Skip to content

Scumbag System 17

บทที่ 17

เทียนหลาง

ตอนฟื้นขึ้นมาอากาศแห้งมาก ในลำคอรู้สึกระคายเคือง

เสิ่นชิงชิวพรวดพราดลุกขึ้นนั่ง ข้างกายเขามีมารสาวผิวคล้ำผู้หนึ่ง พอเห็นเขาฟื้นก็ตะโกนออกไปข้างนอกด้วยสำเนียงเหน่อๆว่า “ฟื้นแล้ว”

เทียนหลางจวินเลิกม่านขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง โผล่ศีรษะเข้ามาดูเขาแล้วเลิกคิ้ว “เจ้ายอดเขาเสิ่นหลับไปนานพอดูเลยนะนี่”

เสิ่นชิงชิวทำหน้านิ่ง เอามือถูหน้าให้มั่นใจว่าไม่มีกลิ่นน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของสัตว์เลื้อยคลานเหลือบนร่างตนเองแล้ว ลมแห้งๆโชยพัดม่านผ้าโปร่งปลิวไสว พาให้มองเห็นสภาพด้านนอก

ตอนนี้เขานอนอยู่บนงูใหญ่ยักษ์เกล็ดสีดำ บนหลังงูยักษ์มีเก๋งหลังหนึ่ง ส่วนตัวมันกำลังเลื้อยอย่างนุ่นนวลไปกับพื้น รอบด้านเมไปด้วยประชากรเผ่ามารที่มีรูปร่างเป็นสิงสาราสัตว์นานาชนิด รวมทั้งพวกครึ่งมาร ครึ่งสัตว์น้อยใหญ่ รวมตัวกันเป็นกองทัพขนาดใหญ่อย่างไม่เป็นระเบียบ และกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

เสิ่นชิงชิวฟันธงว่าที่นี่จะต้องเป็นภาคใต้ของเผ่ามาร

ภาคเหนือเป็นดินแดนของโม่เป่ยจวิน ตอนนี้เลยเป็นดินแดนของลั่วปิงเหอไปแล้ว ประชากรส่วนใหญ่มีร่างเป็นคน ต่อสู้โดยใช้คาถาเป็นหลัก แต่ทางภาคใต้มีประชากรที่มีร่างเป็นสัตว์และเลือดผสมค่อนข้างมาก ดูเหมือนพิภรของสิงสาราสัตว์ก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าเทียนหลางจวินจะพาประชากรเผ่ามารกลุ่มนี้อพยพไปที่ไหน และตั้งใจไปทำอะไร

เสิ่นชิงชิวสังเกตสภาพแวดล้อมเสร็จ จู่ๆก็พบว่าทรวงอกซีกขวาและแขนข้างเดียวกันนั้นยังคงเจ็บและชาเป็นระลอก อีกทั้งรู้สึกค่อนข้างจะอืดอาด เคลื่อนไหวได้ไม่คล่อง

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เตรียมทำใจไว้ก่อน จากนั้นก้มลงมอง

สภาพหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก

แขนขวาของเสิ่นชิงชิวเหมือนแขนเทียมที่ทำจากกิ่งไม้ใบหญ้า เต็มไปด้วยตุ่มเนื้อใบเนื้อสีเขียวแตกยอดถี่ยิบ ทั้งยังส่ายไหวเบาๆเวลาเขาขยับแขน นิ้วมือทั้งห้าด้านชา กระทั่งจะงอนิ้วยังทำไม่ได้

เขามองเพียงแวบเดียวก็ทำใจมองไม่ได้อีก กระบี่ซิวหย่าก็อยู่ใกล้มือ จนอยากหยิบมันขึ้นมาฟันแขนข้างนั้นทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด

เวลานี้เองจู๋จือหลางก็ประคองเตาทองคำใบน้อยมีควันกรุ่นเข้ามา

เสิ่นชิงชิวเห็นเขาราวกับเห็นผี ถามอย่างระแวงว่า “เจ้าจะทำอะไร”

จู๋จือหลางยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น “ผู้น้อยแค่ต้องการช่วยเสิ่นเซียนซือ…”

เสิ่นชิงชิวรีบชี้ที่ปากตัวเอง เขากลัวเป็นที่สุดเวลาจู๋จือหลางพูดจาแบบนี้ นับว่าได้รู้วิธีการตอบแทนบุญคุณของงูแล้ว ตอบแทนกันถึงขั้นกลืนเขาเข้าไปในท้องเลยทีเดียว

จู๋จือหลางยกชายแขนเสื้อขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน เหมือนอยากเอามาปิดปากตัวเอง แต่แล้วก็เอาลง กล่าวอย่างหวังดีว่า “เสิ่นเซียนซือ ท่านเชื่อข้า จะกำจัดใยไหมอารมณ์ต้องกำจัดไม่ต่ำกว่าเจ็ดครั้งในหนึ่งวัน ทำลายให้ถึงรากที่อยู่ในเลือดเนื้อ วันนี้กำจัดไปสามครั้งแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม หากไม่กำจัดต่อ แขนข้างนี้ของเสิ่นเซียนซือคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”

พอได้ยินว่ามีความเสี่ยงจะกลายเป็นคนพิการ เสิ่นชิงชิวก็ละทิ้งความหวาดกลัวในใจ ยื่นแขนให้ทันที

จู๋จือหลางเอาถ่านหินที่เผาไฟจนแดงก้อนหนึ่งขึ้นจากเตามาถือไว้ด้วยมือเปล่า แล้วนาบลงไปที่แผ่นอกของเสิ่นชิงชิว

เสิ่นชิงชิว “…”

เขารู้ว่าไม่อาจคาดหวังจะให้จู๋จือหลาง ‘ช่วยเหลือ’ ด้วยวิธีปกติธรรมดาได้เลยจริงๆ

ถ่านหินก้อนนี้นาบลงบนยอดอ่อนของใยไหมอารมณ์บนแผ่นอกเขา เผาใบอ่อนก้านอ่อนจนม้วนหงิกงอ เผาลวกลึกลงไปถึงราก เผาจนเสิ่นชิงชิวอยากแหกลิ้นปลิ้นตา แต่เพราะทำแบบนั้นแล้วมันจะดูทุเรศ เลยต้องผืนทำหน้าตึงเข้าไว้

เมื่อจู๋จือหลางเผายอดอ่อนเขียวๆตามผิวหนังทีละส่วนๆ เสร็จ แขนข้างนี้ก็พอดูได้ขึ้นมาบ้าง

จู๋จือหลางเก็ยถ่านหินกลับไป กล่าวว่า “เดี๋ยวตอนบ่ายกับตอนเย็นยังต้องเผาอีกสามครั้ง”

เสิ่นชิงชิวเอาเสื้อนอกที่ถอดออกไปเมื่อครู่ขึ้นมาคลุมไหล่

จู๋จือหลางเหลือบไปเห็นเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็รีบร้อนก้มหน้าแทบไม่ทัน

เทียนหลางจวินกล่าวยิ้มๆอยู่ด้านนอกว่า “เด็กโง่ เจ้าอายอะไรกัน”

นั่นซิ เสิ่นชิงชิวก็อยากถามเหมือนกัน นายอายอะไร กับแขนและหน้าอกที่เมื่อกี้มีตุ่มเนื้องอกอยู่ทั่ว มีอะไรต้องอายด้วยรึ กับสิ่งมีชีวิตที่ตัวเองเลยกลืนเข้าไปแล้วคายออกมา มีอะไรให้ต้องอายรึ

จู๋จือหลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “จวินซั่งอย่าล้อบ่าวเล่นซิขอรับ บ่าวมิได้มีความคิดที่ไม่เหมาะไม่ควรต่อเสิ่นเซียนซือเลยจริงๆ

เขามองเสิ่นชิงชิว กล่าวย้ำว่า “มิได้คิดไม่บังควรเหมือนอย่างลั่วปิงเหอเลยขอรับ”

ทำไมนายต้องย้ำแบบนี้ด้วย!

จู๋จือหลางรีบยกเตาน้อยกระโดดลงไปจากหลังงู พอลงไปข้างล่างก็บัญชาการให้ปรับรูปขบวนใหม่

เสิ่นชิวชิวจิตใจสับสนวุ่นวายครู่หนึ่ง สายตาเริ่มกวาดไปทั่วอย่างสำรวจ

กระบี่ซินหมัว…กระบี่ซินหมัว…กระบี่ซินหมัวไปไหนแล้วล่ะ

อ้อ อยู่ข้างนอกตรงที่เทียนหลางจวินนั่งอยู่นั่นไง โยนทิ้งไว้ที่ข้างเท้าซะงั้น

เสิ่นชิงชิวนับถือเลยจริงๆ

จะดีจะชั่วก็เป็นกระบี่วิเศษอันดับหนึ่งใน ‘เทพมารอหังการ’ เป็นดัชนีทองคำยิ่งใหญ่สยบฟ้าพิชิตปฐพีชิ้นหนึ่ง เอามาโยนทิ้งไว้ส่งๆแบบนี้มันจะดีเหรอ

เดิมทีเทียนหลางจวินนั่งเท้าคางมองไกลออกไปข้างนอก เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆของเสิ่นชิงชิวก็เอ่ยปากถาม “เจ้ายอดเขาเสิ่นมองอะไรอยู่หรือ” เว้นจังหวะครู่หนึ่งก็มองตามสายตาของเขา “มองกระบี่ของข้าเล่มนี้หรือ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวเสียงเรียบว่า “นั่นเป็นกระบี่ของลั่วปิงเหอ”

เทียนหลางจวินหัวเราะอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แล้วเกริ่นว่า “เจ้ายอดเขาเสิ่น มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ข้าอยากถามเจ้ามาตลอด”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เชิญกล่าว”

อยากถามก็เชิญตามสบาย ฉันจะตอบรึเปล่าก็เรื่องของฉัน

เทียนหลางจวินถามต่อ “เจ้ากับลูกชายของข้าเคยซวงซิว กันแล้วหรือยัง”

(ความหมายตามตัวอักษรของคำว่าซวงซิว คือ ฝึกวิชาร่วมกันเป็นคู่ ความหมายโดยนัยคือ การร่วมรัก)

เสิ่นชิงชิวนึกว่าตัวเองคงฟังผิดไป “ขอโทษที ท่านว่าอะไรนะ”

เทียนหลางจวินถามซ้ำอีกรอบอย่างอดทนว่า “ข้าถามเจ้ายอดเขาเสิ่นว่า เจ้ากับลั่วปิงเหอ…”

เสิ่นชิงชิวหน้ากระตุกสองสามครั้ง ทำมือเป็นท่า ‘พอเลย’ ใส่เขา

เทียนหลางจวินจึงกล่าว “หรือเจ้ายอดเขาไม่เข้าใจความหมายของคำว่าซวงซิวที่ข้าถาม ความหมายของมันก็คือ…”

เสิ่นชิงชิวเอ่ย “พอได้แล้ว”

จะไว้หน้ากันบ้างสักนิดได้ไหม

เสิ่นชิงชิวฝืนทำเป็นไม่สะทกสะท้าน “เพราะอะไรท่านถึงคิดว่าข้าเคยซวงซิวกับเขา”

เทียนหลางจวินกล่าว “บอกตามตรงว่าข้าสนใจวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้านของชาวมนุษย์มาตลอด”

เสิ่นชิงชิวซัก “ดังนั้น?”

สนใจวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้านของชาวมนุษย์มันมาเกี่ยวอะไรกับคำถามนี้วะ

เทียนหลางจวินยกนิ้วขึ้นส่ายเบาๆสองที ครวญเพลงหงุงหงิงอยู่ในคอ

เสิ่นชิงชิวที่เดิมทำหน้า ‘ลูกผู้ชายไม่มีอะไรให้หวั่นไหว’

แต่พอเทียนหลางจวินยิ่งครวญเพลงไป สีหน้าเขาก็เปลี่ยนทันที

แม่! มึง! เหอะ! แค้น! ซุน! ซาน!

มันฮิตมาถึงภพมารเลยรึเนี่ย!!!

เทียนหลางจวินครวญเพลงสองท่อนแล้ว ท่าทางพออกพอใจอย่างยิ่ง กล่าวอย่างยังไม่หนำใจว่า “มีแต่ภพมนุษย์ที่เป็นแหล่งก่อกำเนิดอัจฉริยบุรุษเท่านั้นจึงจะสามารถรังสรรค์ผลงานโลกตะลึงระดับนี้ได้ ความอาจหาญของเนื้อหา ความวาบหวามของถ้อยคำ ช่างคู่ควรแก่การชื่นชมโดยแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่อนจบที่ทิ้งท้ายให้คนติดอกติดใจ คาดหวังรอคอยตอนต่อไปอย่างเต็มเปี่ยม”

โห ที่แท้ยังมีเป็นซีรีส์ต่อเนื่องด้วย!

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “…เดี๋ยวนะ ตอนเจอกันครั้งแรกในสุสานศักดิ์สิทธิ์ท่านพูดว่า ‘เลื่อมใสมานาน’ หรือว่าเลื่อมใสมานานของท่าน ก็เลื่อมใสมาจากเพลงลามกเพลงนี้?”

เทียนหลางจวินตอบอย่างร่าเริง “นี่แหละคือเลื่อมใสมานานนี่เลย”

ระบบ [สนทนากับบอสเรื่องความสนใจและงานอดิเรก เพิ่มมิติให้กับภาพลักษณ์ของตัวร้าย เสริมสร้างความสนิทสนมเป็นกันเอง ค่า B เพิ่มขึ้น 150 คะแนน]

ความสนใจและงานอดิเรกพ่องซิ!

ขณะเขาสองคนปะทะสายตากัน มารสาวผิวดำที่ดูแลเสิ่นชิงชิวจนกระทั่งเข้าฟื้นวิ่งปรี่เข้ามาข้างงูยักษ์ กระโดนหย็องแหย็งอย่างตื่นเต้นดีใจราวกับละมั่ง

เสิ่นชิงชิวจ้องดูพักหนึ่ง พบว่านางมีขาแบบละมั่งอยู่จริงๆ

หญิงสาวผู้นั้นกระโดดโลดเต้น แหงนหน้าขึ้นถามว่า “จวินซั่ง ที่ใหม่ที่พวกเราจะไปดีมากไหมเจ้าคะ”

เทียนหลางจวินยิ้ม โบกมือตอบนาง “ย่อมต้องดีมากอยู่แล้ว”

หญิงสาวผู้นั้นค่อยข้างใสซื่อไร้เดียงสา ถามว่า “มีน้ำมากไหมเจ้าคะ”

เทียนหลางจวินตอบ “ภูเขาลำธารห้วยละหานมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง”

หญิงสาวผู้นั้นร้องโอ้โฮ กระโดดออกไป เสิ่นชิงชิวมองเงาหลังของนาง พยายามครุ่นคิด รู้สึกเหมือนมีตรงไหนสักแห่งไม่ถูกต้อง “ท่านกำลังจะพาพวกเขาอพยพไปที่ไหนหรือ”

เทียนหลางจวินกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “เจ้ายอดเขาเสิ่นมีข้อสรุปในใจแล้ว ทำไมยังต้องถามอีก”

ภูเขาลำธารห้วยละหาน ไม่ใช่ภูมิประเทศที่พบเห็นได้ทั่วไปในภพมาร ‘ที่ดีๆ’ ย่อมหมายถึงภพมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย

เสิ่นชิงชิวกล่าว “ดูจากจำนวนแล้ว ท่าทางประชากรทางใต้ของเผ่ามารจะมารวมตัวกันอยู่ในขบวนนี้ถึงสองในสิบ ท่านคิดว่าฝูงชนจำนวนมหาศาลขนาดนี้ผ่านพื้นที่ชายแดน เหล่าผู้ฝึกวิชาเซียนจะไม่สังเกตเห็นเลยหรือ”

เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ใครบอกว่าจะต้องผ่านเข้าทางพื้นที่ชายแดน” เขาลุกขึ้นยืนตรง ดวงตาฉายแววเหยียดหยาม ถามยิ้มๆ “เจ้านึกว่าข้าเอากระบี่เล่มนี้มาทำอะไรหรือ”

เสิ่นชิงชิวย้อนถาม “ท่านจะใช้กระบี่ซินหมัวกรีดผ่ารอยแยกระหว่างสองภพ?”

เทียนหลางจวินกล่าเสริม “พูดให้ถูกคือรวมสองภพต่างหาก”

รวมภพมนุษย์กับภพมารเข้าด้วยกัน!

แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการเอามิติที่แตกต่างกันมาขยำรวมเป็นก้อนเดียวหรอกหรือ

เสิ่นชิงชิวไม่ได้คิดว่าไอเดียนี้เหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นไปได้ ตรงกันข้ามเขามั่นใจด้วยซ้ำว่าขอเพียงมีกระบี่ซินหมัวอยู่ในมือ ต้องสามารถทำเรื่องที่ฟังเหมือนเหลือเชื่อนี้ให้สำเร็จผลได้ เพราะนี่คือสิ่งที่นิยายต้นฉบับเขียนเอาไว้

ตอนที่นิยายดั้งเดิมดำเนินมาใกล้ถึงตอนท้าย เพื่อที่จะปกครองสองภพ ลั่วปิงเหอได้กระทำการบ้าระห่ำโดยรวมสองภพเข้าไว้ด้วยกัน เดิมทีเสิ่นชิงชิวนึกว่า ‘ลั่วปิงเหอ’ ในนิยายดั้งเดิมนั้นเป็นลั่วปิงเหอที่เขารู้จักดีที่สุด แต่ตอนนี้คิดๆแล้วกลับเป็นตัวละครที่ตัวเขาเองรู้สึกห่างเหินมาก เรียกได้ว่าแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง ‘ลั่วปิงเหอ’ คนนั้นไม่สนใจเลยว่าหากทำเรื่องเช่นนี้แล้วจะมีผลทำลายล้างยิ่งใหญ่ปานใด

เหตุผลของฝ่ายนั้นคือสองภพแยกกันทำให้ปกครองลำบาก อีกทั้งทรัพยากรไม่สมดุล พวกเมียๆเผ่ามารกับพวกลูกน้องมีเรื่องให้เอะอะโวยวายเรียกร้องกันทุกวันจนเขารำคาญ เลยรวมสองภพมันซะดื้อๆ จะได้สะดวกต่อการบริหารจัดการ

เสิ่นชิงชิวเอ่ย “นี่ก็คือ ‘ของขวัญ’ ที่ท่านต้องการมอบให้ภพมนุษย์หรือ เจตนาชั่วช้าเกินไปหน่อยหรือไม่”

เทียนหลางจวินเอามือลูบคาง กล่าวอย่างสุภาพว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาชั่วช้านะ ข้ารักชาวมนุษย์มาก ให้สองเผ่าพันธุ์ได้ติดต่อคบหากันอย่างใกล้ชิดขึ้นเป็นความใฝ่ฝันของข้ามาตลอด”

เสิ่นชิงชิวเลิกคิ้วกล่าว “เทียนหลางจวินไม่ได้คิดหรือไม่สนใจความเป็นจริงเลยกระมัง เผ่ามารสามารถปรับตัวให้เข้ากับภพมนุษย์ได้ แต่มนุษย์ที่มิใช่ผู้ฝึกวิชาเซียนจะมีสักกี่คนที่ปรับตัวให้เข้ากับเผ่ามารได้ พูดอีกอย่างก็คือ…” เขาเน้นหนักคำพูดช่วงหลัง “ถึงแม้ท่าน ‘รัก’ ชาวมนุษย์ แต่ท่านรับประกันได้หรือว่าเผ่ามารทุกคนจะรักชาวมนุษย์เหมือนท่าน สองภพนับแต่โบราณมาก็ต่างคนต่างอยู่ ขนาดนี้ยังทะเลาะเบาะแว้งกันไม่จบไม่สิ้นเลย หากหุนหันพลันแล่นรวมเข้าด้วยกันก็อย่าหมายว่าจะอยู่กันอย่างสงบสุขแม้แต่วันเดียวเลย”

เทียนหลางจวินกล่าวอย่างจนใจว่า “เจ้ายอดเขาเสิ่นช่างสมกับเป็นคนที่สี่สำนักใหญ่สั่งสอนมาโดยแท้ เอาแต่พูดเรื่องแบบนี้อยู่ได้ จริงอยู่ว่ามันอาจฉุกละหุกไปบ้าง แต่นี้หาใช่เจตนาที่แท้จริงของข้าไม่ ประสบการณ์ที่เคยพ่ายแพ้ครั้งก่อนทำให้ข้าได้แต่เดินหน้าต่อให้ถึงที่สุด รวมให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ค่อยๆทำไปทีละเรื่อง ในเมื่อสถานการณ์เบื้องหน้าเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้แล้ว ต่อให้ไม่คุ้นเคยอย่างไรก็ต้องค่อยๆปรับตัวกันไปอยู่ดี”

คำกล่าวที่ว่าบอสทุกคนล้วนเป็นเกรียนม.ต้น ที่ยึดตัวเป็นเป็นศูนย์กลางโลก ช่างเป็นความจริงอย่างที่สุด

(สำนวนเกรียนม.ต้น เป็นสแลงจีนที่รับมาจากภาษาญี่ปุ่น ‘จูนิเบียว’ 中二病 ซึ่งหมายถึงอาการหลงตัวเองตามประสาวัยรุ่น เข้าใจว่าตัวเองเก่ง บางคนถึงกับคิดว่าตนเองมีพลังกอบกู้โลก)

แต่สถานการณ์ของเทียนหลางจวินนั้นออกจะพิเศษกว่า ไม่แน่ว่าเมื่อก่อนเขาอาจเป็นพวกเกรียนโลกสายที่เพ้อถึงดินแดนในอุดมคติมาก่อน มักรู้สึกว่าตัวเองสามารถปกป้องโลกได้ นำความรักและสันติภาพมาสู่สองโลกอะไรแบบนั้น แต่พอถูกสะกดไว้ใต้ภูเขาหลายปีขนาดนี้ เขาเลยกลายเป็นเกรียนหลงตัวเองที่ในอกสุมแน่นด้วยความแค้นไป เรื่องใหญ่คับฟ้าขนาดนี้ เขากลับกล่าวเพียงว่า ‘ก็อาจฉุกละหุกไปหน่อย’ ลอจิกของประโยคสุดท้ายยิ่งเป็นคอนเซ็ปต์ที่พวกอาชญากรข่มขืนใช้กันประจำ ‘ข่มขืนไปก่อน เดี๋ยวก็สมยอมเอง’

เสิ่นชิงชิวถามอย่างไม่อาจอดกลั้น “ท่านกับซูซีเหยียน หรือว่า…ก็เพียงเพื่อ ‘กระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองเผ่า’?”

ไม่นึกว่าพอได้ยินชื่อนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดของเทียนหลางจวินก็แข็งค้างทันที

เขาหันหน้าไปทางอื่น เสิ่นชิงชิวจึงได้ยินเพียงเสียงถอนใจเบาๆ “ซีเหยียนน่ะ…นางช่าง…”

ช่างอะไรล่ะ

เสิ่นชิงชิวคาดเดาจากน้ำเสียงประหลาดของเขา นุ่มนวลน่ารัก? จิตใจงดงามบริสุทธิ์ เป็นเทพธิดาของข้า?

เทียนหลางจวินกล่าวต่อ “เย็นชาไร้หัวใจ ที่ข้าชอบนางก็คือจุดนี้แหละ”

เสิ่นชิงชิวนับถือเลยจริงๆ เทียนหลางจวินแบมือกล่าวว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ตายไปแล้ว”

ดังนั้นถึงได้ไม่อาลัยอาวรณ์เลยสักนิดงั้นเหรอ

‘ความรัก’ ของเผ่ามารสุดท้ายก็ตื้นเขินเย็นชาแบบนี้นี่เอง

เสิ่นชิงชิวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยกล่าวว่า “ตกลงแล้วท่านมองลั่วปิงเหออย่างไรกันแน่”

เทียนหลางจวินมองเขาแวบหนึ่ง “สงสารเขาหรือ”

เสิ่นชิวชิวหัวเราะราวกับไม่ยี่หระ แต่ไม่รู้จะตอบยังไง

ถึงลั่วปิงเหอไม่เคยเอ่ยถึง แต่เสิ่นชิงชิวทราบดีว่าเขามีความคิดเพ้อฝันเกี่ยวกับพ่อแม่ตัวเองอยู่ เขารู้ว่าตัวเองถือกำเนิดจากพ่อที่เป็นชนชั้นสูง มีสายเลือดของมารฟ้า และแม่ที่เป็นศิษย์ของสำนักมีชื่อ แต่ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร มีชื่อเสียงอย่างไรกันแน่ ความจริงแล้วเขาแอบคิดมาตลอด หากพ่อแม่ยังอยู่ ชีวิตเขาจะต้องดีกว่านี้มาก จะไม่ทำให้เขาต้องอยู่อย่างทนทุกข์แม้แต่น้อย

หากลั่วปิงเหอรู้ว่าพ่อแท้ๆของตัวเองมีท่าทางและความคิดแบบนี้ทั้งมีความเป็นไปได้ว่าเพราะเขาเป็นเลือดผสมเลยไม่อยากเจอเขา ความคิดเพ้อฝันเหล่านั้นก็เป็นเรื่องน่าขันอย่างแท้จริง

ตกดึก ขบวนใหญ่ที่ขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่นก็หยุดกางกระโจมพักแรมที่ป่าหญ้าแห่งหนึ่ง

ผู้ที่ต้องการกางกระโจมพักแรมจริงๆแล้วมีแค่เผ่ามารที่มีร่างเป็นคนซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก ส่วนเผ่ามารที่มีร่างเป็นสัตว์นั้น มีฟ้าเป็นหลังคา จะหลุมดิน ยอดไม้ พงหญ้าก็นอนได้ทุกที่

ที่พักของเสิ่นชิงชิวนั้นเป็นกระโจมสีขาวซึ่งกว้างขวางแสนสบายหลังหนึ่ง ดูภายนอกเรียบง่าย แต่ภายในมีทุกอย่างครบครัน จู๋จือหลางจัดแจงทุกอย่างด้วยตัวเองจนเสร็จสรรพแล้วค่อยส่งเขาเข้าไปข้างใน พอหญิงสาวเผ่ามารที่ดูแลปรนนิบัติเขามาตลอดทางคนนั้นออกไปแล้ว เสิ่นชิงชิวก็ล้มตัวลงนอนทันทีโดยไม่รอช้า หลับตารอให้ห้วงแห่งความฝันปรากฏขึ้น

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ พลันรู้สึกว่าเงาจันทร์ส่ายวูบวาบ เสิ่นชิงชิวลืมตาขึ้นเห็นลั่วปิงเหอคุกเข่าอยู่หน้าเตียงโดยชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น

เสิ่นชิงชิวเพิ่งพูดได้แค่ครึ่งประโยคว่า “ลั่วปิงเหอ เจ้าฟังข้านะ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก…” ลั่วปิงเหอก็โผเข้ามาเสียก่อน

เสิ่นชิงชิวถูกเขาโผเข้าใส่จนล้มกลับไปนอนบนเตียง ริมฝีปากถูกบางสิ่งบางอย่างที่อ่อนนุ่มผนึกไว้แน่นหนา จนแม้แต่เสียงอู้อี้ยังเล็ดลอดออกมาไม่ได้ ได้แต่ถลึงตาใส่อย่างดุๆ โกรธจนหน้าแดง

ลั่วปิงเหอไม่รู้สึกรู้สา จุมพิตยิ่งทวีความหนักหน่วงมากขึ้น ท้ายสุดก็ทั้งขบทั้งกัดทึ้งรากับสัตว์ตัวน้อยๆขย้ำเหยื่อ

เสิ่นชิงชิวสูดลมหายใจอย่างลำบาก กล่าวว่า “…ลั่วปิงเหอ คุกเข่าดีๆ”

ลั่วปิงเหอจึงยกชายเสื้อขึ้น ลงไปนั่งคุกเข่าเป็นเรื่องเป็นราว

เสิ่นชิงชิวถาม “รู้หรือไม่ว่าทำไมถึงให้เจ้าคุกเข่า”

ลั่วปิงเหอนั่งคุกเข่าตัวตรงแหน็ว กล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นศิษย์ แต่กลับล่วงละเมิดซือจุนขอรับ…”

เสิ่นชิงชิวดุต่อ “ใครให้เจ้าพูดเรื่องนี้! บัญชีนี้เหวยซือจะจัดการกับเจ้าทีหลัง เทียนหลางจวินบอกให้เจ้ายกกระบี่ซินหมัวให้ เจ้าก็ยกให้เขาเลยหรือ ข้าจำไม่ได้ว่าเคยสอนเจ้าเช่นนี้…” ใสซื่อเกินไปแล้ว

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ศิษย์ไม่มีทางเลือกนี่ขอรับ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ของสำคัญอะไรปานนั้น ไฉนจึงให้ไม่ได้เล่าขอรับ”

อะไรคือ ‘ไม่ใช่ของสำคัญอะไรปานนั้น’ นั่นน่ะเป็นดัชนีทองคำที่ชาวบ้านเขาร้องไห้จะเป็นจะตายอยากได้กันเลยนะ เสิ่นชิงชิวคิด แบบนี้ต่อให้มีภูเขาทองคำก็ไม่พอให้ผลาญหรอก

“เจ้าไม่คิดบ้างหรือไรว่าเขาจะเอากระบี่ซินหมัวไปทำอะไร แดนเหนือแดนใต้ ชางฉยงซาน วังฮ่วนฮวา จะต้องถูกคุกคามอย่างไรบ้าง”

ลั่วปิงเหอย้อนว่า “ซือจุนโมโหที่ข้าเอาซินหมัวให้เขา เพราะเกรงจะกระทบกระเทือนต่อสถานที่เหล่านั้น หรือกลัวแต่ว่าจะส่งผลกระทบต่อชางฉยงซานเล่าขอรับ”

เขาพูดแบบนี้แล้วดูเหมือนสาวน้อยที่เกาะหนึบถามผู้ชายทั้งวันว่า ‘ตกลงเธอรักงานของเธอมากกว่า หรือรักฉันมากกว่ากันแน่’

เสิ่นชิงชิวที่กำลังจะเข้าประเด็นสำคัญ แจงผลดีผลร้ายให้เขารู้กลับมีอันต้องชะงักกึก

แสงไฟของพวกเผ่ามารที่กำลังลาดตระเวนเล็ดลอดเข้ามาจากนอกกระโจม ทั้งยังได้ยินเสียงหมาป่าหอน เสียงวัวร้อง และเสียงดุด่าที่จงใจลดเสียงให้เบาด้วย

มองยังไงก็ไม่เหมือนอยู่ในฝันเลย…

มองยังไงลั่วปิงเหอก็กำลังยืนอยู่ในกระโจมเขา ไม่ใช่อยู่ในห้วงฝัน

ดังนั้นที่มาคือลั่วปิงเหอตัวเป็นๆ

แต่ตอนนี้ลั่วปิงเหอไม่มีกระบี่ซินหมัวที่จะเอามาใช้เป็นประตูไปที่ไหนก็ได้ของโดราเอมอน จากทางเหนือมาถึงนี่ อย่างน้อยก็ไกลเป็นพันลี้แล้ว ต่อให้เสิ่นชิงชิวอยากตบกะโหลกเขา แต่คิดว่าในเมื่อเจ้าศิษย์ตัวดีอุตส่าห์ดั้นด้นมาไกลขนาดนี้จะลงมือก็ควรคิดให้ดี

พอเห็นเขาได้คืบจะเอาศอก ขาข้างหนึ่งคลานขึ้นมาที่ขอบเตียงแล้ว เสิ่นชิงชิวก็อยากกระอักเลือดนัก แต่ต้องรักษาศักดิ์ศรีของซือจุน

“ลั่วปิงเหอเอ๊ย ลั่วปิงเหอ เจ้าช่างถือดีเกินไปแล้ว ถือว่าตัวเองมีฝีมือสูงส่งวิ่งโร่มาคนเดียว ประชากรสองในสิบของเผ่ามารแดนใต้อยู่ในขบวนนี้ผนวกกับผู้อาวุโสของเผ่ามารอีกสองคนที่มีสายเลือดเดียวกับเจ้า หากถูกพบเข้าละก็ เจ้าตายแน่”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุน ข้าชิงตัวท่านไปซึ่งๆหน้าไม่ได้ ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะเร่งเร้ากู่โลหิตในร่างท่าน แต่ท่านจะมาบอกให้ข้านั่งรออยู่เฉยๆไม่ได้นะขอรับ ท่านอย่าด่าข้าเลยนะ ข้าอดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ”

เสิ่นชิงชิวต้องคอยผลักศีรษะเขาออกไปอยู่ตลอดเวลา พยายามทำหน้าจริงจังสุดชีวิต “ตอนเจ้าข้ามา ไม่มีใครรู้ตัวเลยเหรือ”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าอยากเข้ามาเสียอย่าง ใครก็อย่าได้หมายว่าจะมองเห็น ห่วงอยู่ก็เรื่องเดียว…”

เขายังไม่ทันได้พูดว่าเรื่องอะไรก็มีเสียงไออย่างแจ่มชัดดังมาจากนอกกระโจม

เสียงของจู๋จือหลางดังขึ้น “เสิ่นเซียนซือ เข้านอนแล้วหรือขอรับ”

ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ สองตาของลั่วปิงเหอก็เปล่งรังสีสังหารทันที

เสิ่นชิงชิวรีบห้ามเขาด้วยการทำตาดุๆ เป็นเชิงบอกว่าอย่าได้บุ่มบ่ามเคลื่อนไหว

ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ลั่วปิงเหอถูกเขาถลึงตาใส่กลับแก้มแดงซ่านขึ้นมาเสียอย่างนั้น เสิ่นชิงชิวเห็นแล้วขนลุกซู่ นอกกระโจมมีทหารสัตว์มารลาดตระเวน ในกระโจมก็ไม่มีที่ให้หลบ ด้วยความจำใจเขาเลิกผ้าห่มขึ้น ลั่วปิงเหอมุดเข้ามาทันทีอย่างรับลูก

จู๋จือหลางพูดเองเออเองอยู่ข้างนอก “เข้านอนแต่หัววันปานนี้เลยหรือ”

ข้างนอกเงียบไปครู่หนึ่ง เสิ่นชิงชิวยังนึกว่าเขาไปแล้ว กำลังจะผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ทีเดียว จู๋จือหลางก็เอ่ยขึ้น “เช่นนั้น…ผู้น้อยขอรบกวนแล้ว”

ตกลงไม่ว่าจะหลับไม่หลับนายก็จะเข้ามาให้ได้ใช่ไหม

แล้วยังจะถามทำแป๊ะอะไร!

ลั่วปิงเหอโผล่หัวออกมา กล่าวอย่างระแวงไปเสียทุกสิ่ง “ไองูตัวนี้ฉวยโอกาสซือจุนหลับจะเข้ามาทำอะไร”

นายก็หลบให้มันดีๆเหอะ ไอ้เด็กแสบ เสิ่นชิงชิวกดหัวเขากลับเข้าไป แล้วตัวเองก็กระโดดลงจากเตียง ร้องตะโกนว่า “อย่าเข้ามา!”

จู๋จือหลางก็ไม่เข้ามาจริง กล่าวอย่างงุนงงว่า “ที่แท้มิได้พักผ่อนอยู่หรอกหรือ ทำไมเมื่อครู่นี้เสิ่นเซียนซือถึงไม่ตอบเล่าขอรับ”

เสิ่นชิงชิวกล่าว “เคลิ้มๆ ใกล้จะหลับเลยไม่อยากตอบ สี่จือหลางเจ้าไปเถอะ”

จู๋จือหลางชะงัก “ที่บอกไว้เมื่อกลางวันอย่างไรเล่าขอรับ”

เออใช่ เมื่อตอนกลางวันจู๋จือหลางบอกไว้จริงๆนั่นแหละว่าตอนค่ำจะเข้ามากำจัดใยไหมอารมณ์ให้

ลั่วปิงเหอโผล่หน้ามาอีก ถามเบาๆ “บอกอะไร”

จังหวะที่เสิ่นชิงชิวเอาผ้าห่มอีกผืนโปะบนตัวลั่วปิงเหอและปล่อยม่านลง จู๋จือหลางก็เข้ามาพอดี มือเขาประคองเตาทองคำใบนั้นอยู่ ส่วนตากลับมองไปอีกทาง “มารบกวนดึกๆดื่นๆ เสิ่นเซียนซือโปรดให้อภัยด้วยเถิด แต่ใยไหมอารมณ์ยังกำจัดไม่หมด เกรงว่าจะเกิดเหตุยุ่งยากตามมาหลายอย่าง”

เข้ามาแล้วจะไล่ให้ออกไปอีกก็จะเป็นที่สงสัยเอา ถึงอย่างไรจู๋จือหลางก็ไม่ค่อยจะกล้ามองเขาเท่าไหร่อยู่แล้ว ซึ่งเป็นเพราะอะไรก็สุดจะรู้ ได้แต่ระวังเอาก็แล้วกัน เสิ่นชิงชิวยืนขวางเขาไว้ที่หน้าม่านเตียง ยิ้มน้อยๆ “ข้าเข้าใจ รบกวนแล้ว”

จู๋จือหลางกล่าวอย่างเกรงใจว่า “ข้าแค่ทำตามหน้าที่น่ะขอรับ เสิ่นเซียนซือทำไมไม่นอนบนเตียงเล่าขอรับ…” เขายังไม่ทันจะก้าวเข้ามา เสิ่นชิงชิวก็เอาตัวเองมาขวางหน้า คว้าแขนเขาแล้วจับหมุนกลับ

จนจู๋จือหลางหันหลังให้ม่านเตียงแล้ว เสิ่นชิงชิวจึงค่อยกล่าว “ไม่ต้องขึ้นเตียงหรอก เอาตรงนี้แหละ”

จู๋จือหลางงุนงงอยู่บ้างที่ถูกจับแขนหัน แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เหมาเอาว่าอีกฝ่ายแค่เกิดนึกอยากเล่นสนุกขึ้นมาประเดี๋ยวประด๋าว เลยถามอย่างอารมณ์ดีว่า “ยืนเอาหรือขอรับ”

เสิ่นชิงชิวตอบอย่างหนักแน่น “ยืนเอานี่แหละ”

จู๋จือหลางถามอีก “เสิ่นเซียนซือทนไหวหรือขอรับ”

ที่ด้านหลังเขา ลั่วปิงเหอเลิกผ้าห่มออก หน้าตาบึ้งตึงสุดๆ เสิ่นชิงชิวหน้าไม่เปลี่ยนสี “ชินแล้ว”

จู๋จือหลางพยักหน้า หมุนตัวเอาเตาไปวางบนโต๊ะ

เสิ่นชิงชิวรีบฉวยโอกาสนี้ ฟากฝ่ามือลมใส่ลั่วปิงเหอทีหนึ่งเพื่อจับเขายัดกลับเข้าไปในผ้าห่ม แล้วตลบผ้าคลุมไว้อย่างรวดเร็ว

ตอนที่จู๋จือหลางหันมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ในที่ในทางเรียบร้อยแล้ว เขาถือถ่านแดงๆไว้ในมือพลางกล่าวว่า “เสิ่นเซียนซือโปรดถอดเสื้อตัวนอกด้วยขอรับ”

เสิ่นชิงชิวก้มหน้า ค่อยๆแก้สายคาดเอวอย่างเชื่องช้า เขาไม่กล้าทำเร็ว หากถอดขึ้นมาจริงๆ ลั่วปิงเหอคงต้องพังเตียงฆ่าคนแน่ เขาชักช้าเสียจนชวนโมโห

จู๋จือหลางรออยู่เป็นครึ่งค่อนวันในที่สุดก็ทนไม่ไหวเหลือบตามอง “เสิ่นเซียนซือใช้มือไม่ถนัดหรือขอรับ ให้ผู้น้อยช่วยไหม”

เสิ่นชิงชิวเห็นจู๋จือหลางเหลือบตาขึ้นก็รีบดึงสาบเสื้อออกพรวด เสื้อตัวนอกเลื่อนตกจากไหล่ลงไปกองอยู่ข้างเท้า เขาเสือกแขนข้างนั้นไปตรงหน้าจู๋จือหลาง ฝ่ายหลังจึงไม่มีแก่ใจจะไปสังเกตอย่างอื่น รีบตรวจตราแขนข้างนั้นอย่างตั้งใจทันที หลังจากพยายามกำจัดใยไหมอารมณ์ด้วยความมุ่งมั่นไม่ลดละมาทั้งวัน ในที่สุดก็มีวี่แววว่าจะลดลงไปบ้าง หน้าอกกับแขนข้างนั้นของเสิ่นชิงชิวไม่ได้มีรากฝอยและใบขึ้นหนาแน่นเหมือนอย่างตอนฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ เมื่อตอนกลางวันแล้ว เหลือแค่รากและยอดอ่อนกระจายเป็นหย่อมๆไม่เท่าไหร่

ลั่วปิงเหอลอบยื่นมือออกมาเงียบเชียบ ปราณดำข้นกำลังจะฟาดโดนหลังของจู๋จือหลางอยู่แล้ว

เสิ่นชิงชิวโบกมือเดี๋ยวนั้น ปัดถ่านร้อนในมือจู๋จือหลางกระเด็น

ถ่านก้อนนั้นกระเด็นกลิ้งไปนอกกระโจม จู๋จือหลางอยู่ๆโดนปัดมือโดยไม่มีสาเหตุก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น

เสิ่นชิงชิวกล่าวเชิงขออภัย “มือลื่นน่ะ”

จู๋จือหลางไม่ติดใจสงสัยอะไร เดินออกไปเก็บถ่านนอกกระโจม เขาเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง กล่าวอย่างสงสัยว่า “กลิ้งไปไหนแล้ว”

เสิ่นชิงชิวสะกิดปลายเท้าดีดตัวขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว

ลั่วปิงเหอถามเสียงต่ำ “ซือจุน ท่านผ่านวันเวลาภายใต้การควบคุมของพวกเขาอย่างไรกันแน่”

ผ่านยังไง ก็ผ่านแบบนั่งๆนอนๆรอความตายน่ะซิ… เสิ่นชิงชิวตอบเสียงต่ำเช่นกันว่า “ห้ามก่อเรื่องนะ” พูดจบก็ยกมือยัดลั่วปิงเหอกลับเข้าไปในผ้าห่ม

ลั่วปิงเหอไม่เต็มใจอย่างมาก ทำท่าฮึดฮัด เขารู้ดีว่ายามนี้ตนเองยังไม่มีความสามารถพอจะไปสู้กับเทียนหลางจวินได้ และกู่โลหิตในร่างกายของซือจุนกำจัดไม่ได้หนึ่งวันก็ต้องทรมานไปอีกหนึ่งวัน เขางอนิ้ว เสื้อนอกที่ตกพื้นก็ลอยวืดขึ้นมาอยู่ในมือ เขาเอาเสื้อไปคลุมไหล่เสิ่นชิงชิว “ใส่เสื้อ”

ดูเหมือนจะมีมารน้อยที่เดินผ่านแถวนี้เข้ามาทักทายจู๋จือหลาง “ท่านแม่ทัพ”

จู๋จือหลางทำเสียงอืม กล่าวว่า “มาพอดีเชียว ช่วยข้าหาของหน่อย”

น้ำเสียงและมาดเช่นนี้ แตกต่างยามอยู่ต่อหน้าเทียนหลางจวินและเสิ่นชิงชิวอย่างสิ้นเชิง ช่างงามกับฐานะของแม่ทัพใหญ่จริงๆ

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “สวมอะไรเล่า เดี๋ยวก็ต้องถอดอีกอยู่ดี”

ลั่วปิงเหอเอ่ยอย่างโมโห “…ทำไมซือจุนต้องถอดเสื้อให้เขาดูด้วย”

เสิ่นชิงชิวกดหัวลั่วปิงเหอยัดกลับเข้าผ้าห่มกี่ทีๆก็กดให้อยู่นิ่งไม่ได้ ขณะกำลังสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงกับเขาอยู่ จู๋จือหลางก็เดินย้อนกลับมา เสิ่นชิงชิวกลับไปยืนในตำแหน่งเดิมไม่ทัน เลยหมุนตัวนั่งลงบนเตียงตัวตรงแน่ว

จู๋จือหลางกล่าวว่า “เมื่อครู่เสิ่นเซียนซือมิใช่บอกว่าจะไม่ขึ้นเตียงหรอกหรือ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวเออออ “อ๋อ อย่างนั้นหรือ ข้าพูดแบบนั้นหรือ”

อารามรีบร้อนเขาเลยนั่งทับลั่วปิงเหอไว้ซะเลย

นั่งทับไว้ก็ดีเหมือนกัน ในที่สุดลั่วปิงเหอก็ขยับไม่ได้แล้ว จู๋จือหลางเดินมาข้างเตียง เห็นผ้าห่มยับยุ่งก็โหล่งว่า “เสิ่นเซียนซือไม่ร้อนหรือขอรับ”

เสิ่นชิงชิวอยากจบเรื่องไวๆ ก็คว้ามือของจู่จือหลาง เอาถ่านหินแดงร้อนก้อนนั้นกดลงบนแผ่นอกตัวเองหมับจนเกิดเสียงดังฉี่ ตอบหน้าตาเฉยว่า “ไม่ร้อน”

จู๋จือหลางซักต่อ “เช่นนั้นเสิ่นเซียนซือ…ไม่เจ็บหรือ”

เสิ่นชิงชิวตอบ “ไม่เจ็บ…”

จู๋จือหลางกล่าวอย่างใจชื้น “หลายครั้งก่อนหน้านี้เสิ่นเซียนซือทำท่าไม่เต็มใจมาตลอด วันนี้เป็นฝ่ายลงมือเองเลย ได้เช่นนี้ก็ดีแล้วขอรับ”

เสิ่นชิงชิวไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร ใจคิดแต่จะรีบทำให้มันเสร็จๆ แล้วจะได้ไล่เขาออกไป แต่ปากก็ถามว่า “ใช้ได้หรือยัง”

จู๋จือหลางเก็บถ่านหินกลับไป กล่าวว่า “ได้แล้วขอรับ”

เสิ่นชิงชิวดีใจใหญ่ ดูท่าว่าลั่วปิงเหอก็คงใกล้ทนไม่ไหวแล้ว แต่ไม่นึกว่าจู๋จือหลางจะกล่าวเพิ่มมาอีกประโยคว่า “เมื่อครู่จวินซั่งกล่าวว่าคืนนี้ท่านอยากเข้ามา…”

ท้ายประโยคยังไม่ทันจะกล่าวให้จบ ลั่วปิงเหอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกพรวดขึ้นมา

ไม่ทันมองให้ถนัดว่าลั่วปิงเหอลงมืออย่างไร จู๋จือหลางก็ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมา บนเตียงก็มีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ลั่วปิงเหอกอดเสิ่นชิงชิวไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง กำลังถลึงตาใส่เขา จู๋จือหลางตกตะลึงก่อน ต่อมาไม่นานนักก็เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร “เจ้า? เสิ่นเซียนซือ? พวกเจ้า!”

เสิ่นชิงชิวเอามือกุมหน้าผาก ไม่อยากพูดอะไรแล้ว มืออีกข้างของลั่วปิงเหอยกขึ้น ทำท่าเหมือนกำลัง ‘บีบ’ คอของจู๋จือหลาง ปรากฏรอยดำสองสามสายทันที ร่างกายลอยขึ้นมาห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ

เสิ่นชิงชิวเอ่ยว่า “อย่าฆ่าเขา เดี๋ยวจะเป็นปัญหาไม่รู้จบ อีกอย่างเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด…”

ลั่วปิงเหอเม้มปากแน่น เส้นเอ็นเขียวๆบนหลังมือปูดโปน งอนิ้วทั้งห้าเข้าหากัน สีหน้าของจู๋จือหลางค่อยๆกลายเป็นสีเขียว แต่ไม่มีทีท่าว่าเจ็บปวดแต่อย่างใด

เวลานี้เองอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่นอกกระโจม

“เจ้ายอดเขาเสิ่น ข้าเข้าไปได้หรือไม่”

คืนนี้ทำไมถึงได้คึกคักขนาดนี้ พูดถึงโจโจ โจโฉก็มา พอดีราวกับเป็นตลาดไปแล้ว!

(พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาตรงกับสำนวนไทยว่า พูดถึงไก่ ไก่ก็มา)

สามคนในกระโจม ทั้งคนที่บีบคอ คนถูกบีบ และคนที่มองดูล้วนหน้าดำคร่ำเครียดทันที

เสิ่นชิงชิวชี้ไปที่จู๋จือหลางซึ่งถูกบีบคอห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ จากนั้นชี้ไปที่ลั่วปิงเหอ ทำท่าปาดคอ แล้วทำท่ากากบาทเป็นที่วุ่นวาย ไม่รู้ว่ลั่วปิงเหอจะเข้าใจหรือเปล่า เพราะเอาแต่ส่ายหน้าแล้วส่ายหน้าอีก ภายใจ้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่มีใครส่งเสียงตอบผู้ที่อยู่ด้านนอก หลังจากเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ เทียนหลางจวินก็กล่าวว่า “ข้าเข้าไปแล้วนะ”

ลุงกับหลานคู่นี้เหมือนกันจริงๆ ไอ้ที่ถามอยู่หน้าประตูกระโจมก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง

ดังนั้นตอนเทียนหลางจวินเข้ามา ที่เห็นก็คือภาพนี้

จู๋จือหลางกับเสิ่นชิงชิวกำลังดิ้นขลุกขลักกันอยู่บนเตียง ด้านหลังมีผ้าห่มขยุกขยุยกองสุมไว้สูง เห็นเขาเข้ามา ทั้งสองคนหันมาองเป็นตาเดียว ต่างหน้าซีดด้วยความตกใจ เสื้อตัวนอกของเสิ่นชิงชิงคาอยู่ที่แขนเหมือนครึ่งถอดครึ่งไม่ถอด

ต่อให้เทียนหลางจวินจะพิลึกคนสักแค่ไหน มาเห็นภาพนี้เข้าก็ยิ้มค้างไปแล้ว

ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงค่อยกล่าวเสียงค่อยว่า “…นึกไม่ถึงจริงๆนะนี่”

จู๋จือหลางเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า “จวินซั่ง เรื่องมันออกจะซับซ้อนแต่หาใช่เช่นที่ท่านคิดจริงๆนะขอรับ…”

ร่างกายของเขาบังผ้าห่มที่ลั่วปิงเหอซ่อนตัวอยู่ ส่วนเสิ่นชิงชิวนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขา บังมือของลั่วปิงเหอที่กำลังกำจุดตายตรงลำคอของจู๋จือหลางไว้อย่างแน่นหนา สภาพอันชวนให้สับสนเช่นนี้ บวกกับผ้าม่านที่ไหวพะเยิบพะยาบ ยืนมองเพียงแป๊บๆ ก็ยากที่จะเห็นว่ามีคนเพิ่มมาอีกคน

เทียนหลางจวินพยักหน้า แถมดูจะพออกพอใจอยู่นิดๆ “ไม่ต้องอธิบาย ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจดี”

ด้วยรสนิยมชื่นชอบเพลง ‘แค้นซุนซาน’ กับวงจรในสมองเขา ‘ความเข้าใจ’ ที่ว่านี้ก็จำเป็นต้องมีการอธิบายกันเสียหน่อยแล้ว

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าที่ท่านมาเยี่ยมดึกๆดื่นๆเพราะมีเรื่องอะไร หากมีก็พูดมา หากไม่มีก็ราตรีสวัสดิ์ ไม่ส่งละนะ”

เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ทางข้าเกิดเรื่องแปลกๆนิดหน่อยก็แค่นั้น จู๋จือหลางก็ไปอยู่เสียที่ไหนไม่รู้ ข้าเลยลองมาดูที่นี่ แต่เหมือนจะมาไม่ถูกเวลา ไม่เป็นไร เชิญพวกเจ้าต่อเถิด ตามสบายนะ”

จู๋จือหลางเอ่ยว่า “จวินซั่ง…”

เขาพูดมากขึ้นคำหนึ่ง ลั่วปิงเหอก็เพิ่มแรงบีบขึ้นอีก

ขยับขานิดหนึ่ง ลั่วปิงเหอก็ยิ่งบีบแรงขึ้น

คิดจะเปลี่ยนท่า ลั่วปิงเหอก็จะบีบแรงขึ้น แรงขึ้น…แรงขึ้น ปราณมารพลุ่งพล่านแล่นทะลักเข้าสู่จุดตายของเขาจนในปากขมเฝื่อนจู๋จือหลางไม่รู้ว่าสำนวนจุกคอหอยหมายถึงอะไร แต่เขากำลังจุกคอหอยอยู่จริงๆ

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ดี ขอบพระคุณที่เข้าใจ เช่นนั้นพวกข้าก็ต่อละนะ เชิญท่านตามสะดวก”

เทียนหลางจวินกลับไม่มีทีท่าว่าจะออกไป ซ้ำยังหาเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงไป

เขากล่าวเอื่อยๆว่า “เจ้ายอดเขาเสิ่นเหตุใดไม่ซักถามข้าว่า ‘เรื่องแปลกๆนิดหน่อย’ มันคืออะไร เจ้าดูไม่ใคร่รู้และกระตือรือร้นเหมือนก่อนเลยนะ”

เห็นทีว่าอีหรอบนี้คงไล่ยากเสียแล้ว พอเสิ่นชิงชิวรู้ว่าสลัดความยุ่งยากไม่พ้นก็เลิกแตกตื่น กล่าวยิ้มๆว่า “หากเทียนหลางจวินอยากชมดูอยู่ข้างๆ พูดคุยเพิ่มความสนุกสนานไปด้วยก็ไม่เป็นไร เชิญตามสบาย”

เทียนหลางจวินเลย ‘เพิ่มความสนุกสนาน’ ด้วยการกล่าว “ก่อนหน้านี้ไม่นานกระวี่ซินหมัวที่วางนิ่งอยู่ข้างกายข้าจู่ๆก็ลอยขึ้นมาแขวนค้างอยู่กลางอากาศทำเสีงอื้ออึงไม่หยุด เห็นๆอยู่ว่าไม่มีใครเรียกมันขึ้นมาเสียหน่อย ลักษณะเช่นนี้พาให้เป็นกังวลอยู่บ้าง”

เสิ่นชิงชิวเข้าใจทันที ที่ลั่วปิงเหอพูดค้างไว้ว่า ‘ห่วงอยู่ก็เรื่องเดียว…’ เมื่อกี้ คือหมายถึงเป็นกังวลเรื่องกระบี่ซินหมัวนี่เอง อย่างไรเสียมันก็ติดตามอยู่ข้างกายลั่วปิงเหอมาหลายปี ตอนนี้เจ้านายมันมาอยู่ใกล้ๆยังไงก็ต้องเกิดปฏิกิริยากันบ้าง

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เป็รนเรื่องปลกจริงๆนั่นแหละ แต่เทียนหลางจวินเอาเรื่องนี้มาคุยกับข้า เกรงว่าไม่มีประโยชน์กระมัง”

เทียนหลางจวินค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “มาสนทนาเรื่องนี้กับเจ้ายอดเขาเสิ่นก็ไม่มีประโยชน์จริงๆนั่นแหละ แต่หากมีสหายน้อยผู้ซุกซนมาตามหาเจ้ายอดเขาเสิ่น เช่นนั้นก็มีประโยชน์มาก”

คำพูดสั้นๆ เขาแบ่งเสียหลายช่วง ทุกครั้งที่พูดได้ครึ่งประโยคก็จะเดินเข้าใกล้เตียงอีกก้าวหนึ่ง

จู๋จือหลางถูกเสิ่นชิงชิวยึดมือสองข้าวไว้ในที่แจ้งและถูกลั่วปิงเหอบีบจุดตายตรงคอในที่ลับ พอเทียนหลางจวินเดินเข้ามาทีละก้าว ทีละก้าว ยิ่งเข้ามาใกล้ อาจารย์ศิษย์คู่นี้ก็ยิ่งลงมือหนักขึ้น เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ทำไมถึงได้ซวยอย่างนี้

ขณะที่เทียนหลางจวินยกมือขึ้น กำลังจะเลิกม่านอยู่แล้วนั่นเอง ข้างนอกกระโจมก็มีเสียงสัตว์ป่าเป่าแตรยาวเป็นเสียงโหยหวน เขาชะงักมือทันที หมุนกายหันไปดู

ด้านนอกกระโจมขาวมีแสงไฟพวยพุ่ง เงาดำพุ่งมาจากทุกสารทิศ เสียงแตรแหลมยาวผสมกับเสียงตะโกนเป็นที่สับสน

“มีผู้บุกรุก!”

“ล้อมไว้ๆ เข้าไปล้อมไว้”

“อย่าให้เขาหนีไปได้”

ฝ่าออกมาแล้ว!”

เสียงดาบกระบี่ปะทะกัน เสียงธนูและกระบี่แหวกอากาศ เสียงกรงเล็บสัตว์ฉีกทึ้งดังปะปนเป็นที่สับสนอลหม่าน

เทียนหลางจวินอีกแค่ประโยคเดียวก็ไม่มีเวลาจะกล่าว หายตัวออกไปนอกกระโจมทันที ใจที่ขึ้นไปแขวนค้างสูงของเสิ่นชิงชิวก็ตกฮวบลงมา ผู้บุกรุกคนนี้ช่างมาได้จังหวะเสียจริง

ลั่วปิงเหอพลิกกายลงจากเตียง ประคองเขาขึ้นนั่ง ส่วนจู๋จือหลางถูกเหวี่ยงลงไปที่พื้น ยังขยับตัวไม่ได้ไปครู่หนึ่ง เสิ่นชิงชิวก้มหน้ากล่าวว่า “เมื่อครู่ขอบใจนะ”

ด้วยระดับความจงรักภักดีของจู๋จือหลาง ที่เขาไม่ได้พยายามเปิดโปงโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเองเมื่อครู่ว่า ‘จวินซั่ง เป็นพวกเขาขอรับ เป็นพวกเขาสองคน’ ก็เท่ากับจงใจช่วยเหลือนั่นเอง

จู๋จือหลางได้ฟังก็ถอนใจกล่าวว่า “ผู้น้อยเข้าใจขอรับ”

เสิ่นชิงชิวถาม “เข้าใจอะไร”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างหงุดหงิด “ไปพูดจาไร้สาระกับเขาทำไม”

จู๋จือหลางเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างจริงใจว่า “เสิ่นเซียนซือทรมานเพราะความคิดถึงรุมเร้า ตกดึกลอบพบปะกัน แม้อาจต้องเสี่ยงกับการเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ขอรับ”

เสิ่นชิงชิว “…”

เจ้าเด็กนี่อยู่ข้างกายเทียนหลางจวินนานเกิน วงจรในสมองถึงได้หมุนแบบเดียวกับเขาไปแล้ว ไม่ควรพูดจาไร้สาระด้วยจริงๆนั่นแหละ

สองศิษย์อาจารย์ลอบออกไปนอกกระโจม เห็นในป่าหญ้าห่างออกไปไม่ไกลนักเต็มไปด้วยทัพใหญ่ของเผ่ามารฝ่ายใต้จนดำมืดไปหมดกำลังล้อมอะไรบางอย่างไว้ตรงกลาง เงาสีขาวเจิดจ้าสองสายที่อยู่ใจกลางวงล้อมจึงโดดเด่นสะดุดตาอย่างมาก เงาหนึ่งคือเงากระบี่ ความเร็วสุดจะต้านทาน เงาหนึ่งคือเงาคน ทุกที่ๆเขาเคลื่อนผ่านล้วนราบเรียบเป็นหน้ากลอง วงล้อมถูกทำลายต่อเนื่อง ทว่าก็มีเผ่ามารหนุนเข้ามาใหม่ต่อเนื่องไม่ขาดสายเช่นกัน

เสียงเทียนหลางจวินทอดถอนใจอย่างชมเชยลอยตามลมราตรีมาให้ได้ยิน “วิชากระบี่เป็นยอด พลังทิพย์เป็นยอด”

ผู้บุกรุกยืนอยู่บนหัวของหมาป่าตัวใหญ่ยักษ์สวมเกราะซึ่งถูกเขาตัดลงมาด้วยมือเปล่า ทว่าชุดสีขาวสะอ้านของเขากลับยังสะอาดเอี่ยมไร้ซึ่งละอองธุลี มีเพียงเลือดหยดหนึ่งกระเซ้นมาโดนแก้มเท่านั้น

เอิกเกริกครึกโครมปานนี้ ดุดันปานนี้ บอกว่าสู้ก็สู้ ทั้งยังกลัวผู้ที่อยู่ในค่ายของศัตรูจะไม่มีคนรู้ถึงการให้เกียรติมาเยือนของเขา แบบนี้ช่างเป็นสไตล์อันเลื่องลือของไป่จั้นเฟิงโดยแท้

เขาคือหลิ่วชิงเกอ

พญาหมาป่าขาวสะอาดสองตัววิ่งผ่านฝูงสัตว์มาหมอบอยู่แทบเท้าของเทียนหลางจวิน หนึ่งในนั้นเงยหน้าขึ้น พูดด้วยเสียงคนว่า “จวินซั่ง เป็นหลิ่วชิงเกอ เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงแห่งชางฉยงซานขอรับ”

เทียนหลางจวินพยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าวิชากระบี่และพลังทิพย์ถึงได้น่าทึ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงทำไมจู่ๆถึงได้ให้เกียรติมาเยือนแดนใต้หนอ”

หลิ่วชิงเกอเอียงกายเล็กน้อย เฉิงหลวนเหินกลับคืนสู่มือผู้เป็นนาน เขาสลัดหยดเลือดที่ติดปลายกระบี่ ถามเสียงเย็นชาว่า “เสิ่นชิงชิวอยู่นี่ใช่หรือไม่”

เสิ่นชิงชิวตื่นตะลึงไปกับวาสนาที่คาดไม่ถึง นี่พี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยเขาหรือ

ลั่วปิงเหอปรายตามองสีหน้าของเขาแล้วเม้มปากแน่น

เทียนหลางจวินเข้าใจเหตุการณ์ทันที “ที่แท้เจ้ามาตามหาเจ้ายอดเขาเสิ่น เขาอยู่กับข้าจริงๆนั่นแหละ”

หลิ่วชิงเกอกล่าวว่า “ให้เขาออกมา”

เทียนหลางจวินทำเสียงกำกวม “เกรงว่าตอนนี้เขาไม่สะดวกจะพบเจ้าน่ะซิ ต่อให้พบก็เป็นไปได้อย่างมากว่าเขาอาจไม่อยากตามเจ้ากลับไปชางฉยงซานน่ะนะ”

เสิ่นชิงชิวถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้จะด่ายังไงเลยทีเดียว

หลิ่วชิงเกอหรี่ตา

พญาหมาป่าที่อยู่แทบเท้าเทียนหลางจวินกล่าวว่า “ไป่จั้นเฟิงที่หมายถึงรบร้อยครั้งชนะร้อยครานะหรือ ข้ากลับไม่แน่ใจนัก ได้ยินว่าหลิ่วชิงเกอผู้นี้เคยประมือกับเจ้าเด็กลั่วปิงเหอ พ่ายแพ้นับครั้งไม่ถ้วน ไม่คู่ควรกับชื่อเสียงนี้มาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ควรเปลี่ยนเป็น ‘เก้าสิบเก้า’ มากกว่านะ”

พญาหมาป่าอีกตัวหนึ่งกล่าวรับลูก “ไม่ถูก ต้องเรียกว่าเก้าสิบแปดต่างหาก หากเขาต้องมาเจอกับจวินซั่งของพวกเราย่อมพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”

สัตว์สองตัวนี้ถ่อยจริงแท้ ทั้งขี้ประจบสอพลอทั้งถ่อย

พูดไม่เข้าหูดีนัก แบบนี้ต้องอัดให้หนัก

หลิ่วชิงเกอสะกิดปลายเท้านิดหนึ่ง ร่างก็โลดทะยานออกไปราวกับสายฟ้าสีขาว

เทียนหลางจวินไม่รีบร้อนรับศึก เขาสะบัดเลือดจากปลายนิ้วเบาๆ เสือดที่กระเซ็นออกมาไม่ได้ตกต้องฟื้น หากแต่ก่อตัวกลายเป็นหมาป่าโลหิตสีแดงฉานหกตัว โผเข้าไปรุมล้อมหลิ่วชิงเกอไว้ คอยเวียนเข้าไปกัดและลอบโจมตีประหนึ่งกงจักรเพลิง

หลิ่วชิงเกอรับมืออย่างง่ายดาย เขาใช้เฉิงหลวนตัดคอหมาป่าทั้งหกตัวปลิวกระเด็นและแปรสภาพกลายเป็นของเหลวในพริบตา แต่ถอถอนกระบี่กลับมา หมาป่าโลหิตก็ก่อร่างใหม่ แล้วแยกเขี้ยวจู่โจมต่อ การจู่โจมของเขาถึงแม้แม่นยำไม่มีที่ติแต่ไม่เกิดผลที่เป็นรูปธรรม

เทียนหลางจวินไม่ได้ชักมือที่ปล่อยเลือด กลับ ยังคงชูมือค้างอยู่อย่างนั้น เลือดที่ไหลออกมาก็กลายเป็นสัตว์ดุร้ายตัวใหม่เรื่อยๆไม่ขาดสาย

ปล่อยเลือดไหลเยอะแบบหนี้ก็ยังไม่หน้าซีด นี่เขาเป็นโกดังเลือดเคลื่อนที่รึไง

อย่างน้อยหลิ่วชิงเกอก็มาช่วยเขา เสิ่นชิงชิวไม่อาจยืนมองความหายนะของผู้อื่น เอาแต่ชมดูอยู่นอกวงได้ เขากำลังจะขยับตัวอยู่แล้ว แต่ลั่วปิงเหอชิงนำหน้าไปหนึ่งก้าว กระโจนออกไปทันที

เทียนหลางจวินมองเขาหน้านิ่ง “เจ้ามาจริงๆ”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ซือจุนอยู่นี่ ข้าไหนเลยจะไม่มา”

เทียนหลางจวินกล่าวยิ้มๆ “จู๋จือหลาง เจ้าดูหน้าเขาซิ สีหน้าถมึงทึงเย็นชาแบบนี้ ข้าดูแล้วอารมณ์ดีจริงๆ…หรือ จู๋จือหลาง?”

พอเห็นจู๋จือหลางไม่ได้ออกมา ไม่มีคนมาเป็นลูกคู่ก็ทำหน้าเซ็ง

หลิ่วชิงเกอกำลังจะเอ่ยปาก ครั้นเหลือบไปเห็นเสิ่นชิงชิวกะทันหัน ที่กำลังจะด่าก็ลืมหมดเกลี้ยง ตะลึงลานไปเดี๋ยวนั้น ตะโกนว่า “นี่!”

เสิ่นชิงชิวโบกมือทักทาย สีหน้าประหลาดใจของเทียนหลางจวินมิได้ลดน้อยลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ กล่าวกับลั่วปิงเหอว่า “ตกลง…เมื่อครู่…พวกเจ้า…ข้างใน…สามคนหรือ”

ประโยคเดียววรรคซะห้าท่อน แต่เสิ่นชิงชิวก็เข้าใจความหมายนั้นดี

ส่วนลั่วปิงเหอนั้นไม่รู้ว่าเข้าใจไหม สีหน้าทะมึนขึ้นมาเดี๋ยวนั้น

การต่อสู้ของฝูงสัตว์ในป่าหญ้ากลายเป็นศึกตะลุมบอนสามฝ่ายทันใด

เทียนหลางจวินโจมตีสองคน หลิ่วชิงเกอก็โจมีสองคนเช่นกัน ลั่วปิงเหอโจมตีหนึ่งคนไม่สนอีกคน แต่ก็ต้องคอยรับการโจมตีจากคนทั้งคู่ แสงสีขาวสีดำเต็มไปหมด เสียงกระบี่เสียงสัตว์กึก้องไปทั่ว

หลิ่วชิงเกออุตส่าห์จะมาช่วยเสิ่นชิงชิว แต่จนใจที่วงล้อมหนาแน่นขึ้นทุกที เฉิงหลวนหมุนควงกลายเป็นพายุหมุนลูกย่อมๆ ม้วนเอาสัตว์โลหิตสิบกว่าตัวเข้าไป ทำเอาพวกมันย่อยยับแหลกลาญกลายเป็นหยดโลหิตนับหมื่น สาดกระจายไปทั่วสารทิศ

เสิ่นชิงชิวตะโกน “ปิดปากไว้นะ! ห้ามกลืนลงไปเด็ดขาด”

หลิ่วชิงเกอไม่จำเป็นต้องปิดปากเลย เพราะเลือดเหล่านั้นไม่ตกต้องร่างเขาแม้แต่หยดเดียว

เทียนหลางจวินกลับหัวเราะ “ลืมเสียสนิท ยังมีเจ้ายอดเขาเสิ่นด้วยนี่”

เขากลับหวังให้ตัวเองถูกลืม เมื่อเทียนหลางจวินนึกขึ้นมาได้ เสิ่นชิงชิวก็อยู่ไม่เป็นสุขทันที ในท้องปวดแปลบราวกับถูกเข็มแทงถี่ๆ

ตอนแรกลั่วปิงเหอคือคนที่ลงมือดุดันที่สุด โดยพุ่งเป้าไปที่เทียนหลางจวิน ตอนนี้เลยช้าลง สมาธิเริ่มเขว

เสิ่นชิงชิวตะโกน “สู้ต่อไป ไม่ต้องสนใจข้า”

จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กลับเข้าไปในกระโจม ลากตัวจู๋จือหลางออกมา เขาหัวเราะจนหน้าบิดเบี้ยว “คราวนี้เจ้าเอาตัวเองพุ่งมาชนกระบี่ข้าไม่ได้แล้วนะ”

จู๋จือหลางกล่าวอย่างจำใจ “เสิ่นเซียนซือกับจวินซั่งล้วนมีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่อข้า ไฉนต้องทำให้ข้าลำบากใจอยู่เรื่อย”

เสิ่นชิงชิวเจ็บปวดทรมานจนเหงื่อเย็นหลั่งเต็มหลัง พยายามหาเรื่องคุยเพื่อเบนความสนใจ “เจ้าช่างแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจนจริงๆ”

พนักงานของเผ่ามารแต่ละคนช่างเหมือนซาหัวหลิงดีแท้ ต่างตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็งตลอดเวลา

จู๋จือหลางซึ่งอยู่ใต้คมกระบี่ของเขามุ่งมั่นอธิบายว่า “ใช่แล้ว ครั้งนั้นสี่สำนักใหญ่ใช้อุบายสกปรกล้อมปราบจวินซั่ง ในที่สุดก็ถึงวันที่ต้องชดใช้ ชางฉยงซาน วัดเจาหัว วังฮ่วนฮวา อารามเทียนอี จวินซั่งกล่าวว่าสำนักเดียวก็อย่าให้เหลือ ดังนั้นถึงไม่อาจให้เหลือรอดแม้แต่สำนักเดียว”

เขาพูดึงวังฮ่วนฮวาขึ้นมา เสิ่นชิงชิวพลันใจเขม็งเกร็ง

หลังจากเขาหนีออกจากคุกน้ำของวังฮ่วนฮวาไปที่เมืองฮวาเยวี่ย ได้ยินคนพูดว่าศิษย์วังฮ่วนฮวาที่เฝ้าคุกน้ำล้วนถูกฆ่าตายหมด แม้แต่กงอี๋เซียวก็หนีไม่รอด ตอนนั้นข้อหาทั้งหมดถูกโปะลงมาบนกบาลเขา แล้วเขาก็เอาไปโปะบนกบาลลั่วปิงเหออีกต่อ ระหกระเหินมากระทั่งบัดนี้ยังไม่มีโอกาสสืบสาวราวเรื่องเลยว่าตกลงเป็นฝีมือใคร

ตอนนี้จู๋จือหลางปฏิบัติต่อตนไม่เลว เพราะตอนนั้นตนเป็นคนห้ามกงอี๋เซียวไว้ไม่ให้ฆ่าเขา เขาเลยนับตนเป็นผู้มีพระคุณ เช่นนั้นสำหรับเขาแล้ว กงอี๋เซียวก็น่าจะเป็นศัตรู

เสิ่นชิงชิวถาม “เจ้าจำกงอี๋เซียวผู้นั้นได้หรือไม่”

จู๋จือหลางขบคิดเล็กน้อยแล้วย้อนถาม “หมายถึงศิษย์ของวังฮ่วนฮวาคนนั้นน่ะหรือ”

จำได้จริงๆด้วย

“ตอนนั้นข้าจะไปคุกน้ำเพื่อรับตัวเสิ่นเซียนซือ แต่ไม่คาดว่าพอไปถึงท่านก็ไม่อยู่แล้ว มีแต่ศิษย์ผู้นั้นเดินไปเดินมาอยู่คนเดียว กลางคืนมันมืดผู้น้อยเข้าใจผิดว่าเขาเป็นลั่วปิงเหอเลยเข้าไปหยั่งเชิง”

เสิ่นชิงชิวเข้าใจ รูปร่างของกงอี๋เซียวคล้ายคลึงกับลั่วปิงเหออยู่บ้างจริงๆ ถึงขนาดว่ามองดูเผินๆแวบแรก หน้าตาก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่นิดหน่อย ดังนั้นจึงมีช่วงหนึ่งที่เขารู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยกับกงอี๋เซียวเป็นพิเศษ

จู๋จือหลางกล่าวต่อว่า “ต่อมาพบว่าเขาก็คือศิษย์ของวังฮ่วนฮวาที่ติดตามเสิ่นเซียนซือไปยังป่าน้ำค้างขาว จึงฆ่าเขาทิ้งเสียเลย”

จึงฆ่าเขาทิ้งเสียเลบ

จู๋จือหลางช่างเป็นมารที่เรียบง่ายและ ‘โง่งมอยู่บ้าง’ อย่างที่ลุงเขาพูดไว้จริงๆ เทียนหลางจวินช่วยเหลือเ เขาก็ติดตามรับใช้ถวายหัว เสิ่นชิงชิวช่วยเขาไว้โดยบังเอิญ เขาก็ใช้วิธีของตนเองมาตอบแทนบุญคุณ

เช่นเดียวกับที่หากถูกเอาเปรียบแม้เพียงเล็กน้อยเป็นต้องเอาคืน

แต่กงอี๋เซียวต้องมาตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมเกินไปแล้ว เขาแค่คิดจะฆ่า แต่ยังไม่ได้ฆ่าจริงๆเสียหน่อย

ตอนจากันที่คุกน้ำ ที่กงอี๋เซียวกล่าวไว้ว่า ‘วันหน้าหากมีโอกาส ผู้อาวุโสจะต้องทำตามที่ให้สัญญาไว้กับข้า พาข้าเที่ยวชมชิงจิ้งเฟิงนะขอรับ ผู้เยาว์จะรอวันนนั้นขอรับ’ ยังชัดเจนในหูอยู่เลย

เสิ่นชิงชิวแทบทนมองหน้าจู๋จือหลางตรงๆไม่ได้ พอมองสบตาเขาความรู้สึกเป็นกันเองสบายๆที่เคยมีตอนนี้แทบไม่เหลือแล้ว ฝ่ายหลังรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ เสิ่นชิงชิวลุกขึ้นยืน เดินนำออกไปก่อน

จู๋จือหลางตกตะลึง “ท่านจะไปไหน”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ไปไหนก็ได้ ยิ่งไกลยิ่งดี”

สายเลือดมารฟ้าล้วนแล้วแต่เป็นพวกโรคจิต อยู่กับโรคจิตคนเดียวยังดีกว่าอยู่กับพวกโรคจิตถึงสองคน อย่างน้อยๆคนโรคจิตคนเดียวนั่นก็ยังฟังคำพูดเขาบ้าง

จู๋จือหลางดูราวกับถูกแทงเข้าไปทีหนึ่ง เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ถามว่า “ข้าเพียงแต่อยากช่วยคนที่ดีต่อข้า เช่นนี้ไม่ถูกต้องหรือ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ปัญหามันอยู่ตรงเรื่องที่เจ้ารู้สึกว่ามันดีต่อข้า ข้ากลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นน่ะซิ”

แต่ละก้าวของเขารู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่เกร็งกระตุกได้อย่างชัดเจน ราวกับมีหนอนนับพันตัวดิ้นดุกดิกคอยกัดกิน ลั่วปิงเหอคอยแต่หันมามองเขาจนเกือบหลบการโจมตีไม่พ้นอยู่หลายครั้ง

จู๋จือหลางกล่าวเสียงดัง “ต่อให้เสิ่นเซียนซือไม่อาจพบจุดจบที่ดี ก็ยังตัดสินใจจะไปกับพวกเขาหรือ”

เสิ่นชิงชิวไม่ตอบ เดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ

เห็นดังนั้นจู๋จือหลางก็กล่าวเสียงแผ่ว “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

เพิ่งจะสิ้นเสียง ความเจ็บแปลบทรมานในกายเสิ่นชิงชิวก็หายไปสิ้นเชิง

เสียงเทียนหลางจวินดังขึ้น แฝงไว้ด้วยความขุ่นเคืองอยู่บ้าง “เจ้าทำอะไรน่ะ”

ในที่นั้นมีแต่ผู้ที่เป็นสายเลือดของมารฟ้าจึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เดิมในกายของเสิ่นชิงชิวมีกู่โลหิตอยู่สามสาย ลั่วปิงเหอใช้หนึ่งต้านสอง จึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เมื่อครู๋จู๋จือหลางไม่ได้เร่งเร้าให้กู่โลหิตไปรุกรานลั่วปิงเหออีก กลับเปลี่ยนข้างมาช่วยลั่วปิงเหอสะกดข่มโลหิตของเทียนหลางจวินเอาไว้ด้วยซ้ำ

ไม่เจ็บแล้วยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า เสิ่นชิงชิวชักซิวหย่าออกจากฝัก พลิ้วกายขึ้นเหยียบกระบี่ ตะโกนว่า “ศิษย์น้องหลิ่ว ไป!”

หลิ่วชิงเกอเห็นเขาท่องกระบี่เข้ามา จึงพลิกกายขึ้นเหยียบเฉิงหลวนทันที ในที่สุดเทียนหลางจวินก็ไม่หลั่งเลือดเล่นแล้ว ซัดปราณมารออกมาโจมตีแต่ถูกลั่วปิงเหอโต้กลับไป

เสิ่นชิงชิวโฉบผ่านโดยยื่นมือมารอไว้ ลั่วปิงเหอชูมือขึ้น ทำงานเข้าขากันอย่างรู้จังหวะชนิดไม่มีช่องโหว่ สองมือจับกันมั่นแล้วออกแรงดึง เอาตัวเขาขึ้นมาอยู่บนกระบี่ซิวหย่าเรียบร้อย

รังสีกระบี่สองสายเหินขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา

เสียงเห่าหอนดังระงมไปทั้งป่าหญ้า

เทียนหลางจวินดีดนิ้วทีหนึ่ง สัตว์โลหิตที่เหลือสิบกว่าตัวก็สิ้นแรงเคลื่อนไหว ขนหนาเขี้ยวคมสลายวับอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหยดเลือดสาดกระจายในเวลาเพียงไม่นาน จากนั้นก็ซึมลงดิน

เขามองจู๋จือหลาง “จะปล่อยไปเช่นนี้หรือ”

จู๋จือหลางไม่ตอบ คุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น

เทียนหลางจวินเป็นผู้ที่ควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี ถึงจะไม่พอใจแต่เพียงครู่เดียวอารมณ์นั้นก็ผ่านไปแล้ว “ทุ่มเทความจริงใจให้ ผู้อื่นกลับไม่ซาบซึ้งน้ำใจ ดันวิ่งไปหาหนทางแห่งความตายเสียอย่างนั้น จู๋จือหลาง จวินซั่งสงสารเจ้านัก”

เขายกมือเป็นเชิงบอกให้จู๋จือหลางลุกขึ้น กล่าวง่ายๆว่า “แต่เจ้าไม่ต้องเสียใจไป จะต้องมีสักวันที่เจ้ายอดเขาเสิ่นรู้ซึ้งถึงความดีที่เจ้ามีต่อเขา อีกไม่นานหรอก”

เทียนหลางจวินมองไกลไปที่เส้นขอบฟ้ายามราตรี พึมพำว่า “แต่คิดไม่ถึงจริงๆ เจ้ายอดเขาเสิ่นกลับชอบคนเยอะๆ แต่ละครั้งจะต้องมีอย่างน้อยสามคนหรือ”

“…”

ความรู้สึกของจู๋จือหลางที่เดิมทีสับสนว้าวุ่นราวกับถูกลมหอบหายเกลี้ยงไปในชั่วอึดใจ

หมู่นี้จวินซั่งคงไปอ่านหนังสือภาพแปลกๆที่แพร่หลายอยู่ในภพมนุษย์มาอีกเป็นแน่

………………………

คนทั้งสามท่องกระบี่มุ่งตรงไปยังพื้นที่ชายแดน

หลิ่วชิงเกอไม่คิดว่าเสิ่นชิงชิวจะพาลั่วปิงเหอมาด้วย จึงกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าฉุดเขาขึ้นมาทำไม ทำไมถึงได้อยู่กับเขา”

ระหว่างหลิ่วชิงเกอกับลั่วปิงเหอมีความแค้นฝังลึก เสิ่นชิงชิวไม่อาจอธิบายได้ในเวลาอันสั้น กล่าวคร่าวๆว่า “นี่ก็มีสาเหตุอยู่…”

ลั่วปิงเหอเห็นว่าเสิ่นชิงชิวไม่ได้คัดค้านคำว่า ‘อยู่กับเขา’ ก็หน้าบาน มุกปากยกโค้งขึ้น

หลิ่วชิงเกอเห็นเขาอยู่ๆก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โดยไม่มีสาเหตุ มือก็เตรียมทำท่าวาดคาถาทันที ระหว่างนิ้วมีพลังทิพย์แลบแปลบปลาบกล่าวอย่างระแวงว่า “เสิ่นชิงชิว เจ้ามานี่”

ลั่วปิงเหอเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วยิ่งกว่าพลิกตำรา เมื่อกี้ยังดูนุ่มนวลอ่อนโยนอยู่เลย วินาทีต่อมาก็ทำหน้าทำตาล้อเลียน กอดเอวเสิ่นชิงชิวเสียแน่น เดิมทีเขาก็เกาะแน่นอยู่แล้ว พอกอดแรงขึ้นเช่นนี้ เสิ่นชิงชิวก็แทบหายใจไม่ออก เอามือตีมือเขาก่อนกล่าวว่า “ศิษย์น้องหลิ่ว เรื่องนี้พูดไปแล้วซับซ้อนยิ่งนัก ตอนนี้พวกเราไปกันก่อนเถอะ กลับไปแล้วข้าจะค่อยๆเล่าให้เจ้าฟัง เจ้าเชื่อข้าไปก่อนแล้วกันนะ”

หลิ่วชิงเกอกล่าว “ข้าเชื่อเจ้า แต่ข้าไม่เชื่อเขา”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างไม่คิดอะไรมาก “ข้าเชื่อเขา”

หลิ่วชิงเกอคิ้วกระตุก กล่าวเสียงขรึมว่า “เมื่อก่อนที่เจ้าเชื่อเขา เจ้าลงเอยอย่างไรเล่า”

รอยยิ้มบางๆของลั่วปิงเหอแฝงแววเชือดเฉือนอย่างที่เรียกกันว่าซ่อนเข็มไว้ในสำลี จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ซือจุนก็บอกว่าเชื่อช้าแล้วอย่างไรล่ะ ท่านยังจะพูดจาเหลวไหลอะไรอีก”

นี่คือยังต่อยตีกันไม่สะใจใช่ไหม!

เสิ่นชิงชิวดุ “ทำไมถึงพูดเช่นนี้กับอาจารย์อา”

หลิ่วชิงเกอปกติก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ไปว่าเขาพูดเหลวไหลได้ยังไง เขาไม่พูดเหลวไหลจริงๆนั่นแหละ ซัดพลังตู้มเลย

แต่นี่เป็นการเดินทาง ทางอากาศนะ สู้กันบนกระบี่นี่สนุกมากรึไง โปรดคำนึงถึงความปลอดภัย ความปลอดภัยต้องมาอันดับหนึ่งซิ!

เสิ่นชิงชิวเบี่ยงเส้นทางการบินออกไป นึกว่าน่าจะหลบพ้นแล้ว ลั่วปิงเหอที่อยู่ข้างหลังกลับครางออกมาทีหนึ่ง

เสิ่นชิงชิวหันกลับไปถาม “เป็นอะไรไป”

โดนจริงอะ?

ลั่วปิงเหอส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่เป็นไร ไม่เจ็บขอรับ”

ตามหลักแล้ว ต่อให้โดนพลังซัดใส่ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่นา เสิ่นชิงชิวมองเขาอย่างละเอียด รู้สึกว่าตรงตราประทับที่หว่างคิ้วเขามีไอดำขุมหนึ่งอยู่จริงๆจึงพึมพำว่า “สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ”

น้ำเสียงลั่วปิงเหออ่อนล้า ทว่ากล่าวอย่างนุ่มนวล “เมื่อกี้พอสู้กันเสร็จ รู้สึกมึนๆเล็กน้อยเลยเวียนหัว แต่ไม่มีอะไรขอรับ ก็แค่พลังโจมตีขุมหนึ่งเท่านั้น”

ความมุ่งมั่นของหลิ่วชิงเกอที่จะสู้กับเขาชนิดเลือดสาดให้ถึงที่สุดดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สู้กันมาไม่รู้กี่ครั้ง เจอพลังโจมตีขุมเดียวเวียนหัวเลยรึ

หลิ่วชิงเกอสั่ง “เสิ่นชิงชิว เจ้าหลีกไป”

เสิ่นชิงชิวรีบยิ้มเป็นเชิงขออภัย เกลี้ยกล่อมว่า “ศิษย์น้องหลิ่ว ก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บ เพิ่งจะหายดี เจ้าก็อย่าลดตัวไปทะเลาะกับเขาเลย เขาไม่รู้ประสีประสา หากล่วงเกินเจ้า ข้าขออภัยแทนก็แล้วกัน”

สีหน้าหลิ่วชิงเกอไม่ค่อยจะดีนัก เสิ่นชิงชิวกล่าวอีกว่า “เมื่อก่อนเขาทำผิดมาไม่น้อย วันหน้าไม่ทำแล้ว ข้าจะอบรมสั่งสอนเขาให้ดีๆ

ในที่สุดหลิ่วชิงเกอก็หน้าเขียว “เจ้าเชื่อเขาจริงๆหรือ”

เสิ่นชิงชิวใจฝ่อ ลั่วปิงเหอยังกอดเอวเขาอยู่ ทำหน้ากระวนกระวายเหมือนกำลังรอคำตอบของเขา พูดตามจริง เมื่อก่อนเขาไม่เคยเชื่อใจลั่วปิงเหอเลย ดังนั้นจึงทำร้ายอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจมาตลอด เรื่องมาถึงป่านนี้…

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “อย่างไรก็ขอเชื่อไว้ก่อนดีกว่า เชื่อไว้ก็ไม่เสียหายนี่”

ลูกหลานในบ้านไม่เข้าใจเรื่องราว ผู้ใหญ่ก็วางตัวลำบาก เสิ่นชิงชิวทำใจดีสู้เสือ กล่าวว่า “ไม่เจอกันมาพักหนึ่งศิษย์น้องหลิ่วพลังฝึกปรือยิ่งก้าวหน้าใหญ่แล้วนะ”

หลิ่วชิงเกอเชิดคาง “ไปปิดด่านฝึกวิชา เพิ่งจะออกมา”

ตอนที่ลั่วปิงเหอไปปิดล้อมชางฉยงซาน หลิ่วชิงเกอได้กล่าวไว้ว่า ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ!’ ตกลงไปปิดด่านฝึกวิชาเพิ่มมาจริงๆ เพิ่งออกจากด่านก็มาช่วยคนเลย เสิ่นชิงชิวเอามือลูบจมูก ในใจรู้สึกว่าแค่พูดขอบคุณเหมือนจะไม่พอ เลยโพล่งออกไปว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าต้องมาช่วยข้าที่แดนใต้”

ที่แท้พอหลิ่วชิงเกอออกจากด่าน ก็ตรงดิ่งไปที่แดนเหนือของภพมารซึ่งเป็นดินแดนของลั่วปิงเหอ ตะลุยฝ่าไปตลอดทาง ทำเอาเผ่ามารกระเจิดกระเจิงระส่ำระสาย ผลปรากฏว่าเสิ่นชิงชิวไม่อยู่ที่นั่น ลั่วปิงเหอก็ไม่อยู่ ว่ากันว่าลั่วปิงเหอกลับมาเที่ยวหนึ่งอย่างรีบร้อยแล้วผลุนผลันออกไปอีก หลิ่วชิงเกอจึงจับตัวนางมารผู้หนึ่งชื่อซาๆอะไรสักอย่างมาซักถาม ทว่าวิธการซักถามของไป่จั้นเฟิงคือซ้อมทุบตี อยู่ที่จะทุบตีหนักมากหรือน้อยเท่านั้น พี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่ไม่ถนัดเรื่องทุบตีผู้หญิง ส่วนซาหัวหลิงก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่รับมือได้ง่าย เลยถามไม่ได้ความอะไร

ดีที่ไปเจอเอาซั่งชิงหัวที่วันๆกินอิ่มแล้วว่างไม่มีอะไรทำเลยออกมาเดินเพ่นพ่านเข้า

กับคนพรรค์นี้หลิ่วชิงเกอไม่จำเป็นจ้องยั้งมอไว้ไมตรี แค่เงื้อหมัดเขาก็พรั่งพรูออกมาหมดสิ้น ร่ายไปตั้งแต่อาหารการกินของเสิ่นชิงชิวตอนอยู่ภพมาร แต่ละวันใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจอย่างไร ไปจนถึงเรื่องสำคัญอย่างถูกจับตัวไปแดนใต้

หลังจากซักถามได้คำตอบมาแล้ว หลิ่วชิงเกอก็หมายเอาตัวคนทรยศผู้นี้ไปสำเร็จโทษเสีย คิดไม่ถึงว่าซั่งชิงหัวกลับกอดขาหลิ่วชิงเกอร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายอยู่นานมาก สาบานแล้วสาบานอีกว่าที่ทำลงไปเพราะความจำใจและจากนี้ไปจะกลับเนื้อกลับตัวใหม่ จนเสียงคร่ำครวญของเขาชักนำโม่เป่ยจวินออกมา ทั้งสองต่อสู้กันยกหนึ่งทำเอาวังใต้ดินของลั่วปิงเหอพังเสียหายไปกว่าครึ่ง จึงล่าช้าออกไปอีก

เส้นทางที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและปัจจัยอันพลิกผันนี้คือเส้นทางของพี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงนี้นั่นเอง

สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจขนาดนี้…หลิ่วชิงเกอเป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้ยิ่งกว่าพี่ชายแท้ๆเสียอีกนะเนี่ย

หลังเสิ่นชิงชิวทำหน้าแสดงความซาบซึ้งใจออกไป ก็เปลี่ยนหัวข้อมากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศิษย์น้องหลิ่ว ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกเจ้า”

หลิ่วชิงเกอกล่าวว่า “ว่ามา”

เสิ่นชิงชิวถาม “เจ้ารู้จักเทียนหลางจวินหรือไม่”

สำหรับซิวซื่อผู้ฝึกวิชาเซียนแล้ว ชื่อนี้กล่าวได้ว่าเป็นตำนาน

หลายปีก่อน เทียนหลางจวินถูกสี่สำนักใหญ่รวมกำลังกันสะกดไว้ใต้บรรพตน้ำค้างขาว สำนักชางฉยงซานแม้เป็นกำลังหลักด้วยเช่นกัน แต่ผู้เข้าร่วมล้วนเป็นเจ้ายอดเขารุ่นก่อน ในบรรดาเจ้ายอดเขาของชางฉยงซานในปัจจุบัน มีแต่เยวี่ยชิงหยวนที่ในเวลานั้นเข้าร่วมการต่อสู้ในฐานะหัวหน้าศิษย์ฉยงติ่งเฟิง และอาศัยกระบี่เสวียนซู่สำแดงฝีมืออันโดดเด่น จึงกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ เรื่องเหล่านี้หลิ่วชิงเกอไม่มีทางไม่รู้แน่นอน “ที่เป็นราชาคนก่อนของเผ่ามารน่ะหรือ กายเนื้อของเขาแหลกสลายไปเจ็ดแปดปีแล้วนี่”

เสิ่นชิงชิวว่า “กายเนื้อแหลกสลายไม่ได้หมายความว่าตาย และมีความเป็นไปได้ว่าเปลี่ยนคราบร่างแล้ว”

หลิ่วชิงเกอเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “เหมือนอย่างเจ้าน่ะหรือ”

เสิ่นชิงชิวละอายใจ ไอค่อกแค่ก “ถูกต้อง”

หลิ่วชิงเกอไม่ติดใจเอาความ ถามต่อ “เขาออกมาแล้ว จากนั้นล่ะ”

เสิ่นชิงชิวตอบ “เทียนหลางจวินวางแผนจะรวมภพมารกับภพมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน”

“หมายความว่าเขาคิดจะโจมตีภพมนุษย์หรือ”

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าคนทั่วไปมักสับสนกับแนวคิดสองอย่างนี้ พูดว่า ‘รวมไว้ด้วยกัน’ คนส่วนใหญ่จะนึกว่าหมายถึง ‘รวบให้เป็นหนึ่งเดียว’ แต่ความจริงแล้ว ที่เทียนหลางจวินตั้งใจจะใช้กระบี่ซินหมัวมากระทำนั้น แค่มีความหมายตรงตามตัวอักษรของคำว่า ‘รวมเข้าด้วยกัน’ เฉยๆ

ภพมารกับภพมนุษย์ ก็เหมือนอยู่บนกระดาษแผ่นเดียวกันแต่คนละหน้า ต่างอยู่กันคนละมิติ เอาพู่กันวาดภาพลงบนหน้ากระดาษ จะวาดให้ยืดยาวออกไปสักแค่ไหน ภาพก็ไม่มีทางยาวไปถึงด้านหลังได้

แต่กระบี่ซินหมัวสามารถเอาด้านหน้ากับด้านหลังของกระดาษแผ่นนี้มาอยู่ในระนาบเดียวกันได้

ตัวอย่างเช่น บนแผ่นดินใหญ่ของภพมนุษย์มีแม่น้ำลั่ว ภพมารมีเทือกเขาฝังกระดูก สถานที่สองแห่งนี้อยู่คนละมิติกัน แต่ในนิยายดั้งเดิมลั่วปิงเหอใช้ซินหมัวเป็นกุญแจ หลังจากเอาสองภพรวมเข้าด้วยกัน เทือกเขาฝังกระดูกก็ถูกนำมา ‘วาง’ ไว้กลางแม่น้ำลั่ว กลายเป็นแห่งหนึ่ง

หลังจากอธิบายคร่าวๆ หลิ่วชิงเกอก็ขมวดคิ้ว “เรื่องแบบนี้สามารถทำได้จริงๆหรือ”

แน่นอนว่าทำได้จริง ในนิยายดั้งเดิมลั่วปิงเหอก็ทำสำเร็จมาแล้ว เสิ่นชิงชิวพยักหน้าอย่างหนักแน่น

หลิ่วชิงเกอครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก จำต้องมีหลักฐาน จึงจะสามารถชักจูงให้ทุกสำนักยอมเชื่อได้”

หากต้องการหลักฐานก็ยังไม่มีจริงๆนั่นแหละ ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังนึกปวดหัวอยู่ เวลานี้เองลั่วปิงเหอที่นิ่งเงียบมาครึ่งค่อนวันอยู่ๆก็พูดขึ้นว่า “ซือจุนทำไมไม่ถามข้าเล่า”

เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันได้ตอบ หลิ่วชิงเกอก็ชิงตัดหน้าทำเสียงจิ๊ ทีหนึ่ง

สาเหตุที่เขาแค่นเสียงใส่นั้นก็พอเข้าใจได้อยู่ ลั่วปิงเหอมีสายเลือดของเผ่ามาร ประกอบกับทุกสำนักต่างโกรธขึ้งเขาอยู่ก่อนแล้ว ชื่อเสียงฉาวโฉ่ วังฮ่วนฮวาถูกเขาทำเสียกลายเป็นลัทธินอกรีตไป แม้ความจริงแล้ววังฮ่วนฮวาภายใต้การนำของเขาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม แต่สี่สำนักใหญ่ก็เตะวังฮ่วนฮวาออกจากทีมไปเรียบร้อย ชื่อเสียงในฐานะที่เป็นสำนักฝ่ายธรรมะเลยไม่เหลือ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ

ดังนั้นถามเขาเกรงว่าคงไม่ได้ประโยชน์อะไรมั้ง

เรื่องนี้เสิ่นชิงชิวเข้าใจดีแต่ไม่อาจพูดออกไปได้ เพราะไม่รู้ว่าหัวใจที่บอบบางของลั่วปิงเหอจะแหลกสลายไปอีกสักเพียงไหน เขาหัวเราะแห้งสองสามที ยังไม่ทันหัวเราะเสร็จ ที่ไหล่ก็รู้สึกหนักขึ้นมานิดๆกะทันหัน

ศีรษะของลั่วปิงเหอซบลงมาบนบ่าซ้ายเขาเบาๆ

เสิ่นชิงชิวนึกว่าเขากำลังออดอ้อนขึ้นมาอีกเลยสะบัดทีหนึ่ง แต่พอดูดีๆ ดวงตาลั่วปิงเหอกลับปิดสนิท ท่าทางจะหลับลึก ยืนๆอยู่ก็อุตส่าห์หลับได้ ทั้งที่เมื่อกี้ยังพูดเจื้อยแจ้วอยู่เลย

เสิ่นชิงชิวพลิกมือไปจับแขนเขาไว้มั่น กันไม่ให้เขาตกลงไปจากกระบี่ เรียกเบาๆว่า “ลั่วปิงเหอ”

ไม่มีเสียงตอบ เว้นจังหวะครู่หนึ่ง เสิ่นชิงชิวก็เปลี่ยนมาเรียกด้วยเสียงที่ยิ่งเบาลงไปอีก “…ปิงเหอ”

เรียกไปสองทีเขาจึงค่อยๆลืมตาขึ้น เสิ่นชิงชิวเห็นเขาตาปรือก็ถามอย่างอดไม่อยู่ “เจ้าคงเหนื่อยมากเลยกระมัง”

ออกจากสุสานศักดิ์สิทธิ์มาได้ไม่ทันจะกี่วัน ถึงบาดแผลมากมายของลั่วปิงเหอจะหายดีแล้วอย่างรวดเร็ว แต่น่าจะยังมีผลตกค้างอยู่บ้าง อาการสะลึมสะลือก็อาจเกิดขึ้นได้

“ลั่วปิงเหอส่ายหน้า “ไม่เหนื่อยขอรับ”

เสิ่นชิงชิวขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันไปหาหลิ่วชิวเกอที่กอดอก จ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชา “ศิษย์น้องหลิ่ว พอข้ามพื้นที่ชายแดนแล้ว มิสู้เจ้าล่วงหน้ากลับชางฉยงซานไปบอกศิษย์พี่เจ้าสำนักให้เชิญทุกสำนักมาหารือกันก่อนดีกว่า”

หลิ่วชิงเกอเบิกตาโต “แล้วเจ้าเล่า”

เสิ่นชิงชิว “ข้าอาจกลับไปช้าหน่อย ลั่ว…ปิงเหอเป็นเช่นนี้ ข้าว่าพักผ่อนสักครู่แล้วค่อยเดินทางต่อจะดีกว่า

หลิ่วชิงเกอกล่าวเสียงหนัก “ที่ข้ามาก็เพื่อพาเจ้ากลับไป”

เสิ่นชิงชิวลังเล ลั่วปิงเหอไม่พูดไม่จา ก้มหน้าก้มตาเสียจนดูน่าสงสาร เสิ่นชิงชิวกล่าวอีกว่า “งั้นก็คืนเดียว”

หลิ่วชิงเกอมองลั่วปิงเหอที่อิงแอบอยู่ด้านหลังเสิ่นชิงชิว กล่าวเสียงเข้ม “คืนเดียวก็ไม่ได้”

งั้นเอาไงดีล่ะ

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม คนทั้งสามก็ข้ามพื้นที่ชายแดนมาหยุดอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง

เมืองนี้อยู่ไกลจากจงหยวน สำนักผู้ฝึกวิชาเซียนที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสำนักปลาซิวปลาสร้อย น้อยนักจะได้เห็นบุคคลที่งามสง่าเปี่ยมราศี มีกลิ่นอายเซียนเช่นนี้ปรากฏตัวให้เห็น แถมยังมาทีเดียวถึงสามคน ทั้งแต่ละคนยังหน้าตาดี จึงมีคนไม่น้อยหยุดมุงดูพวกเขา

หลิ่วชิงเกอเดินหน้าเชิดกุมเฉิงหลวนก้าวข้ามธรณีประตูนำเข้าไปก่อน

ห้องโถงใหญ่ตกแต่งอย่างหรูหรา โอ่อ่ากว้างขวาง เสี่ยวเอ้อร์ในร้านรีบเข้ามาต้อนรับพวกเขาทันที

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าจะอยู่กับพวกข้าจริงๆน่ะหรือ”

เขามักรู้สึกว่าหลิ่วชิงเกอเป็นคนประเภทไม่กินอาหารหยาบๆพื้นๆของพวกมนุษย์เดินดิน ไม่จำเป็นต้องหลับต้องนอน ถ้าจะนอนก็นอนบนแท่นทิพย์ประเภทมีไอเมฆห้อมล้อมอะไรแบบนั้น

หลิ่วชิงเกอยืดอกกอดกระบี่ กล่าวเย็นชาว่า “ไม่วางใจ”

เขาเหลือบตาขึ้นสบเข้ากับลั่วปิงเหอที่อยู่ด้านหลังเสิ่นชิงชิวพอดี เลยแค่นเสียงสองทีไม่พูดอะไรอีก ครั้นชำเลืองมองด้วยหางตา เห็นมุมปากลั่วปิงเหอยิ้มหยัน ประกายตาไม่เป็นมิตรแทบทะลักออกมาก็เดือดดาลทันที เส้นเอ็นเขียวๆบนหลังมือที่กำเฉิงหลวนขึ้นปูดโปน

เสิ่นชิงชิวเห็นดังนั้นจึงรีบกล่าว “มีอะไรพูดกันดีๆ ไม่ต้องโกรธกัน” แล้วหันไปอีกทีก็เห็นลั่วปิงเหอกะพริบตาปริบๆ ริมฝีปากออกจะซีดอยู่บ้าง

เสี่ยวเอ้อร์กล่าวยิ้มๆ “ต้องการห้องพักหรือขอรับ”

หลิ่วชิงเกอเป็นพวกไม่สนใจมนุษย์ ลั่วปิงเหอก็ทำท่าจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ เสิ่นชิงชิวจึงได้แต่ออกหน้าเสียเอง “ถูกต้อง”

เสี่ยวเอ้อร์ถาม “ต้องการกี่ห้องขอรับ”

เสิ่นชิงชิวถามว่า “สาม…”

ลั่วปิงเหอขัดขึ้น “สองห้อง”

บนหน้าหลิ่วชิงเกอแทบเขียนออกมาเป็นตัวอักษรว่า ‘ชั่วช้าสารเลว’

ลั่วปิงเหอกล่าวกับเด็กรับใช้อย่างเป็นกันเองว่า “รบกวนเปิดห้องพักสองห้อง ขอบใจ”

หลิ่วชิงเกอกล่าวว่า “สามห้อง”

ลั่วปิงเหอหัวเราะ ย้อนถามว่า “ขอถามหน่อย ใครเป็นคนออกเงิน”

เสิ่นชิงชิวกับหลิ่วชิงเกออึ้ง

เสิ่นชิงชิวนั้นไม่ต้องพูดเลย เพิ่งออกจากรังปีศาจมาจะมีของพรรค์นี้ติดตัวได้ยังไง หลิ่วชิงเกอยิ่งไม่มีทาง ท่านเทพที่ไม่กินอาหารหยาบๆพื้นๆของพวกมนุษย์เช่นนี้ ทั้งยังเข่นฆ่ามาตลอดทาง จะจำได้ที่ไหนว่าต้องพกเงินติดตัว

ลั่วปิงเหอกล่าวช้าๆว่า “ก็คือข้า แต่ข้ามีเงินมาไม่พอ ดังนั้นสองห้อง”

เสิ่นชิงชิวกล่าว “…ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าอย่าลดตัวไปทะเลาะกับเขาเลย”

เขาไม่รู้ว่าลั่วปิงเหอจงใจหรือเปล่า ตอนนี้เสิ่นชิงชิวไม่กล้าสรุปเอาเองแล้ว ปัญหานี้แก้ไม่ตกจริงๆ หากไม่มีเงินไม่ว่ายังไงก็เอาซิวหย่าหรือเฉิงหลวนไปจำนำไม่ได้อยู่แล้ว

หลังรับแผ่นป้ายประจำห้อง ตอนเดินขึ้นข้างบนหลิ่วชิงเกอเดินนำหน้า เสิ่นชิงชิวที่เดินตรงกลางหันหน้ากลับไปขู่อย่างไม่มีทางเลือก “ต่อไปหากเจ้ายังทำให้อาจารย์อาหลิ่วโมโหเช่นนี้อีก จะเอาเจ้าไปขายกิน”

ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้นตัดพ้อ “ซือจุนชอบใจร้ายกับข้าอยู่เรื่อยเลย”

หลิ่วชิงเกอที่นำหน้าอยู่หันหลับมามองแวลหนึ่ง ทำหน้าหงิก แทบอยากเอาไอ้คนคู่นี้ที่ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมไปสับให้เป็นหมื่นๆชิ้นนักแล้วเอาคนหนึ่งไปฝังบนยอดเขา อีกคนหนึ่งที่เกลียดเข้ากระดูกดำก็เอาไปโยนลงก้นทะเล

สองห้องนี้อยู่ติดกัน ใครจะนอนกับใครเป็นปัญหาใหญ่

หลิ่วชิงเกอมีความคิดของตัวเอง ลั่วปิงเหอผู้นี้ความคิดและการกระทำไม่เหมือนผู้คนทั่วไป ชั่วช้าสามานย์ แม้แต่ศพก็กอดมาได้ถึงห้าปี ตอนนนี้คนตัวเป็นๆมาอยู่ตรงหน้านี่แล้ว จะปล่อยให้เขาสมใจได้หรือ

ในอากาศราวกับมีสะเก็ดไฟปะทุแล่นเปรี๊ยะ เสิ่นชิงชิวใจเย็นไม่เต้นตาม เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู

เมื่อปิดประตูแล้ว ก็แง้มออกมานิดหนึ่ง กล่าวเสียงเป็นงานเป็นการว่า “พวกเจ้าสองคนก็พักผ่อนเถอะ”

สะเก็ดไฟแข็งค้างกลางอากาศในพริบตา

หลิ่วชิงเกอ “…นี่!”

หน้าผากลั่วปิงเหอตอนนี้เมฆดำตั้งเค้าทะมึน “ซือจุน เขาจะฆ่าข้านะ”

เสิ่นชิงชิวเอานิ้วชี้หน้าหลิ่วชิงเกอ “เจ้าตีเขาได้ แต่อย่างเอาให้ถึงตายก็พอ”

ล้อเล่นหรือเปล่า เขาจะกล้านอนห้องเดียวกับลั่วปิงเหอได้ยังไง แมนแท้ตรงแน่วทั้งแท่งกับแมนแบบเฉียงๆ อยู่ห้องเดียวกันยามดึก หาที่ตายน่ะซิ แน่นอนเสิ่นชิงชิวคิดว่าตนเองเป็นแมนแท้ทั้งแท่ง ที่อ่านนิยายฮาเร็มอย่าง ‘เทพมารอหังการ’ ก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจนอยู่แล้ว

ทั้งเขาไม่กล้านอนห้องเดียวกับหลิ่วชิงเกออีกเหมือนกัน ถึงแม่พี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นชายแท้ยิ่งกว่าแท้ จริงแท้ที่สุดนับแต่อดีตจนปัจจุบันของชางฉยงซาน แท้ขนาดฟ้าดินเป็นพยานเคียงคู่กับอาทิตย์จันทรา แต่หากลั่วปิงเหอหึงโหดขึ้นมาคงไม่ดีแน่

สรุปแล้วเสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างชื่นมื่นว่า “เอาตามนี้แหละ”

ลั่วปิงเหอโอดครวญ “ซือจุนท่านทำเช่นนี้ได้ลงคอหรือ”

เสิ่นชิงชิวหัวเราะหึ ปิดประตูอย่างเฉียบขาด ปล่อยให้คนทั้งคู่ยืนตัวแข็งเป็นหินอยู่ตรงทางเดินข้างนอกนั่นเอง

ตอนแรกเพราะเห็นลั่วปิงเหอร่างกายอ่อนเพลียถึงได้ตัดสินใจหาที่พัก ดูไปแล้วสีหน้าเขาดีเอามากๆเลยแหละ

ห่วงไปเองแท้ๆเลยเรา

หลังจากอาบน้ำชำระกายเสร็จ เสิ่นชิงชิวเปลี่ยนมาสวมเสื้อตัวกลางที่แห้งสะอาด อยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำ มองไปเห็นบนโต๊ะข้างหน้าต่างมีหนังสือเล่มเล็กวางเรียงกันอยู่ หน้าปกวาดได้ฉวัดเฉวียนเสียจนอ่านชื่อหนังสือไม่ออก และยังมีหมายเลข 1 2 3 ฯลฯ กำกับไว้ จึงดึงออกมาเล่มหนึ่งแล้วเอามานั่งพิงหัวเตียงอ่าน

เท่าที่เปิดอ่านคร่าวๆ ถ้อยคำในหนังสือเล่มนี้เขียนได้อย่างไพเราะสละสลวย ข้อความชวนประทับใจ และยังมีภาพประกอบที่งดงาม เสิ่นชิงชิวกำลังจะลองอ่านให้ละเอียด ระบบที่หายไปนานก็โผล่เข้ามาเจื้อยแจ้ว

ระบบ [สวัสดี ประกาศข้อที่ 1 ค่าความฟินเกินตัวเลขที่กำหนดบรรลุเงื่อนไขทำให้ไอเทมสำคัญดรอป โปรดเตรียมตัวให้พร้อมในการเก็บหากตอนดรอปไม่อาจเก็บได้ทัน ไอเทมนี้จะถูกยกเลิก]

ไอเทมสำคัญ จี้กวนอิมหยกปลอมที่ขจัดค่าความโกรธได้ 5,000 คะแนนน่ะเหรอ

เสิ่นชิงชิวเอาหนังสือในมือโยนไว้ข้างๆ “เดี๋ยวก่อนซิ ค่าความฟินเกินตัวเลขที่กำหนด บรรลุเงื่อนไขทำให้ไอเทมสำคัญดรอป ก็หมายความว่า หากก่อนหน้านั้นค่าความฟินยังไม่ถึงที่กำหนด ไอเทมสำคัญก็ยังเอามาใช้ไม่ได้งั้นเหรอ”

ระบบ [เข้าใจถูกต้อง]

ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านี้ที่ถามว่าจะเปิดใช้ไอเทมสำคัญหรือไม่ มันจะถามให้ได้อะไรขึ้นมาวะ กดใช้งาน แต่เงื่อนไขยังไม่ผ่าน มันก็ต้องใช้ตัวสร้างสถานการณ์อยู่ดีไม่ใช่เหรอ

อีกอย่างไอเทมนี้ความจริงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วปะ เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าในตอนนี้ต่อให้เขาไม่ไปวุ่นวายกับลั่วปิงเหอ ขอเพียงไม่ไปวุ่นวายกับคนอื่น ค่าความโกรธของพระเอกก็จะไม่เพิ่มขึ้นมา และต่อให้เขาจับลั่วปิงเหอกดกับพื้นแล้วฟาดให้ตาย ที่เพิ่มมาก็มีแต่ค่าความฟินอยู่ดี

ระบบ [ประกาศข้อที่ 2 สถานการณ์พิเศษรออยู่ข้างหน้า ภารกิจสำคัญกำลังจะปรากฏขึ้นที่วัดเจาหัว ขอให้ท่านเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการรับภารกิจ หวังว่าท่านจะได้รับความเพลิดเพลินเต็มที่]

2.0 มีการประกาศเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์พิเศษที่รออยู่ข้างหน้าซะด้วย!

จะว่าไปหมู่นี้ลั่วปิงเหอค่อนข้างทำตัวสนิทสนม แต่ค่าความฟินกลับไม่เพิ่มขึ้นเลย ประเด็นนี้เสิ่นชิงชิวนึกสงสัยมาตลอด ไม่ใช่ว่าเขาหลงตัวเองหรอกนะ แต่ด้วยสันดานของลั่วปิงเหอที่ขนาดถลึงตาไปด่าไป ค่าความฟินยังสามารถพุ่งปรี๊ดๆ แต่ช่วงนี้กลับไม่ได้เพิ่มขึ้น ช่างไม่มีเหตุผลเสียเลย หรือเขาพลาดฟังการประกาศอะไรไป

เขาลองเปิดฐานข้อมูลดู ค่าความฟินแทบไม่เพิ่มขึ้นมาเลยจริงๆด้วย พอเขาถาม ระบบก็ตอบว่า [เนื่องจากในช่วงนี้ค่าความฟินเพิ่มขึ้นถี่เกินไป เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากรของระบบ ค่าความฟินจึงเปลี่ยนมาอัปเดตรายเดือนแทน หวังว่าท่านจะได้รับความเพลิดเพลินเต็มที่]

อัปเดตรายเดือนเหรอ เสิ่นชิงชิวนึกสังหรณ์ว่ามันจะต้องเป็นตัวเลขที่น่ากลัวมากแน่ๆ

เขากำลังจะนึกทบทวนว่าในนิยายดั้งเดิม วัดเจาหัวมีเนื้อเรื่องสำคัญอะไร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version