติไปมู่ชิงฟางเข้ามาตรวจอาการให้เสิ่นชิงชิวไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้น่าจะเป็นการตรวจซ้ำ

เสิ่นชิงชิวยื่นข้อมือให้เขา กล่าวอย่างเกรงใจว่า “รบกวนศิษย์น้องมู่แล้ว”

มู่ชิงฟางชะงัก ผงกศีรษะ นั่งลงข้างเตียง แตะนิ้วลงบนชีพจรข้อมือของอีกฝ่าย วิชาแพทย์ของเจ้ายอดเขาเชียงเฉ่าเฟิงนั้น ไม่ว่าจะเป็นโรงที่รักษายากเพียงใด เพียงชั่วพริบตาก็สามารถวินิจฉัยและบอกวิธีรักษาได้แล้ว แต่เขาแตะนิ้วอยู่เป็นนานสองนาน ถึงค่อยเอานิ้วออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เยวี่ยชิงหยวนถามเขาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”

หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับพลังวัตร เสิ่นชิงชิวจะไม่สงวนท่าทีแม้แต่น้อย “พิษนี้ตกลงถอนได้หรือไม่”

หลิ่วชิงเกอสะบัดชายแขนเสื้อ นั่งลงข้างโต๊ะ แค่นเสียงว่า “มันเรียกว่า ‘พิษไร้ยาถอน’ เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”

เสิ่นชิงชิวถอนใจอีกครั้ง “อย่างนั้นศิษย์น้องมู่บอกข้ามาตามตรงเถิด ข้าเหลือเวลาอีกกี่ปี หรือว่ากี่เดือน หรือว่ากี่วัน”

มู่ชิงฟางส่ายหน้า กล่าวว่า “แม้ถอนพิษไม่ได้ แต่กลับมีวิธีสะกดข่มได้”

เสียงเขาราบเรียบ ไม่เบาไม่หนัก แต่เสิ่นชิงชิวกลับรู้สึกเหมือนตนเองกำไรมหาศาลแล้ว

ยาพิษนี้แม้เรียกว่า ‘พิษไร้ยาถอน’ แต่ความจริงแล้วมันถอนได้

เพราะในนิยายดั้งเดิม ช่วงงานชุมนุมเซียนที่มีจุดใคลแมกซ์มากมาย มีศิษย์น้องหญิงต่างสำนักผู้เรียบร้อยนุ่มนวลคนหนึ่งได้รับพิษประหลาดชนิดนี้ของเผ่ามารเข้า

ประเด็นสำคัญอยู่ที่นางเป็นน้องหนูคนหนึ่งของพระเอกนี่แหละ

คุณเคยเห็นพระเอกนิยายฮาเร็มที่ปล่อยให้ผู้หญิงของตัวเองถูกพิษตายหรือเปล่าล่ะ

หากว่าเคย เช่นนั้นเขาก็เป็นพระเอกนิยายฮาเร็มที่ไม่มีคุณภาพ

และนั่นจะเป็นนิยายแนวฮาเร็มที่ล้มเหลวตลอดกาล

วิธีถอนพิษก็ง่ายมาก พวกเราย้อนกลับไปดูการดำเนินเรื่องในนิยายฉบับดั้งเดิมกัน

เพราะเนื้อเรื่องกำหนดไว้แล้ว ไม่อาจเลี่ยงได้ เพื่อช่วยพระเอกที่เพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ศิษย์น้องหว่านเยวียต้องอุบายของปีศาจเผ่ามาร ร่างกายถูกพิษประหลาด ลั่วปิงเหอรู้สึกว่าตัวเองควรรับผิดชอบ เลยรับอาสาไปหายาถอนพิษมาให้ศิษย์น้องหว่านเยวีย

ดีที่ในป่าลึกบนภูเขาซึ่งใช้จัดงานชุมนุมเซียนครั้งใหญ่ มีดอกไม้หัศจรรย์อยู่ต้นหนึ่งอายุนับพันปี เอ่อ ขอโทษด้วย จะชื่อดอกอะไร หรือต้นหญ้าอะไรสักอย่างนั้นเสิ่นชิงชิวก็ลืมไปแล้ว เพราะดอกไม้มหัศจรรย์สารพัดชนิดใน ‘เทพมารอหังการ’ มีอย่างน้อยเป็นร้อยๆต้น แต่ละต้นอายุอย่างน้อยเป็นพันปีขึ้นไป พอรวมพวกหญ้ามหัศจรรย์ ต้นไม้มหัศจรรย์เข้าไปอีก ใครมันจะไปจำกันหวาดไหว

เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี แกนึกว่าดอกไม้หัศจรรย์เป็นผักกาดขาวที่ขายลดราคาในตลาดเหรอ เหลือเกียรติยศศักดิ์ศรีของสิ่งที่ยิ่งได้มายากยิ่งมีค่าให้พวกดอกไม้หัศจรรย์มันบ้างเถอะ

ลั่วปิงเหอเข้าใจว่าหญ้ามหัศจรรย์ในตำนานนี้ จะต้องสามารถขับสลายพิษในร่างของศิษย์น้องหว่านเยวียได้แน่ เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปเก็บหญ้านี้เพื่อนางด้วยความลำบาก เพียงเพื่อเก็บหญ้านี้ก็กินเวลาไปสามวัน (30 บท) ในสามวันนี้ เขาหาดอกไม้ไปพลาง ปราบปีศาจไปพลาง ทั้งสองคนเล่นหูเล่นตากันจนเกิดเป็นมิตรภาพอันแน่นแฟ้นของผู้ที่ร่วมฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกันมา พิษในร่างกายของศิษย์น้องหว่านเยวียแทรกซึมลึกขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัวนี้ ลั่วปิงเหอก็เก็บดอกไม้มาให้นางจนได้ในที่สุด พวกเขาสองคนตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่เสียจนรีบเอาดอกไม้ให้ศิษย์น้องหว่านเยวียกินทั้งดิบๆ

แต่…ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พิษไม่สลาย

คนทั้งคู่ท้อแท้หมดกำลังใจ น้องหนูคิดว่า ไหนๆ จะต้องตายแน่แล้วต้องเหลือความทรงจำดีๆติดตัว จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมา อย่ากระนั้นเลย ในเมื่อข้าอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกไว้กับตัวอีกต่อไป

ดังนั้นจึงฉวยโอกาสที่ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง…จับลั่วปิงเหอกด

ลั่วปิงเหอทำท่าขัดขืนไว้ก่อน แต่ต่อมาก็ยอมเพราะ นางทำเพื่อข้า ข้าจึงไม่อาจทำใจแข็งปฏิเสธความปรารถนาสุดท้ายในชีวิตของนาง อย่างกึ่งผลักไสกึ่งโอนอ่อน…

แล้วตกลงว่ายาพิษมันสลายได้อย่างไร

หลังจากปั้ปๆๆ กันเสร็จ พิษของน้องหนูก็สลายไปเองครับท่าน!

ช็อคเปล่าล่ะ น้ำเน่าเปล่าล่ะ เหลือเชื่อรึเปล่าล่ะ แต่ฟินสุดๆไปเลยใช่เปล่า! ทั้งฟินทั้งช็อค ฮ่าๆๆ

เพราะลั่วปิงเหอเป็นลูกครึ่งมนุษย์กับมาร อีกทั้งเลือดในกายเขาครึ่งหนึ่งยังสืบทอดมาจากราชาอันดับหนึ่งของเผ่ามารผู้มีสายเลือดของมารฟ้าบรรพกาลเสียด้วย!

พิษประหลาดของเผ่ามารที่จิ๊บจ้อยแค่นี้ จึงไม่พออุดซอกฟันเขาด้วยซ้ำ ระหว่างที่พวกเขาสองคนปั้บๆๆกัน พิษก็ถูกลั่วปิงเหอดูดซับเข้าไปแล้วย่อยจนหมด แถมสารอาหารจากดอกไม้ที่น้องหนูเพิ่งกินเข้าไปยังถูกลั่วปิงเหอดูดซับเอาไว้ด้วย ดังนั้นพลังฝีมือจึงรุดหน้าไปอีกขั้นใหญ่!

สิ่งที่เรียกว่าสิทธิและสวัสดีการของพระเอกนั้นคือ ต่อให้เหยียบขี้หมา ในขี้หมาเป็นต้องมีคัมภีร์ลับ หรือไม่ก็ยาต้านวิเศษซ่อนอยู่

ตอนที่เสิ่นชิงชิวย้อนนึกถึงเนื้อเรื่องช่วงนี้ ก็ทำเอาหน้าเปลี่ยนสีไปหลายตลบ ขนาดคนที่อยู่ข้างๆเรียกยังไม่รู้สึกตัว กระทั่งเยวี่ยชิงหยวนเรียกมาสองสามครั้ง เขาถึงได้สติกลับคืนมา “อะไรหรือขอรับ”

มู่ชิงฟางส่งกระดาษให้เขาแผ่นหนึ่ง “แต่ละเดือนให้ใช้ตัวยาสี่ชนิดนี้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งให้ผู้ที่มีพลังทิพย์สูงส่งสักคน คอยช่วยกรุยพลังทิพย์ของท่านให้โคจรเป็นปกติก็จะไม่เป็นไรมากนัก”

เขาเว้นไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “เพียงแต่เกรงว่า นับจากวันนี้ไปศิษย์พี่เสิ่นจะมีอาการปราณทิพย์ติดขัด หรือไม่ก็หมุนเวียนไม่ได้ดั่งใจเกิดขึ้นเป็นระยะๆ”

คนอื่นในห้องอีกสามคนต่างพากันสังเกตสีหน้าเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ

ควรทราบว่าสำหรับผู้ฝึกวิชาเซียนแล้ว ปราณทิพย์โคจรติดขัดเป็นปัญหาที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเผชิญหน้าระหว่างยอดฝีมือสองคน ไม่ระวังนิดเดียวก็คือตาย แต่หารู้ไม่ว่าผลลัพธ์เพียงเท่านี้เสิ่นชิงชิวก็พอใจมากแล้ว

คนที่ต้องมารับบทตัวโกงกากๆเช่นเขา ได้รับพิษประหลาดที่ไร้ยาถอนแต่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถือว่าไว้หน้าเขามากแล้ว

ถึงจะรู้ว่าปั้ปๆๆกับพระเอกแล้วจะถอนพิษได้ แต่เขาจะทำได้เหรอ ได้จริงเหรอ ฮ่าๆๆ

เยวี่ยชิงหยวนถอนใจ “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่ลงเขาหรอก

เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าน้ำเสียงของศิษย์พี่ย้ำแย่เกินไป เลยรีบกล่าว “งานชุมนุมเซียนเป็นงานใหญ่ที่ประมุขทุกสำนักต้องหารือกันจัดงาน ศิษย์พี่ไม่ไปจะได้หรือไร ครานี้เป็นเพราะพวกมารชั่วช้าสับปลับ อีกทั้งข้าเองก็ไม่ระวังตัว ศิษย์พี่ห้ามโทษตัวเองเด็ดขาด”

หากเขาไม่กล่าวให้ชัดเจนเสียตอนนี้ ด้วยนิสัยของเยวี่ยชิงหยวน ดีไม่ดีอาจไม่ยอมลงเขาอีกตลอดชาติ เพื่อคอยเฝ้าสำนักชางฉยงซานจนตายก็เป็นได้ แต่นึกไม่ถึงว่าอีกด้านหนึ่งมู่ชิงฟางก็กล่าวอย่างรู้สึกผิดเช่นกัน “ไม่ เป็นเพราะข้าไม่ดี หากมิใช่เพราะตอนนั้นข้าไม่อาจสำเหนียกว่ามีเผ่ามารบุกรุกได้ทันท่วงที ทั้งเรียนวิชาได้ไม่ถึงขั้น ไม่อาจรักษาศิษย์พี่ให้หายขาดได้ อาการของศิษย์พี่ก็จะไม่หนักหนาถึงขั้นนี้”

“ไม่ๆ ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า พูดขึ้นมาแล้ว ข้าเองที่ไม่ระวัง ใช้ค้อนฟาดพื้นหน้าอารมฉยงติ่งเป็นรูเบ้อเร่อ…”

ภาพที่พวกเขาต่างวุ่นวายพยายามปลอบใจตน เป็นภาพที่อลเวงและชวนขัน จนทำให้เสิ่นชิงชิวทั้งประทับใจและขัดเขินจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว หนังหัวชาดิก

หลิ่วชิงเกอมองออกไปข้างนอก ด้วยสีหน้าไม่บอกความรู้สึก รอจนพวกเขาถกเถียงกันเพื่อแย่งเอาความผิดเข้าตัวเสร็จ ก็จิบชาทีหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่อาจให้คนอื่นๆนอกจากเจ้ายอดเขาทั้งสิบสองคนรู้เป็นอันขาด”

ในฐานะที่เป็นเจ้ายอดเขาอันดับสองแห่งชางฉยงซาน กลับมีจุดอ่อนร้ายแรงถึงชีวิตเช่นนี้ หากผู้อื่นล่วงรู้เข้าคงไม่ดีแน่ คนทั้งสามเองก็เข้าใจดี

เยวี่ยชิงหยวนถามว่า “ชิงชิว เจ้ารู้สึกว่างานเจ้ายอดเขาหนักไปหรือไม่”

หากเป็นเสิ่นชิงชิวคนเดิม 80% ต้องนึกสงสัยแน่ว่าเยวี่ยชิงหยวนคิดทอนอำนาจตน แต่เสิ่นชิงชิวในเวลานี้รู้ว่าเขาห่วงใยด้วยใจจริง กลัวตนจะทำงานหนักเกินไป ไม่เป็นผลดีต่อการรักษาตัว เลยรีบกล่าว “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้ายังไม่ได้หมดสภาพถึงขั้นนั้น”

เขาหัวเราะ และกล่าวต่อ” ตอนนี้แขนขาข้ายังเคลื่อนไหวได้ ปากยังพูดได้ พลังฝึกปรือยังอยู่ แค่นี้ก็พอใจแล้ว”

พวกเขาเลยยกเอาเหตุการณ์วันที่เผ่ามารบุกขึ้นมาพูดคุยอีกรอบ จากนั้นเยวี่ยชิงหยวนกับมู่ชิงฟางกลับไปก่อน เสิ่นชิงชิวมองส่งทั้งสองคนด้วยสายตาระบายยิ้ม ทั้งรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงอย่างบอกไม่ถูก

สหายร่วมสำนักชางฉยงซานเหล่านี้ แม้นิสัยแตกต่าง มีทั้งที่คบหาด้วยง่ายและไม่ง่าย แต่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถึงจะแยกย้ายกันอยู่ตามสิบสองยอดเขา ทว่าพอเกิดเรื่องขึ้นกลับสามารถพึ่งพาอาศัยได้(ไม่รวมเสิ่นชิงชิวในนิยายดั้งเดิมนะ)

หลิ่วชิงเกอวางถ้วยชาที่เย็นชืดไปนานแล้ว “หากมิใช่เพราะบนร่างเจ้าไม่มีกลิ่นอายปราณทิพย์ ข้าต้องสงสัยแน่ว่าเจ้าถูกวิญญาณยึดครองร่างไปแล้ว”

ไอ้คนที่ยังอยู่ตรงนี้คือคนที่เพิ่งบอกว่าคบด้วยไม่ง่ายนี่แหละ!

แต่ถึงอย่างไรการคาดเดาของนายก็ถูกต้องเลยล่ะ

หลิ่วชิงเกอกล่าวต่อ “ระหว่างที่อยู่ในถ้ำหลิงซี เจ้าช่วยข้าก็นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อแล้ว เผ่ามารบุกคราวนี้ เจ้ายังเกือบตายเพื่อช่วยศิษย์ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนหนึ่ง ได้รับพิษที่สร้างความเสียหายต่อพลังทิพย์ ความจริงเจ้าน่าจะอาละวาดฟาดหัวฟาดหางไปแล้ว แต่กลับวางเฉยได้อย่างสงบ เรื่องพวกเนี้ใครทำก็ไม่น่าประหลาดหรอก มีแต่เจ้าที่ทำแล้วขัดกันวุ่น”

เสิ่นชิงชิวไม่คิดเอาประเด็นเรื่อง OOC ของตัวเองมาถกกับหลิ่วชิงเกอ เขาเรียกหมิงฟานเข้ามาให้เปลี่ยนน้ำชาใหม่ แล้วเอนกายไปด้านหลัง กล่าวยิ้มๆว่า “ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไร้ชื่อเสียงเรียงนามหรือ ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ”

หลิ่วชิงเกอแย้งว่า “ศิษย์คนนั้นของเจ้า หน่วยก้านดีจริงอยู่ ทว่าทุกๆปีสำนักใหญ่แต่ละที่คัดเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เข้าไปไม่น้อย ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดมีไม่ถึงหนึ่งในหมื่นด้วยซ้ำ”

เสิ่นชิงชิวรู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา

หากหลิ่วชิงเกอกลายเป็นอุปสรรคในการเปิดใช้ดัชนีทองคำของลั่วปิงเหอ แล้วพวกเขาสองคนเกิดจะต้องดวลกันขึ้นมา ตู้มเดียวก็โดนน็อคเอาท์แล้วจะทำอย่างไรดี เพื่อผลประโยชน์ของทุกคน เขาคงต้องสะกิดเตือนหลิ่วชิงเกอเสียหน่อย

เขากล่าวเดือนด้วยความหวังดี “เชื่อข้าเถิด ศิษย์ของข้าผู้นี้วันหน้าจะต้องประสบความสำเร็จแน่ หากมีโอกาสหวังว่าศิษย์น้องหลิ่วจะช่วยชี้แนะให้เขาสักครั้ง…”

หมิงฟานจุกอกปางตายแล้ว เขาแค่ไปเปลี่ยนน้ำชากลับมา กลับต้องฟังซือจุนที่เมื่อก่อนมีศัตรูคนเดียวกันกับเขากล่าวชมลั่วปิงเหอให้ได้ยินเต็มหู ความจุกแน่นในอกระดับนี้เปรียบได้กับ ‘เพื่อนรักที่เคยก่นด่าไอ้เวรคนหนึ่งมาด้วยกัน อยู่ๆเพื่อนคนนั้นก็ไปคบกับไอ้เวรที่พวกคุณเคยร่วมกันสุมหัวด่าอยู่หลายปี’ เลยทีเดียว ทำเอาเกิดความรู้สึกอยากอาเจียนเสียจนต้องไปสำรอกใส่คนอื่นต่อ

หมิงฟานบุกไปถึงห้องครัวอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ เพื่อตามหาตัวลั่วปิงเหอที่กำลังครุ่นคิดว่าพรุ่งนี้เช้าจะทำอะไรให้ซือจุนกินดี หลังจากด่าสาดเสียเทเสียชนิดน้ำลายกระเซ็นเต็มหน้าไปยกหนึ่งก็สั่งว่า “ไปตัดฟืนให้ได้ 80 มัด แล้วเอามาเรียงให้เต็มห้องเก็บฟืน! แล้วไปตักน้ำ! โอ่งน้ำในห้องศิษย์พี่ศิษย์น้องล้วนว่างเปล่าหมดแล้ว! เจ้าตาบอดมองไม่เห็นหรือ!?”

ลั่วปิงเหอฉงน “แต่ว่าศิษย์พี่ขอรับ ถ้าฟืนในห้องเก็บฟืนวางเต็มแล้ว ข้าจะไปนอนที่ไหนเล่าขอรับ”

หมิงฟานเอาเท้าข้างหนึ่งกระทืบๆพื้น แล้วถ่มน้ำลาย “ตรงนี้มิใช่ฟื้นเรียบหรือไร นอนไม่ได้หรือ”

“โอ่งน้ำในห้องของพวกศิษย์พี่วันนี้ข้าเพิ่งเติมไปเองนะขอรับ…”

“น้ำมันค้างวันแล้ว ไปตักมาใหม่ ไปตักมาใหม่ให้หมดเลย!”

หากเป็นเมื่อก่อนลั่วปิงเหอต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่ก็เศร้าเสียใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ความคิดจิตใจเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ในสายตาของเขา ทั้งหมดนี้คือการสั่งสมประสบการณ์

เขามีซือจุนที่ดีขนาดนี้ คิดอ่านทุกอย่างเพื่อเขา กระทั่งเสี่ยงชีวิตเพื่อเขาได้ (……….) ยังจะมีอะไรที่ไม่อาจเรียนรู้ได้อีก มีความทรมานใดที่ไม่อาจรับได้อีก

ลั่วปิงเหอไม่กล่าวอะไรต่อ หมุนตัวออกไปทำงานทันที

หมิงฟานเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกสะใจที่ได้แกล้งคนพลันสลายกลับจุกอกขึ้นมาอีกรอบ

เขาเดินไปพลางด่าไปพลาง “ไม่รู้จริงๆว่าไอ้เด็กหน้าเหม็นคนนี้ไปเข้าตาซือจุนตรงไหน จู่ซือจุนก็ทำดีกับมัน วันหน้าจะต้องประสบความสำเร็จบ้าบออะไรกัน! ต่อให้ซือจุนถูกเจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่ทำอุบายตบตา อาจารย์อาหลิ่วก็ไม่มีทางช่วยมันหรอก ชี้แนะมันหรือ ไม่ต้องคิดเลย ถุย!”

ถึงเขาจะเดินไปด่าไป เสียงก็ไม่ได้ดังมากนัก แต่ลั่วปิงเหอที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อีกทั้งประสาทสัมผัสเฉียบคมมาแต่เกิด ไหนเลยจะไม่ได้ยินที่หมิงฟานบ่นพึมพำ แม้ไม่ปะติดปะต่อ ทว่าส่วนใหญ่แล้วก็พอจับใจความหลักได้ ลั่วปิงเหอพอจะเดาสถานการณ์ได้ถึงเจ็ดแปดส่วน

ที่แท้ต่อหน้าอาจารย์อาหลิ่ว ซือจุนพูดถึงตนแบบนี้…

ในที่ที่ตนเองมองไม่เห็น มีคนผู้หนึ่งเห็นความสำคัญของตนถึงเพียงนี้ ช่างเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์เสียจริง

ความอบอุ่นสายหนึ่งพลันแล่นสู่หัวใจ แล้วเอ่อท้นโถมทะลักออกมา จากนั้นค่อยๆโอบเขาไว้ทั้งตัว

ลั่วปิงเหอรู้สึกเหมือนมีขุมกำลังอันมั่นคงชนิดหนึ่งหยั่งรากในก้นบึ้งของหัวใจ จากนั้นก็เริ่มแตกหน่อเติบโตขึ้น แม้แต่มือที่กำลังหิ้วถังน้ำอันแสนหนักก็มีกำลังเพิ่มขึ้นมาด้วย

เวลานี้ลั่วปิงเหอไม่เพียงไม่รู้สึกว่าถูกรังแก สีหน้ากลับแสดงถึงความเป็นสุขและอิ่มอกอิ่มใจอย่างยิ่ง

หากเสิ่นชิงชิวอยู่ตรงนี้ จะต้องนึกสงสัยแน่ว่า หรือความจริงแล้ว ส่วนลึกในใจลั่วปิงเหอจะเป็นสาย M*…

(M ในที่นี้ย่อมาจาก มาโซคิสท์ Masochist คือ ผู้ที่มีความสุขเมื่อถูกกระทำให้เจ็บปวด)

ตีให้ตายเสิ่นชิงชิวก็ไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นเพราะสหายโง่หมิงฟานที่เหมือนเทพมาโปรดนั่นเอง ระดับความรู้สึกดีๆของลั่วปิงเหอที่มีต่อตนถึงได้ขยับขึ้นไปสูงอีกระดับแล้ว ตัวเขาในเวลานี้น่ะเหรอ ยังนอนเกลือกกลิ้งอย่างเป็นสุขอยู่เลย

วันนี้ชิงจิ้งเฟิงที่สูงส่งเย็นชาเสมอมา ธรณีประตูถูกคนเหยียบจนเกือบจะแตกอยู่แล้ว ด้วยเจ้ายอดเขาทุกท่านล้วนพาศิษย์พร้อมของบำรุงขวัญมาเยี่ยมเขา

เพราะตอนซาหัวหลิงมาก่อกวน สะพานสายรุ้งถูกสะบั้น ฉยงติ่งเฟิงถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พวกเขาเลยไม่อาจมาถึงที่เกิดเหตุได้ทันกาล เสิ่นชิงชิวในฐานะผู้อาวุโลคนเดียวในที่นั้นต้องแบกรับศึกหนักไว้เองทั้งหมด จึงทำให้อย่างน้อยๆ ชางฉยงซานไม่เสียหน้าเกินไป ไม่ว่าเมื่อก่อนจะคบหากันดีหรือไม่ ก็ต้องมาแสดงน้ำใจสักครั้ง เสิ่นชิงชิวรับน้ำใจอย่างไม่มีกระบิดกระบวน ยังถือโอกาสนี้จดจำหน้าตาของเจ้ายอดเขาสองสามคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย เลยโอภาปราศรัยกันพักใหญ่เพื่อกระชับความสัมพันธ์

ตกเย็น เขาคิดอย่างเป็นสุขว่า ในที่สุดก็นอนตาหลับได้อย่างสบายใจเสียที

สองชั่วยามต่อมา

นอนตาหลับอย่างสบายใจกะผีซิ!

เสิ่นชิงชิวยืนอยู่กลางพื้นที่โล่งขมุกขมัวว่างเปล่า เบิกตามองเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลแสนไกลจนมองไม่เห็น

ตอนแรกเขายังนอนปลื้มอยู่บนเตียงของตัวเองก่อนหลับฝันหวานไปอย่างสบายใจอยู่เลย ใครจะอธิบายได้บ้างว่า ทำไมเขาถึงถูกลากเข้ามาในมิตินี้ได้

เสิ่นชิงชิวอยากมีฆ้องชนิดที่ตีทีเดียวก็เรียกระบบมาหาตัวเองได้เหลือเกิน จะได้ไม่ต้องคอยตะโกนอยู่ในหัว “ระบบ อยู่เปล่า”

ระบบ [ระบบให้บริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง]

เสิ่นชิงชิว “นี่มันที่ไหน สถานการณ์อะไร”

ระบบ [ที่นี่คือดินแดนในห้วงฝัน]

เสิ่นชิงชิว “ผมรู้อยู่แล้วว่าที่นี่คือห้วงฝัน ในโลกแห่งความจริงคุณจะทำภาพที่มันแอบสแตรกขนาดนี้ให้ผมดูรึไง ที่ผมถามคือทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่”

ขอร้องล่ะ ยังไงก็อย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดเด็ดขาด

แต่พระเจ้าของโลกใบนี้ไม่ยอมไว้หน้าเขาบ้างเลย เพิ่งจะนึกอยู่ว่าไม่เอา ไม่เอา วินาทีต่อมาก็เห็นร่างที่คุ้นตาจนไม่อาจคุ้นไปกว่านี้อีกเข้าจริงๆ

ลั่วปิงเหอที่ยืนมึนอยู่กลางพื้นที่เวิ้งว้างข้างหน้าเขานี่เอง

ฝ่ายนั้นก็ดูเหมือนจะไม่รู้เลยว่าทำไมตนเองถึงปรากฏตัวที่นี่ได้ หลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆในคลองจักษุก็ปรากฏร่างของเสิ่นชิงชิว ลั่วปิงเหอตกตะลึง ทำท่าราวกับลูกเจี๊ยบที่เห็นแม่ไก่ทันที (เปรียบเปรยได้งี่เง่าอะไรขนาดนั้น” วิ่งมาหาเสิ่นชิงชิงอย่างดีอกดีใจ

“ซือจุน!” เขาถูกขังอยู่ในโลกนี้สักพักแล้ว พอเห็นเสิ่นชิงชิวปรากฎตัวก็ตื่นเต้นเป็นการใหญ่ เรียกเขาหลายครั้งติดกัน

ทันทีที่เสิ่นชิงชิวเห็นเขา ก็รู้เลยว่าที่นี่คือสถานที่อะไร เนื้อเรื่องตอนไหน

ความหวังของเสิ่นชิงชิวพังทลายในชั่วพริบตา ในใจหลั่งน้ำตา เอื้อมมือไปตบไหล่เขา “ได้ยินแล้ว ไม่ต้องเรียกหลายครั้งขนาดนั้น”

ลั่วปิงเหอรีบถามเป็นการใหญ่ “ซือจุน ไฉนท่านมาอยู่ที่นี่เล่าขอรับ ท่านรู้หรือไม่ที่นี่คือที่ใด”

เสิ่นชิงชิวแอบขี้เกียจ ลอกบทพูดของระบบมาแบบเป๊ะๆว่า “ที่นี่คือดินแดนในห้วงฝัน”

ลั่วปิงเหอถามอีก “เพราะเหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่เล่าขอรับ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “คนอื่นมาที่นี่อาจเป็นเรื่องแปลก มีแต่เจ้าอยู่นี่นี่ถึงจะเป็นเรื่องถูกต้อง ที่นี่คือห้วงฝันของเจ้า”

ลั่วปิงเหอตะลึงลานไปแล้ว “ของข้า?”

เขาผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองฟ้าดินอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขต กล่าวงึมงำ “ห้วงฝันของข้า กลับ…เป็นเช่นนี้หรอกหรือ”

ความฝันเกิดจากสภาพจิตใจ เขาอายุยังน้อยสภาพจิตใจดันไม่สดใสสวยงาม ภาพที่เห็นตรงนี้ไม่อาจไม่ถอนใจจริงๆ

เสิ่นชิงชิวแกล้งทำเป็นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นี่มิใช่ห้วงฝันตามปกติ เกรงว่าเจ้าถูกคนก่อกวนเข้าให้แล้วโดยไม่รู้ตัว ในห้วงฝัน พลังทิพย์จะปั่นป่วนรุนแรงและไม่คงที่ เหวยซือเองก็ถูกเจ้าลากเข้ามาโดยไม่ตั้งใจ”

ลั่วปิงเหอมีสีหน้าละอาย “ศิษย์ไร้ประโยชน์ ทั้งยังดึงซือจุนเข้ามาเกี่ยวข้องอีก” เขาขบคิดอย่างตั้งอกตั้งใจ “แล้วตกลงเป็นผู้ใดที่มาก่อกวนห้วงฝันของศิษย์เล่าขอรับ”

เสิ่นชิงชิวสัมผัสประสบการณ์ความสนุกในการสปอยล์เนื้อเรื่องเพียงพอแล้ว จึงตอบแบบกำปั้นทุบดิน “ไม่ต้องคิดมาก ในขอบเขตของห้วงฝันแห่งนี้ ไอปีศาจตลบอบอวล วิธีการชั้นปลายแถวเช่นนี้ ย่อมเป็นคนของเผ่ามารอย่างไม่ต้องสงสัย”

พอลั่วปิงเหอได้ฟังก็ไม่แปลกใจ ความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อเผ่ามารถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง “พวกปีศาจภพมารพฤติกรรมชั่วช้าจริงๆ”

คิดไม่ออกเลย หากตอนลั่วปิงเหอรู้ว่าตนเองเป็นลูกครึ่งเผ่ามาร แล้วนึกถึงคำพูดนี้ของตัวเองขึ้นมาจะมีสีหน้าแบบไหน

เสิ่นชิงชิวกล่าวยิ้มๆ “ไม่จำเป็นว่าจะต้องชั่วช้าเสมอไป ไม่แน่ ผู้อื่นเขาอาจคิดตรงกันข้ามก็ได้”

เมื่อพูดจากมุมมองของพระเจ้า คนอื่นมักไม่เข้าใจ ลั่วปิงเหอเองก็ไม่เข้าใจ อะไรคือคิดตรงกันข้าม เสิ่นชิงชิวยิ้มซ่อนความหมาย ทิ้งท้ายประโยคด้วยเสียงสูงอย่างแฝงเจตนาล้อเลียนที่ทำให้ผู้ฟังคิดเตลิดเปิดเปิง พอเขาหยุดพูดแต่เพียงเท่านี้ ลั่วปิงเหอก็ไม่กล้าคิดต่อ

ความจริงเสิ่นชิงชิวไม่ได้มีเจตนาล้อเลียน เขาเห็นว่าตัวเองเป็นคนจริงจังมาก คนที่มาก่อกวนห้วงฝันของลั่วปิงเหอคือซาหัวหลิงนั่นเอง แน่นอนว่าเจตนาร้ายนั้นมีอยู่ แต่ส่วนที่มากกว่านั้นก็คือแรงจูงใจของอิสตรีที่อยากมีความรักนั่นเองซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ว่าใครก็เข้าใจได้

ไม่อย่างนั้นทำไมถึงไม่ทำอะไรคนอื่น แกล้งแต่ลั่วปิงเหอเล่า สำหรับหญิงเผ่ามาร ชอบใครขึ้นมาก็อยากจะจับเขามารังแกให้หนักๆ รังแกแล้วไม่ตายถึงจะยอมเลื่อมใส แต่ถ้าตายขึ้นมาก็แสดงว่าเป็นตัวไร้ประโยชน์ ไม่มีค่าพอให้สนใจไยดีอีก

“ห้วงฝันนี้ไม่ธรรมดา วิชาบันดาลฝันร้ายทั่วไปมิอาจขังข้าไว้ได้ แค่ปรับความคิดข้าก็หลุดออกไปได้แล้ว ไม่เหมือนห้วงฝันนี้ซึ่งสร้างขึ้นอย่างประณีต เกรงว่าหากทำลายแกนกลางของแดนมายานี้ ไม่ว่าใครก็จะหมดหนทางออกไป”

ลั่วปิงเหอร้อนใจขึ้นมาแล้ว “เช่นนี้เท่ากับซือจุนจะถูกขังอยู่ในห้วงฝันตลอดไปหรือขอรับ”

เสิ่นชิงชิวมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าก็จะถูกขังด้วยเช่นกัน”

ลั่วปิงเหอในใจไหววูบ หน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด “…ศิษย์ไม่ดีเอง”

เสิ่นชิงชิวกล่าว “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ รีบคิดหาทางฝ่าเขตอาคมไปกันเถอะ”

ลั่วปิงเหอพยักหน้าเงียบๆ เดินตามหลังเสิ่นชิงชิวไปยังชายเขตแดนของห้วงฝัน

เสิ่นชิงชิวภายนอกดูนิ่งขรึมแต่ในหัวพล่านราวกับหนูติดจั่น ขณะเรียกระบบมาคุย

ระบบ [ระบบขอแจ้งให้ทราบว่า ขณะนี้ท่านเข้าสู่เนื้อเรื่องย่อยที่มีความสำคัญมาก นั่นคือเขตอาคมของมารฝัน โปรดดูให้แน่ใจว่าระหว่างที่อยู่ในทางสายย่อยของเนื้อเรื่อง ท่านจะช่วยลั่วปิงเหอให้ผ่านพ้นแดนมายาของมารฝันออกไปได้ ไม่อย่างนั้นค่าความฟินจะถูกหัก 1,000 คะแนน]

มาอีกละ จะหักค่าความฟินอีกละ ทุกครั้งล้วนเป็นตัวเลขที่ทำเอาหัวใจจะวายตลอด เวลาผมตั้งอกตั้งใจทำงานหนักแทบเป็นแทบตาย กลับแลกค่าความฟินมาได้ไม่กี่แต้ม แต่เวลาคุณหักที หักเลย 1,000 คะแนน แบบนี้มันจะดีเหรอ เป็นคน…เอ๊ย เป็นระบบต้องไม่โหดร้ายแบบนี้ซิ!”

แต่นี่ไม่ใช้ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญจริงๆคือตอนนี้บทมันเพี้ยนไปแล้วต่างหาก

เรามาดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามพล็อตที่วางเอาไว้แต่เดิมของเนื้อเรื่องช่วงนี้ในนิยายต้นฉบับกัน

ลั่วปิงเหอถูกผลักเข้ามาในขอบเขตการโจมตีของมารฝัน ก่อนจะเข้าสู่ช่วงคับขัน เพื่อปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณ เขาดึงเอาคนที่ตัวเองไว้ใจที่สุดให้เข้ามาในเขตอาคมกับเขา

เสิ่นชิงชิวเคาะเรียกระบบเป็นการด่วน

“พี่ๆ! ป้าๆ! ลุงๆ! แน่ใจนะว่าไม่มี bug ตอนนี้ลั่วปิงเหอจะต้องจู๋จี๋กับสาวซิ แล้วน้องเขาก็จะต้องช่วยลั่วปิงเหอคลายปมในใจ ใช้ความรักช่วยเขาเอาชนะจิตใจชั่วร้าย แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นผมอยู่ในฉากนี้แทนล่ะ แล้วที่บอกว่าความรักผูกพันลึกซึ้ง หลอมใจผสานวิญญาณจนรับเข้าฮาเร็มล่ะ แล้วยังศิษย์น้องหญิงที่บอกว่าแม้ความตายก็ไม่อาจพราก จะอยู่ดูแลกันและกันตลอดไปล่ะ!”

ระบบ [ทางเราตรวจสอบแล้วไม่พบ bug ระบบทำงานเป็นปกติ]

ไม่มี bug ก็หมายความว่าเนื้อเรื่องช่วงนี้ต้องดำเนินไปให้ดีไม่อย่างนั้นตายแหง

นี่มันทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก*นี่หว่า

(ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก หมายถึง การกระทำเพียงเล็กๆ อาจส่งผลกระทบใหญ่โตต่อสิ่งอื่นๆ เช่น ผีเสื้อตัวหนึ่งขยับปีกในทวีปหนึ่ง อาจส่งผลให้เกิดพายุใหญ่ในอีกทวีปหนึ่ง)

ความจริงคนที่ถูกลั่วปิงเหอลากเข้ามาในฝันร้ายควรต้องเป็นหนิงอิงอิง ในฐานะที่เป็นคนที่ลั่วปิงเหอไว้ใจและสนิทที่สุดในชิงจิ้งเฟิงตามพล็อตช่วงต้นที่วางไว้แต่เดิม ภารกิจในการฝ่าทะลวงด่าน+ยกระดับความใกล้ชิดเห็นชัดว่าจะต้องเป็นงานของนางนะ

แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น

‘คนที่เชื่อใจที่สุด คนที่สนิทที่สุด’ หมวกใบนี้ ทำไมถึงได้จับพลัดจับผลูสวมลงมาบนหัวเขาล่ะ

เสิ่นชิงชิวหน้าตาแตกตื่นที่อยู่ๆก็มีวาสนาโดยคิดไม่ถึง ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดอยากได้รับเกียรติขนาดนี้เลยสักนิดเดียว

ลั่วปิงเหอเห็นเสิ่นชิงชิวทำหน้าประหลาดก็ถามอย่างเป็นห่วง “ซือจุนเป็นอะไรไปขอรับ”

เสิ่นชิงชิวเรียกสติกลับมาทันที ตอบเสียงนิ่ง “ไม่มีอะไร เหวยซือกำลังคิดน่ะ มารที่ควบคุมสั่งการห้วงฝันเก่งกาจในการโจมตีจุดที่อ่อนแอในใจคน เจ้าต้องคอยระวังตัวเอาไว้ให้ดี”

ลั่วปิงเหอพยักหน้า กล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่นว่า “ศิษย์จะไม่ทำให้ซือจุนต้องเจอปัญหาอีกขอรับ”

เหลือจะทานทนเกินไปแล้ว ไม่เพียงแค่ถูกม้วนเข้ามาในเนื้อเรื่องที่อันตราย แถมยัง…น่ากลัวว่าเขาคงต้องเอางานที่เป็นความรับผิดชอบของน้องหนูในฉากมาทำด้วยนี่ซิ แม้เพียงนิดเสิ่นชิงชิวก็ไม่คิดอยากจะติดตามพระเอกฝ่าภูเขาดาบทะเลเพลิง เผชิญหน้ากับมารฝันผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยเขารับดาบ แถมยังต้องเป็นจิตแพทย์ที่ให้คำปรึกษาแบบฟรีๆอีก

กลับเข้าเรื่องบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อก่อนพอเจอสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมา เสิ่นชิงชิวก็จะด่าเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีไว้ก่อนจนเป็นนิสัยไปแล้ว แต่คิดไปไอ้เซี่ยงเทียนมันก็ไม่ใช่คนผิด ในฐานะที่เป็นนักเขียนนิยายฮาเร็มที่เป็นต้นแบบให้คนเอาอย่าง เขาคงไม่เต็มใจให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นกับนิยายของตนเองเหมือนกัน น้องหนูผู้งามพร้อมถูกสับเปลี่ยนกลายเป็นตัวโกงกากๆคนหนึ่งมาแทน เซ็งชะมัด นักอ่านทั่วไปต้องเขวี้ยงนิยายเรื่องนี้ทิ้งแน่นอน

คนทั้งสองเดินไปข้างหน้า เมฆบนท้องฟ้าเหนือศีรษะและทิวทัศน์รอบกายดูราวกับภาพจากกระบอกคาไลโดสโคป* เดี๋ยวยืดออกแล้วบิดเบี้ยว เดี๋ยวแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เอาแน่เอานอนไม่ได้

(กระบอกคาไลโสโคป บางทีเรียกว่า กล้องสลับสาย)

ภาพที่พวกเขาเดินอยู่ในเขตอาคมนี้ เป็นภาพที่ประหลาดนัก ตัวคนราวกับวาดโดยดาวินชี*

(เลโอนาร์โด ดา วินชี Leonardo da Vinci (1452-1519) ศิลปินชาวอิตาเลียนสไตล์เรอเนสซองก์ ผู้วาดภาพโมนาลิซา)

ส่วนภาพทิวทัศน์วาดโดยปีกัสโซ* สไตล์การวาดช่างแตกต่าง ให้ความรู้สึกไปคนละทางอย่างแรง

(ปาโบล ปิกัสโซ Pablo Picasso (1881-1973) ศิลปินชาวสเปนสไตล์คิวบิสม์)

ทันใดนั้น ในเมฆหนาหนักดำทะมึนก็ปรากฏภาพมุมหนึ่งของกำแพงเมืองให้เห็น

พวกเขาหยุดเดิน ลั่วปิงเหอมองเสิ่นชิงชิวรอสัญญาณจากเขา เสิ่นชิงชิวกล่าวพึมพำ “ข้าศึกมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินอุด เข้าไปกันเถอะ”

เดินถึงหน้าประตูเมือง ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าดูฉงนอยู่นิดหน่อย

เสิ่นชิงชิวนึกรู้ในใจทันที ลั่วปิงเหอกำลังรู้สึกว่าเมืองนี้ดูคุ้นตาอย่างมาก

ก็ต้องคุ้นอยู่แล้วซิ นี่มันเมืองที่ลั่วปิงเหอเคยระหกระเหินตอนเป็นเด็กนี่

หน้าประตูเมืองย่อมไม่มีทหารยืนรักษาการณ์ ประตูเมืองค่อยๆเปิดเอง เสิ่นชิงชิวพาลั่วปิงเหอเดินเข้าไป

ห้วงฝันนี้สมจริงจนน่ากลัว เวลาจะเป็นภาพแอบสแตกก็แอบสแตรกเสียจนดูเป็นก้อนสีสองสามก้อน เวลาจะเป็นภาพเหมือนจริงก็ช่างเหมือนกับความเป็นจริงชนิดไม่มีผิดเพี้ยน ถนนใหญ่ในเมือง ตลาด บ้านคน แผงขายของ ช่างใส่มาได้ครบทุกรายละเอียดจนน่าขนลุก แสงไฟสว่างไสว คนเดินไปเดินมา มองไกลๆแล้วดูเป็นภาพที่คึกคักมีชีวิตชีวา แต่พอไปดูใกล้ๆ ขนาดเสิ่นชิงชิวเตรียมใจไว้แล้วยังตกใจ

‘คน’ ที่เคลื่อนไหวมีชีวิตเหล่านี้ ล้วนไม่มีใบหน้า

ใบหน้าของพวกเขาเป็นแค่ก้อนเบลอๆ เครื่องหน้าไม่ชัด ทั้งไม่มีเสียงพูด ไม่คล้ายคนมีชีวิต แต่กลับเดินขวักไขว่ เมืองทั้งเมืองเงียบเป็นป่าช้า เป็นความเจริญคึกคักอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง

ลั่วปิงเหอไม่เคยเห็นภาพชนิดนี้มาก่อน ถามอย่างตกตะลึง “ซือจุนนี่มันอะไรกันขอรับ”

เสิ่นชิงชิวแอบสยองอยู่นิดหน่อยแต่ยังทำหน้าที่เป็นสารานุกรมน้อย อธิบายต่อด้วยความรับผิดชอบ

“นี่คือภาพลวงตาที่ใช้ฝันร้ายของคนสร้างขึ้น ในห้วงฝัน สิ่งของที่ไม่มีชีวิตอย่างบ้านคน ต้นไม้สามารถสร้างได้ แต่คนที่มีชีวิตกลับไม่อาจสร้างออกมาได้ อย่างมากก็ทำออกมาเป็นคนที่ไม่มีจมูกไม่มีหน้า เป็นตัวประหลาดที่ปากไม่สามารถกล่าววาจาใดได้แบบนี้ แม้จะเป็นเช่นนี้คนที่สามารถใช้ห้วงฝันสร้างเมืองๆหนึ่งออกมาจนแทบแยกจริงเท็จไม่ได้ เกรงว่าจะมีแต่คนผู้นั้นคนเดียวเท่านั้น”

ลั่วปิงเหอให้ความร่วมมืออย่างดี ถามอย่างนอบน้อม “ผู้ใดหรือขอรับ”

เสิ่นชิงชิว “มารฝัน”

มารฝันเป็นบอสของด่านห้วงฝันแห่งนี้นั่นเอง

มารฝัน ความจริงเป็นผู้อาวุโสระดับสูงที่มีชื่อเสียงโดดเด่นผู้หนึ่งของเผ่ามาร เมื่อสองสามร้อยปีก่อน กายเนื้อของเขาถูกทำลายระหว่างเผชิญกับทัณสวรรค์ แต่ดวงจิตอันแข็งแกร่งของเขากลับอยู่ดีไม่บุบสลาย นับจากนั้นมาเขาจึงใช้ชีวิตเป็นกาฝากอยู่ในห้วงฝันของผู้อื่น มีชีวิตอยู่ด้วยการอาศัยดูดซับพลักทิพย์และปราณละเอียดของเจ้าของร่าง

ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกสอนและชี้แนะหนทางไปสู่ความเป็นมารแก่พระเอก หรือเราจะเรียกเขาได้อีกแบบซึ่งชัดเจนและสนิทสนมว่า ‘คุณปู่ข้างกาย’

เขานี่เอง ที่หลังจากลั่วปิงเหอฝ่าทะลวงเขตอาคมออกมาได้ ก็นึกชอบใจตั้งแต่แรกเห็นตามระเบียบ ถ่ายทอดวิชาที่มีให้จนหมดตัว คอยช่วยพระเอกวางแผนเป็นระยะ และช่วยแก้ปัญหาเรื่องศัตรูปลายแถว

ลั่วปิงเหอยังอยากถามต่ออีกสองสามประโยค ทว่าสายตาพลันเหลือบไปทางฝูงชนโดยไม่ตั้งใจ แล้วตะลึงลานในชั่วพริบตา

เสิ่นชิงชิวทำเป็นถามทั้งที่รู้ “เป็นอะไรไป”

ลั่วปิงเหอโพล่งออกมา “หน้า! ซือจุน! เมื่อกี้ข้าเหมือนเห็นคนที่มีหน้าด้วยขอรับ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวเพียงสั้นๆ “ตาม”

หลังจากพวกเขาไล่ตามคนสองสามคนที่ดูไม่เข้าพวกกับคนอื่นไปติดๆ ลดเลี้ยวตามถนนในเมืองอยู่เจ็ดแปดโค้ง ในที่สุดก็หยุดอยู่หน้าตรอกเล็กสายหนึ่ง

คนมีหน้า มีทั้งหมด 5 คน ดูยังเป็นวัยรุ่นกันอยู่ แต่ละคนมีจมูกมีหน้าชัดเจน ไม่ได้เป็นก้อนเบลอๆ ใน 5 คนนี้ 4 คนยืนค้ำหัวล้อมคนๆเดียวที่อยู่กับพื้น ได้ยินเสียงด่าลอยมาเข้าหูไม่หยุด มีทั้ง ‘ไอ้หมาพันทาง’ ‘ไอ้ลูกเต่าบัดซบ’ ปลิวกันให้ว่อน ไม่ได้สนใจคนที่อยู่ข้างหลัวสองคนแม้แต่น้อย

ลั่วปิงเหอถามว่า “พวกเขาดูเหมือนจะไม่เห็นเรานะขอรับ”

เขามองเสิ่นชิงชิว ทำหน้าเหมือนจะถามว่า ท่านมิใช่บอกว่ามารฝันไม่อาจสร้างคนที่มีเครื่องหน้าหรอกหรือ

มาถึงช่วงเวลาอันโหดร้ายอีกล่ะ เสิ่นชิงชิวแอบถอนใจ “มารฝันไม่อาจใช้ฝันร้ายสร้างคนขึ้นมาได้จริงๆ แต่ ‘คน’ พวกนี้มิใช่คนที่เขาสร้าง ลั่วปิงเหอ เจ้าดูหน้าของพวกเขาให้ดี”

ลั่วปิงเหอค่อยๆ เบนสายตาไปที่ร่างของพวกเขา แม้สีหน้าไม่เปลี่ยนเท่าไร แต่ชั่วพริบตาเหงื่อเย็นๆกลับหยดพราวลงมาจากหน้าผาก

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เหล่านี้มิใช่ภาพลวงตาที่มารฝันสร้างออกมา พวกเขาคือภาพสะท้อนของคนจริงๆที่อยู่ในความทรงจำของเจ้า มารฝันเพียงแต่ปลุกภาพเงาเหล่านี้ที่หลับอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเจ้าขึ้นมาเท่านั้น”

ทว่าลั่วปิงเหอไม่ได้ยินที่เขาพูดแล้ว ฝ่ายนั้นยกมือขึ้นบีบขมับราวกับเส้นประสาทกำลังกระตุก

เสิ่นชิงชิวรู้ มารในใจของลั่วปิงเหอออกมาอาละวาดแล้ว

อันธพาล 4 คนกำลังรุมเด็กน้อยบนพื้นที่ดูจะอายุแค่ราวสี่ห้าขวบเท่านั้น ทั้งเตะทั้งต่อย เด็กน้อยเสื้อผ้าขาดวิ่นยกสองมือกุมศีรษะขดตัวอยู่กับพื้น ทนรับการทุบตีโดยไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ ชวนให้เป็นห่วงว่าเด็กเล็กขนาดนี้คงไม่แคล้วถูกพวกมันตีตายคามือแน่

“นี่ ไอ้หมาพันทาง เจ้าตาบอดหรือไร บังอาจมาแย่งงานถึงถิ่นของลูกพี่เลยหรือ”

เบื่อหน่ายการมีชีวิตสืบไปแล้วสินะ!”

เหยียบเลยๆ มันมิใช่น่าสงสารหรอกหรือ ไม่มีอะไรจะกินจนหิวข้าวท้องกิ่วแล้ว ตีให้ตายๆไปเสีย จะได้ไม่ต้องกลุ้มว่าไม่มีข้าวกิน”

ลั่วปิงเหอปวดหัวราวกับสมองจะระเบิด

เงาร่างของเด็กน้อยผู้อ่อนแอบนพื้นก็คือเขาในอดีตนั่นเอง ท่ามกลางผมเผ้ากระเซิงและคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนเต็มหน้าปรากฎดวงตาสกสกาวราวกับดาราคู่หนึ่ง แววตาคมกริบประหนึ่งกระบี่สองเล่มกำลังสบตากับเขา

ลั่วปิงเหอไม่อาจเบนสายตาไปทางอื่นได้เลย

เสิ่นชิงชิวกดเสียงต่ำ “ตั้งสติ มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น”

กระนั้นจุดที่น่ากลัวของมารฝันอยู่ที่เขาเก่งกาจเป็นหนึ่งในการปลุกความกลัว ความโกรธ หรือไม่ก็ความเจ็บปวดที่มีอยู่เดิมของคนให้ทลายออกมาจากปราการในใจ หากเป็นลั่วปิงเหอตอนหลังจากมีดัชนีทองคำแล้ว ต่อให้มาอีกหมื่นมารฝัน ในสายตาเขาก็เป็นแค่อุบายกระจอกๆเท่านั้น แต่ลั่วปิงเหอในยามนี้ เลือดของเผ่ามารในการเขายังไม่ทันตื่น จึงได้ตกบ่วงมาอยู่ในห้วงฝันกับความทรงจำอันมืดมนนี่เข้า ที่เขาเห็นในเวลานี้จึงมีแต่ความไร้สามารถไร้กำลังของตัวเองเท่านั้น

และแล้วภาพของตรอกเล็กๆที่พวกเขายืนอยู่ก็บิดเบี้ยว เปลี่ยนไปเป็นอีกภาพหนึ่ง

เสิ่นชิงชิวอุทานในใจว่า แย่แล้ว เผลอนิดเดียวก็เจอดอกที่สองเลย!

นี่คือห้องเล็กซอมซ่อแห่งหนึ่ง ในห้องมีหนึ่งเตียง หนึ่งโต๊ะเล็กเอียงโย้กระเท่เร่ บนโต๊ะมีหนึ่งตะเกียงน้ำมันแสงริบหรี่ ข้างๆเป็นเก้าอี้เตี้ยตัวหนึ่ง

บนเตียงมีหญิงชราผอมแห้งซีดเซียวกำลังนอนอยู่ นางพยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้นนั่ง แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ร่างเล็กร่างหนึ่งเข้าประตูมา

ลั่วปิงเหอที่ใบหน้าอ่อนเยาว์อายุประมาณสิบขวบพยุงหญิงผู้นั้นขึ้น ที่คอยังห้อยจี้หยกเส้นนั้นอยู่เลย เขากล่าวอย่างร้อนใจ “ท่านแม่ ไยถึงอยากลุกอีกแล้วเล่าขอรับ ท่านมิใช่บอกว่านอนพักแล้วจะดีขึ้นหรอกหรือ”

หญิงผู้นั้นไอพลางกล่าวว่า “นอนไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มิสู้ลุกขึ้นเอาผ้าไปซักยังดีกว่า”

ลั่วปิงเหอน้อยกล่าวว่า “ข้าซักเสร็จแล้ว ท่านแม่นอนรอข้าต้มยาให้เถอะขอรับ กินยาเสร็จแล้ว ร่างกายหายดีค่อยกลับไปทำงาน”

หญิงผู้นั้นหน้าซีดเผือด ป่วยหนักจนเกินเยียวยาแล้ว อยู่ได้อีกไม่นาน นางยิ้มพลางลูบกระหม่อมของลั่วปิงเหอ “ปิงเหอเด็กดี”

ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้น ฝืนยิ้มสดชื่น “ท่านแม่อยากกินอะไรขอรับ”

หญิงผู้นั้นกล่าว “ตอนนี้นับวันยิ่งไม่อยากกินอะไรแล้ว” เว้นระยะแล้วกล่าวต่ออย่างลังเล “แต่โจ๊กขาวที่คุณชายน้อยเททิ้งคราวก่อน แม่นึกอยากลองชิมขึ้นมาเหมือนกัน ไม่รู้ที่ห้องครัวยังมีเหลืออยู่หรือไม่”

ลั่วปิงเหอพยักหน้าแรง “ข้าจะไปลองขอมาให้ท่านแม่นะขอรับ!”

หญิงชรากำชับ “แค่ลองขอพอนะ หากไม่เหลือแล้วก็เอาน้ำแกงรสอ่อนๆอย่างอื่นเท่าที่มีเถอะ แค่พอประทังหิวก็ใช้ได้แล้ว ห้ามไปขอจากพ่อครัวใหญ่เด็ดขาด”

ลั่วปิงเหอรับคำเต็มเสียง วิ่งฉิวออกไปจากห้องทันที จากนั้นหญิงชราเอนกายนอนสักครู่ก็ล้วงเอาเข็มกับด้ายออกมาจากใต้หมอน เริ่มทำงานฝีมือของนางไป

แสงตะเกียงในห้องริบหนี่ลงเรื่อยๆ ลั่วปิงเหอจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยื่นมือออกไปหมายคว้าอะไรบางอย่าง เสิ่นชิงชิวฉุดมือของเขาไว้ กล่าวเสียงขรึม “ลั่วปิงเหอ ดูให้ดี นี่มิใช่แม่ของเจ้า เจ้าเองก็มิใช่เด็กน้อยที่ถูกหยามหยันแต่ไร้กำลังต่อสู้คนนั้นอีกแล้ว!”

พลังสังหารของมารฝันอยู่ที่ยิ่งผู้ที่ติดกับสะเทือนใจมากเท่าไร จิตสำนักจะยิ่งถูกทำลายมากเท่านั้น เหมือนดั่งสภาพของลั่วปิงเหอในเวลานี้ที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลย จึงยิ่งเป็นอันตรายต่อดวงจิตเขาอย่างใหญ่หลวง และต้องจำให้ดีว่า ห้ามทำร้าย ‘คน’ ที่ปรากฏตัวในห้วงฝันเด็ดขาด

‘คน’ ทั้งหมด ล้วนสร้างขึ้นมาจากจิตสำนึกและสภาพจิตใจของเจ้าตัวหากโจมตีพวกมัน อีกด้านก็คือกำลังโจมตีสมองของตัวเอง มีคนมากมายที่ไม่เข้าใจประเด็นนี้ หรือควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ลงมือโจมตีคนที่ทำร้ายตัวเองในห้วงฝัน เลยติดอยู่ในภวังค์นิทราอันยาวนานจากนั้นไป และถ้าลั่วปิงเหอติดอยู่ในภวังค์นิทราอันยาวนาน แน่นอนว่าเสิ่นชิงชิวจะถูกขังอยู่ในความฝันของเขาด้วยเช่นกัน

ทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนแปลงอย่างยากจะคาดเดา ฝันร้ายนี้คือขวากหนามและบาดแผลที่สั่งสมรวมกันในชีวิตของเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีนั่นเอง แต่แล้วภาพก็เปลี่ยนเป็นลั่วปิงเหอน้อยกำลังขอโจ๊กจากพ่อครัวเอาไปให้แม่บุญธรรมของเขากิน แต่กลับถูกคุณชายน้อยของบ้านเยาะเย้ยถากถาง จากนั้นเปลี่ยนเป็นช่วงตอนที่เพิ่งจะเข้าชิงจิ้งเฟิง พวกศิษย์พี่รวมหัวกันไม่รับเขาเข้าพวก และจงใจสร้างความลำบากให้เขา ต่อมาคือร่างเล็กจ้อยเหวี่ยงขวานสนิม จับอย่างกินแรง ภาพเขาหิ้วถังน้ำเดินขึ้นบันไดยาวเหยียด ยิ่งเดินยิ่งช้า และจี้หยกซึ่งเป็นสิ่งมีค่าเพียงชิ้นเดียวถูกแย่งชิงไปแล้วหาไม่เจอ…

ภาพต่างๆหลั่งไหลเข้ามาอย่างสับสนปนเป ขาดๆหายๆ ลั่วปิงเหอในเวลานี้ นอกจากความทรงจำและภาพกระจัดกระจายเหล่านี้ ไม่ว่าอะไรล้วนไม่เห็นไม่ได้ยินทั้งสิ้น มีแต่ความคับแค้นใจ ความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด ความอับจนไร้หนทาง ความโกรธเกลียดในช่วงเวลาเหล่านั้นที่ระเบิดออกมาในโครมเดียว แล้วปั่นป่วนพลุ่งพล่านอยู่ในอกและในสมองของเขาไม่หยุด

วิธีเดียวที่จะทำลายฝันร้ายคือคลายปมในใจ เช่นนี้ฝันร้ายจะสลายตัวไปเอง แต่ลั่วปิงเหอกำมือแน่น กระดูกนิ้วลั่นกร๊อบ ลมหายใจยิ่งมายิ่งไม่คงที่ สองตาแดงฉานผิดปกติ พลังทิพย์อ่อนจางแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง เหมือนความต้องการจะโจมตีกำลังทวีขึ้นเรื่อยๆ

เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่ายืนอยู่ข้างลั่วปิงเหอในเวลานี้ ช่างอันตรายเสียจริง

เสิ่นชิงชิวกล่าวเสียขรึม “ห้ามลงมือ ลงมือไป ที่บาดเจ็บจะเป็นตัวเจ้าเอง!”

ทว่าลั่วปิงเหอกลับไม่ฟังที่เสิ่นชิงชิวพูด ยกกำปั้นขวาขึ้นแล้วออกหมัดเต็มแรงพุ่งเข้าใส่คนเหล่านั้นที่กำลังหัวเราะเยาะเขาอย่างสะใจ!

เสิ่นชิงชิวแอบร้องไห้โฮอยู่ในใจ แต่จะสลดอย่างไร ร่างกายยังคงปราดไปขวางหน้าภาพมายาอย่างรู้สถานการณ์ เพื่อรับการโจมตีนี้ไว้ เลยโดนต่อยเข้าที่ท้องน้อยอย่างจัง

ชั่วพริบตานั้นเสิ่นชิงชิวรู้สึกราวกับถูกช้างถีบ หน้ามืดตาลายไปทันที ถ้าตรงนี้ไม่ใช่ห้วงฝัน เขาคงเลือดพ่นออกจากปากเป็นฝอยแล้ว

สมกับเป็นหมัดของพระเอกจริงๆ!”

เสิ่นชิงชิวน้ำตาไหลพราก เห็นอยู่ว่าเป็นแค่ศิษย์ตัวน้อยเท่านั้น ทำไมถึงสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรงขนาดนี้ ราวกับว่านับตั้งแต่เขาสามารถเปิดใช้ฟังก์ชั่น OOC ได้ ไม่เพียงไม่มีคุณประโยชน์ใหญ่โตอะไร กลับมีแต่ต้องเอาตัวเข้าขวางดาบ แล้วก็เอาตัวเข้าขวางดาบ แล้วก็ขวางดาบเท่านั้น สละเลือดเนื้อตัวเองเพื่อชาวบ้านลูกเดียวเลย ให้ตายเถอะ!

หลังลั่วปิงเหอโจมตีออกไป ภาพมายารอบด้านถูกตีแตกกระเจิงทันที ร่างคนและวัตถุดูราวกับแก้วที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ห้วงฝันที่พวกเขาอยู่แปรสภาพเป็นป่าเปลี่ยวบนภูเขาที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม พระจันทร์สว่างนวลลอยสูงอยู่เหนือศีรษะ

ลั่วปิงเหอได้สติกลับคืนมาทันทีทันใด ตอนแรกเขามองไปยังเสิ่นชิงชิวที่ยืนไม่อยู่ ทรุดลงไปนั่งชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้น พาให้ตกตะลึงพูดไม่ออก จากนั้นจึงก้มมองฝ่ามือของตัวเอง ยังมีพลังทิพย์สายหนึ่งแล่นวนเวียนที่ปลายนิ้วอยู่เลย ครั้นนึกขึ้นมาได้รางๆว่าเมื่อครู่ทำอะไรลงไป ใบหน้าก็เผือดสีลงไปเดี๋ยวนั้น

ลั่วปิงเหอผวาเข้าไปประคองเสิ่นชิงชิว ทั้งร้อนใจทั้งนึกเสียใจ “ซือจุน! ท่าน ไยท่านไม่ซัดข้ากลับเล่าขอรับ!”

อาศัยพลังทิพย์ของเสิ่นชิงชิวย่อมสามารถซัดเขากลับได้สบาย ตอนพลังทิพย์สองสายปะทะกัน ผู้แข็งแกร่งกว่าย่อมชนะ ไม่เพียงสามารถสลายการโจมตีของลั่วปิงเหอ ยังสามารถสะท้อนกลับการโจมตีได้ด้วย

เสิ่นชิงชิวกล่าวคำพูดจากใจออกไปคำหนึ่ง “เด็กโง่” จากนั้นเอ่ยอย่างระโหยโรยแรง “…ที่ทำไปเพราะไม่ต้องการให้เจ้าบาดเจ็บ หากซัดเจ้ากลับไปจนเจ้าบาดเจ็บขึ้นมา ที่ทำไปจะมีความหมายอะไร”

ลั่วปิงเหอได้ฟังเสียงอ่อนแรงของเขา ก็นึกอยากฟาดตัวเองให้ตายในคราวเดียวนัก “แต่ตอนนี้ที่บาดเจ็บคือซือจุนนะขอรับ!”

เหตุการณ์ตอนประลองกับเผ่ามารเพิ่งจะพ้นไปไม่นาน ซือจุนได้รับบาดเจ็บเพราะตนทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้ตนยังลงมือด้วยตัวเองเสียนี่!

เสิ่นชิงชิวเห็นใบหน้าของเด็กคนนี้ท่วมท้นไปด้วยความเศร้าเสียใจและตำหนิตัวเองก็นึกสงสาร ปลอบเขาว่า “พลังฝึกปรือของเจ้ากับข้าเอามาเปรียบกันได้หรือ ต่อให้โจมตีมาอีกสองสามที เหวยซือก็ไม่เป็นไรหรอก”

ลั่วปิงเหออยากให้เสิ่นชิงชิวต่อยเขา ด่าเขา ระบายอารมณ์ใส่เขาอย่างเมื่อก่อนยังจะดีเสียกว่า จะไม่สนใจไยดีเยาะเย้ยถากถามอย่างไรก็ได้ อย่างน้อยเขาจะได้สบายใจหน่อย แต่เสิ่นชิงชิวกลับพูดจาอ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนี้ ชวนให้เขาอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรดี

ผ่านไปครู่หนึ่งเขากล่าวเสียงแผ่ว “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง”

เนื่องจากช่วงต้น ลั่วปิงเหอมาแนวดอกบัวขาวใสบริสุทธิ์ น่ารักนุ่มนวลอ่อนโยน ไร้สามารถ เสิ่นชิงชิวเลยคิดว่าเช่นนี้เขาคงกำลังติดอยู่ในโหมดเด็กดีใสซื่อที่กำลังสับสนและตำหนิตนเองอยู่ จึงโน้มน้าวอย่างอดทน “ไม่เกี่ยวกับเจ้า เผ่ามารมากเล่ห์เพทุบาย ระวังป้องกันไม่ได้ตลอดเวลาหรอก แต่หากคราวหน้าเจ้าไม่อยากเจอเรื่องแบบเดียวกันอีกก็ต้องลุกขึ้นมาแข็งแกร่งให้ได้”

คำพูดนี้ของเขาเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจล้วนๆ นี่เป็นแดนแห่งเซียนและปีศาจซึ่งผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้เข้มแข็ง ทำตัวให้แข็งแกร่งเข้าไว้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ตัวเองไม่ไหลไปกับกระแสคลื่นของโลกใบนี้แล้วลงเอยด้วยการเป็นลิ่วล้อพลีชีพ!

ลั่วปิงเหอไหววูบในใจ ไม่มีคำพูดจะกล่าว ชั่วครู่ก็เงยหน้าขึ้นมองเสิ่นชิงชิวด้วยสายตาแน่วแน่

เสิ่นชิงชิวในเต้นตึกตัก

ดวงตาดำขลับของลั่วปิงเหอสุกสว่างเป็นประกายระยิบระยับเสียยิ่งกว่าจันทราดาราบนฟากฟ้าเสียอีก

วะ…แววตาเช่นนี้!

มันคือแววตาของพระเอกที่ต้องเอาคำบรรยายอย่างพวก ‘ความเชื่อมั่นอันแน่วแน่’ ‘จิตวิญญาณนักสู้ที่ลุกโชน’ มาใช้เลยทีเดียว

หรือ…เราได้กลายเป็นดาวประกายพรึกที่คอยส่องแสงสว่างนำทางชีวิตพระเอกไปแล้ว!

ลั่วปิงเหอนั่งคุกเข่า ยืดตัวตรงอยู่ข้างกายเสิ่นชิงชิว กล่าวเสียงกังวานว่า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

เดี๋ยวนะ แล้วนายเข้าใจว่าอะไร ไม่ต้องพูดครึ่งๆกลางๆทุกครั้งจะได้ไหม จะพูดก็พูดให้จบซิฟะ!

เขาไม่ได้สังเกตว่าเมื่อครู่คำพูดของลั่วปิงเหอไม่ได้ใช้คำว่า ‘ศิษย์’ แทนตัวเองเลย

ลั่วปิงเหอกำหมัดแน่น กล่าวช้าๆทีละคำ “เรื่องเช่นนี้…ข้าจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองแน่”

ลำบากซือจุนให้ต้องปกป้องตนเองที่อ่อนแอไร้กำลัง ทำให้ซือจุนต้องบาดเจ็บเพราะเหตุนี้ เรื่องเช่นนี้จะไม่มีอีกอย่างแน่นอน!

เสิ่นชิงชิวทำเสียง “อืม”

…นี่มันอะไรเนี่ย ทำไมถึงรู้สึกว่า ‘สบายใจที่ได้พระเอกปกป้อง’ มันเกิดอะไรขึ้น!

สบายใจพ่องซิ! เดี๋ยวต่อไปคนๆนี้มันจะจับเอ็งหั่นจนเหลือแต่ร่างกุดๆนะ มีสติหน่อยซิเว้ย!

เสิ่นชิงชิวปั่นป่วนสับสนในใจ

แม่งเอ๊ย ปกติแล้ว ความคิดอย่าง ‘ลุกขึ้นมาแข็งแกร่งเพื่อปกป้องคนสำคัญ’ มันควรเป็นสิ่งที่พระเอกคิดยามเห็นนางเอกได้รับบาดเจ็บ ดูน่าสงสารเพราะนางเอกเสี่ยงชีวิตช่วยตน หลังจากนั้นนางเอกก็ทำท่าหอบหายใจเบาๆ…นี่ระบบมันเอาบทของนางเอกมาให้ตูเล่นเรอะ

หรือว่าจะส่งบทผิด แล้วที่เพิ่มบทนี่ได้ค่าตัวเพิ่มด้วยไหม!?

ต้องมาพูดสคริปต์ของตัวเอกที่ทั้งยาวทั้งน่าเบื่อ ด้วยค่าแรงตัวประกอบซึ่งน้อยนิด กดขี่แรงงานกันชัดๆ

เพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง เสิ่นชิงชิวฝืนยกมือขึ้นลูบศีรษะลั่วปิงเหอที่เดิมทีสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ มือนี้คล้ายดั่งน้ำพุเย็นฉ่ำชื่นใจราดรดโทสะเด็กหนุ่มให้ดับลงได้ทันที

เสิ่นชิงชิวคิดก่อนจะกล่าวว่า “ความจริงไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากไป หากเจ้าไม่อาจเข้มแข็งขึ้นมาได้ ข้าจะคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ข้างกายเจ้าเอง”

หากจะให้ลั่วปิงเหอต้องกายเป็นชายหนุ่มสายดาร์กโรคจิตผู้ถือว่าการทำลายโลกเป็นหน้าที่ แบบนี้สู้ปล่อยให้เขาเป็นบัวขาวดอกน้อยๆใสซื่อน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ต่อไปดีกว่า

เสิ่นชิงชิวไม่เดือดร้อนเลยสักนิดที่จะรับเขาซึ่งเป็นเช่นนี้มาดูแลอยู่ข้างกายไปชั่วชีวิต

วิธีคิดของเขาเรียบง่าย หากเป็นผู้อื่นที่ได้ยินคงไม่ได้มีผลอะไรนัก แต่ลั่วปิงเหอตะลึงงันไปเรียบร้อย

ไม่เคยมีใครให้คำมั่นสัญญาต่อเขาอย่างจริงใจและจริงจังเช่นนี้มาก่อน

โลกหล้าแม้กว้างใหญ่ จะมีสักกี่คนกันที่สามารถพูดว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้มแข็ง มีข้าอยู่ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เจ้าถูกรังแกอย่างแน่นอน

และนี่ย่อมมิใช่คำพูดลอยๆ หากซือจุนบอกว่าทำได้ก็คือทำได้ เขาได้ใช้การกระทำมาพิสูจน์คำพูดหลายครั้งแล้ว ซือจุนยอมให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บดีกว่าให้เขาต้องบาดเจ็บแม้เพียงรอยขีดข่วน

ทว่าสัมผัสแห่งความรักความเอ็นดูที่อยู่ในคำพูดประโยคนั้น…ดูเหมือนจะมากเกินไป หลังจากความรู้สึกอบอุ่นที่แล่นพลุ่งขึ้นมาในตอนแรกสงบลง ใบหน้าลั่วปิงเหอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

เสิ่นชิงชิวไออยู่ครู่หนึ่ง และค้นพบว่าอยู่ในห้วงฝันจะไม่ไอเป็นเลือดออกมา เลยบีบแขนลั่วปิงเหอ “เอาล่ะ พยุงข้าลุกขึ้นก่อน”

ลั่วปิงเหอมีความรู้สึกว่า ตรงข้อมือของตนที่ถูกบีบนั้นไม่เจ็บไม่ปวดหากแต่ชาวูบอย่างประหลาด ทันทีที่ตระหนักถึงความรู้สึกนึกคิดอันไม่พึงจะมี ก็ลอบก่นด่าตัวเองในใจ เวลาเช่นนี้ยังจะคิดอะไรอยู่ได้ ช่างไม่เคารพซือจุนเกินไปแล้ว จึงรีบปรับความคิดแล้วทำตามคำสั่ง

ทันใดนั้นเสียงชราภาพเสียงหนึ่งดังขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เสียงคนแก่นั้นร้อง ‘เอ๋’ แล้วกล่าวอย่างแปลกใจ ‘เจ้าหนูนี่กลับสามารถฝ่าเขตอาคมของผู้เฒ่าเช่นข้าได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ’

เสียงนั้นสะท้อนก้องไปมารอบทิศทางที่พวกเขายืนอยู่ ไม่สามารถระบุได้ว่าดังมาจากทางไหน

บอสของด่านนี้ในที่สุดก็ออกโรงแล้ว

ลั่วปิงเหอประคองเสิ่นชิงชิวไว้ยังไม่ทันจะลุกขึ้นดี สายตาตั้งป้อมระวังภัยทันใด มารฝันปรากฏตัวขึ้นในเวลาที่เสิ่นชิงชิวได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก ลั่วปิงเหอตกลงใจเดี๋ยวนั้น หากมารฝันคิดลงมือสังหาร ถึงแม้เรี่ยวแรงเขาจะน้อยนิด ก็ต้องถ่วงอีกฝ่ายเอาไว้ให้ถึงที่สุด เพื่อช่วงชิงโอกาสที่เสิ่นชิงชิวจะรอดชีวิตมาให้ได้แม้สักน้อยนิดก็ยังดี

เขาตกลงใจไม่ทันไร เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีก “เจ้าเข้ามาให้ผู้เฒ่าเช่นข้าดูทีว่าเป็นคนหนุ่มที่องอาจกล้าหาญแบบไหนกัน จึงมีความสามารถเช่นนี้”

ลั่วปิงเหอมองเสิ่นชิงชิง ขณะที่ฝ่ายหลังนึกยินดีว่าการแสดงฉากกระชับมิตรของเขาจบแล้วจะได้กลับสักที ด้วยความดีใจเลยอุตส่าห์มีแก่ใจล้อเลียนลั่วปิงเหอ “ผู้อาวุโสถามเจ้าที่เป็นคนหนุ่มผู้องอาจกล้าหาญนั่นแหละ ไม่ตอบสักคำหรือ”

ลั่วปิงเหอหน้าแดง หันกายไปตอบเสียงดังฟังชัดว่า “มิกล้าขอรับ ฝ่าทะลวงเขตอาคม ล้วนเป็นความสามารถของซือจุนข้าแต่เพียงผู้เดียว”

ฝ่ายนั้นแค่นเสียงเฮอะ เหมือนเหยียดหยามอย่างมาก

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าทำไมเขาถึงแค่นเสียง แม้ตนจะเป็นคนรับการโจมตีแทนลั่วปิงเหอ แต่นี่คือห้วงฝันของลั่วปิงเหอ หลักๆแล้วต้องอาศัยตัวลั่วปิงเหอเองในการแย้งอำนาจควบคุมจิตสำนึกกลับคืนมา จึงจะทำลายฝันร้ายได้ แต่เสิ่นชิงชิวไม่อยากสอดปากอธิบาย

เสียงนั้นกล่าวว่า “ผู้เฒ่าเช่นข้าให้เจ้าเข้ามา แต่ไม่อยากให้ผู้ฝึกวิชาเซียนฝีมือธรรมดาๆของชางฉยงซานผู้นี้มาได้ยินบทสนทนาระหว่างข้ากับเจ้า ให้เขาหลับไปก่อนเถอะ”

จริงดังคาด สภาพการณ์ออกมาเป็นอย่างเดียวกับที่หนิงอิงอิงในนิยายดั้งเดิมเจอ คนอื่นนอกเหนือจากลั่วปิงเหอล้วนถูกมารฝันผลักกระเด็น ทันใดนั้นเสิ่นชิงชิวรู้สึกปวดหัว จากนั้นล้มลงไปกองกับพื้นทันที

ลั่วปิงเหอตกใจใหญ่ รีบกอดเขาพลางร้องเรียก “ซือจุน? ซือจุน!”

มารฝันกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ผู้อาวุโสเช่นข้าเพียงส่งเขาเข้าไปอยู่ในฝันซ้อนฝัน หลับลึกมากขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง เจ้าน่ะ รีบเข้ามาเร็ว!” หนนี้ได้ยินชัด เสียงนั้นดังมาจากถ้ำภูเขาทางทิศตะวันตกอันมืดมิด

ลั่วปิงเหอปลุกเสิ่นชิงชิวไม่ตื่น ก็วางเขาลงนอนราบกับพื้นอย่างเบามือ หันไปทางทิศที่เสียงนั้นดังมา “ซือจุนของข้าเรียกท่านว่าเป็นผู้อาวุโส ตัวข้าจึงยิ่งต้องนอบน้อมต่อท่าน หวังว่าท่านจะไม่ทำให้ซือจุนต้องลำบาก”

มารฝันหัวเราะเฮอะๆ “เจ้าเด็กน้อย ข้าดูความทรงจำของเจ้าแล้ว ซือจุนผู้นี้ของเจ้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่นับว่าดี เหตุใดจึงไม่ปล่อยให้ข้ากำจัดเขาทิ้งเสียเลย นี่ข้าช่วยเจ้าอยู่นะ”

ที่มารฝันดูส่วนใหญ่เป็นความทรงจำในอดีตช่วงที่เสิ่นชิงชิวตัวออริจินอลปฏิบัติต่อลั่วปิงเหอ ความทรงจำเหล่านี้ก็เยอะพอสมควร

ลั่วปิงเหอส่ายหน้า “ซือจุนหาได้เป็นเช่นที่ผู้อาวุโสกล่าว แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ซือจุนก็คืออาจารย์ที่เคารพ เขาจะทำอย่างไรกับข้าก็ได้ ผู้ที่เป็นศิษย์ไม่อาจไม่เคารพ”

มารฝันแค่นเสียง “คร่ำครึ! มนุษย์ฝ่ายธรรมะล้วนแล้วแต่มีคุณธรรมจอมปลอมเช่นนี้ ข้าไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นอาจงอาจารย์หรือไม่ น่าเคารพหรือไม่ แต่หากมีมนุษย์หน้าไหนเอาเปรียบข้า มันต้องตาย! เขารู้ทั้งรู้ว่าพลังฝึกปรือของเจ้าไม่เพียงพอจะรับมือค้อนสวรรค์ กลับส่งเจ้าขึ้นประลอง เขามีเจตนาอะไร หรือว่าเจ้ามองไม่ออก”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “เวลานั้น กระทั่งข้าเองก็ไม่เชื่อว่าตัวเองจะชนะ ซือจุนกลับเชื่อมั่นในตัวข้า ไม่เพียงให้โอกาสข้า ระหว่างการประลองก็คอยให้กำลังใจข้า แล้วสุดท้ายข้าก็ชนะ”

ยังมีอีกประโยค ที่เขากล่าวกับตัวเองในใจ

เพื่อช่วยข้า ซือจุนรับการโจมตีแทนข้าถึงสองครั้ง เขาดีต่อข้าจริงๆ

มารฝันเองก็แค่มองดูความทรงจำส่วนนี้อย่างผ่านๆ เขาไม่รู้จักนิสัยของเสิ่นชิงชิว และไม่อยากวุ่นวายกับปัญหาข้อนี้อีก ท่าทีที่มีต่อลั่วปิงเหอแสดงออกถึงความพออกพอใจอย่างมาก “เจ้าหนูนี่เป็นผู้ที่มีจิตใจและคุณธรรมหนักแน่นทีเดียว”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ยังไม่เทียบเท่าหนึ่งในหมื่นที่ซือจุนปฏิบัติต่อข้า”

หากว่ามารฝันมีปาก มุมปากคงกระตุกไปนานแล้ว เขาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง

หลังจากกล่าวงึมงำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง “ผู้อาวุโสเช่นข้ารู้สึกว่าบนร่างกายเจ้าเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างถูกสะกดไว้ แม้มองไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง”

ลั่วปิงเหอนึกฉงน “ของอะไรหรือขอรับ กระทั่งท่านยังมองไม่ออกหรือ”

มารฝันแค่นเสียงเฮอะ กล่าวว่า “เผ่าของข้ามีผู้เก่งกล้าสามารถมากมาย เผ่ามารที่เก่งกาจยิ่งกว่าข้าจะสะกดข่มสิ่งที่อยู่ในภายเจ้ามิใช่เป็นไปไม่ได้”

มารฝันไม่มีทางยอมเอาหนังหน้าแก่ๆที่ผ่านการเคี่ยวกรำมาหลายร้อยปี วิ่งโร่มาหลอกเด็กหนุ่มยากจนเข็ญใจวัยสิบกว่าปีเช่นเขาผู้นี้แน่ ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ความหมายของผู้อาวุโสคือ สิ่งที่อยู่บนร่างข้า…เกี่ยวข้องกับเผ่ามารหรือขอรับ”

มารฝันหัวเราะหยัน “กระไรเล่า ไม่พอใจ? ต้องรับประกาศตัวว่าไม่เกี่ยวข้องกับเผ่ามารเลยหรืออย่างไร”

อาการตกตะลึงของลั่วปิงเหอมิได้อยู่นานนัก เขาใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว แล้วประกาศกร้าว “เผ่ามารก่อกรรมทำเข็ญมากมาย ทำให้ซือจุนของข้าได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง ข้าไม่มีทางเอาตัวไปข้องแวะด้วยหรอก”

มารฝันกล่าวอย่างหงุดหงิด “เจ้าหนู เจ้าลองพูดสักสามประโยคโดยไม่ต้องพูดถึงซือจุนเจ้าได้หรือไม่ ผู้อาวุโสเช่นข้าขอเดาว่า ประโยคต่อไปของเจ้าจะต้องถามว่า ขอถามผู้อาวุโส มีวิธีเอามันออกไปจากร่างของข้าหรือไม่”

ลั่วปิงเหอยิ้มฝืด “หากว่าข้าถามผู้อาวุโสจะบอกหรือขอรับ”

มารฝันหัวเราะลั่น “นี่กลับมิใช่ข้าไม่อยากบอกเจ้า แต่เป็นเพราะผู้อาวุโสเช่นข้าเองก็ไร้ความสามารถที่จะทำได้ กระทั่งมองยังมองได้ไม่ชัดจะกล้าเอ่ยอ้างถึงวิธีเอาออกได้อย่างไร หากมิใช้เป็นเพราะข้าดูเจ้าไม่กระจ่าง คงลงมือปลิดชีพพวกเจ้าทั้งคู่ไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีอารมณ์กล่าววาจาให้มากความเช่นนี้ เจ้านึกว่าผู้อาวุโสเช่นข้าว่างนักหรือไร”

ลั่วปิงเหอมิได้ตอบ

เขาคิดในใจ ร่างจริงท่านก็ไม่มีเสียหน่อย แค่เงาร่างเป็นกาฝากอยู่ในห้วงฝันผู้อื่นเท่านั้น ท่านไม่ว่างแล้วใครจะว่าง

มารฝันไม่รู้ว่าเขากำลังนินทาตนอยู่ในใจ ยังกล่าวต่อ “วิธีเอาออกข้าอาจทำไม่ได้ แต่วิธีสะกดข่มใช่ว่าจะไม่มี”

ลั่วปิงเหอถามอย่างหยั่งเชิง “ผู้อาวุโสยินดีบอกวิธีให้ข้าหรือไม่ขอรับ”

มารฝันกล่าวชักจูง “ผู้อาวุโสเช่นช้าไม่เพียงสามารถสอนวิธีสะกดข่มให้เจ้าได้ แต่ยังสามารถสอนเรื่องอื่นให้แกเจ้าได้อีกมากมาย”

นี่เป็นการบอกใบ้กันอย่างโจ่งแจ้งเต็มที่แล้ว ลั่วปิงเหอเข้าใจชัดเจน ศีรษะเล็กๆของเขาก้มต่ำ “ท่านจะสอนข้าให้เป็นมารหรือขอรับ”

ได้ยินน้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาของเขา มารฝันนึกเคืองตงิดๆ “เป็นมารมีอะไรไม่ดี หากว่าเจ้าสามารถฝึกเป็นมารได้ ของที่อยู่ในกายเจ้าจะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อพลังฝึกปรือของเจ้ามหาศาล ก้าวหน้าราวกับหนึ่งวันกระโดดได้พันลี้ อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น นี่หาใช่เป็นการคุยเขื่องไม่ รอแค่วันเวลาเท่านั้น จะกวาดล้างไปทั่วทุกสารทิศพลิกฟ้าพลิกดินมันทั้งสามภพก็หาใช่เรื่องยากเย็นไม่!”

พอได้ยินประโยคสุดท้าย ลั่วปิงเหอก็จิตใจหวั่นไหว

หนึ่งวันพันลี้ อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น กวาดล้างไปทั่วสารทิศ สรุปคือเขาจะแข็งแกร่ง แข็งแกร่งที่สุด!

แต่แล้วก็ยับยั้งความคิดนี้อย่างรวดเร็ว

เสิ่นชิงชิวเกลียดชังเผ่ามารอย่างที่สุดมาโดยตลอด หากว่าตนหลงเชื่อมารฝันเดินเข้าสู่เส้นทางมาร จะมีหน้าไปพบเขาได้อย่างไร เสิ่นชิงชิวจะต้องพิโรธปานฟ้าผ่าอย่างแน่นอน หรือไม่ก็ต้องเศร้าเสียใจอย่างมาก แต่คิดก็ไม่อยากเห็นแล้ว

“ไม่ได้” ลั่วปิงเหอปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

มารฝันหัวเราะหยัน “หากเจ้าไม่ยอมเรียนวิชากับข้า ปราณมารในร่างเจ้าคงไม่อาจสะกดข่มเอาไว้ได้ ตอนนี้มันยังฝังอยู่ลึกมาก มองไม่ออกก็ยังไม่เป็นไรหรอก แต่ผู้อาวุโสเช่นช้ารู้สึกว่าผนึกบนร่างเจ้าเริ่มอ่อนแอขึ้นมาแล้ว ถึงวันที่มันฉีกผนึกหลุดออกมาได้ อาจารย์ผู้แสนดีที่เกลียดชังเรื่องชั่วร้ายดังศัตรูประกาศตนว่ามีหน้าที่กำราบมาร ปกป้องธรรมะจะปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงไร”

เมื่อหยิบยกเรื่องที่ลั่วปิงเหอเป็นกังวลที่สุดขึ้นมากล่าว ก็ทำเอาเขากัดฟันกรอด “ผู้เยาว์เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกวิชาเซียนตัวเล็กๆคนหนึ่ง กระทั่งจะฝึกให้ได้จู้จียังยากเย็นแสนเข็ญ ไฉนท่านจึงอยากบังคับให้ข้าเป็นมารให้ได้เล่า”

คำถามนี้ถามได้มีระดับมาก ยกเว้นนักเขียนแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจกันทั้งนั้น ว่าเพราะอะไรบรรดายอดคนที่มีฝีมือพันลึกพิสดารถึงอยากได้พระเอกเป็นศิษย์ หรือผู้สืบทอด หรือเป็นเขยกันเสียขนาดนั้น

ไม่ซิ อันที่จริงนักเขียนส่วนใหญ่เองก็อาจไม่รู้คำตอบของปริศนาพันปีนี่หรอก

“เจ้าหนูนี่ช่างไม่รู้จักสำนึกในความปรารถนาดีของผู้อื่นเอาเสียเลย! ผู้อาวุโสเช่นข้าเห็นร่างเจ้ามีลักษณะพิเศษ ไม่อยากให้วิชาชั้นสูงของข้าสูญหายไปเช่นเดียวกับกายเนื้อของข้า คนตั้งเท่าใดร่ำร้องอยากเรียน แต่ก็ไม่อาจเรียนได้ดังหวัง”

ลั่วปิงเหอสีหน้าไม่บอกความรู้สึก มารฝันเห็นเขาไม่ตอบรับ พลันนึกสังหรณ์ใจขึ้นมาทันที

จริงดังคาด ลั่วปิงเหอเปิดปากเอ่ยวาจาอีกครั้ง ทั้งเผยรอยยิ้มที่แฝงเอาไว้ด้วยความใสซื่อ

เขากล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อย “ผู้อาวุโสร้อนใจอยากสอนข้าเช่นนี้ เกรงว่าไม่ใช่แค่กลัวจะไม่มีผู้สืบทอดวิชากระมัง”

มารฝันลอบตะโกนในใจว่าแย่แล้ว

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “เป็นกาฝากอยู่ในห้วงฝันคนอื่น หากเปลี่ยนร่างที่เกาะอาศัยอยู่เป็นประจำ ระหว่างที่เร่ร่อนย้ายหลักแหล่ง ดวงจิตจะได้รับความกระทบกระเทือนจนอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ แต่หากสามารถเกาะอาศัยอยู่บนร่างใดร่างหนึ่งได้เป็นเวลานาน จะสามารถรักษาตัวและสะสมพลังฟื้นฟูดวงจิตให้มั่นคงได้”

เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “ผู้อาวุโสมารฝันคงใกล้หมดอายุขัยแล้ว จึงต้องจำใจฝึกฝนข้าให้เป็นร่างเกาะอาศัยกระมัง”

มารฝันถูกเขาจี้ใจดำก็ไม่ปฏิเสธและไม่เคืองโกรธ กลับยอมรับแต่โดยดี “ถูกต้อง! คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนูนี่กลับมีความรู้กว้างขวาง แม้แต่จุดนี้ก็รู้ด้วย”

มารฝันเห็นเขาสงบนิ่งไม่ลนลาน ทำให้มองไม่ออกว่าเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่ จึงกล่าวต่อว่า “แต่เจ้าอย่าได้หลงเข้าใจว่าร่างที่ข้าต้องการเกาะอาศัยเฉพาะเจาะจงต้องเป็นเจ้าเท่านั้น ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นของเผ่ามารมากมายนับไม่ถ้วนล้วนเต็มใจยอมคุกเข่าเพื่อให้ได้รับเกียรตินี้ เจ้าต่างหากที่ต้องใคร่ครวญให้ดีเสียก่อนว่าจะยอมพลาดโอกาสนี้ไปหรือไม่”

ความจริงแล้วหลายปีมานี้ดวงจิตของมารฝันเริ่มเสื่อมถอยลงไปทุกวัน ก่อนนี้เขาอาศัยอยู่ในเครื่องรางมารชิ้นหนึ่ง เขาอยู่ของเขาดีๆ หากบำเพ็ญฌานต่อไปเงียบๆอีก 180 ปีก็จะกลับมามีสภาพประดุจเสือโผนมังกรทะยานได้ แต่ดันจับพลัดจับผลูถูกซาหัวหลิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนึกว่าเครื่องรางชิ้นนี้เป็นเครื่องรางมารทั่วไป เลยนำมาวางในร่างลั่วปิงเหอ ตอนนี้เขาไม่มีแรงจะไปหาร่างใหม่แล้ว

ระหว่างที่อับจนหนทาง กลับพบว่าภายในกายเนื้อกับดวงจิตของเด็กหนุ่มที่เป็นเจ้าของบ้านใหม่นี้ แฝงเร้นพลังมหาศาลขุมหนึ่งยากจะสัมผัส คล้ายมีคล้ายไม่มี เขาลิงโลดไม่หยุด ไหนเลยจะยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆเล่า

เขาตกลงใจแน่วแน่ ไม่สนว่าลั่วปิงเหอจะคัดค้านหัวชนฝาอย่างไร จะใช้ทั้งไม้นวมไม้แข็ง ทั้งขู่ทั้งปลอบ งัดสารพัดวิธีมาเกลี้ยกล่อมให้เจ้าหนูนี่ยอมฝึกวิชามารกับตน เพื่อให้กายเนื้อและดวงจิตของฝ่ายนั้นเหมาะจะเป็นที่อยู่ให้ตนมากยิ่งขึ้น

มารฝันกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเช่นช้าให้เวลาเจ้าไปคิดใคร่ครวญให้ดีก่อนก็แล้วกัน หาไม่แล้ว ดวงจิตของเจ้าและของซือจุนเจ้าจะต้องถูกขังอยู่ในห้วงฝันไปตลอดกาล เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่เกินความสามารถของผู้อาวุโสเช่นข้า”

ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้นทันที ชั่วพริบตานั้นรังสีอันเย็นยะเยียบที่วาบขึ้นในดวงตาของลั่วปิงเหอ ทำให้มารฝันถึงกับสะเทือนขวัญเลยทีเดียว

ความสงบนิ่งและอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อครู่ของลั่วปิงเหอสาบสูญสิ้น น้ำเสียงเรียบจัด “ตอนนี้ท่านกำลังเจรจาเงื่อนไขกับข้า จะพูดอะไรก็ได้ แต่หากทำร้ายซือจุนล่ะก็ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมา เลิกพูดไปได้เลย!”

มารฝันตะลึงลานไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติกลับคืนมา ที่ตกตะลึงเมื่อครู่เพราะตนถึงกับถูกท่าทีของเจ้าเด็กมนุษย์ตัวน้อยที่มีพลังฝึกปรือธรรมดาสามัญผู้นี้ทำเอาหวาดผวาได้ ตอนที่เขายิ่งใหญ่เกรียงไกรไปทั่วสามภพเมื่อ 300 ปีก่อน ต่อให้เป็นศึกโหดครานั้นที่ทำให้กายเนื้อของเขาถูกทำลายเขายังไม่เคยรู้สึกกดดันเพราะท่าทีของใครเช่นนี้มาก่อนเลย

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้ ท่าทางลักษณะนี้แหละ คนรุ่นหลังเขาเรียกว่าราศีของบอสผู้ยิ่งใหญ่(ที่เป็นสิทธิพิเศษของผู้เป็นพระเอกเท่านั้น) อย่างไรล่ะ

ทันใดนั้น ในถ้ำพลันมีเสียงหัวเราะดังลั่น

“เจ้าหนูนี่ขี้โมโหเสียจริง”

หลังจากเสียงชราภาพกล่าวประโยคนี้จบ ลั่วปิงเหอรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างหนักอึ้งขึ้นมาทันใด ภาพรอบตัวหมุนพลิกกลับตาลปัตร จมลงสู่ความมืดมิด เพียงชั่วแล่นลั่วปิงเหอก็ตื่นขึ้นมาในห้องเก็บฟืน และพบว่าเสื้อตัวในของตนเปียกชุ่มโชกเลยทีเดียว

เวลาเดียวกันนี้เองเสิ่นชิงชิวดีดกายผึงขึ้นจากเตียง

เขาหอบหายใจไปหลายสิบเฮือกอย่างมึนงงกว่าจะผ่อนคลายได้ในที่สุด

หะ หะ หะ โหดสุดๆ

อะไรวะ ตอนหนิงอิงอิงในนิยายดั้งเดิมถูกจับโยนเข้าไปในความฝัน ทำไมฝันของเธอถึงมีแต่ความทรงจำอบอุ่นในวัยเด็ก พ่อแม่พาไปขี่ม้าเก็บดอกไม้อะไรพวกนั้น แต่ทีเขากลับถูกผึ้งกินคนขนาดเท่ากำปั้นรุมต่อย จากนั้นก็วิ่งพล่านอยู่ในอุโมงค์ทางเดินสุสานอันคับแคบ โดยมีลูกไฟใหญ่เบ้อเริ่มไล่กวดอยู่ข้างหลัง!

ที่น่ากลัวที่สุดคือในฝัดชุดสุดท้าย มารฝันยังให้เขาเห็นสิ่งที่เขากลัวที่สุด

ในคุกใต้ดินที่มืดมิดและเปียกชื้น ที่เอวเขาถูกรัดไว้ด้วยห่วงเหล็กแขวนห้อยอยู่กลางอากาศ ไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของแขนขาทั้งสี่ อ้าปากก็ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา ได้แต่ครวญครางอืออาอย่างจนหนทาง ปวดแสบปวดร้อนไปทั่วทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท่า

เขาไม่รู้ว่าอยู่ในความฝันนานแค่ไหนแล้ว ต่อมามีเสียงเปิดประตูหินดังมาจากนอกคุก และเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เงาร่างสายหนึ่งสาดเข้ามาที่พื้นตรงหน้าเขา

ชายเสื้อสีดำปักลายเส้นสีเงินอย่างประณีต พลังกดดันอันเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างของคนผู้นั้น คุกคามผู้คนให้อึดอัดหายใจไม่ออกได้ยิ่งกว่าคุกใต้ดินที่อับทึบไร้ลมนี่เสียอีก

เสิ่นชิงชิวเห็นหน้าคนผู้นั้นไม่ชัด แต่ตระหนักดีกว่าเป็นใคร!

มารฝันสมกับเป็นบุคคลในตำนานของเผ่ามาร สร้างห้วงฝันนี้ได้สมจริงเกินไปแล้ว กระทั่งกลิ่นอับชื้นที่ลอยอวลอยู่ในอากาศยังเหม็นติดปลายจมูกเขาอยู่เลย ชวนคลื่นเหียนที่สุด

เสิ่นชิงชิวฝืนลุกขึ้นนั่งได้ครู่หนึ่ง ก่อนกลิ้งลงมาจากเตียง แล้วอาเจียนออกมาจริงๆ

ติ๊งต่อง ระบบเกิดจะโผล่ออกมาประกาศในเวลานี้พอดี

[ขอแสดงความยินดีที่ท่านเดินเรื่องตอน ‘เขตอาคมของมารฝัน’ เป็นผลสำเร็จ ระบบขอมอบค่าความฟินให้ 500 คะแนน! ขอให้พยายามต่อไป]

เสิ่นชิงชิวทำมือเป็นท่า ‘พอเลย’ เขายังอุตส่าห์มีอารมณ์คิดบัญชีกับระบบ “เรามาคุยกันดีๆหน่อยนะ เวลาคุณขู่จะหักค่าความฟิน ไม่เห็นหักเท่านี้เลย ทำไมไม่ตั้งค่า 500 คะแนนให้เท่ากัน ลงโทษมากรางวันน้อยแบบนี้จะดีเหรอ แถมผมยังเดินพล็อตเรื่องความฝันในความฝันเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง คุณจะไม่เอามานับแล้วเพิ่มค่า B ให้ผมเลยเรอะ ระบบ? ระบบ! อย่ามาทำแกล้งตายนะ มาเซ็นสัญญากันใหม่เลย!”

เวลานี้เองคนผู้หนึ่งเปิดประตูเรือนไผ่ พุ่งพรวดเข้ามาราวกับลมหอบ “ซือจุน”

เมื่อได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร เสิ่นชิงชิวกลอกตาด้วยความทุกข์ทรมาน

ตอนนี้เขาไม่อยากเห็นหน้าคนๆนี้เลย

ลั่วปิงเหอโถมตัวลงข้างกายเขา ถามอย่างลนลาน “ซือจุนขอรับ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง มีตรงไนไม่สบายบ้างขอรับ”

ที่จริงก็ยังดีอยู่หรอก แต่หากท่านออกไปห่างๆกระผมสักนิด จะยิ่งสบายกว่านี้เยอะเลย…

เสิ่นชิงชิวหันหน้าไปอีกทาง ลุกขึ้นจากพื้นเองอย่างหยิ่งในศักดิ์ศรีและมีมาด “เหวยซือสบายดีทุกอย่าง”

ลั่วปิงเหอเดิมีคิดจะเข้าไปประคองเขา ครั้นถูกผลักออกมาโดยไม่รู้ตัวก็อดตะลึงลานไม่ได้

เสิ่นชิงชิวไม่แยแสความรู้สึกเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ เขาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หลังจากมั่นใจว่าถึงใส่แค่เสื้อตัวในก็ไม่มีตรงไหนทำให้เสียลุคจึงค่อยเอ่ยถาม “หลังจากนั้นมารฝันได้สร้างความลำบากให้เจ้าหรือไม่”

สร้างความลำบากกับผีอะไรเล่า มารฝันแทบลงไปคุกเข่าเลียเท้าลั่วปิงเหออยู่แล้ว เสิ่นชิงชิวทำเป็นถามทั้งที่รู้ดี ลั่วปิงเหอลังเลอยู่ครู่ แล้วตอบว่า “ผู้อาวุโสมารฝันท่านนั้น เหมือนว่าพลังทิพย์จะไม่พอ ภายหลังศิษย์เลยถูกเขาขับออกมาจากห้วงฝัน ซือจุนท่านเผชิญกับอะไรในฝันซ้อนฝันหรือไม่ขอรับ”

เสิ่นชิงชิวคุยโว “ต่อให้เผชิญกับอะไร เหวยซือยังจะจัดการไม่ได้หรือ”

อันที่จริงไม่มีปัญญาจัดการเลยต่างหาก!

ตอนนี้ภาพก้อนเนื้อกุดๆ ยังติดตาเขาอยู่เลย พอลั่วปิงเหอเข้ามาใกล้เสียขนาดนี้ ถึงได้พาหเขาขนลุกซู่ไปทั้งตัว เบนสายตาไปทางอื่นด้วยความหวาดผวา

ลั่วปิงเหอไม่เข้าใจสาเหตุ เห็นแต่เขามีสีหน้าแปลกไป สายตาก็ไม่มองมาตรงๆเหมือนเมื่อก่อน ในใจจึงทั้งกระสับกระส่ายและร้อนรน

ดีที่เสิ่นชิงชิวปรับท่าทีได้อย่างรวดเร็ว ยังระลึกได้ว่าตนมีฐานะเป็นอาจารย์ เวลาเช่นนี้สมควรทำอย่างไร ครู่ต่อมาจึงยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของลั่วปิงเหอไว้ กล่าวเสียงขรึมว่า “ถูกเผ่ามารก่อกวนไม่ใช่เรื่องตลก ให้เหวยซือตรวจเจ้าก่อน ไม่อาจปล่อยปละละเลยเด็ดขาด”

ข้อมือถูกยึดไว้ ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างว่าง่าย “ขอรับ”

หัวใจที่เพิ่งจะวางลงได้ครู่หนึ่งก็มีอันขึ้นไปแขวนค้างใหม่อีกรอบ หากเสิ่นชิงชิวตรวจเจอมารฝัน แล้วมารฝันเปิดโปงว่าร่างกายเขาผิดปกติเล่า…

เสิ่นชิงชิวถึงแม้ตรวจสอบเขาด้วยความมุ่งมั่นเต็มกำลัง แต่กลับตรวจไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด แน่อยู่แล้วที่จะตรวจไม่พบอะไร พลังฝีมือที่สั่งสมมาหลายปีบวกกับชื่อเสียงโด่งดังของมารฝันย่อมมิใช่ราคาคุย กระนั้นก็จำต้องทำเป็นตรวจนู่นนี่เสียหน่อยพอเป็นพิธี

เสิ่นชิงชิวตรวจไม่เจออะไรแต่ไม่วายกำชับลั่วปิงเหอให้ไปเชียนเฉ่าเฟิงและฉยงติ่งเฟิงเพื่อให้คนที่นั่นตรวจอาการให้ หากมีปัญหาตรงไหนห้ามเก็บงำไว้กับตัว

ลั่วปิงเหอกลับไม่มีความคิดที่จะยอมไปให้ห่างเขา ท่าทางเหมือนในใจมีเรื่องหนักอึ้ง ทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด ในที่สุดก็ถามว่า “ซือจุนขอรับ เผ่ามาร…ล้วนโหดเหี้ยมอำมหิต สมควรต้องกำจัดประหารให้สิ้นใช่หรือไม่ขอรับ”

ได้ฟังคำถามนี้ เสิ่นชิงชิวไม่ได้ตอบกลับทันที ด้วยสถานะของเขายากที่จะตอบจริงๆนั่นแหละ

เห็นลั่วปิงเหอยืนตัวแข็งอยู่กับที่ไม่ขยับ รอคอยคำตอบของตนโดยแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง ทว่าแผงทีท่าคาดหวังรอคอยคำตอบจากเขาอยู่ เสิ่นชิงชิวจึงกล่าวช้าๆ “คนเรามีดีมีชั่ว เผ่ามารเองก็ย่อมมีทั้งดีและเลวแตกต่างกันไป ที่พวกเราเห็นส่วนใหญ่มักเป็นเผ่ามารที่ไล่ล่าทำร้ายผู้คน แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเหตุการณ์ที่มนุษย์ทำร้ายและสร้างความเดือดร้อนให้ผู้บริสุทธิ์ในเผ่ามาร ความคิดเห็นเรื่องเผ่าพันธุ์ เจ้าอย่าได้ยึดถือเป็นสำคัญ”

เป็นครั้งแรกที่ลั่วปิงเหอได้ฟังอาจารย์กล่าวแสดงความคิดเห็นส่วนตัวออกมาในลักษณะนี้ เขารับฟังอย่างตะลึง ใจเต้นโครมคราม “ความหมายของซือจุนก็คือ ต่อให้เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเผ่ามาร ก็ไม่แน่ว่าฟ้าดินจะไม่ยอมอภัยให้ ใช่หรือไม่ขอรับ”

เสิ่นชิงชิวถามกลับ “ฟ้าดินไม่ยอมอภัยให้ ใครเป็นคนพูดขึ้นมาหรือ ในเมื่อไม่ยอมอภัยให้ ไยกลับปล่อยให้มันคงอยู่ ยอมอภัยไม่ยอมอภัย ผู้ใดมีสิทธิตัดสิน?”

ถูกย้อนถามเป็นชุด แววตาของลั่วปิงเหอก็ค่อยๆสดใสขึ้น รู้สึกเลือดลมแล่นพล่านขึ้นมาบ้าง

สุดท้ายเสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ลั่วปิงเหอ คำพูดที่เหวยซือจะกล่าวกับเจ้าภายหลังจากนี้ เจ้าฟังไว้เฉยๆก็ได้ แต่คำพูดที่กล่าวกับเจ้าในวันนี้ เจ้าต้องจดจำไว้ให้มั่น ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ฟ้าดินให้อภัยไม่ได้ เรื่องของเผ่าพันธุ์ก็เช่นกัน เรื่องของมนุษย์ก็เช่นกัน”

ลั่วปิงเหอในเวลานี้ถึงแม้จิตใจฝักใฝ่ฝั่งธรรมะ แต่กลับมิใช่คนคร่ำครึ ในเมื่อไม่มีวิธีกำจัด สู้เอามันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ไปเลยดีกว่า

เขาจะต้องแข็งแกร่งให้ได้!

แข็งแกร่งจนถึงขนาดว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้อีกต่อไป แข็งแกร่งขนาดสามารถปกป้องซือจุนไม่ว่าจากอะไรก็ตามที่จะเข้ามาทำร้ายท่าน

เห็นสองตาเขาเรืองประกายเจิดจ้า เสิ่นชิงชิวไม่รู้ว่าลั่วปิงเหอคิดอะไรอยู่ กลับรู้สึกปั่นป่วนสับสนในใจขึ้นมา

คำแนะนำของเสิ่นชิงชิวไม่ใช่เพียงเพราะอยากเป็นอาจารย์ผู้ทรงภูมิที่คอยชี้นำพระเอก

ถึงแม้เหตุผลโบราณคร่ำครึสุดๆนี้ จะถูกละครพีเรียดเอย ละครกำลังภายในเอย แล้วก็พวกละครเทพเซียนเอาไปยำซ้ำๆซากๆหลายสิบปี ไม่มีความเปลี่ยนแปลงสักกระผีก แต่ในโลกที่คนกับมารบ่มเพาะความแค้นกันอย่างลึกซึ้งชนิดไม่ขออยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน ก่อเหิดเป็นสงครามนับครั้งไม่ถ้วนจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ความคิดนี้แหวกแนวมาก ถึงขึ้นไม่สนใครหน้าไหนด้วยซ้ำ

ในฐานะที่เป็นเลือดผสมต่างเผ่า ยากนักที่ลั่วปิงเหอจะไม่ได้รับผลกระทบจากทัศนคติอันคร่ำครึดังว่านี้ ที่ทำให้กว่าครึ่งค่อยชีวิตของเขาต้องลุ่มๆดอนๆก็เพราะยึดติดอยู่กับทัศนคตินี้นั่นเอง จนหมดอาลัยตายอยากด้วยความรู้สึกที่ไม่ว่าจะที่ไหนก็ไม่มีที่ให้เขายืน ไม่สมควรเกิดมาเลยแต่แรก

เสิ่นชิงชิวหวังว่านับจากนี้ไปคำพูดนี้จะสามารถหยั่งรากลงในจิตใจเขา เปิดโลกทัศน์ของเขา วันข้างหน้าเมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงจะได้ปล่อยวางได้บ้าง เมื่อเผชิญกับการโจมตีเรื่องสายเลือดก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ เช่นนี้อาจช่วยให้เขารับมือกับปัญหาโดยไม่รุนแรงสุดโต่ง คิดแต่จะแก้แค้นเอากับโลกอยู่ตลอดเวลาขนาดนั้น

และต่อให้ในวันหน้าเมื่อต้องถูกตนเตะลงห้วงอเวจี ก็จะเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาที่เป็นลูกครึ่งเผ่ามารเลย

หากเป็นเช่นนี้แล้ว ถึงแม้ตอนที่เนื้อเรื่องมาถึงช่วงดังกล่าว ตอนที่ระบบบังคับให้เขาพูดตามสคริปต์จำพวกว่า ‘คนกับมารไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน ความแค้นระหว่างเผ่าพันธุ์ดุจดั่งห้วงมหาสมุทรที่ไม่อาจก้าวข้าม ตัวบัดซบเช่นเจ้ารีบตายๆไปซะเถอะ’ เขาจะเสียหน้าขนาดไหนก็ช่วยไม่ได้แล้ว

บรรยากาศเปลี่ยนเสียแล้ว เสิ่นชิงชิวคิดว่าเมื่อกี้ตัวเองออกจะเก็กมากเกินไปหน่อย โรคกลัวจะต้องขายขี้หน้าพลันกำเริบขึ้นมา เขาทำเป็นไอแห้งทีหนึ่ง “จะว่าไปเผ่ามารเกิดมาก็มีพลังทิพย์ติดตัวมามากกว่าผู้คนธรรมดาทั่วไป หากสามารถเอาจุดแข็งของพวกเขามาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายธรรมะ และต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่เห็นจะมีตรงไหนไม่ดี”

พวกเผ่ามารนั้นว่ากันในด้านทักษะและพรสวรรค์ในการฝึกปรือร่ำเรียนวิชาแล้ว แน่นอนว่าเบียดแซงมนุษย์กระเด็นเลยทีเดียว เผ่าพันธุ์แตกต่างกัน โครงสร้างพลังก็แตกต่างกัน เผ่ามนุษย์อาศัยปราณทิพย์ เผ่ามารอาศัยปราณมาร

เสิ่นชิงชิวคิดว่าที่จริงก็ไม่ต่างกันเท่าไร เพียงแค่สีและชื่อเรียกไม่เหมือนกันเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฮวงจุ้ยของเผ่ามารดีจัดหรือเป็นเพราะเกิดอะไรขึ้น เผ่ามารส่วนใหญ่ตอนเกิดมาก็มีปราณมารเต็มเปี่ยม สามขวบก็จับคนเป็นๆฉีกได้แล้ว แปดขวบผ่าภูเขาทลายก้อนหิน…แค่กๆ เอ่อ อันนี้ก็พูดเวอร์เกินไปหน่อย

แต่ความจริงคือมนุษย์ส่วนใหญ่ที่มีสติปัญญาปานกลาง ฝึกบำเพ็ญเพียรไปยี่สิบสามสิบปีก็ได้แค่ระดับหนูน้อยของเผ่ามารเท่านั้น อีกทั้งคนส่วนใหญ่เป็นเหมือนบ่อน้ำที่แห้งผาก พลังทิพย์เป็นศูนย์ คนเช่นนี้มักเรียกกันว่าไม่มี ‘หลินเกิน’ (รากปราณ) ไม่มีวาสนาบำเพ็ญเซียน ไม่มีอะไรจะรันทดไปกว่านี้แล้ว หากไม่ใช่เป็นเพราะมนุษย์ค่อนข้างนิยมชมชอบการแตกหน่อขยายพันธุ์ ขณะที่ประชากรของเผ่ามารหาทำยายากแล้วล่ะก็ ภพมนุษย์คงกลายเป็นอาณานิคมของเผ่ามารไปเสียนานแล้ว มนุษย์เลยพลอยได้ประโยชน์จาการที่ผู้อื่นเขาคุมกำเนิดกันอย่างจริงจังนี่เอง

วุ่นวายกับเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินนี้มายกหนึ่ง เสิ่นชิงชิวอดนอนมาทั้งคืนจนได้เบ้าตาดำคล้ำมาสองวง เลยโบกมือกล่าว “ดึกมาแล้ว หากไม่มีอะไรแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

ลั่วปิงเหอถอยออกไปอย่างว่าง่าย แต่เดินไปยังไม่ทันจะกี่ก้าว ก็ได้ยินเสิ่นชิงชิวเรียกไว้ “กลับมาก่อน”

เขาหันกลับมาทันที “ซือจุนมีอะไรจะสั่งหรือขอรับ”

เสิ่นชิงชิว “ห้องพักไปทางนั้น เจ้าเดินไปอีกทางทำไม”

ไม่ว่าจะเป็นเรือนไผ่ที่เป็นห้องพักของพวกลูกศิษย์หรือจะห้องเก็บฟืนล้วนต้องไปทางซ้าย แต่ลั่วปิงเหอตั้งท่าจะเลี้ยวไปทางขวา

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ศิษย์จะไปห้องครัวขอรับ จะไปเตรียมอาหารเช้าของซือจุนไว้ก่อน”

เสิ่นชิงชิวกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที

เขาอยากกินอาหารเช้าฝีมือลั่วปิงเหอก็จริง แต่ดึกๆดื่นๆ เช่นนี้ให้เด็กคนหนึ่งอดหลับอดนอนไปทำอาหารให้ตัวเอง ไม่ฟังเหมือนซินเดอเรลล่ากับแม่เลี้ยงใจร้ายไปหน่อยเหรอ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็ฟังไร้มนุษยธรรมสิ้นดี

ในที่สุดมโนธรรมก็มีชัยชนะเหนือความตะกละ เขากระแอมทีหนึ่ง “อย่าวุ่นวายไปหน่อยเลย กลางดึกยังจะมาทำอาหารอะไรอีก กลับไปนอนเสีย”

ลั่วปิงเหอรู้ว่าเขาเป็นห่วงตนจะนอนไม่พอจึงยิ้มรับ แต่แอบคิดว่าเดี๋ยวอีกสักพักค่อยย่องไปห้องครัวก็แล้วกัน

เสิ่นชิงชิวความจริงอยากถามเขาว่าตอนนี้ยังนอนอยู่ที่ห้องเก็บฟืนหรือไม่ แต่คิดดูแล้ว เด็กหนุ่มมักมีความถือตัวกันอยู่บ้าง จะถามออกไปตรงๆเกรงจะทำเขาเสียหน้าเอา อีกอย่างต่อให้สั่งลั่วปิงเหอไปนอนที่ห้องของพวกลูกศิษย์คนอื่น พวกนั้นก็คงต้องกีดกันเขาตามที่หมิงฟานสั่ง ยึดผ้าห่มเอารองเท้าไปซ่อน ให้รู้สึกน่าสงสาร

เสิ่นชิงชิว “พรุ่งนี้เจ้าเก็บข้าวของ แล้วมาหาข้า”

ลั่วปิงเหอไม่อาจเข้าใจความหมายของเขาได้ในทันที “ซือจุน?”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ห้องข้าง* ที่อยู่ด้านนอกเรือนไผ่เขียวยังว่าง นับจากพรุ่งนี้ไปเจ้าก็ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วกัน”

(ห้องข้าง คือ ห้องเล็กๆที่อยู่ติดกับห้องหลัก หรืออาจเป็นมุมหนึ่งในห้องนอนแล้วใช้ม่านกั้น ถ้าเป็นบ้านผู้มีฐานะสมัยโบราณมักใช้สำหรับให้คนรับใช้ประจำตัวนอน)

ถ้าเขามาอยู่ใกล้ขึ้นอีกนิด จากนี้ไปให้ทำอาหารเช้า เก็บกวาดห้องอะไรพรรค์นั้นจะยิ่งสะดวกเข้าไปอีก ความสามารถในการปรับอารมณ์ของเสิ่นชิงชิวยอดเยี่ยมเสมอมา กระทั่งหน้าของลั่วปิงเหอยังไม่กล้ามองตรงๆ มาตอนนี้ถึงกับหาญกล้าลอบวางแผนใช้พระเอกผู้ยิ่งใหญ่หิ้วน้ำร้อน ยกน้ำชา ซักผ้า พับผ้าห่มให้ตัวเองแล้ว ขณะกำลังคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจสักนิดว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ทันใดนั้นจู่ๆลั่วปิงเหอก็กระโจนเข้ามากอดเขาไว้เสียแน่น

เสิ่นชิงชิวไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อนก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง หนังหน้าแก่ๆแดงแปร๊ด

ในที่สุดก็มีคนมากอดรัดเขาแน่นเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ผลปรากฏว่าผู้ดอกไม่ใช่สาวน้อยตัวอุ่น หอม นุ่ม หากเป็นหนุ่มน้อยที่มีราศีของบอสผู้ยิ่งใหญ่ไปทั้งตัว อ๊าก…

ลั่วปิงเหอดูจะดีใจถึงขีดสุด กอดคอเขาไม่ยอมปล่อย ร้องตะโกนลั่นใส่หู “ซือจุน! ซือจุน!”

เสิ่นชิงชิวไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ที่ไหนดี ว้าวุ่นอยู่สักพัก ก็วางบนศีรษะของลั่วปิงเหอ ลูบศีรษะเขา “เอาล่ะ ตะโกนก็ตะโกนแล้ว กอดก็กอดแล้ว เอะอะมะเทิ่งไปได้ ไม่รู้จักอายบ้างหรือ โตขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กสิบขวบเสียหน่อย แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

ลั่วปิงเหอไม่ทันรู้สึกตัว แต่พออีกฝ่ายพูดเช่นนี้ก็อับอายขึ้นมาโดยพลัน หากมิใช่เพราะความดีใจที่พลุ่งพล่านขึ้นมาชั่วขณะ เขาไหนเลยจะกล้าทำเช่นนี้ต่อซือจุนผู้สูงส่ง จึงรีบผละออกจากร่างเสิ่นชิงชิวอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าใดนัก ใบหน้าแดงก่ำ “ขะ…ขอรับ ศิษย์กระทำเกินขอบเขตไปแล้ว”

เรื่องอย่างขอกอดนี้ เด็กน้อยอายุไม่เกินสิบขวบทำก็น่าเอ็นดูดี แต่ลั่วปิงเหอที่อายุสิบห้าทำ…ก็ยังน่าเอ็นดูอยู่ดี!

หญ้าอ่อนหล่อใสวัยเอ๊าะก็งี้ ทำอะไรก็น่ารักไปหมดแหละ!

ลั่วปิงเหอทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เดิมทียังสับสนอยู่บ้าง แต่แล้วก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเสิ่นชิงชิวดูไม่ค่อยดีเท่าไร

ต่อให้มีพลังเซียนคุ้มครองกาย แต่เสิ่นชิงชิวมีทั้งแผลเก่าและเคยถูกพิษมาก่อน แล้วยังถูกม้วนเข้าไปในห้วงฝันของมารฝันก็เพราะตน ไม่ได้พักผ่อนให้ดี อย่างไรก็ยันไม่ไหว ย่อมต้องดูซีดเซียวอยู่แล้ว ลั่วปิงเหอไม่กล้าถ่วงเวลานอนของเสิ่นชิงชิวอีก ได้แต่ขอตัวจากไปอย่างจำใจ ทว่าไม่ได้ตรงกลับไปยังห้องเก็บฟืน คราวนี้เขาจงใจเดินอ้อมไปที่ห้องครัว

ลั่วปิงเหอตัดสินใจแน่วแน่ จากนี้ไปอีกสักระยะใหญ่ อาหารการกินและสุขภาพของซือจุนเป็นเรื่องที่เขาจะต้องให้ความสำคัญให้มาก

ทันทีที่ลั่วปิงเหอก้าวออกจากห้อง ระบบก็ตามมาแจ้งข้อความทันที

[ค่าความฟินของพระเอก บวกเพิ่ม 50 คะแนน]

เสิ่นชิงชิวงง

ทำไมเพิ่มมาอีก 50 คะแนน ระบบมันดีเลย์? หรือระบบเกิดใจดีมีเมตตาขึ้นมา สำนักได้ว่าก่อนหน้านี้ให้เราน้อยเกินไป?

ช่างเหอะ ความง่วงถาโถมขึ้นมา ได้คะแนนเพิ่มมาเป็นพิเศษจะไปใส่ใจอะไรอีก ยังไงก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะได้คะแนนเพิ่มมาเพราะตูถูกกอด ฮ่าๆๆ

วันต่อมา เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันจะรู้สึกว่านอนได้เต็มอิ่มก็ถูกกลิ่นหอมของข้าวและปลาปลุกให้ตื่น นอกเรือนไผ่ ลั่วปิงเหอตั้งอกตั้งใจเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว กลิ่นอาหารหอมจนเรียกให้บรรดาศิษย์ของยอดชิงจิ้งเฟิงที่ชินกับอาหารรสชาติจืดชืดพากันมาแอบดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หมิงฟานกับพวกโมโหจนแอบดูไปก็กัดชายเสื้อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอได้เห็นเสิ่นชิงชิวนั่งลงข้างโต๊ะ เอ่ยชมฝีมือทำกับข้าวและความเอาใจใส่ของลั่วปิงเหอเสียใหญ่โต คนทั้งสองยิ้มแย้มให้กันอย่างชื่นมื่นปรองดอง เห็นดังนี้ระดับความคับแค้นใจก็พุ่งไปแตะขีดสุด

ไร้ยางอายเกินไปแล้ว! อาศัยฝีมือไร้ประโยชน์นอกลู่นอกทางมาเอาใจซือจุนอย่างนั้นหรือ

พอถึงเวลาเย็น เมื่อลั่วปิงเหอขนข้าวของย้ายไปอยู่ห้องข้างของเรือนไผ่ ก็ราวกับฟ้าผ่าเปรี้ยงทั้งกลางวันแสกๆลงมาใส่บรรดาศิษย์ของชิงจิ้งเฟิงที่เคยรังแกลั่วปิงเหอจนกลายเป็นศลตายกันให้เกลื่อน

คำว่า ‘ย้าย’ นี้ ความจริงคือลั่วปิงเหอเพียงเดินเข้าไปตัวเปล่า เพราะเขาไม่มีสมบัติอะไรที่ห้องเก็บฟืนแต่แรกแล้ว

หมอนน่ะเหรอ เอาฟางข้าวในห้องเก็บฟืนมากองๆ เข้าก็ใช้หนุ่นได้แล้ว ผ้าห่มล่ะ ถอดเสื้อตัวนอกออกมาห่มต่างผ้าห่มก็ใช้ได้แล้วเหมือนกัน แน่นอนว่าข้าวของพวกนี้เสิ่นชิงชิวย่อมเตรียมไว้ให้เขาเรียบร้อย

เสิ่นชิงชิวรู้สึกมาตลอดว่าชีวิตของลั่วปิงเหอรันทดเกินไปจริงๆ เหมือนกับบันทึกชีวิตเด็กที่ถูกทารุณ ชางฉยงซานจะดีจะชั่วก็เป็นสำนักใหญ่ ไม่น่าจะใจดำกันถึงขนาดนี้ ข้าวของขาดแคลนถึงขั้นนี้เลยหรือ

คืนนั้นเป็นคืนแรกในชีวิตที่ลั่วปิงเหอได้นอนบนเตียงปกติกับเขาเสียที

เมื่อก่อนเขาเคยนอนในถังไม้ที่ลอยมาตามแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง เคยนอนบนพื้นที่ทั้งชื้นและหนาว เคยนอนข้างถนนที่จ้อกแจ้กจอแจ นอนกลางดินกินกลางทรายหรือนอนในถ้ำก็ล้วนนอนมาจนชินแล้ว มาตอนนี้ได้นอนบนเตียงไม้ไผ่ที่ทั้งนุ่มและสะอาด กลับรู้สึกเบาหวิวไปทั้งตัว เหมือนไม่ใช่ความจริงเอาเสียเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเสิ่นชิงชิวนอนอยู่ในห้องที่ห่างจากเขาเพียงแค่ผนังกั้นเท่านี้เอง

คืนนี้คงมีเรื่องให้คิดมากเกินไป มารฝันเลยไม่ได้ปรากฏกายขึ้นในความฝันของเขา

ลั่วปิงเหอทำเฉยรอด้วยความสงบ ผ่านไปสองสามวันมารฝันปรากฏกายขึ้นอย่างที่คิดเอาไว้จริง

คราวนี้มารฝันไม่ได้ร่ายเขตอาคมลึกลับเป็นปริศนาอะไร ไม่ได้ทำท่าลับๆล่อๆอีกต่อไป หากแต่ปรากฏกายขึ้นในความฝันของลั่วปิงเหออย่างตรงไปตรงมา…ถึงจะมาในรูปหมอกดำก้อนหนึ่งก็ตาม

หมอกดำก้อนนี้ เดี๋ยวก็จับกลุ่ม เดี๋ยวก็กระจายตัวอยู่ตรงหน้าลั่วปิงเหอกลับไปกลับมาไม่หยุด เสียงชราภาพเปล่งออกมาจากกลุ่มหมอก “เจ้าหนู ที่ไปคิดมาสามวันเป็นอย่างไรบ้าง”

ลั่วปิงเหอย้อนถาม “ข้าคิดอย่างไร ผู้อาวุโสมารฝันไม่อาจล่วงรู้หรอกหรือ”

มารฝันหัวเราะหีๆ “เจ้าได้เลือกเส้นทางสายที่เจ้าจะไม่มีวันเสียใจภายหลังแล้วเจ้าหนู จำวันนี้เอาไว้ให้ดี วันนี้คือวันที่เจ้าจะเริ่มเหินทะยานจนฉุดไม่อยู่แล้ว!”

คนหนุ่มหน้าไหนกันจะไม่ฝันอยากเหินทะยานจนฉุดไม่อยู่ เขากล่าวอย่างลำพอง ลั่วปิงเหอไม่ได้คล้อยตาม เพียงยกมือขึ้นกุมหมัดคารวะ “ผู้เยาว์ยังมีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง”

“ยังมีเรื่องอะไรอีกก็พูดมาเสียให้หมด รีบพูดเสียให้เสร็จๆ แล้วจะได้ทำพิธีกราบข้าเป็นอาจารย์” มารฝันเร่ง แต่หารู้ไม่ว่าเขาวาดภาพสวยหรูเกินไปแล้ว

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ที่ผู้เยาว์อยากขอร้องก็คือเรื่องนี้นี่เอง ซือจุนมีพระคุณต่อข้าดุจขุนเขา ข้าไม่อาจกราบผู้อื่นเป็นอาจารย์ตามใจชอบโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเขา…”

พูดยังไม่ทันขาดคำ มารฝันก็กล่าวทันทีอย่างอดรนทนไม่ไหว “ได้ๆๆ ผู้อาวุโสเช่นข้าไม่ต้องมีสถานะเป็นอาจารย์ก็ได้ แค่นี้ใช้ได้แล้วหรือยัง”

ยังมียอดฝีมือผู้สูงส่งที่ไหนยอมขาดทุนยิ่งกว่าเขาอีก บากหน้าเอาวิชาของตัวเองไปสอนให้คนอื่น กระทั่งจะให้คนเขาเรียกอาจารย์ยังไม่มีบุญจะได้ฟัง

นี่มันต่างอะไรกับเมียบ่าวที่แต่งเข้ามาแล้วยอมทนหวานอมขนกลืนอุทิศกายถวายชีวิต แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับเล่า!

ลั่วปิงเหอยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นก็ขอขอบพระคุณผู้อาวุโสขอรับ”

แม้สักนิดเขาก็ไม่อยากเรียกคนอื่นนอกจากเสิ่นชิงชิวว่า ‘ซือจุน’

มารฝันเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ ก็โกรธเสียจนถ้าหากยังมีกายเนื้ออยู่คงจมูกเบี้ยวไปแล้ว

ลั่วปิงเหอผู้นี้เวลาอยู่ต่อหน้าอาจารย์กลับเป็นเด็กดีว่าง่าย ใสซื่อราวกับดอกบัวขาว แต่ทำไมพออยู่ต่อหน้าผู้อื่น มันถึงได้จัดการยากเยี่ยงนี้! แตกต่างกันราวกับเป็นคนละคนเลย!

ผู้อาวุโสเช่นข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version