Skip to content

Scumbag System 18

บทที่ 18

ภูมิหลัง

ปฏิกิริยาแรกของเสิ่นชิงชิวคือ คิดว่าต้องเป็นลั่วปิงเหอ แต่เมื่อคนเข้าห้องมาจึงพบว่ารอบนี้หลงตัวเองไปหน่อย

ผู้ที่มากลับเป็นหลิ่วชิงเกอ

หลิ่วชิงเกอไม่ใช่คนที่ชอบถีบบานประตูแล้วเข้ามาในห้องทันทีเลยหรอกหรือ เขารู้จักหัดเคาะประตูตั้งแต่เมื่อไหร่

แมนแท้ ปล่อยให้เข้ามาก็ได้ เสิ่นชิงชิวเบี่ยงตัวให้เขาเข้ามาแล้วปิดประตู ถามโพล่งว่า “ศิษย์น้องหลิ่วแวะมากลางดึกมีธุระอะไรหรือ ลั่วปิงเหอเล่า”

หลิ่วชิงเกอหน้าคว่ำ “ไม่รู้!”

สีหน้าเขียนไว้ชัดเจนว่าขอนอนบนหลังคาดีกว่าต้องนอนห้องเดียวกับเจ้าเดรัจฉานน้อยผู้นั้น

เสิ่นชิงชิวหัวเราะในใจอย่างสนุกสนาน หลิ่วชิงเกอถลึงตาพลางล้วงเข้าไปในอกเสื้อตน หยิบเอาของสิ่งหนึ่งออกมาโยนส่งให้ เสิ่นชิงชิวคว้าเอาไว้ได้ พอมองดูกลับเป็นพัดด้ามจิ้วเล่มเก่าของเขาที่วางไว้ในเรือนไผ่บนชิงจิ้งเฟิงนั่นเอง

เสิ่นชิงชิวคลี่ทันทีอย่างระงับใจไม่อยู่ ลมเย็นรำเพยพัด พาให้สดชื่นขึ้นมาฉับพลัน พัดเล่มนี้ซิ ถึงจะเป็นอาวุธสำหรับเก๊กของจริง เขารู้สึกว่าค่า B พุ่งกระฉูดทันควัน

เขากล่าวอย่างซึ้งใจว่า “ศิษย์น้อง นึกไม่ถึงเจ้ายังอุตส่าห์จำได้ว่าต้องเอาเจ้านี่มาให้ศิษย์พี่”

หลิ่วชิงเกอย่อมไม่ได้มาหาเพื่อเอาพัดมาให้โดยเฉพาะ เขาเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งตัวตรง แขนข้างหนึ่งวางพาดกับโต๊ะ กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

ถูกเขาแพร่เชื้อใส่ เสิ่นชิงชิวเลยอดทำท่าเป็นงานเป็นการตามไปด้วยไม่ได้ จึงยืดตัวตรงบ้าง

หลิ่วชิงเกอถามต่อ “เจ้ากับลั่วปิงเหอ ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงไม่มีทางถามเขาด้วยจิตใจของขาเผือกอยากเม้าท์แน่นอน

เสิ่นชิงชิวขบคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวตามจริงว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น พอมารู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”

หลิ่วชิงเกอถามว่า “เจ้าเชื่อว่าเขาจะกลับเนื้อกลับตัวได้จริงๆหรือ”

เสิ่นชิงชิวตอบว่า “มิใช่กลับเนื้อกลับตัว แต่ทว่าเหมือนข้าจะเข้าใจเขาผิดมาตลอด”

หลิ่วชิงเกอหัวเราะหยัน “เข้าใจผิดหรือ เขาบังคับให้เจ้าระเบิดตัวเอง ฉุดวังฮ่วนฮวาให้ตกต่ำ ปิดล้อมชางฉยงซาน เผาอารามฉยงติ่ง ทำร้ายศิษย์พี่เจ้าสำนัก ทั้งหมดนี้เป็นการเข้าใจผิดหรือ”

เมื่อได้ยินประโยคหลังสุด เสิ่นชิงชิวรีบถามทันที “ศิษย์พี่เจ้าสำนักไม่เป็นไรกระมัง คราวก่อนเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บ ศิษย์น้องมู่รักษาเขาหายแล้วใช่หรือไม่ เป็นการลงมือของลั่วปิงเหอจริงๆนะหรือ”

หลิ่วชิงเกอกล่าวด้วยความคับแค้นใจ “แล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีกเล่า เจ้ายังคิดหาข้อแก้ตัวให้เขาอีกหรือ ช่างเลอะเลือนจริงๆ”

เปล่านะ เขาไม่ได้คิดหาข้อแก้ตัวให้ลั่วปิงเหอ แต่ไม่อาจปักใจเชื่อต่างหาก ลั่วปิงเหอจะทำร้ายเยวี่ยชิงหยวนอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร

พึงรู้ว่าใน ‘เทพมารอหังการ’ ลั่วปิงเหอเคยประมือกับเยวี่ยชิงหยวนชนิดจังๆอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งเขาไม่สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบเหนือเจ้าสำนักผู้นี้ได้เลยสักครั้งเดียว ต้องใช้ประโยชน์จากเสิ่นชิงชิวตัวออริจินอลถึงสามารถทำร้ายผู้นำท่านนี้ให้ถึงแก่ความตายอย่าอเนจอนาถด้วยหมื่นศรทะลวงหัวใจ

จะว่าไปแล้วไม่ว่าในนิยายดั้งเดิมหรือในโลกนี้ เยวี่ยชิงหยวนใจดีมีเมตตาต่อเสิ่นชิงชิวผิดปกติจริงๆ ตอนอ่านหนังสือเขาก็สงสัย เป็นถึงเจ้าสำนักฝ่ายธรรมะผู้สูงส่ง ทำไมถึงได้สนิทสนมให้ท้ายผู้ร้ายเศษสวะคนหนึ่งขนาดนี้ หรือจะมีที่มาที่ไปยังไงให้ต้องขุดค้นอีก นี่จะถือเป็นหนึ่งในหลุมที่ต้องกลบด้วยไหมนะ

เขากำลังก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ แต่หลิ่วชิงเกอดันเข้าใจว่าเสิ่นชิงชิวโดนตนตำหนิจนเกิดความละอาย น้ำเสียงจึงอ่อนลง สีหน้าไม่แข็งกระด้างเท่าไหรแล้ว “ทุกคนที่สำนักก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเจ้าถึงดีต่อเขาได้ขนาดนี้”

หลิ่วชิงเกอเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย แสงเทียนจับต้องใบหน้าขาวผุดผ่องปานหิมะของเขาจนดูนุ่นนวล เขาถามด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง “หรือข่าวลือพวกนั้นจะเป็นจริงไปเสียทั้งหมด”

ที่หลงนึกไปว่าพี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่จะแค่นเสียงเยาะใส่เรื่องซุบซิบนินทาพวกนี้ ช่างเป็นความคิดที่ใสซื่อโลกสวยเกินไปจริงๆ

เสิ่นชิงชิวกำพัดด้ามจิ้วแน่น “ศิษย์น้องหลิ่วกลับไปเชื่อข่าวที่ลือกันอย่างไม่มีมูลพวกนั้นเสียแล้ว”

หลิ่วชิงเกอกลับมานั่งเหยียดตัวตรงใหม่ “ข้าไม่เชื่อ แต่เจ้าต่างหากที่ปกป้องเจ้าหมาป่าเนรคุณผู้นั้นโดยไม่ลืมหูลืมตา”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าไม่ได้หลับหูหลับตาปกป้องเขาแต่แค่ไม่อยากเข้าใจเขาผิดๆอีก”

หลิ่วชิงเกอเอ่ยเสียงชืดชา “ข้าไม่เข้าใจ ถึงอย่างไรเปลี่ยนภูเขาย้ายแม่น้ำยังง่ายกว่าเปลี่ยนนิสัยคน ลั่วปิงเหอหาใช้คนดีอะไร เจ้าต้องระวังให้จงหนัก”

พูดจบก็หมุนกายจะออกเดิน เสิ่นชิงชิวเองก็ย่อมรู้ว่าลั่วปิงเหออาจไม่ใช่คนดีใสซื่อนัก แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อาจด่วนสรุปเช่นกันว่าลั่วปิงเหอเลวไม่มีดี เลยได้แต่ปวดหัวอยู่คนเดียว หลิ่วชิงเกอจวนจะออกจากห้องอยู่แล้ว ขณะก้าวผ่านโต๊ะเล็กตัวนั้น เผอิญเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เหลือเชื่อเข้า ก็ถึงกับเหยียบเท้าพลาด

เสิ่นชิงชิวเงยหน้าขึ้น เห็นหลิ่วชิงเกอยังไม่ออกจากห้องก็ประหลาดใจ “มีอะไรหรือ”

หลิ่วชิงเกอหันกลับมามองเขาด้วยอาการคอแข็ง จากนั้นพินิจเขาขึ้นๆลงๆด้วยสีหน้าซับซ้อนราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ส่ายหน้าแล้วค่อยผลักประตูออกไป ระยะทางเพียงไม่กี่ก้าวยังเหมือนกับสะดุดธรณีประตูเข้า

ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นล่ะนี่

พอหัวถึงหมอนเสิ่นชิงชิวก็หลับเป็นตาย เช้าตรู่วันต่อมา ระหว่างที่กำลังสะลึมสะลือก็รู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้อง

คนผู้นี้ฝีเท้าเบามาก เดินไปทั่วห้อง เสิ่นชิงชิวเปิดเปลือกตาดูแวบหนึ่งพลันต้องตกตะลึง

คนที่มีอารมณ์นึกสนุกย่องเข้ามาในห้องเขาแต่เช้าตรู่ แน่นอนว่ามีแต่ลั่วปิงเหอเท่านั้น

ทว่ามิใช่ลั่วปิงเหอในยามปกติ

เขาเปลี่ยนมาสวมชุดขาวทั้งตัว ผมดำขลับของเขาใช้สายคาดสีอ่อนรวบมัดไว้อย่างเรียบร้อย วุ่นหน้าวุ่นหลังอยู่ในห้องด้วยสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ

การแต่งการและสีหน้าท่าทางเช่นนี้ช่างเหมือนกับลั่วปิงเหอเวอร์ชั่นก่อนหน้างานชุมนุมเซียนทุกประการ ภาพลักษณ์ถูกต้องตามาตรฐานของศิษย์จากสำนักมีชื่อเสียง ผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ไม่มีด่างพร้อย(ขีดทิ้ง) และยังได้ภาพลักษณ์ของสะใภ้น้อยผู้ขยันขันแข็ง ทำงานเก่ง หน้าตาดี(ขีดทิ้ง) มันช่าง…มันช่าง…

ลั่วปิงเหอหันหน้ามา พอเห็นเขากำลังจะยันกายลุกขึ้นนั่งก็ยื่นมือมา ยิ้มแป้น “ซือจุนตื่นแล้วหรือ อาหารเช้าอยู่บนโต๊ะแล้วขอรับ”

มือข้างหนึ่งของเสิ่นชิงชิวกุมหน้าผาก เขาเผลอทำตามสัญชาตญาณโดยไม่รู้ตัว โดยมืออีกข้างจับลั่วปิงเหอ แล้วลงจากเตียง

จะโทษก็ต้องโทษว่าเพราะนี่คือบริการยามเช้าตามมาตรฐานที่เขาเคยได้รับทุกวันสมัยอยู่ชิงจิ้งเฟิง ลงจากเตียง สวมเสื้อคลุม ล้างหน้าล้างตา หวีผม นั่งโต๊ะ กิน และทั้งหมดนี้แน่นอนว่าเป็นบริการด้วยใจของลั่วปิงเหอตั้งแต่ต้นจนจบ

หากเปลี่ยนฉากเป็นเรือนไผ่เขียวที่ชิงจิ้งเฟิงก็จะให้ความรู้สึกที่น่ากลัวราวกับกำลังย้อนเวลาเลยทีเดียว

ลั่วปิงเหอวิจารณ์ว่า “อาหารเช้าของโรงเตี๊ยมนี้ไม่อร่อยเอาเสียเลย ลำบากซือจุนแล้วนะขอรับ”

หากเอาฝีมือการทำอาหารของลั่วปิงเหอมาเป็นบรรทัดฐาน คำวิจารณ์นี้ก็นับว่าเป็นกลางอย่างมาก

เสิ่นชิงชิวถามว่า “อาจารย์อาของเจ้าเล่า”

ลั่วปิงเหออมยิ้ม ตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ”

สองคนนี้พอถามถึงอีกฝ่ายล้วนตอบง่ายๆสั้นๆว่า ‘ไม่รู้’ สองคำ เสิ่นชิงชิวนับว่าจับทางได้แล้ว ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ เผลอวูบเดียว ลั่วปิงเหอก็ไปเก็บเตียงให้เขาแล้วมารร้ายในคราบมนุษย์เก็บเตียงให้เขา! ภาพนี้งดงามเกินไปจนเสิ่นชิงชิวไม่กล้ามอง ไม่ทันตั้งตัวจู่ๆเสียงของลั่วปิงเหอก็ดังขึ้น “แต่ว่าในเมื่อซือจุนให้ข้าเรียกหลิ่วชิงเกอว่าอาจารย์อา เทากับว่ายังยอมรับข้าเป็นศิษย์ของชิงจิ้งเฟิงใช่ไหมขอรับ”

เหลวไหล

นายตามเรียกฉันซือจุนๆกี่ครั้งแล้วล่ะ

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ข้าเคยบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเจ้าไม่ใช่ศิษย์ข้า”

ลั่วปิงเหอพับผ้าห่มพลางกล่าว “ข้ายังนึกว่าซือจุนไล่ข้าจากสำนักโดยดุษฎีไปแล้ว แม้ข้าตามเรียกท่านว่าซือจุนมาตลอด ทว่าความจริงกลัวมากว่าจะเป็นความเพ้อฝันไปเองข้างเดียวของข้า”

…ไม่ไหวแล้ว

เสิ่นชิงชิวเอามือปิดหน้า

มีศักดิ์ศรีหน่อยได้ไหม ปิงเกอ!

นายเป็นเจ้าฮาเร็มผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยประกาศอย่างองอาจเย็นชากับสาวๆว่า ‘ผู้หญิงของข้าก็มายมายแบบนี้แหละ แล้วจะมากขึ้นเรื่อยๆ เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะทนหรือจะไป’

หนุ่มน้อยใสซื่อที่หิ้วน้ำร้อย ยกน้ำชา ซักผ้า พับผ้าห่มให้ชาวบ้านไปพลางหันหลังคุยไปพลางอย่างเขินอายนี่ตกลงแล้วมันเป็นใครกัน

หา

หรือมีใครมันมาสิงร่างนายอยู่

ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็มีโอกาสอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ เขาจิบชาคำหนึ่งและเอ่ยว่า “เจ้ามีวิธีคิดเช่นนี้ ดีมาก ในเมื่อรู้ว่าตัวเองยังเป็นศิษย์ของชิงจิ้งเฟิง เช่นนั้นนับจากนี้ไปก็ไม่อาจเสียมารยาทต่ออาจารย์ลุงอาจารย์อาทุกท่านอย่างในตอนนี้ได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกลับถึงชางฉยงซานวันนี้ ก็ไปขอขมาเรื่องที่เจ้ามาปิดล้อมบรรพตทำลายอารามอย่างจริงใจเสีย”

ขอขมาย่อมมิใช่แค่ขอขมาด้วยวาจาเท่านั้น แน่นอนว่าต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ทุบทำลายสมบัติสาธารณะเหล่านั้นด้วย นี่คือการแสดงความจริงใจขั้นต่ำสุด

ลั่วปิงเหอเก็บถ้วยชามบนโต๊ะพลางกล่าวอย่างไม่สนใจนักว่า “วันนี้ไม่ต้องกลับไปที่ชางฉยงซานแล้ว”

เสิ่นชิงชิวว่า “อืม หือ? เจ้าว่าอะไรนะ”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ข้าบอกว่าหากซือจุนอยากพบ…อาจารย์ลุง อาจารย์อา…ทุกท่าน ก็ไม่จำเป็นต้องกลับชางฉยงซาน พวกเราแค่เปลี่ยนทิศ มุ่งหน้าไปวัดเจาหัวแทนก็ได้แล้ว”

พอคำว่าวัดเจาหัวออกจากปากเขา ระบบก็โผล่มาประกาศข้อความ [ภารกิจวัดเจาหัวกำลังจะประกาศอย่างเป็นทางการ ผู้ประกาศ : ลั่วปิงเหอ โปรดทำการเลือกว่าจะรับหรือไม่]

ผู้เปิดเควสต์นี้กลับเป็นลั่วปิงเหอเองเลยทีเดียว เสิ่นชิงชิวหรี่ตา “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ลั่วปิงเหอเอ่ยว่า “ซือจุนไปแล้วย่อมทราบได้เอง ฉวยโอกาสที่หลิ่ว…อาจารย์อาหลิ่วยังไม่กลับ”

พูดยังไม่ทันจบก็มีเสียงโครม หลิ่วชิงเกอถีบประตูเข้ามา ประตูถูกถีบจนหลุดออกจากกรอบ เสิ่นชิงชิวกลับรู้สึกว่า นี่ซิ ถึงจะเป็นสไตล์การออกฉากที่ถูกต้องอย่างที่หลิ่วชิงเกอควรจะเป็น ด้วยเหตุนี้สีหน้าเขาจึงไม่เปลี่ยน

หลิ่วชิงเกอแม้แต่จะมองลั่วปิงเหอก็ยังไม่มองสักแวบ กล่าวต่อเสิ่นชิงชิว “เปลี่ยนเส้นทาง วันนี้ไม่กลับชางฉยงซาน ไปวัดเจาหัว”

เสิ่นชิงชิวลุกขึ้นยืนทันที “เกิดเรื่องขึ้นหรือ”

หลิ่วชิงเกอข่มเสียงต่ำ “เกิดเรื่องแล้ว หลังจากข่าวแพร่ไปเมื่อคืนวาน วันนี้หัวหน้าของหลายสำนักได้รับเชิญให้ไปหารือกันที่วัดเจาหัว ชางฉยงซานก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ตระกูลผู้ฝึกวิชาเซียนในเมืองนี้ออกเดินทางแล้วเมื่อครู่”

เส้นทางไปยังวัดเจาหัว ต้องไปทางเมืองจินหลัน หลายปีผ่านไปไม่รู้ว่าเมืองที่เคยค้าขายเจริญรุ่งเรือในอดีตหลังจากต้องประสบหายนะในคราวนั้น ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง หากมิใช่เพราะต้องรีบเดินทาง เสิ่นชิงชิวเป็นต้องขอเหาะฝ่าเมฆหนาไปชมดูสักเที่ยวแน่

ผ่านเมืองจินหลันไปไม่นานก็เป็นอาณาบริเวณของวัดเจาหัว วัดเก่าแก่ทรงคุณค่าและสง่างามแห่งนี้ ตั้งอยู่บนไหล่เขาอันเขียวชอุ่ม เดิมเป็นวัดโบราณที่เงียบสงัดเปลี่ยวร้างผู้คน วันนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจ ที่ไหล่เขามีคนท่องกระบี่มากันเป็นกลุ่ม เข้าๆออกๆไม่หยุด

ที่ตีนบันไดทางขึ้นวิหารใหญ่ คนสามคนหยุดยืนอยู่ด้วยกัน

หลิ่วชิงเกอกล่าวกับเสิ่นชิงชิวว่า “เจ้าตามข้าไปพบศิษย์พี่เจ้าสำนักก่อน”

เสิ่นชิงชิวกำลังจะพยักหน้า ลั่วปิงเหอก็จะเดินตามเข้าไปด้วย สถานะเขาค่อนข้างพิเศษ การปรากฏตัวในสถานการณ์เช่นนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนอยู่บ้าง เสิ่นชิงชิงจึงกล่าวว่า “เจ้าไปหลบก่อน อย่าให้เจ้าสำนักทุกคนรุมชี้หน้าเจ้าได้”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “อยากชี้ก็ชี้ไป ข้าต้องติดตามซือจุนของข้าซิ”

ดื้อไม่ฟังอีกแล้ว ขืนปล่อยให้ตามไปจริงๆ เกิดมีคนจำได้ขึ้นมา จะต้องเกิดปัญหาไม่พึงประสงค์หลายอย่างแน่ เสิ่นชิงชิวกล่าว “ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าเข้าไปก่อน เดี๋ยวข้าจะตามไป”

หลิ่วชิงเกอมองพวกเขาด้วยสายตาเยียบเย็น พลิ้วกายขึ้นบันไดไปรวมกลุ่มกับทางชางฉยงซานก่อน

ขอเพียงลั่วปิงเหอจงใจเก็บงำลักษณะท่าทาง ปรับสีหน้าก็สามารถทำให้ตัวเองดูเหมือนคนไม่มีพิษมีภัย ปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่คลาคล่ำได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดูเป็นชายหนุ่มทั่วไปที่หน้าตาดีเป็นพิเศษเลยยากที่จะไม่สะดุดตาผู้คนอยู่ดี แต่สำหรับเสิ่นชิงชิวนอกจากเคยปรากฎโฉมแบบไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่ที่เมืองจินหลันครั้งหนึ่งก็ถูกฝังลืมมาหลายปี โอกาสที่ใครจะจำได้ยิ่งน้อย

ด้านนอกวิหารใหญ่และลานวัดรายล้อมไปด้วยกำแพงมนุษย์ชั้นแล้วชั้นเล่า หากเป็นเมื่อก่อนพวกที่เชิดหยิ่งและกร่างที่สุดย่อมเป็นศิษย์วังฮ่วนฮวา แต่เวลานี้วังฮ่วนฮวากลายเป็นสำนักมารในสายตาของผู้คนไปแล้ว ย่อมถูกตัดออกจากสารบบโดยดุษณี แน่นอนว่าไม่ได้รับเชิญ เลยไม่มีมาให้เห็นหน้าสักคนเดียว

ผู้ที่รับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในวิหารใหญ่เป็นพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปของวัดเจาหัว อู๋เฉินต้าซือก็ยืนอยู่ในบรรดานั้นเช่นกัน

เสิ่นชิงชิวพินิจพิจารณาจึงพบว่าขาทั้งสองข้างของท่านจากน่องลงไปเป็นขาปลอมทำจากไม้ จึงสามารถยืนและเดินเหินได้เป็นปกติ

สำนักชางฉยงซานนำโดยเยวี่ยชิงหยวนนั่งอย่างสำรวมอยู่ด้านข้างของวิหารใหญ่ หลิ่วชิงเกอเพิ่งไปยืนอยู่ด้านหลังเขา โน้มตัวไปกระซิบสองสามประโยค สีหน้าเยวี่ยชิงหยวนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ

ด้านข้างของอู๋เฉินต้าซือก็คืออู๋วั่งต้าซือ ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดเจาหัว ผู้อาวุโสท่านนี้คิ้วขาวโพลน สองมือประนมเข้าหากัน เสียงทุ้มของท่านกังวานไปทั่ววิหารใหญ่ ชัดถ้อยชัดคำ

“อาตมาขอสอบถามหน่อยเถิด ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ เมื่อคืนก่อนมีกี่ท่านที่ฝันเหมือนกัน”

ฝันหรือ

เขารู้ดีโดยไม่ต้องให้ใครมาบอก เป็นผลงานของลั่วปิงเหอตัวดีแน่

มีเสียงกระซิบแผ่วเบาจากด้านหลังของเสิ่นชิงชิวว่า “ซือจุนมิใช่กลัดกลุ้มว่าไม่มี ‘หลักฐาน’ หรอกหรือ เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอีกต่อไปแล้วกระมัง”

มิน่าล่ะตอนนั้นลั่วปิงเหอถึงหลับสนิทไปบนกระบี่ซิวหย่าพักหนึ่ง เสิ่นชิงชิวยังเข้าใจว่าเป็นเพราะเขาหมดเรี่ยวแรง ที่แท้กลับเป็นเพราะเวลานั้นเขาใช้วิชาสร้างฝันอยู่นั่นเอง

ในดวงตาของลั่วปิงเหอเต็มไปด้วยคำว่า ‘ขอคำชมหน่อย!’ ‘ซือจุนลูบหัวหน่อย!’

แต่เสิ่นชิงชิวกลับเริ่มปวดหัวขึ้นมาแล้ว ตกลงว่าลั่วปิงเหอสร้างห้วงฝันแบบไหนให้พวกเขาดูกันแน่ ถึงขนาดทำให้ผู้คนมากมายปานนี้เร่งเดินทางมาหารือกันที่วัดเจาหัวได้

เขาไม่จำเป็นต้องถาม เพราะมีคนใจร้อนขึ้นมาเสียก่อน “จะมีใครเล่ามาสักประโยคได้หรือไม่ ตกลงเป็นฝันแบบไหนกันแน่”

คนผู้นี้ดูคุ้นหน้าเป็นอันมาก เสิ่นชิงชิวขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกออกโดยพลัน นี่มัน อะไรจงๆน้า ที่เมืองฮวาเยวี่ยผู้นั้น อ้อ ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักป้าซี่จงไงล่ะ

อู๋เฉินต้าซือกล่าวอย่างเกรงใจ “ขอถามเจ้าสำนักท่านนี้ พลังฝึกปรือของท่าน?”

คนผู้นั้นตอบว่า “จินตันขั้นสูง”

พระชั้นผู้ใหญ่าสองท่านสบตากัน คนไม่น้อยกระแอมเบาๆ

ท่ามกลางความงุนงงสักพักหนึ่งอู๋เฉินต้าซือก็พอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว “เช่นนั้น…ก็ประหลาดแล้ว ในวัดอาตนา ทุกท่านที่ระดับจินตันขึ้นไปล้วนฝันเห็นเหมือนกันหมด…”

นี่บอกเป็นนัยว่าหากเขาเป็นจินดันขั้นสูงจริงก็น่าจะฝันเห็นเช่นนี้ด้วย…”

ผู้ที่อยู่ด้านล่างทยอยกันขานรับ “ถูกต้อง สำนักข้าผู้ที่ต่ำกว่าจินตันลงไปเมื่อคืนล้วนหลับสนิทไร้เรื่องราว”

โกหกเรื่องพลังฝึกปรือต่อหน้าธารกำนัล แล้วยังมาถูกเปิดโปงซึ่งๆหน้า เท่ากับยกหินจะทุ่มชาวบ้านแต่ดันทำตกใส่เท้าตัวเองชัดๆ

เสิ่นชิงชิวจุดเทียนไว้อาลัยให้พี่ชายผู้นี้อยู่ในใจที่หลายปีมานี้ไม่ก้าวหน้าขึ้นเลยสักนิด

แต่พี่ชายผู้นี้ถึงแม้หลายปีที่ฝ่านมาพลังฝึกปรือไม่ขยับขึ้นมาเท่าไหร่ ความหนาของหนังหน้ากลับเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย เลยไม่รู้สึกละอายกล่าวเสียงดังว่า “ทุกอย่างย่อมต้องมีข้อยกเว้นทั้งนั้น บอกมาไม่ดีกว่าหรือว่าตกลงฝันอะไรกันแน่”

ป้ซี่จง(สำนักเหิมหาญ) ชื่อที่แฝงไว้ด้วยความเหิมหาญขนาดนี้ ซิวซือที่บรรลุถึงระดับจินตันสักคนก็ไม่มี ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่ต้องเที่ยวถามเอากับฝูงชนแล้ว ดูท่าแล้วคนผู้นี้คงไม่ได้รับคำเชิญให้มาหารือด้วยแน่ หากแต่มาเพื่อชมความครึกครื้นสนุกสนานและหาพื้นที่ออกสื่อให้ตัวเองล้วนๆ

อู๋วั่งขมวดคิ้ว อู๋เฉินต้าซือกลับใจดีกว่า เล่าคร่าวๆอย่างอดทนว่า “เนื้อหาในห้วงฝันก็คือ เทียนหลางจวินที่ถูกสะกดไว้ใต้บรรพตน้ำค้างขาวสร้างกายเนื้อขึ้นมาใหม่ เริ่มก่อมรสุมโลหิตแล้ว…”

อู๋เฉินต้าซือใช้ถ้อยคำสละสลวย แต่มีการตัดทอนเนื้อหาออกไป ด้วยนิสัยของลั่วปิงเหอ คำว่า ‘มรสุมโลหิต’ ต้องไม่ใช่แค่ตีๆฆ่าเรียบง่ายปานนั้นแน่ ท่านคงละเว้นพวกฉากที่ลั่วปิงเหอจัดให้แบบซาดิสม์รุนแรงไปไม่น้อยทีเดียว

อู๋วั่งกล่าวว่า “คนสองคนฝันเห็นเรื่องเดียวกันก็นับได้ว่าแปลกแล้ว คนหลายร้อยคนฝันเหมือนกันในเวลาเดียวกัน กระทั่งคำว่ามหัศจรรย์ก็ไม่อาจเอามาใช้อธิบายได้ อีกทั้งฝันนี้หาใช่ฝันธรรมดาสามัญ มีความเหมือนจริงอย่างยิ่งยวด หลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว ถึงขนาดรู้สึกว่าโลกแห่งความเป็นจริงยังไม่จริงแท้เท่าฝันนี้เลย”

ซิวซือที่ระดับจินตันขึ้นไปซึ่งอยู่ที่นี่ล้วนมีความรู้สึกร่วมกัน คือนึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ ต่างผงกศีรษะ มีคนกล่าวอย่างกังขาว่า “เทียนหลางจวินผู้นี้ เพราะเหตุใดถึงถูกสะกดไว้ใต้ภูเขาได้เล่า หากเขาน่ากลัวปานนั้นจริง จะถูกสะกดไว้แต่แรกได้อย่างไร”

อู๋เฉินต้าซือทอดถอนใจ “จะว่าไปแล้วนี่ก็คือบาปกรรมอย่างหนึ่ง หากวันนี้กงจู่วังฮ่วนฮวาอยู่ที่นี่ด้วย ไม่รู้จะทอดถอนใจปานไหน”

มีเสียงผู้หญิงกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “กงจู่วังฮ่วนฮวาหรือ เกี่ยวอะไรกับลั่วปิงเหอหรือเจ้าคะ”

เสียงนี้นุ่มนวลอ่อนโยน หวานใสราวกับนกหงส์หยก

เสิ่นชิงชิวได้ฟังก็เบิกตามอง ผู้พูดคือหนึ่งในนักพรตหญิงคนงามผู้อ้อนแอ้นอรชรของอารามเทียนอีนั่นเอง

จะเป็นคนไหนเสิ่นชิงชิวก็บอกไม่ได้ เพราะมีนักพรตหญิงสามคนที่ไม่ว่าจะดูจากเสื้อผ้าหน้าตาช่างเหมือนกันราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน เมื่อยืนด้วยกันก็เหมือนบุปผาสีน้ำเงินที่สวยสดใสสามดอกกระทั่งสีหน้าท่าทางก็ยังตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเหมือนๆกัน

ถูกต้อง ตื่นเต้นจริงๆนั่นแหละ

แฝดสามศรีพี่น้องจากฮาเร็มของปิงเกอในนิยายดั้งเดิมน่ะเอง นานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้เจอสมาชิกชาวฮาเร็ม

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เสิ่นชิงชิวจะต้องตื่นเต้นเป็นการใหญ่ จากนั้นทางหนึ่งจะคิดว่าพระเอกจะสยบน้องๆเหล่านี้ยังไง อีกทางก็แขวะเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีไปด้วย แต่ว่าตอนนี้…

เสียงของลั่วปิงเหอต่ำจัด กลิ่นน้ำส้มโชยไปไกลนับสิบลี้ “ซือจุนสวยหรือขอรับ”

(กลิ่นน้ำส้มโชย หมายถึง ออกอาการหึงหวง)

เฮ้อ อย่าไปพูดเลย

เสิ่นชิงชิวเก็บสายตากลับคืนมา ตอนนี้เนื้อเรื่องเปลี่ยนจนเละตุ้มเป๊ะไปหมดแล้ว

นักพรตหญิงสามคนนั้นไม่ได้กลายเป็นภาชนะในการโอนถ่ายพลังของลั่วปิงเหอ เวลานี้ไม่น่าจะรู้จักลั่วปิงเหอด้วยซ้ำ แต่ยังคงแสดงความสนใจข่าวคราวที่เกี่ยวกับเขาอยู่ เสิ่นชิงชิวเหมาเอาว่าที่พวกนางแสดงความสนใจออกนอกหน้าเป็นเพราะความรักที่แตกหน่อในหัวใจ พลังฮอร์โมนเพศชายของลั่วปิงเหอ ช่างฮึกเหิมองอาจเต็มสิบจริงๆ

อู๋วั่งต้าซืออธิบาย “อมิตาพุทธ กงจู่ที่พูดถึงนี้หมายถึงกงจู่เฒ่าคนก่อน ลั่วปิงเหอเพียงอาศัยวิธีการอันต่ำช้าแย่งชิงตำแหน่งมา ไหนเลยจะมีความชอบธรรมเป็นกงจู่ที่ผู้คนยอมรับนับถือได้”

ลั่วปิงเหอเลิกคิ้ว เหยียดมุมปากอย่างรังเกียจ

อู๋วั่งต้าซือเล่าต่อ “ทว่าความเป็นมาของเขาก็เกี่ยวพันกับวังฮ่วนฮวาอย่างสลัดไม่หลุด หลายสิบปีก่อนมีศิษย์ในสังกัดของกงจู่เฒ่าผู้หนึ่ง นามว่าซูซีเหยียน…”

เสิ่นชิงชิวตื่นตัวขึ้นมาทันที นี่คือจังหวะในการเผยภูมิหลังอันเป็นปริศนาของลั่วปิงเหอเลยทีเดียว

“ศิษย์สตรีผู้นี้พรสวรรค์เกินใคร ฉลาดหลักแหลม การกระทำเด็ดขาด กงจู่เฒ่าให้ความรักความเอ็นดูเป็นอย่างยิ่งราวกับแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าไปที่ไหนมักให้ซูซีเหยียนติดตามรับใช้ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด ต่างเป็นที่รู้กันทั่วสำนักว่านางคือผู้สืบทอดคนต่อไป”

เสิ่นชิงชิวนึกไปถึงท่าทางน้ำลายหก ตาเยิ้มของกงจู่เฒ่าในสุสานศักดิ์สิทธิ์แล้วก็นึกว่า เกรงว่าคงไม่ได้เห็นเป็นแก้วตาดวงใจหรอก แต่เป็นสมบัติส่วนตัวถึงจะถูกละมั้ง

ผู้คนในวิหารใหญ่พากันเงียบกริบ มีแต่เสียงของอู๋วั่งต้าซือแต่เพียงผู้เดียวก้องกังวาน

“ครั้งหนึ่งกงจู่เฒ่ากับซูซีเหยียนไปปราบปีศาจร้ายตามคำเชิญ ขากลับผ่านเมืองโบราณทางใต้ของแม่น้ำลั่วแห่งหนึ่งที่มีปีศาจอาละวาด ผู้คนในเมืองแถวนั้นเหลืออยู่ไม่มากนัก แต่ระหว่างซูซีเหยียนออกตรวจสอบกับพบเข้ากับชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินทางเข้าๆออกๆตามลำพังคนเดียว

ชายหนุ่มผู้นั้นกิริยาท่าทางไม่ธรรมดาสามัญ เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นของชั้นหนึ่ง นั่งขับขานบทเพลงอยู่ใต้ต้นหลิว บุคคลเช่นนี้ปรากฎกายขึ้นในเวลาไม่ควรปรากฏ ซูซีเหยียนเอะใจแต่แรก หลังจากถามตอบกันไปมาอยู่สองสามประโยค ก็ได้ข้อสรุปว่าคนผู้นี้แปลกประหลาดผิดผู้คนทั่วไป

เสิ่นชิงชิวฟังเพลิน

เทียนหลางจวินช่างเป็นคนหนุ่มที่มีหัวใจกวี ชื่นชอบบทเพลงและโคลงกลอนของมนุษย์มาตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆ ชายหนุ่มหัวใจกวีแบบไหนถึงจะน่ากลัวที่สุดล่ะ รูปหล่อแถมยังดูดีมีการศึกษา ละครต่อจากนั้นจึงเดาเนื้อเรื่องง่ายมาก ขอเพียงร้องเพลงได้ไม่ทำร้ายหูท่านผู้ชมเกินไปนัก รักแรกพบก็ย่อมเกิดขึ้นได้

แต่คิดไม่ถึงว่าเนื้อเรื่องต่อจากนั้นจะหักมุมชนิดตบหน้าคนดูผัวะๆ

ซูซีเหยียนไปแจ้งแก่ซือจุนทันที

กงจู่เฒ่ายิ่งคิดก็ยิ่งระแวว ทั้งเห็นชายหนุ่มผู้นั้นค่อนข้างชื่นชมในตัวซูซีเหยียน ซ้ำยังพูดคุยถูกคอ จึงดำเนินแผนการสั่งให้นางทำเป็นเข้าหาอีกฝ่าย สืบเสาะเบื้องหลังให้ละเอียด

ซูซีเหยียนคล่องแคล่วหัวไว เลยสืบเสาะออกมาได้อย่างไม่ยากเย็น สุภาพบุรุษผู้นี้กลับเป็นเทียนหลางจวิน เจ้าผู้ปกครองเผ่ามารในขณะนั้น และเป็นผู้รวบรวมดินแดนเหนือใต้ของภพมารเข้าไว้ด้วยกัน

ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นเรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว ไม่นึกว่าแท้จริงเป็นเรื่องของความแตกต่างระหว่างเซียนกับมาร

นี่ไม่ใช่เรื่องของราชาปีศาจผู้คลุ้มคลั่งมาเจอเข้ากับสาวน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างในละครโทรทัศน์เกร่อๆที่หาชมกันได้ทั่วไป แต่เป็นราชามารผู้ซึ่งออกมาท่องเที่ยวโลกมนุษย์เป็นครั้งแรกจึงยังไม่รู้ซึ้งถึงอันตรายของจิตใจมนุษย์ ปะทะ ดอกป้าหวางฮวา แห่งสำนักฝ่ายธรรมะชั้นนำที่เจ้าแผนการ เลือดเย็น จิตใจอำมหิต

(ดอกป้าหวางฮวา คือ พืชอยู่ในวงศ์เดียวกับต้นแก้วมังกร มักใช้อุปมาผู้หญิงที่มีลักษณะเหมือนฌ้อปาอ๋อง คืออำมหิตเอาแต่ใจ)

เสิ่นชิงชิวเข้าใจในที่สุด ตอนพูดถึงซูซีเหยียน ความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของเทียนหลางจวินว่า ‘เย็นชาไร้หัวใจ’ นั้นหมายถึงอะไร

“กงจู่เฒ่าทางหนึ่งให้ซูซีเหยียนแสร้งตีสนิทเทียนหลางจวิน อีกทางก็ส่งคนคอยลอบตามดูเขา ไม่คาดว่าศิษย์ที่ส่งไปล้วนถึงสลัดหลุดหมดเกลี้ยง กงจู่เฒ่าจึงได้แต่ออกโรงเอง มิไยว่าต้องลำบากแสนสาหัสเพียงไร

ในที่สุดก็สืบจนทราบว่าเหตุใดเขาถึงไม่ยอมจากภพมนุษย์ไปเสียที มีวันหนึ่งซูซีเหยียนกับเทียนหลางจวินนัดพบกันที่บรรพตน้ำค้างขาว อิงแอบกันอยู่บนหัวของงูใหญ่ยักษ์เกล็ดเขียวตัวหนึ่ง กระซิบกระซาบกันเสียงเบา”

งูยักษ์เกล็ดเขียวตัวนี้ หากเดาไม่ผิดก็คือจู๋จือหลางนั่นเอง คิดยังไงก็มีแต่จู๋จือหลางเท่านั้น ไม่ว่าจะในฐานะหลานชายหรือว่าลูกน้อง ตอนจึบกันดันถูกเอาไปเป็นเบาะรองนั่ง ฟังอีท่าไหนก็รู้สึกว่าจู๋จือหลางนี่น่าสงสารจริงๆ

“กงจู่เฒ่าเกรงจะทำให้เทียนหลางจวินรู้ตัวเลยไม่เข้าไปใกล้ ได้ยินที่พวกเขาสนทนากันเพียงแว่วๆ เขาได้ยินแต่เสียงซูซีเหยียนคุยปะเหลาะเลียบๆเคียงๆ ถามเสียจนเทียนหลางจวินลืมตัวไปชั่วขณะ เล่าออกมาโดยไม่ตั้งใจถึงวัตถุประสงค์ที่ลอบเข้าภพมนุษย์ ซึ่งก็คือเอาเลือดล้างโลกของผู้ฝึกวิถีพรตวิชาเซียน ยึดสมบัติวิเศษของทุกสำนักไปให้เกลี้ยง เป็นการแสดงอานุภาพของเผ่ามาร!”

พอได้ฟังประโยคสุดท้าย ผู้คนพร้อมใจกันสุดลมหายใจเฮือกใหญ่ ด้วยความหวาดผวา แต่เสิ่นชิงชิวกลับสะอึก

ว่ากันตามจริงเนื้อหาที่ทำให้ดูเป็นตัวละครผู้มีวงจรสมองตามมาตรฐานบอสทั่วไปพรรค์นี้ ไม่เข้ากับสไตล์ของเทียนหลางจวินอย่างแรง คิดยังไงเขาก็ไม่เหมือนตัวละครที่จะกล่าวคำพูดโอหังประเภทมีแผนการยิ่งใหญ่ผนึกรวมภพอะไรพวกนั้นเลย

ยิ่งกว่านั้นในฐานะที่เป็นผู้นำสูงสุด เทียนหลางจวินจะเข้าๆออกๆ สุสานศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามารตามอำเภอใจยังไงก็ได้ สมบัติอันที่อยู่ในนั้นเอามาใช้ยังไงก็ไม่หมดไม่สิ้น ว่างๆไม่มีอะไรทำยังสามารถเอามาวางกองกับพื้นเล่นเกมโยนห่วงได้ด้วยซ้ำ ใครจะไปสนใจสมบัติวิเศษของทั้งสี่สำนักกัน

เรื่องที่นำมาถ่ายทอดนี้ เสิ่นชิงชิวฟังแล้วพบจุดที่น่าสงสัยมากมาย อู๋วั่งต้าซือกลับกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบกาวกับเครื่องบันทึกเสียง “พอทราบเรื่องนี้กงจู่เฒ่าก็ลอบส่งข่าวให้ผู้นำสำนักที่มีชื่อเสียงทราบทันที ทุกเดือนเทียนหลางจวินจะนัดพบกับซูซีเหยียนเดือนละสองครั้งที่บรรพตน้ำค้างขาว ทุกสำนักตกลงกันว่าครั้งต่อไปที่คนทั้งสองพบปะกัน จะรวมกำลังกันไปล้อมปราบเทียนหลางจวิน

สำหรับเรื่องราวหลังจากนั้นก็เป็นการศึกที่บรรพตน้ำค้างขาวแล้วสถานการณ์ในวันนั้น ขอให้เจ้าสำนักเยวี่ยนซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยเป็นผู้ถ่ายทอดจะดีกว่า”

เยวี่ยชิงหยวนแสดงความคำนับ ก่อนเล่าว่า “การศึกครั้งนั้นความจริงแล้วไม่มีอะไรให้เล่ามากนัก เทียนหลางจวินคาดไม่ถึงว่าเมื่อมาแล้วกลับไม่ได้พบซูซีเหยียน แต่เป็นผู้ที่มารอล้อมปราบ ข้างกายมีเพียงขุนพลเผ่ามารผู้เดียว ชื่อว่าจู๋จือหลาง เพราะตกอยู่ในวงล้อมจึงได้เพลี่ยงพล้ำถูกจับ”

แบบนี้เรียกว่าเป็นชัยชนะที่ไม่ต้องรบยังได้ เยวี่ยนชิงหยวนบอกเล่าอย่างเรียบๆ ไม่มีการปิดบังหรือเสริมแต่งใดๆทั้งสิ้น หลายคนในที่นั้นมีไม่น้อยได้ฟังพวกอาจารย์และผู้อาวุโสโม้เรื่องศึกที่บรรพตน้ำค้างขาวมาตั้งแต่เด็กจนโต พอได้มาฟังฉบับของจริงไม่มีการตัดต่อ บ้างก็กระอักกระอ่วน บ้างก็ขุ่นเคือง

เยวี่ยชิงหยวนเสิรม “จู๋จือหลางเอาตัวเข้าปกป้องผู้เป็นนายถูกศาสตราวุธวิเศษของซือจุนข้าไปเต็มๆ คืนร่างกลับเป็นครึ่งงู หนีรอดไปได้ ส่วนเทียนหลางจวินก็ถูกสะกดไว้ใต้บรรพตน้ำค้างขาว”

ที่แท้ร่างของจู๋จือหลางที่เขาพบที่ถ้ำหญ้าน้ำค้างคราวนั้นเป็นร่างที่ถูกเจ้ายอดเขาฉยงติ่งเฟิงรุ่นก่อนใช้สายฟ้าฟาดใส่จนมีสภาพเช่นนั้น ดูจากวงจรสมองที่แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน นิดหน่อยเป็นต้องเอาคืนแล้ว…เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันจะมีเวลาคิดต่อ ระบบก็โผล่มาแจ้งข้อความปี๊บๆ

[โปรดรับภารกิจ! โปรดช่วย ‘ลั่วปิงเหอ’ ดำเนินเนื้อเรื่องย่อยตอน ‘วัดเจาหัว’ ให้สำเร็จ เป้าหมายคือ ค่า ‘ภาพลักษณ์เชิงบวก’ จะต้องเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 200 คะแนน]

ค่า ‘ภาพลักษณ์เชิงบวก’ เหรอ

เสิ่นชิงชิวเก็ททันที ในที่สุดก็นึกเนื้อเรื่องของวัดเจาหัวในนิยายออก

ตรงนี้ต้องขอพูดถึงจิ่วจ้งจวิน พ่อของซาหัวหลิงก่อน ผู้สูงศักดิ์แห่งเผ่ามารที่แสนจะดวงซวยผู้นี้ หลังจากถูกลูกสาวตัวเองเห็นขี้ดีกว่าไส้ทำให้เสียเขตปกครองไป ระหว่างที่ระหกระเหินอยู่แดนใต้ เลยไปรวมหัวกับพวกปลายแถวหวังกลับมาทวงความเป็นใหญ่ และตามหาตัวลั่วปิงเหอเพื่อแก้แค้น แต่เมื่อเจอกับรัศมีร่างทองคำที่ไม่มีวันบุบสลายของพระเอก ชีวิตนี้ก็อย่างได้หวังว่าจะบรรลุเป้าหมายอันงดงามทั้งสองอย่างนั้นเลย

แผนการของจิ่วจ้งจวินต้องประสบกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจย่อมฮึดฮัดฟึดฟัด พอฮึดฮัดฟึดฟัดแล้วทำอย่างไร

ก็ต้องไปกาคนอื่นมาระบายความโกรธ

ดังนั้น ‘คนอื่น’ ที่เขาไปหาก็คือวัดเจาหัว…

พฤติกรรมนี้ช่างเหมือนกับเอาเรื่องซาหัวหลิงบุกฉยงติ่งเฟิงมาเล่าใหม่เลย ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเหมือนกันเป๊ะ รนหาที่ตายแท้ๆ ตอนเสิ่นหยวนอ่านนิยายยังด่าอยู่เลย แม่งสมกับเป็นพ่อลูกกันจริงๆ แผนใหม่เอี่ยมที่วงจรสมองคิดได้ถึงมีแต่ความกากเหมือนกัน

ในนิยายดั้งเดิมเนื่องด้วยจิ่วจ้งจวินส่งทหารสวะๆ ขโยงหนึ่งมาสร้างความรำคาญให้ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกวัดเจาหัว สาเหตุที่วัดเจาหัวจัดงานชุมนุมไม่ใช่เพื่อรับมือกับเทียนหลางจวิน หากแต่เพื่อจัดการพวกเผ่ามารที่อยากหาพื้นที่ออกสื่อให้ตัวเอง

ทว่าวัตถุประสงค์ในการประชุมจะเป็นอะไรนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือวัดเจาหัวจะเป็นเนื้อเรื่องที่ทำให้ค่าภาพลักษณ์ในเชิงบวกของลั่วปิงเหอเพิ่มสูงขึ้น

เผ่ามารในสังกัดของจิ่วจ้งจวินปะปนเข้ามาอยู่ท่ามกลางฝูงชน รอจังหวะลุกขึ้นก่อการ หมาย ‘ให้ลาหัวโล้นพวกนี้รู้ฤทธิ์เดชเสียบ้าง’ (คัดจากนิยายดั้งเดิม) แต่พวกเขาก่อเรื่องได้ไม่กี่วิก็ถูกลั่วปิงเหอเหยียบมิดอย่างสวยงามและอาจหาญ เปิดตัวแบบนี้ภาพลักษณ์เชิงบวกย่อมขยับขึ้นมาได้เล็กน้อย อย่างน้อยก็สามารถเปลี่ยนจาก ‘โหดเหี้ยมอำมหิต’ เป็น ‘กึ่งธรรมะกึ่งอธรรม’

เสิ่นชิงชิวนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ จริงดังคาด เขาพบว่าในฝูงชนมี ‘คน’ กลุ่มหนึ่งท่าทางส่อพิรุธ ดีมาก ตัวประกอบก็เตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ

สามนักพรตหญิงคนงาม เดิมก็เป็นตัวละครสำคัญในฉากนี้เช่นกัน มีชาวฮาเร็มคอยตีขนาบประสานกันทั้งนอกและใน สัมฤทธิ์ผลในการยกระดับภาพลักษณ์ก็ย่อมสูง แต่ว่าตอนนี้พวกนางกลายเป็นแค่ขามุงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงนี่ซิ

สรุปแล้วเอาบทของตัวละครหญิงมาให้เขาเล่นซินะ

อู๋วั่งกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในห้วงฝันนั้นเทียนหลางจวินอาศัยร่างที่ได้มาใหม่กวาดล้างภพมนุษย์จนนองเลือดถึงขั้นเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า อาตมาเข้าใจว่านี่ถือเป็นการสำแดงพลังของเขาให้พวกเราได้รู้ และยังเป็นนิมิตบอกว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นเรื่องการศึกที่บรรพตน้ำค้างขาว”

มีคนเอ่ยว่า “ในเมื่อเทียนหลางจวินกายเนื้อดั้งเดิมเสียหายไปแล้ว ต่อให้เขาอยากแก้แค้นก็คงไม่น่ากลัวหรอกกระมัง”

อู๋วังเตือนว่า “ห้ามดูเบาเทียนหลางจวินเด็ดขาด เขาเป็นผู้สืบสายโลหิตมารฟ้าที่ได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุดในเผ่ามาร แข็งแกร่งไร้เทียมทานกว่าผู้ใดในอดีต อีกทั้งผู้ช่วยเขานอกจากจู๋จือหลางผู้จงรักภักดีทั้งเก่งกล้าสามารถและกลับมามีร่างกายปกติแล้ว เขายังมีลูกชายอีกคนหนึ่งด้วย”

ทุกคนตกตะลึงไปตามๆกัน กระซิบกระซาบกันเป็นการใหญ่ “ซูซีเหยียนมีลูกกับเขาหรือนี่”

“เป็นผู้ใด”

“นางมิใช่ได้รับคำสั่งให้ทำเป็นประจบเอาใจเทียนหลางจวินเท่านั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร”

บางคนเจาะจงกว่าคนอื่นหน่อย คิดไปถึงเรื่องการสืบพันธุ์ข้ามสปีชีส์เลยทีเดียว “คนกับมารมีลูกด้วยกันได้จริงหรือ”

“ร่างกายไม่แตกต่างก็น่าจะเป็นไปได้กระมัง”

อู๋วั่งกล่าวว่า “แม้ซูซีเหยียนเข้าใกล้เทียนหลางจวินตามคำสั่งอาจารย์ แต่หากไม่ใช้ตัวเองเข้าล่อจะทำให้เขาเชื่อใจได้อย่างไร อาตมาคิดว่าตอนแรกนางก็คงจำกัดขอบเขตอยู่ ทว่าเผ่ามารเชี่ยวชาญวิชาล่อลวงจิตใจผู้คน ยากป้องกัน หากไม่ระวังก็จะพลาดพลั้งร่วงลงไปในหลุมพรางของมารตนนั้นจนต้องเสียใจไปตลอดกาล ตอนที่วางแผนล้อมปราบนางก็ตั้งครรภ์เสียแล้ว ส่วนลูกของพวกเขาสองคน ทุกท่านล้วนรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือลั่วปิงเหอผู้ยึดครองวังฮ่วนฮวานั่นเอง”

พอเล่าเรื่องนี้ออกมา เสียงกระซิบกระซาบในวิหารใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นเสียงขนาดยักษ์ในชั่วพริบตา

เสิ่นชิงิชวแอบมองลั่วปิงเหออย่างอดใจไม่อยู่

ตอนแรกลั่วปิงเหอฟังๆไปก็ยังมีแก่ใจยิ้มเยาะขบขันอยู่เลย แต่ยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งกระด้างขึ้น เวลานี้รอยยิ้มหายหมดสิ้นไม่เหลือ หน้าออกจะดูซีดๆอยู่บ้าง มีเพียงสองตาที่แผ่ประกายเย็นยะเยือกประดุจโลกน้ำแข็ง

เยวี่ยชิงหยวนใช้ข้อนิ้วไล้ด้ามกระบี่เสวียนซู่ช้าๆกล่าวว่า “ข้ามีวาสนาเคยได้พบผู้อาวุโสซูซีเหยียนครั้งหนึ่งในงานชุมนุมเซียนเมื่อหลายปีก่อน ลั่วปิงเหอหน้าตาเหมือนท่านแม่ของเขาถึงเจ็ดส่วน ข้ายังนึกว่าเป็นแค่ความบังเอิญ อย่างไรเสียบนโลกนี้ย่อมมีคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย แต่ในเมื่อเขามีสายเลือดมารฟ้าอยู่ในกายครึ่งหนึ่ง ก็ยากจะบอกว่าเป็นความบังเอิญแล้ว”

ชายหนุ่มของสำนักป่าซี่จงผู้นั้นพูดสอดขึ้นอีกครั้งว่า “หากนางไม่เต็มใจก็ไม่อาจตำหนินาง แต่ในเมื่อรู้ว่าเป็นลูกของเผ่ามารกลับยังปล่อยให้เขาเกิดมาอีกหรือ”

มีคนพยักพเยิดตามทันที “ถูกต้อง ไม่ปล่อยให้คลอดออกมาเสียอย่างแล้วจะมีลั่วปิงเหอได้อย่างไร ซูซีเหยียนทำไมม่ทำแท้งเจ้ามารหัวขนตนนี้ไปเสีย”

ช่างน่าละอายนัก น่าละอายจริงแท้! มิน่าเล่าถึงไม่เคยได้ยินใครเอ่ยชื่อซูซีเหยียนผู้นี้เลย เกิดเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ขึ้นก็ต้องปิดบังเอาไว้อยู่แล้ว หากสำนักข้ามีคนทำผิดเช่นนี้ ถ้าไม่ฆ่าตัวตายไปเสียเดี๋ยวนั้น คงรู้สึกผิดต่อศิษย์ร่วมสำนักยิ่งนัก”

ได้ฟังเช่นนี้อู๋เฉินต้าซือทำท่าเหมือนจะพูดแต่กลับหยุดเอาไว้ เขาส่ายหน้าน้อยๆสุดท้ายก็กล่าวว่า “ความจริงเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของสตรี อีกทั้งสีกาซูก็สิ้นชีวิตไปแล้ว หากมิใช่เป็นสถานการณ์ผิดธรรมดาที่ไม่อาจปิดบังไว้อีกต่อไป เรื่องนี้จะไม่มีทางเปิดเผยออกมาเด็ดขาด สายเลือดเผ่ามารแข็งแกร่ง ทารกในครรภ์เชื่อมโยมกับชะตาชีวิตของมารดา การทำแท้งเวลานั้นอันตรายมาก สีกาซูหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรียอมรับเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งไม่อาจทนรับสายตาของผู้อื่น กงจู่เฒ่าจึงให้นางดื่มยาชุดหนึ่งเพื่อทำลายเลือดของเผ่ามาร หลังจากดื่มยาแล้วนางก็ออกจากวังฮ่วนฮวาไป นับแต่นั้นไม่มีข่าวคราวอีกเลย…พระพุทธองค์ทรงเมตตา ทุกท่านยังคงกล่าววาจาให้น้อยหน่อยเถิด”

ลั่วปิงเหอสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่นิ้วมือกลับเหยียดออกแล้วงอเข้าสองสามทีโดยไม่รู้ตัว

มีคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้พวกเขาสองคนกล่าวพึมพำว่า “ชู้รักที่ได้เสียกันก็แตกหักไม่มองหน้า เลือดในอุทรยังตัดใจทิ้งได้ไม่เหลือเยื่อใย หญิงผู้นี้ช่างเลือดเย็นและอำมหิตจริงๆ”

“ถูกต้อง หากโชคดีกว่านี้ไม่ถูกมารผู้นั้นล่อลวงเสียก่อน สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงปานนี้ อนาคตต้องสดใสเป็นแน่ หากอยู่มาจนปัจจุบันคงเป็นผู้มีชื่อเสียงแล้ว”

“ถึงจะมีความดีความชอบใหญ่หลวงแค่ไหนแล้วอย่างไร ลอบคบหาเผ่ามาร อุ้มท้องมารหัวขนพรรค์นั้น…น่าสะอิดสะเอียนแท้ ความดีความชอบแบบนี้ต่อให้ทูนหัวทูนเกล้าประคองมาให้ข้าก็ไม่เอาเด็ดขาด”

“ซูซีเหยียนเองก็คงรู้ตัวว่าไม่มีหน้าไปพบผู้คนน่ะแหละ ถึงได้ออกจากสำนักไป”

ชายหนุ่มจากสำนักป้าซี่จงผู้นั้นจ่ะก็กล่าวขึ้นว่า “จะว่าไปนับแต่ต้นจนจบ การตัดสินใจล้อมปราบเทียนหลางจวินโดยไม่มีหลักฐานปราศจากข้อเท็จจริง อาศัยเพียงคำพูดไม่กี่คำที่กงจู่เฒ่าบอกต่อมาอีกทีเท่านั้นเองน่ะหรือ”

ในวิหารใหญ่เงียบกริบทันควัน

คนผู้นั้นยังไม่รู้สึกตัว พล่ามต่อ “ข้าก็แค่ลองถามดู พวกท่านจะฟังหรือไม่ก็แล้วแต่เถอะ ทว่าอาศัยฟังความข้างเดียวจากกงจู่เฒ่าก็ระดมกำลังกันมาล้อมปราบเช่นนี้ ข้าว่าที่พวกท่านทำไปมันใช้ได้จริงๆหรือ ตั้งแต่ต้นจนจบ คิดยังไงเขาก็เหมือนจะมีอยู่แค่เรื่องเดียวคือถูกคนรักหลอกเอามิใช่หรือ อีกอย่างเป็นสาวเป็นนางแต่ยังถูกใช้ให้เอาตัวไปใกล้ชิดพวกต่างเผ่าต่างพันธุ์ที่อันตราย บอกให้นางหลอกลวงผู้คน อีกทั้งยังให้นางดื่มยาพิษขับลูกในท้อง สุดท้ายทำร้ายจนนางต้องกล้ำกลืนความแค้นเดินจากไป ข้าว่ามันแย่มากเลยนะ สำนักป้าซี่จงของเราไม่เคยทำเช่นนี้ ทั้งไม่สนับสนุนด้วย”

คำพูดนี้ทำเอาเสิ่นชิงชิวตกตะลึงไปเลยทีเดียว ดูไม่ออกเลยว่าพี่ชายคนนี้ถึงแม้จะเป็น KY  ตลอด ไม่คาดเลยว่าคราวนี้จะสามารถ KY ด้วยคำพูดที่เป็นเหตุเป็นผลขนาดนี้ เหมือนตัวประกอบที่ไอคิวเกินระดับมาตรฐานเลย

(KY หรือ ‘KUUKI GA YOMENAI (คู่คิ กะ โยะเมะไน่)’ เป็นสแลงที่รับมาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า ไม่รู้จักอ่านบรรยากาศ)

ผู้ที่ทำลายความเงียบยังคงเป็นอู๋วั่ง เขาเลิกคิ้วขาวโพลนขึ้น พนมมือกล่าวตำหนิว่า “คำพูดนี้เหลวไหลเกินไปแล้ว นับแต่โบราณมาเผ่ามารรุกรานภพมนุษย์เข่นฆ่าสังหารไม่หยุดมาตลอด หรือจะรอให้เทียนหลางจวินเอาเลือดล้างภพมนุษย์จริงๆเสียก่อนจึงค่อยสำนึกเสียใจทีหลังหรือ อีกอย่างในฐานะหนึ่งในผู้นำของสี่สำนักใหญ่ กงจู่เฒ่าจะหลอกลวงเหล่าผู้ฝึกวิชาเซียนไปไย เขาได้ประโยชน์ตรงไหนหรือ ลอบคบชู้กับเผ่ามารจนมีเผ่าพันธุ์ปีศาจมาเกิด ไม่อาจเก็บไว้ได้ แต่เจ้ามารหัวขนนั่นชะตาแข็งนัก ต่อให้กินยาขับก็ไม่อาจกำจัดเจ้าเด็กนั่นได้”

คำพูดนี้กล่าวได้เฉียบขาดและองอาจผึ่งผายนัก เสียงปรบมือสนั่นทันที อู๋เฉินต้าซือกลับมีสีหน้ารับไม่ได้ ยกสองมือประนม สวดมนต์พึมพำ

ใช้ว่าจะไม่มีคนรู้สึกว่าทำแบบนั้นออกจะโหดร้ายไปแล้ว แต่พอได้ฟังคำพูดของอู๋วั่งเมื่อครู่ก็เกิดความฮึกเหิมคล้อยตามบรรยากาศ เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เจ้ามารหัวขนนั่นคือลั่วปิงเหอนะ มีตรงไหนคู่ควรให้น่าสงสารเล่า จึงปรบมือตามไปด้วย

ลั่วปิงเหอหลับตานิ่งเหมือนกำลังฟังและก็เหมือนใจลอยไปที่อื่นเช่นกัน ใบหน้าที่เริ่มจะดูอ่อนโยนขึ้นในช่วงไม่กี่วันนี้กลับมาเย็นชาดุจน้ำแข็งอีกครั้ง

บรรดาผู้คนในวิหารใหญ่กำลังสาปแช่งอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่เขารอดจากความตายมาได้ หากเขาตายตั้งแต่อยู่ในท้องจะเป็นเรื่องน่ายินดีขนาดไหน แต่ตัวเขากลับทำเหมือนไม่ได้ยินสักคำ

ตามสคริปต์ที่คิดเอาไว้ เหตุการณ์ตรงนี้ความจริงแล้วควรดำเนินไปเช่นนี้ เหล่าเจ้าสำนักหารือกันอย่างเคร่งเครียดว่าจะจัดการเทียนหลางจวินอย่างไร à จู่ๆมีเผ่ามารเข้ามาก่อกวนอาละวาด à ลั่วปิงเหอสู้กับคนจากเผ่ามารที่แฝงตัวเข้ามา ทำให้เพิ่มค่าภาพลักษณ์เชิงบวกและยกระดับความรู้สึกดีๆ แต่เพราะขาเม้าท์กลุ่มนี้ขุดคุ้ยเรื่องราวแต่หนหลังของลั่วปิงเหอ ประเด็นเลยเบี่ยงไปซะแล้ว

เสิ่นชิงชิวมองลั่วปิงเหอที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ก็นึกเสียใจกะทันหัน

ไอ้เควสต์วัดเจาหัวนี่เขาไม่น่ารับเลย…

อู๋เฉินต้าซือถอนใจ เอ่ยว่า “ทำไมต้องพูดจาเช่นนี้ด้วย สีกาซูน่ะ เฮ้อ สีกาซูออกไประหกระเหินอยู่ข้างนอกตามลำพังคนเดียว กงจู่เฒ่าส่งคนไปตามหากอยู่หลายปีก็ไร้ผล ก่อนตายจะทุกข์ทรมานสักเพียงใดก็สุดจะรู้ แม้ลั่วปิงเหอมีสายเลือดเผ่ามารอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยกระทำเรื่องบั่นทอนคุณธรรมเสื่อมเสียจารีตเลย…”

อู๋วั่งแย้งว่า “ศิษย์น้องอย่างได้เมตตามั่วซั่ว ที่เมิงจินหลันเจ้าถูกทำร้ายถึงขนาดนั้น สมควรแจ่มแจ้งแล้วว่าเผ่ามารเจตนาชั่วช้าปานไหน จะจัดการพวกมันยังคงใช้วิธีตัดไฟแต่ต้นลมจึงจะดีที่สุด พ่อลูกคู่นี้วางแผนกันมานาน สมคบคิดกันกลับมาทวงความเป็นใหญ่ หมายทำลายล้างพวกเรา ให้ท้ายพวกมันหาใช่การก่อกุศล หากแต่เป็นการใจอ่อนเยี่ยงสตรี ลงท้ายจะอเนจอนาถยิ่งกว่าในฝันอีก”

หลวงจีนอู๋วั่งผู้นี้ถึงแม้พลังฝึกปรือไม่เลว กลับอารมณ์รุนแรงเกินไป นอกจากผมน้อยแล้ว ที่เหลือก็แทบไม่มีความเป็นพระเท่าไหร่ ไม่น่ามาแบกไม้เท้าพระธรรมเลยนะนี่ น่าจะไปแบกขวานเป็นหลี่ขุยดีกว่า

(หลี่ขุย คือ ตัวละครจากนิยายเรื่อง ‘108 วีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซาน’ หรือ ‘ซ้องกั๋ง’ ใช้ขวานเป็นอาวุธ มีฉายาว่า ลมหมุนสีดำ ซึ่งบอกถึงอุปนิสัยหุนหันเจ้าอารมณ์ชอบใช้กำลัง)

อู๋เฉินเสียอีก ที่พลังยุทธ์งั้นๆ แต่จิตใจเปี่ยมเมตตาสงบนิ่ง คู่ควรกับคำว่า ‘ต้าซือ’(พระคุณเจ้า) มากกว่านัก ถึงจะถูกตำหนิ สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน และไม่แก้ตัวด้วย “สมคบคิดวางแผนการหรือ นี่…ยังไม่แน่กระมัง”

ทางฝั่งวัดเจาหัว พระชั้นผู้ใหญ่สองรูปยังถกเถียงกัน จู่ๆ เยวี่ยชิงหยวนก็เอ่ยว่า “ไม่ว่าพวกเขาจะสมคบคิดกันหรือไม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ ลั่วปิงเหอหาใช่คนดีกระไรไม่”

เขากล่าวเสียงดัง “ชิงชิว ยังไม่ออกมาอีก”

เสิ่นชิงชิวขนที่หลังลุกชัน อิดออดอยู่สองสามวิ จึงค่อยลุกขึ้นช้าๆ

เขามีความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กประถมที่ถูกคุณครูเรียกไปด่าหน้าชั้น ใต้หนังหน้าร้อนผ่าว แต่ดีที่หน้าหนา ภายนอกถึงดูสงบนิ่ง เขาค้อมกายคารวะทีหนึ่ง “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก”

เมื่อเห็นเขาแล้ว คนที่อยู่ข้างๆเขาเลยถูกพบเห็นไปด้วย มีคนตะโกนลั่นทันที “ลั่วปิงเหอ เป็นลั่วปิงเหอ”

“เขาจริงๆด้วย ปะปนเข้ามาตั้งแต่ตอนไหน!?”

“เสิ่นชิงชิวก็อยู่ เขายังไม่ตายนี่!”

“ตอนนั้นข้าเห็นเขาระเบิดพลังทิพย์ที่เมืองฮวาเยวี่ยกับตาเลยนะ…”

ในบรรดาเสียงเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำราวกับเห็นผี ทว่ากลับมีเสียงอ่อนหวานของสตรีอยู่ด้วย ซึ่งก็คือนักพรตหญิงคนงามสามอนงค์ของอารามเทียนอีนั่นเอง ทั้งสามคนจับแขนกันเองแน่น แก้มแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ที่ประหลาดคืออาการหน้าแดงนี้ช่างเหมือนใบหน้าแดงระเรื่องเพราะเสิ่นชิงชิว…

เยวี่ยชิงหยวนนั่งมองเขา ถามเสียงเรียบว่า “หลายวันนี้ก่อเรื่องวุ่นพอแล้วหรือยัง”

เยวี่ยชิงหยวนไม่เคยใช้น้ำเสียงน่ากลัวเช่นนี้กับเขามาก่อนเลย ดีกรีความแรงของคำว่า ‘ก่อเรื่องวุ่น’ เท่ากับเอาไม้เรียวฟาดกันเลยทีเดียว ดูท่าเมื่อกี้หลิ่วชิงเกอคงนินทาเขาไปไม่น้อยแน่

เสิ่นชิงชิวสาบานกับตัวเองว่าสักวันจะขโมยกระบี่เฉิงหลวนมาสับเนื้อขาหมูจากห้องครัวของเจ้ายอดเขาทั้งสิบสองให้ละเอียด เอาให้กระบี่มันเยิ้มไปเลย!

ดึงประเด็นก่อนหน้านี้กลับมาก่อน! ดึงประเด็นกลับมาหน่อยเถอะ ช่วยเทความสนใจไปยังเผ่ามารที่มันปะปนเข้ามาในวัดหน่อยไม่ได้รึไง แล้วแบบนี้จะเพิ่มค่าภาพลักษณ์เชิงบวกยังไงเล่า!

เขากำลังคิดจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้คนอื่นๆสังเกตเห็นจุดที่ผิดปกติของคนต่างเผ่าซึ่งปลอมตัวเป็นศิษย์สำนักปลาซิวปลาสร้อยเหล่านั้น

อู๋วั่งกระแทกไม้เท้าพระธรรมกับพื้น กล่าวเสียงหยัน “ลั่วปิงเหอ เจ้าเอาตัวเองมาส่งให้ถึงที่ นับเป็นการแก้ปัญหาทีเดียว เจ้าพูดมาเลยดีกว่า เทียนหลางจวินวางแผนจะทำตามอย่างที่ปรากฏให้เห็นในห้วงฝันตอนไหน”

น้ำเสียงลั่วปิงเหอเย็นชา “นั่นมันเรื่องของเขา เกี่ยวอะไรกับข้า”

อู๋วั่งแค่นเสียง “พวกเจ้าเป็นพ่อลูกัน จะไม่เกี่ยวกับเจ้าได้อย่างไร”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างไม่สนใจไยดีว่า “เขาไม่ใช่พ่อข้า”

อู๋วั่งเอ่ยว่า “หลักฐานมัดตัวปานนี้เจ้ายังจะเถียงข้างๆคูๆอีกหรือ เจ้าเข้าใจว่าทุกคนที่นี่เป็นเด็กสามขวบกันทั้งนั้นหรือไร”

ลั่วปิงเหอส่ายหน้า ไม่รู้ยึดมั่นถือมั่นอะไรอยู่ ย้ำแต่ประโยคเดิมว่า “เขาไม่ใช่พ่อข้า”

อู๋วั่งแค่นเสียง “ที่เขาว่าคนเลวอยู่ได้พันปีนี่มันจริงแท้ หากซูซีเหยียนกำจัดเจ้าทิ้งไปแต่แรกก็หมดมลทินไปแล้ว!”

คำพูดนี้ออกจะโหดร้ายเกินไป ลมหายใจลั่วปิงเหอเหมือนจะสะดุดชั่ววูบ ดวงตาเรืองแสงสีแดงวาบ

เสิ่นชิงชิวไม่อาจมัวคิดมากอยู่อีก คว้ามือเขาไว้มั่น

หลิ่วชิงเกอยืนกอดอกอยู่ด้านหลังเยวี่ยชิงหยวน เห็นเสิ่นชิงชิวจับมือถือแขนลั่วปิงเหอต่อหน้าธารกำนัล เส้นเอ็นเขียวๆบนหน้าผากก็เต้นตุบๆ “นี่!”

หลิ่วชิงเกอทั้งโมโหทั้งไม่อยากพูดมาก เลยทำเสียง ‘นี่!’ อย่างดุดัน แต่กลับไม่มีอานุภาพอะไร

เสิ่นชิงชิวไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อย หากลั่วปิงเหอโทสะกำเริบขึ้นมาในสถานการณ์เช่นนี้ คงไม่สนุกแน่ ปัญหามันไม่ใช่แค่ค่าภาพลักษณ์เชิงบวกไม่อาจขยับขึ้น แต่ที่สำคัญคือด่านวัดเจาหัวไม่สามารถฝ่าโดยใช้กำลังนี่ซิ

จะใช้พลังทิพย์รึ ถ้าหลายร้อยคนในที่นี้รวมกันใช้พลังทิพย์ซัดใส่ลั่วปิงเหอคนเดียว เขาก็จบเห่แล้ว หรือจะใช้ปราณมาร นี่คือวัดเจาหัวที่มียอดฝีมือในการสร้างเขตอาคมมากมายเป็นดง ที่ชำนาญสุดคือการสะกดมาร ขืนใช้กำลังเข้าสู้ ไอคิวคงได้ตกต่ำจนไปอยู่ระดับเดียวกับซาหัวหลิงและพ่อแน่

ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงเย็น “ซูซีเหยียนคือผู้ใด ท่านแม่ของข้าเป็นเพียงหญิงซักผ้าคนหนึ่งเท่านั้น”

เสิ่นชิงชิวสะกดเสียงต่ำ “ที่อู๋วั่งเล่าหาใช่เรื่องเท็จทั้งหมด กงจู่เฒ่าเป็นคนแบบไหนเจ้าก็รู้ดี เรื่องอดีตที่สองคนนี้เล่ามาจะเชื่อถือได้แค่ไหนนั้นตอนนี้ให้ลืมทุกอย่างไปก่อน”

ที่เขาใช้คือน้ำเสียงยามอาจารย์สั่งสอนศิษย์ สงบนิ่งและลงความเห็นอย่างเป็นกลางเท่าที่จะทำได้

ลั่วปิงเหอกระตุกแขนเขา เหมือนจะหาข้อพิสูจน์และตอกย้ำตัวเองในที “ซือจุน เทียนหลางจวินไม่ใช่พ่อข้า ข้าไม่ต้องการพ่อ”

เสิ่นชิงชิวไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรดี ได้แต่กุมมือลั่วปิงเหอ เพื่อบอกเป็นนับว่าให้อยู่เฉยไว้ก่อน

ในนิยายดั้งเดิม ภูมิหลังของลั่วปิงเหอไม่มีการนำมาเปิดเผยเสียละเอียดขนาดนี้ เสิ่นชิงชิวเลยมองไม่ออกว่าเรื่องนี้มีผลกระทบต่อลั่วปิงเหอใหญ่หลวงแค่ไหน แต่ท่าทางจะไม่ใช่แค่พูดปลอบไม่กี่คำ ลูบหัวไม่กี่ทีก็แก้ไขปัญหาได้เสียแล้ว

ความคาดหวังจากๆ และความคิดเพ้อฝันที่เลือนรางอยู่ในใจมานาน ล้วนถูกบดขยี้อย่างไร้ความปรานีจนสิ้น พ่อไม่ใช่พ่อ ลูกไม่ใช่ลูก เทียนหลางจวินในฐานะที่เป็นเผ่ามารเลือดบริสุทธิ์ เดิมก็ชืดชาต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาทนทุกข์ทรมานเพราะมนุษย์และซูซีเหยียน กระทั่งความเกลียดชังยังเผื่อแผ่มาถึงลั่วปิงเหอด้วย ดังนั้นในสุสานศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ได้เอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน แถมยังลงมืออย่างไม่ปรานี สำหรับพ่อลูกคู่นี้ ซูซีเหยียนเลือกอย่างชัดเจนแล้ว หลอกลวง ใช้ประโยชน์ เกลียดชัง ปฏิเสธ มองเห็นเป็นเรื่องน่าละอาย และทอดทิ้ง

ส่วนลั่วปิงเหอก็ไม่เป็นที่ต้องการของพ่อแม่

อู๋วั่งขมวดคิ้ว “นี่แหละเผ่ามารล่ะ วาจาแบบนี้ก็พูดออกมาได้”

ลั่วปิงเหอเอาหูทวนลม “หากเขาเป็นพ่อข้า ทำไมเขาถึงไม่พูดอะไร ไยเขาจึงไม่บอกข้าล่ะ”

อย่างตอนจับลั่วปิงเหอซ้อมก็พูดอยู่ประโยคเดียวโดยไม่แสดงอารมณ์ว่า ‘เขาเหมือนแม่’ เหมือน…แล้วจากนั้นล่ะ

ก็ไม่มีอะไรอีกเลย

เสิ่นชิงชิวอับจนคำพูด ตามความคิดของเขา ความเป็นไปได้มากที่สุด…เป็นไปได้ว่าเพราะเทียนหลางจวินป่วยเป็นโรคจิตอย่างนั้นหรือ

บรรยากาศดูไม่ถูกต้อง เสิ่นชิงชิวหมดอารมณ์จะแขวะ เขาหันกลับมากล่าวว่า “ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ ที่ลั่วปิงเหอปรากฎกายขึ้นที่วัดเจาหัวในตอนนี้ หาใช้เพื่อมายั่วยุหรือมีเจตนาร้าย…”

อู๋เฉินต้าซือกล่าวอย่างเห็นพ้อง “ถูกต้อง ศิษย์พี่ฟังเจ้ายอดเขาเสิ่นกล่าวสักคำก่อนก็ไม่เสียหาย”

เสิ่นชิงชิวมองเขาอย่างขอบคุณ

อู๋วั่งกลับแค่นเสียงเยาะ “มิได้มีเจตนาร้ายหรือ เช่นนั้นนี่คืออะไร”

ประโยคสุดท้ายเขาตะเบ็งเสียงพูด ในฝูงชนจู่ๆปรากฎหลวงจีนฝ่ายบู๊ห่มจีวรสีทองแดงหลายสิบรูปควบคุมตัวคนกลุ่มหนึ่งไว้ ก่อนจับตัวกดลงกับพื้น ผู้ที่ถูกจับกดกับพื้นมีปราณมารสีดำแผ่ออกมาจากร่าง ทันใดนั้นในวิหารใหญ่ก็เต็มไปด้วยเสียงเหล่านี้อย่างถูกจังหวะและสมเหตุผล

“มีเผ่ามารปะปนเข้ามา” x N

“ลั่วปิงเหอเตรียมก่อการจริงๆด้วย” x N

ดำเนินเรื่องอีหรอบนี้ ต้มกันนี่หว่า

ลูกน้องเศษสวะกลุ่มนั้นของจิ่วจ้งจวินเดิมทีมาเพื่อรับบทตัวประกอบในการยกระดับภาพลักษณ์ของลั่วปิงเหอ ปรากฏว่าดันได้ผลตรงกันข้าม ถูกเหมาว่าเป็นแผนการซุ่มโจมดีของลั่วปิงเหอไปเสียฉิบ

เขาคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วจึงเอาพัดด้ามจิ้วออกมา จริงดังคาด ครู่ต่อมาไม้เท้าพระธรรมของอู๋วั่งฟาดมาอย่างแรง

เสิ่นชิงชิวยกพัดขึ้นจี้ทีหนึ่งยันไม้เท้าพระธรรมให้ค้างอยู่กลางอากาศ เขาใช้พลังอย่างพอเหมาะพอดีที่จะยันกับอู๋วั่งได้ ทั้งยังมีเวลาหันไปรีบร้อนกล่าวกับลั่วปิงเหอว่า “มอบให้เหวยซือจัดการ”

ขณะกำลังจะกล่าวตามบทต่อ อู๋วั่งก็กล่าวตำหนิเขาว่า “เสิ่นชิงชิว เจ้าอย่าได้เอาอย่างซูซีเหยียน ถูกเผ่ามารล่อลวงจิตใจไปชั่ววูบจนต้องเศร้าเสียใจชั่วชีวิต ในฐานะที่เป็นเจ้ายอดเขาต้องรู้จักมีสำนึกในความละอายบ้างซิ”

เสิ่นชิงชิวขาลื่นพรืด เกือบจะยืนไม่อยู่ มันเหมือนกันตรงไหนฟะ

เขาอุตส่าห์ปรับสีหน้าบิดเบี้ยวให้กลับคืนเป็นปกติอย่างยากเย็น แต่ลั่วปิงเหอกลับฟาดฝ่ามือใส่อู๋วั่งอย่างเหนือความคาดหมาย

เสิ่นชิงชิวถ่ายพลังทิพย์เข้าสู้ปลายพัด กระแทกไม้เท้าพระธรรมออกไป “มิใช่บอกมอบให้เหวยซือจัดการหรอกหรือ”

ลั่วปิงเหอสีหน้าดำทะมึน “เขาด่าข้าได้ แต่จะด่าท่านไม่ได้”

ในระหว่างที่โต้ตอบกันนี้ คนทั้งสองก็ถูกซิวซื่อในเครื่องแบบหลากสีที่อยู่ในวิหารใหญ่ล้อมเอาไว้หมดแล้ว อย่างที่คิดจริงๆ หากใช้ปราณมารจะก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นศัตรูได้ง่าย

อู๋วั่งโบกไม้เท้าพระธรรม “เจ้าสำนักเยวี่ย เจ้ามารร้ายผู้นี้ยังเรียกเสิ่นชิงชิวว่าซือจุน เสิ่นชิงชิวก็มิได้ปฏิเสธ ท่านจะว่าอย่างไร ยังยอมรับลั่วปิงเหอว่าเป็นศิษย์ในสังกัดชางฉยงซานอยู่หรือไม่”

เยวี่ยชิงหยวนไม่ตอบ มองไม่ออกว่าเขามีความรู้สึกเช่นใด น้ำเสียงก็ราบเรียบ ยังคงนั่งนิ่งเฉย “ศิษย์น้อง กลับมา”

เสิ่นชิงชิวเดินออกไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ คิดว่ายอมรับผิดไปก่อนก็แล้วกัน ให้ลูกพี่ใหญ่หายโกรธซะก่อน หากเยวี่ยชิงหยวนยอมมาอยู่ข้างเดียวกับเขารับรองเอาอยู่แน่ แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน ลั่วปิงเหอก็ฉุดเขาไว้ “อย่าไปนะ”

เขากล่าวซ้ำ “อย่าไป” ในน้ำเสียงแฝงแววขอร้อง

ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังจะเอ่ยปาก รังสีกระบี่หลายร้อยสายก็พร้อมใจกันพุ่งเข้ามาใส่คนสองคนที่อยู่กลางวงล้อม

รูม่านตาหลิ่วชิงเกอหดโดยพลัน เฉิงหลวนดีดกายออกจากฝักเสียงดังติ๊ง ทันใดนั้นวิหารใหญ่ทั้งหลังก็สั่นสะเทือน สายฟ้าสีขาวสีดำปะทะกันเป็นเสียงฉี่ๆ

หลังการสั่นสะเทือนผ่านพ้นไป ผู้คนล้มไปกองกับพื้นระเนระนาด มีเพียงหนึ่งในสี่ที่ยังยืนอยู่ได้หรือไม่ก็ต้องพิงอะไรไว้

ดวงตาลั่วปิงเหอแดงฉานเสียจนเรืองแสงได้แม้ในเวลากลางวันราวกับจะมีลาวาหรือเลือดไหนออกมา รอบกายตลบอบอวลไปด้วยปราณมาร ชายเสื้อปลิวสะบัด

เผ่ามารผู้หนึ่งที่ถูกกดตัวไว้กับพื้นร้องตะโกนหัวเราะลั่น “พวกผู้เฒ่าหน้าไม่อาย คราวก่อนรุมล้อมจัดการกับเทียนหลางจวินด้วยวิธีต้ำช้าวันนี้ก็ใช้วิธีเดิมอีกแล้ว!”

“ใช้ก็ใช้ซิ ยังจะมีหน้าพูดถึงความชอบธรรมอีกแน่ะ เฮอะ!”

ลั่วปิงเหอใช้มือข้างเดียวโอบประคองเสิ่นชิงชิว กล่าวทีละคำ “ข้าเป็นเผ่ามาร พวกท่านจะรุมทำร้ายข้าก็เชิญตามสบาย แต่ซือจุนของข้าทำผิดอะไร ถึงต้องถูกรุมทำร้ายไปกับข้าด้วยเล่า”

เสิ่นชิงชิวความจริงไม่ได้บาดเจ็บอะไร แรงสั่นสะเทือนเมื่อครู่รุนแรงไปหน่อย เขาแค่กำลังจะสะดุดล้มก็ถูกลั่วปิงเหอคว้าตัวมาประคองไว้ในวงแขนอย่างปกป้อง ขณะกำลังจะคิดไกล่เกลี่ย อู๋วั่งก็กล่าวว่า “เจ้าเรียกเขาว่าซือจุน เขาไม่ปฏิเสธ หรือว่านี่ยังไม่พออีก”

ไอ้ลาหัวโล้นนี่!

เสิ่นชิงชิวหมุนพัดในมืออย่างเร็ว ปัดดาบกระบี่ที่โจมตีมาจากรอบทิศกระเด็นไปหมด เขาปากยิ้มตาไม่ยิ้ม “ผู้แซ่เสิ่นจะปฏิเสธหรือไม่ มันเกี่ยวอะไรกับท่านเล่า”

เสียงอาวุธปะทะกันช้งเช้งดังมาเข้าหูไม่หยุด เสิ่นชิงชิวหมุนกายทีหนึ่ง พลันเห็นมือข้างหนึ่งของเยวี่ยชิงหยวนกุมด้ามกระบี่เสวียนซู่สาวเท้ามาด้วยท่าทางหนักแน่น

เขามือเท้าอ่อนยวบทันที เกือบโยนพัดด้ามจิ้วทิ้งอยู่แล้ว

สู้กับเยวี่ยชิงหยวนหรือ อย่าหาเรื่องเด็ดขาด

คิดไม่ถึงว่าเยวี่ยชิงหยวนชูเสวียนซู๋ขึ้นด้วยมือข้างเดียว ทว่าเป้าหมายไม่ใช่เสิ่นชิงชิว หากแต่เบนห่างไปสองสามชุ่น เสียงติ๊งดังสะท้อนข้างหู เสิ่นชิงชิวเอี้ยวคอไปมอง กระบี่เสวียนซู่กับไม้เท้าพระธรรมของอู๋วั่งปะทะกันเข้าแล้ว

อู๋วั่งฟาดลั่วปิงเหอไม่ได้ เลยย้ายมาฟาดท้ายทอยเขาแทน

เยวี่ยชิงหยวนเข้ามาร่วมวงต่อสู้ แต่มิได้โจมตีใส่เป้าหมายทั้งสองที่อยู่กลางวงล้อม ทั้งยังช่วยเสิ่นชิงชิวรับมือกับดาบกระบี่เป็นระยะๆ

เจ้าสำนักลงน้ำ หลิ่วชิงเกอก็กระโดรตามลงมาเช่นกัน ทั้งสองคนตะลุมบอนอยู่พักหนึ่ง ต่างมีท่าทีเช่นเดียวกัน เห็นใครเป็นฟาดแหลกขอเพียงไม่ใช่เสิ่นชิงชิว กลายเป็นว่ามาช่วยเพิ่มภาระให้กับผู้คนโดยแท้ แถมดันเป็นยอดฝีมือทั้งคู่อีก ลงมือแต่ละทีทั้งตรงเป้าทั้งดุดัน ในที่สุดอู๋วั่งก็อดรนทนไม่ไหวกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เจ้ายอดเขาหลิ่ว!”

หลิ่วชิงเกอใช้กระบี่ฟันแส้ปัดของนักพรตอารามเทียนอีทีเดียวขาดกระจุย แล้วกล่าวหน้าตาเฉยว่ “พลั้งมือน่ะ”

อู๋วั่งโกรธจนเคราชี้ชัน “เจ้าสำนักเยวี่ย!”

หลังจากปัดไม้เท้าพระธรรมที่อู๋วั่งฟาดใส่เสิ่นชิงชิวออกไปเป็นครั้งที่สาม เจ้าสำนักเยวี่ยก็กล่าวเรียบๆ “ตาลายน่ะ”

ทุกคนในที่นั้นคิดเห็นเป็นอย่างเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ที่ว่ากันว่าชางฉยงซานปกป้องพวกพ้องไม่ใช่สักแต่พูดจริงๆ

หนึ่งคนพลั้งมือยังพออธิบายได้ แต่พลั้งมือสองคนนี่มันยังไงกัน ตาลายทีเดียวก็ยังพออธิบายได้ แต่พอเข้าร่วมวงต่อสู้ก็ตาลายตลอด ยังจะต่อยดีกันได้หรือ ตกลงพวกเขายืนอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ‘O’ ‘~’

สองท่านนี้ใช้การกระทำมาอธิบายให้คนอื่นรู้ นั่นคือ

ต่อยตีหรือ…ได้

ตีเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงรึ…ไม่ได้

เสิ่นชิงชิวพลิกมือผลักลั่วปิงเหอทีหนึ่ง “ไปก่อน”

ลั่วปิงเหอไม่เพียงไม่ยอมไป หากแต่จับแขนเขาไว้แน่น “ซือจุน พวกเราไปด้วยกัน ไปกับข้า!”

เขาไม่หันกลับไปมองหน้าลั่วปิงเหอด้วยซ้ำ ข้อหนึ่ง ไม่มีเวลา ข้อสอง ทำใจไม่ได้ เขาดึงมือกลับมาพลางกล่าวเร็ง “ยังไม่ไปอีก! บอกให้ไปก็ไปซิ อย่าดื้อ!”

เขาไม่รู้จะถ่วงเวลาไว้ได้นานแค่ไหน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะละทิ้งความวุ่นวายตรงนี้ แล้วหนีไปกับลั่วปิงเหอ พวกเยวี่ยชิงหยวนออกนกหน้าเกินไป อู๋วั่งโมโหขึ้นมาแล้ว ตนกับลั่วปิงเหอถึงยังไงก็ต้องรั้งอยู่คนหนึ่งหาไม่แล้ววัดเจาหัวกับชางฉยงซานจะต้องผิดใจกันแน่

หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ ลั่วปิงเหอก็กล่าวเบาๆว่า “…ได้ในเมื่อเป็นคำสั่งของซือจุน”

อึดใจต่อมาเขาก็ออกไปอยู่ที่ลานด้านนอกวิหารใหญ่เรียบร้อย

ความเร็วขนาดนี้ ช่างรวดเร็วเสียจนน่ากลัว พริบตานั้นทุกคนก็ลืมกระทั่งเก็บอาวุธกลับขึ้นมาและออกไล่ตาม อู๋วั่งตะโกนขึ้น “ตั้งค่ายกล”

หลวงจีนหลายรูปพุ่งทะยานเข้าไปที่ลาน

เสิ่นชิงชิวชักซิวหย่าออกจากฝักอย่างฉับไว้ ดีดนิ้วทีหนึ่ง ตัวกระบี่พุ่งซ้ายป่ายขวาอุตลุดทำเอาก้าวย่างของหลวงจีนพวกนั้นสับสนอลหม่านจนเสียกระบวน จากนั้นตะโกนว่า “เหวยซือจะกลับชางฉยงซานก่อน แล้วจะไปหาเจ้าเอง”

ลั่วปิงเหอมีความเชี่ยวชาญในการสร้างฝัน อยากพบหน้าตอนไหนก็ไม่ใช่ปัญหา แค่นอนหลับไปก็ใช้ได้แล้ว ถึงตอนนั้นค่อยปลอบเขาดีๆสักครั้ง เยียวยาแผลใจเขาก็แล้วกัน แต่พอพูดเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัล เสิ่นชิงชิวก็รู้สึกผิดนิดๆ แอบเหลือบมองสองคนทางฝั่งชางฉยงซานอย่างอดไม่ได้

เห็นดังนั้นลั่วปิงเหอก็เหยียดมุมปาก ผุดรอยยิ้มประหลาด

คนไม่น้อยเห็นรอยยิ้มนี้ของเขาต่างพากันหนาวเยือก นึกหวาดหวั่นโดยไม่มีสาเหตุ

ลั่วปิงเหอกล่าวนิ่งๆ “ซือจุน ข้าจะกลับมารับท่าน”

พูดยังไม่ทันขาดคำร่างเขาก็หายลับไปจากนอกวิหารใหญ่ทันที

คนลับตาไปแล้ว อู๋วั่งทำเสียงขัดใจ เสิ่นชิงชิวระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เรียกซิวหย่ากลับคืนลงฝักทันที

เขาประคองกระบี่ด้วยสองมือขึ้นในแนวขวาง น้อมส่งให้เยวี่ยชิงหยวน “เมื่อครู่เป็นเหตุสุดวิสัย ชิงชิวทำเพราะความจำใจ ล่วงเกินทุกท่านในที่นี้ ขอศิษย์พี่เจ้าสำนักโปรดลงโทษด้วยขอรับ”

เยวี่ยชิงหยวนทำเสียงอือ ดันกระบี่กลับคืนไป “ในเมื่อกลับมาแล้วเรื่องลงโทษไว้กลับชางฉยงซานก่อนค่อยว่ากัน”

เสิ่นชิงชิวลอบมองสีหน้าเขา ถึงสีหน้าเยวี่ยวชิงหยวนจะดูเคร่งขรึม แต่ดูจากการกระทำในการต่อสู้เมื่อครู่ น่าจะวางท่าเพราะอยู่ต่อหน้าคนนอกมากกว่า

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คำว่า ‘กลับชางฉยงซานก่อนค่อยว่ากัน’ ของเยวี่ยชิงหยวนส่วนใหญ่แล้วก็เท่ากับ ‘เรื่องนี้ถือว่าแล้วกันไป พวกเรากลับไปกินข้าวกันดีกว่า’

สำนักเดียวกันย่อมพูดกันง่าย แต่อู๋วั่งมีหรือจะยอมปล่อยผ่านง่ายดายขนาดนี้ ลั่วปิงเหอลอยนวลหนีไปได้ต่อหน้าต่อตา ถึงตัวการหลักๆที่กวนน้ำให้ขุ่นจะเป็นเจ้ายอดเขาทั้งสาม แต่อย่างไรวัดเจาหัวก็รู้สึกเสียหน้า เขาประนมมือกล่าว “เรื่องนี้เกรงว่าไม่อาจแล้วกันไปกระมัง เจ้ายอดเขาเสิ่นคงต้องมีคำอธิบายมาสักนิด หรือไม่ ชางฉยงซานก็ต้องมีคำอธิบายแทนเจ้ายอดเขาเสิ่น”

เสียงแหลมสูงดังขึ้นจากมุมหนึ่ง “เมื่อครู่บอกว่าซูซีเหยียนเลอะเลือน พระคุณของสำนักเทียบไม่ได้กับคำหวานของผู้ชายไม่กี่ประโยค เสิ่นชิงชิวยิ่งเลอะเลือนกว่า ไม่ต้องให้ลั่วปิงเหอใช้คำหวานก็ไม่รู้จักแยกแยะเสียแล้ว”

เสิ่นชิงชิวถือเสียว่าไม่เห็นไม่ได้ยิน

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างมีมารยาทว่า “คนของชางฉยงซาน ผู้แซ่เยวียวจะอบรมสั่งสอนเอง จะต้องมีคำอธิบายให้กับทุกท่านแน่นอน”

อู๋เฉินต้าซือกล่าวอย่างยินดีว่า “อมิตาพุทธ เช่นนี้ก็ดียิ่ง เชื่อว่าเจ้าสำนักเยวี่ยกับเจ้ายอดเขาเสิ่นจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมและยุติธรรม”

ทุกคนพากันเงียบ คิดเหมือนกันว่าอู๋เฉินต้าซือถ้าไม่ใช่ใสซื่อบริสุทธิ์ก็ต้องเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ

อู๋วั่งแค่นเสียง ยังคงกล่าวโจมตี “ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น หรือทุกคนจะลืมกันหมดแล้ว คนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่เมืองจินหลัน เจ้ายอดเขาเสิ่นก็บอกว่าจะมีคำอธิบาย แต่ความจริงกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีวาจาใดออกมาเลย เขาเข้าคุกน้ำวังฮ่วนฮวาได้ไม่นานก็ลอบหนีไปข้างนอก จากนั้นแสร้งตายที่เมืองฮวาเยวี่ย หลบหนีอยู่ห้าปี เรื่องนี้ชางฉยงซานเองก็ยังไม่มีแถลงการณ์ที่เป็นรายละเอียดออกมาเลย หากว่านี้ก็คือ ‘คำอธิบาย’ อันสูงค้าของเจ้ายอดเขาเสิ่นและสำนักท่าน อาตมามิกล้าน้อมรับหรอก”

เขายกเรื่องเก่าขึ้นมาพูดอีก แต่เสิ่นชิงชิวใจลอยไปไหนต่อไหนแล้ว ไม่ได้ฟังเลยสักนิด

เพราะระบบส่งคำเตือนตัวแดงโร่มาแล้ว ใครมันจะมีแก่จิตแก่ใจไปฟังหลวงจีนเฒ่าฟื้นฝอยหาตะเข็บอยู่ได้

ระบบ [เนื้อเรื่องย่อย ‘วัดเจาหัว’ สิ้นสุด สถิติค่าตัวเลข : ค่าภาพลักษณ์ติดลบ 200 สถานะหลังภารกิจเสร็จสิ้น : ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง]

ถึง 200 แล้ว แต่ไม่ใช่ได้มา 200 นะ ดันติดลบ 200!

นี่เป็นครั้งแรกที่ค่าตัวเลขตกลงมาต่ำกว่า 0 ตั้งแต่เขาลากๆถูๆกับระบบมา

ทันใดนั้นในสมองก็เจ็บจิ๊ด พร้อมวิงเวียนอย่างรุนแรง ระบบ [ภารกิจล้มเหลว! โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะถูกส่งกลับไปยังโลกเดิมของท่านใน 60 วินาที]

เมื่อค่าตัวเลขใดๆก็ตามต่ำกว่า 0 จะถูกส่งกลับไปยังโลกเดิม!

เสิ่นชิงชิวตะโกนลั่น “อย่าเล่นเชี่ยๆแบบนี้เซ่! แค่นี้ก็ส่งกลับไปโลกเดิมเลยเรอะ แอ็กเคาน์เดิมของผมถูกยกเลิกไปแล้วคุณไม่รู้เหรอ แค่ล้มเหลวครั้งเดียวเอง ค่าความฟินของผมสูงขนาดนั้นเอามาถัวกันไม่ได้เลยรึไง แล้วค่า B ล่ะ ค่า B ของผมก็สูงมากเลยนะ! สูงขนาดนี้ต้องมีประโยชน์สักอย่างซิ”

ในสมองเขาหมุนติ้ว หน้าเขียวหน้าเหลืองดูเหมือนจะอาเจียนหรือสลบไปได้ทุกเมื่อ หลิ่วชิงเกอสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของเขาก็ถามว่า “เป็นอะไรไป”

ระบบ [ท่านต้องการจะนำค่าความฟินทั้งหมดในปัจจุบันมาแลกซื้อการลงโทษวิธีอื่นหรือไม่]

เสิ่นชิงชิวรีบบอก “เอาๆๆๆ! แพงแค่ไหนก็ซื้อ”

ติ๊ง!

ระบบ [การซื้อเสร็จสิ้น ค่าความฟินรีเซตเป็น 0 โปรดคอยดูคะแนนคงเหลือ การลงโทษอยู่ระหว่างดาวน์โหลด]

แถบค่าความฟินสีชมพูกลายเป็น 0 ไปจริงๆแล้ว นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่รีเซตเป็น 0

[โบกมือบ๊ายบาย]เสิ่นชิงชิวไม่ปวดหัวแล้ว แต่ยังมึนอยู่ เยวี่ยชิงหยวนก็รู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน “เมื่อครู่ถูกพลังฟาดโดนหรือ”

หลิ่วชิงเกอยึดมือเสิ่นชิงชิว เพื่อให้เขายืนได้มั่น และเงยหน้าขึ้นถามว่า “ผู้ใดทำ”

เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงตั้งคำถาม ดูน่ากลัวสุดๆ ทุกคนรีบส่ายหน้าพัลวัน

แกล้งทำรึเปล่า ใครจะมีปัญญาทำร้ายเสิ่นชิงชิวได้ สถานการณ์เมื่อครู่ต่อให้ฟาดโดนใคร ก็ไม่มีทางฟาดไปโดนเสิ่นชิงชิว ไอ้คนที่ยอดฝีมือทั้งสามคนคอยปกป้องทั้งในที่ลับและที่แจ้งน่ะมันไอ้หน้าไหนกันล่ะ หน็อย ยังจะมาทำเป็นเซ เห็นๆอยู่ว่าเขาต่างหากที่จู่โจมคนอื่น

เสียงทะเลาะเบาะแว้งด้านนอกดังเอะอะเอ็ดตะโรขึ้นเรื่อยๆ เสิ่นชิงชิวยืนโงนเงน หน้ามืด โดยมีเยวี่ยชิงหยวนกับหลิ่วชิงเกอคอยช่วยกันยืนประกบ

ตึง!

ล้มลงแล้วจริงๆ

ตอนที่ลืบตาขึ้นอีกทีก็ไม่ได้อยู่ที่วัดเจาหัวแล้ว เสิ่นชิงชิวมองไปรอบด้าน ว่างเปล่า ไม่มีใครสักคน

ดูเหมือนจะเป็นห้วงฝัน ซึ่งปกติแล้วหากตอนนี้เขากำลังฝันอยู่ ฉากจะต้องเป็นชิงจิ้งเฟิง เพราะความฝันของเขากับลั่วปิงเหอเชื่อมต่อกัน แมตของห้วงฝันที่ฝ่ายหลังชอบใช้มากที่สุดก็คือชิงจิ้งเฟิง

เสิ่นชิงชิวเดินอย่างเลื่อนลอยอยู่พักหนึ่ง เมื่อพินิจอย่างละเอียดแล้วพลันพบว่า ที่นี่คือชิงจิ้งเฟิงจริงๆ

เพียงแต่เป็นชิงจิ้งเฟิงหลังถูกไฟไหม้

ต้นไผ่ เรือนไผ่ถูกไฟเผาวอด มีเพียงซากกำแพงและตอไม้ไหม้ดำเอียงล้มกระเท่เร่ ยังมีควันขาวๆและกลิ่นเหม็นไหม้ตลบอบอวน

สภาพอันสลดหดหู่และชวนสังเวชนี้ เสิ่นชิงชิวเห็นแล้วไม่อาจนิ่งดูดาย

เผาราบหมดเลย ความแค้นอะไรมันถึงได้ใหญ่หลวงปานนี้

เสิ่นชิงชิวเคาะเรียกระบบ “อธิบายสถานการณ์หน่อยได้ไหม”

ระบบ [สวัสดี ระหว่างอยู่ในโปรแกรมการลงโทษ ระบบไม่อาจเปิดให้บริการอื่นได้ ขออภัยในความไม่สะดวก ขอให้ท่านโชคดี]

ที่แท้การลงโทษเริ่มต้นแล้ว เสิ่นชิงชิวต่อยกำแพงที่ไม่มีอยู่จริงทีหนึ่ง

และแล้วหูก็แว่วเสียงฝีเท้าย่ำมาตามซากเศษหินเศษปูน

เสียงฝีเท้านี้สม่ำเสมอเป็นจังหวะเดินก้าวหยุดก้าว เชื่องช้าทว่าไม่มีสะดุด แต่กลับชวนให้รู้สึกว่าแฝงด้วยพลังชนิดหนึ่งและฝ่ายนั้นกำลังรออะไรบางอย่างอยู่

ร่างหนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ ท่ามกลางซากไหม้ดำเป็นตอตะโก

 

ลมเย็นโชยพัดผ่าน ร่างนั้นสวมชุดดำแขนหลวมกว้าง ใบหน้าซีดขาวแทบเป็นสีเดียวกับคอเสื้อที่ทบซ้อนกัน เขาเอามือกอดอก เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า แววแห่งความยโสโอหังฉายชัดเต็มหน้า บางครั้งบางคราวก็ยกขาเขี่ยหินที่ไหม้ดำเล่นด้วยท่าทางเบื่อๆ

เสิ่นชิงชิวตะโกนเรียกออกไปโดยไม่รู้ตัว “ลั่วปิงเหอ!”

ลั่วปิงเหอกะพริบตา เบือนหน้ามาเล็กน้อย แววตาที่มองมานั้นเฉยเมยนัก

เสิ่นชิงชิวถูกสายตาเช่นนี้มองก็ราวกับถูกมีดน้ำแข็งสองเล่มปักเข้าให้ หัวใจเต้นโครมคราม จู่ๆรู้สึกว่าลมช่างแรงนัก เสื้อผ้าออกจะบางไปหน่อย

ไม่เช่นนั้นแล้วทำไมอยู่ หน้าผากกับแผ่นหลังถึงได้หนาวยะเยือกขึ้นมาล่ะ

ลั่วปิงเหอเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ดีดขี้เถ้าบนแขนเสื้อซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงทำเสียงขึ้นจมูก “หือ” ด้วยความสงสัย

เสิ่นชิงชิวชะงักฝีเท้ากึก

ความรู้สึกนี้…ไม่ถูกต้อง

ลั่วปิงเหอเอียงคอ “เสิ่นชิงชิว?”

ยิ่งไม่ถูกต้องเข้าไปใหญ่…

น้ำเสียง สีหน้า และบุคลิกแบบนี้ไม่ใช่ลั่วปิงเหอ แต่ก็เหมือนลั่วปิงเหอจริงๆ

หากจะพูดให้ชัดๆ ที่อยู่ตรงหน้าเสิ่นชิงชิวนี้ เหมือนจะ…เป็น… ‘ลั่วปิงเหอ’ จากนิยายดั้งเดิม

เสิ่นชิงชิวยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ‘ลั่วปิงเหอ’ เห็นเขาไม่ตอบก็เดินเข้ามาก้าวหนึ่ง

เสิ่นชิงชิวหมายคว้ากระบี่มาป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ แต่ที่เอวกลับว่างเปล่า

เขาเคาะประตู “ระบบ ตกลงไอ้โปรแกรมการลงโทษนี่มันคือของบ้าอะไรกันแน่ ไปเอาของพรรค์นี้มาจากไหน ใจคอจะให้ผมสู้กับบอสมือเปล่าเลยเรอะ?!”

ระบบ [สวัสดี ระหว่างดำเนินการลงโทษระบบไม่อาจเปิดให้บริการอื่นได้ รวมถึงการให้คำปรึกษาใดๆด้วย ขอบพระคุณที่เข้าใจ ขอให้ท่านโชคดี]

เวรแล้ว สถานการณ์นี้แม่งไม่รู้จริงๆว่าควรทำยังไง

มือทั้งสองข้างของลั่วปิงเหอซุกไว้ในแขนเสื้อ กล่าวยิ้มๆ “เสิ่นชิงชิวเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าจำได้ว่ายังไม่อนุญาตให้เจ้าเข้ามาเลยนะ”

เสิ่นชิงชิวแน่ใจหมื่นเปอร์เซ็นต์แล้ว ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ลั่วปิงเหอในโลกนี้

ลั่วปิงเหอจะคำก็ซือจุน สองคำก็ซือจุน เสียงงี้หวานจ๋อย ไม่กล้าเรียกชื่อเขาตรงๆเด็ดขาด ยิ่งไม่มีทางใช้น้ำเสียงเหมือนเวลาแกล้งหมาแบบนี้

แต่นี่เป็นโปรแกรมการลงโทษ ยังไงก็คงไม่น่าถึงตายหรอก พอคิดเช่นนี้ เสิ่นชิงชิวก็ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย เขากล่าวอย่างใจเย็นว่า “ที่นี่คือชิงจิ้งเฟิง”

ลั่วปิงเหอมองไปรอบๆ “เจ้าไม่บอก ข้าก็นึกไม่ออกนะนี่”

ทำไมจะนึกไม่ออก ถ้านี่คือลั่วปิงเหอในนิยายดั้งเดิม ชิงเจิ้งเฟิงเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาเป็นคนเผาไม่ใช่รึไง

เสิ่นชิงชิวถาม “เจ้าเล่า มาที่นี่ทำไม”

ลั่วปิงเหอยักไหละ “ไม่รู้ซิ”

จากนั้นก็มองเสิ่นชิงชิวด้วยรอยยิ้มประหลาด

รอยยิ้มประเภทที่เหมือนเห็นเสิ่นชิงชิวเป็นหมาตัวหนึ่งที่เขาเลี้ยงไว้แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็พบว่าหมาตัวนี้พูดภาษาคนง่ายๆได้สองสามคำ น่าสนใจดี

เสิ่นชิงชิวถูกเขามองจนขนลุกเกรียว

ลั่วปิงเหอถามว่า “เจ้าไม่กลัวข้าแล้วหรือ”

คนที่อยู่ข้างนอกนั้นไม่กลัวหรอก แต่คนที่อยู่ข้างในตรงนี้ กลัวซิ!

ลั่วปิงเหอยกแขนข้างหนึ่งขึ้นกวักมือเรียก “มานี่”

ถ้าเป็นเสิ่นชิงชิวคนเก่าถูกลั่วปิงเหอที่เดินเข้าสู่สายดาร์กแล้วกวักมือเรียก จะต้องกลัวตายจนเดินเข้าไปแต่โดยดีแน่ ต่างจากเสิ่นชิงชิวซึ่งยังคงมีความกล้าที่จะดิ้นรนให้ถึงที่สุด

ทว่าเพิ่งหมุนตัวออกวิ่ง เงาร่างสีดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ขวางทางเขาไว้ ขาดอีกแค่ไม่กี่ชุ่นก็ชนโดนแล้ว

เสิ่นชิงชิวผงะ ถอยหลังกรูดจนเกือบล้มหงายหลัง ลั่วปิงเหอยื่นมือออกมาคีบแขนเสื้อเขาไว้ด้วยสองนิ้ว แล้วดึงให้เขากลับมา ถามเสียงนุ่มว่า “หนีอะไรกัน”

เมื่อต้องเผชิญกับใบหน้านี้ เสิ่นชิงชิวในยามนี้จะสู้ก็สู้ไม่ได้ กลัวก็กลัวไม่ถึงที่สุด เขาไม่ถอดใจ ยังเคาะเรียกระบบต่อ “นี่คือลั่วปิงเหอในนิยายดั้งเดิมใช่เปล่า นี่ไม่ใช่ลั่วปิงเหอในโลกนี้หรอก ใช่มะ ผมควรทำยังไงถึงจะผ่านการลงโทษไปได้ หรือจะต้องสู้ให้ชนะเขา นี่มันต่างกับการส่งผมไปที่โลกในนิยายดั้งเดิมตรงไหนนี่”

ระบบ [สวัสดี ระหว่างโปรแกรมการลงโทษ…]

เสิ่นชิงชิวจิ้มปิดกล่องข้อความไปเลย

ลั่วปิงเหอมองหน้าเขาอยู่พักใหญ่ นิ่วหน้ากล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่า…เจ้ามีตรงไหนไม่เหมือนเดิมอยู่ เจ้าคือเสิ่นชิงชิวจริงๆหรือ”

เสิ่นชิงชิวกะพริบตาปริบๆ แต่ยังไม่คลายการระวังป้องกัน

ลั่วปิงเหอ มองหน้าเขานิ่งคล้ายกับรู้สึกกังขาอยู่บ้าง ค่อยๆคว้าแขนขวาเขาไว้มั่น

ฝ่ามือของเขาเหมือนกับเมื่อก่อน ทั้งแห้งและเย็น เสิ่นชิงชิวใจเต้น กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นไหล่ขวาก็เย็นวาบ

พริบตานั้นเสิ่นชิงชิวรู้สึกเหมือนแขนขวาหลุดออกจากไปล่ เห็นแต่สิ่งของเป็นแท่งยาวลอยออกไป ร่างกายซีกหนึ่งเบาโหวง หากยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรทั้งสิ้น

จากนั้นความเจ็บปวดชนิดแทบด่าวดิ้นก็แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย รวมทั้งที่สมอง

ลั่วปิงเหอกระชากแขนขวาของเขาลงมาสดๆร้อนๆ

เมื่อได้รับบาดแผลสาหัส ร่างกายของเสิ่นชิงชิวจึงสู้กลับโดยอัตโนมัติด้วยการปล่อยพลังทิพย์ออกไปขุมหนึ่ง แต่ถูกลั่วปิงเหอฟาดทีเดียวก็พ่ายแพ้ชนิดถอยร่นไม่เป็นขบวน

เลือดพุ่งทะลักออกมาไม่หยุด เสิ่นชิงชิวหน้ามืดตาลาย เหมือนได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนและเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย ในหูมีแต่เสียงหวีดแหลม เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่คิดว่าจะต้องรีบหนีไปจากคนตรงหน้าให้เร็วที่สุด

เขาซวนเซถอยหลังได้ไม่กี่ก้าวก็สะดุดกับรากไผ่ที่ไหม้ดำล้มหงายลงไป

ความเจ็บปวดที่ไหล่สาหัสเสียจนกระทั่งว่าตอนที่ท้ายทอยกระแทกลงพื้นเขายังไม่สน

ลั่วปิงเหอเดินตามหลังมาอย่างสบาย คราวนี้ลูบน่องข้างหนึ่งของเสิ่นชิงชิวเบาๆ

จับฉีก!

ยามนี้ความตั้งใจของลั่วปิงเหอคือจับเขาฉีกให้เหลือแต่ตัวกุดๆ!

เสิ่นชิงชิวเจ็บจนลมหายใจติดขัด ใช้มือข้างที่เหลือคว้าแขนลั่วปิงเหอไว้ ส่ายหน้าพัลวัน กล่าวละล่ำละลัก “อย่า…อย่า…”

อย่าใช้ใบหน้านี้ทำเรื่องพรรค์นี้

ลั่วปิงเหอใช้แขนข้างเดียวตรึงเสิ่นชิงชิวไว้กับพื้น สายตาเกือบสื่อได้เลยว่า ‘เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก’

เขากล่าวเสียงอ่อนโยน “นี่มิใช่ครั้งแรกทำแบบนี้เสียหน่อย ซือจุนไฉนยังไม่ชินอีกเล่า เช่นนั้นพวกเราก็มาทำอีกสองสามครั้งจนกว่าเจ้าจะชินดีหรือไม่”

พริบตานั้นเองความเจ็บปวดปานขาดใจก็แล่นจากโคนขาซ้ายลุกลามไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว

เสิ่นชิงชิวสุดทน ตะโกนร้องออกมาดังลั่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version