Skip to content

Scumbag System 19

บทที่ 19

เสิ่นจิ่ว

ทันใดนั้นระบบก็โผล่มาแจ้งความข้อความด้วยน้ำเสียงตายด้าน [การลงโทษสิ้นสุด]

ความเจ็บปวดหายไปเดี๋ยวนั้น เสิ่นชิงชิวพลิกตัวขึ้นโดยพลัน แต่เข่าทรุดฮวบลงกับพื้นทันที กระทั่งอารมณ์จะแขวะและเรียกระบบมาด่ายังไม่มี เขาคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น มองเหงื่อตัวเองหยดลงพื้นเป็นดวง ตาลายเห็นดาวระยิบระยับ

เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกาย “เจ้าเป็นอะไรไป”

เขาจึงค่อยสังเกตเห็นว่าตรงนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว

ดูเหมือนเขายังไม่ได้ถูกดึงกลับไปโลกแห่งความเป็นจริง ยังคงอยู่ในห้วงฝัน

แต่ถ้ำในภูเขาแห่งนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง เป็นถ้ำในภูเขาเมื่อตอนที่เข้าห้วงฝันเป็นครั้งแรก สมัยที่มารฝันมีสภาพเป็นไอหมอกดำๆ

และคนที่ส่งเสียงอยู่ข้างกายเขาในขณะนี้ก็คือมารฝันนั่นเอง

เสิ่นชิงชิวฝืนตั้งสติ ถามกลับไปว่า “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

มารฝันกล่าวว่า “เจ้าเข้ามาในห้วงฝันที่ทรงอานุภาพแข็งแกร่งอย่างมาก ดวงจิตทำท่าเหมือนจะฉีกขาด ผู้อาวุโสเช่นข้าอยากยื่นมือเข้าช่วยเหลือแต่ทำไม่ได้เลย ลองอยู่เป็นหลายครั้ง แต่อยู่ๆก็ทำได้ขึ้นมา เลยดึงเจ้าเข้ามาในเขตอาคมด้านนี้เสียหน่อย”

ความที่ฝังใจว่ามารฝันไม่ค่อยจะชอบเขาเท่าไหร่ ดังนั้นการที่อีกฝ่ายเห็นท่าไม่ดีก็ดึงตัวเขาออกมา ‘เสียหน่อย’ เป็นเรื่องที่เสิ่นชิงชิวไม่นึกไม่ฝันมาก่อน จึงขอบคุณจากใจจริงว่า “ขอบพระคุณผู้อาวุโสมากขอรับที่ช่วยเหลือ”

มารฝันแค่นเสียง “ไม่ต้องขอบใจหรอก ผู้อาวุโสเช่นข้าเพียงแต่นึกประหลาดใจ คราวก่อนที่สุสานศักดิ์สิทธิ์เจ้าสามารถยันไว้ได้จนกระทั่งเจ้าหนูมันฟื้นขึ้นมา นับว่าช่วยเหลือเขาไว้ไม่น้อย ช่วยเขาก็คือช่วยผู้อาวุโสเช่นข้านั่นแหละ”

ความเจ็บปวดที่ถูกฉีกแขนข้างหนึ่งฝังลึกในระบบประสาทไปซะแล้ว และพร้อมจะถูกกระตุ้นได้ทุกเมื่อ ยามที่ใบหน้านั้นผุดขึ้นมาในสมอง เสิ่นชิงชิวก็เผลอเอามือซ้ายกุมไหล่ขวาอย่างอดไม่อยู่ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆสองสามที ถึงค่อยกล่าวชื่อนั้นโดยเสียงไม่สั่นได้ “ไฉนไม่เห็นลั่วปิงเหอ”

ว่ากันตามเหตุผลคนที่กระตือรือร้นสุดและชอบดึงเขาเข้าไปในความฝันมากที่สุดควรเป็นลั่วปิงเหอซิ ซึ่งโดยมากพอเสิ่นชิงชิวหลับ เขาก็จะเข้ามาตอแยละ แต่คราวนี้กลับถูกมารฝันชิงตัดหน้าดึงเสิ่นชิงชิวเข้ามาในเขตอาคมเสียก่อน

มารฝันนึกขึ้นมาได้ก็กลัดกลุ้ม “ผู้อาวุโสเช่นช้าจะไปรู้รึ นับแต่เจ้าหนูมันสามารถควบคุมเวทมารฝันของข้าได้ ข้าก็เข้าไปในห้วงฝันของมันไม่ได้อีก ใต้หล้านี้มีแต่ความคิดความฝันของมันคนเดียวที่ผู้อาวุโสเช่นข้าทำอะไรไม่ได้เลยสักนิดเดียว”

หากไม่สามารถเจอหน้าลั่วปิงเหอฉบับน่ารักน่าเอ็นดูโดยเร็ว เสิ่นชิงชิวเกรงว่าต่อไปพอนึกถึงชื่อนั้นคงต้องเจ็บแขนขาทุกครั้งแน่ ช่วยเอาเจ้าดอกบัวขาวใสแบ๊วมาเป็นยาระงับประสาทให้เขาเร็วๆที!

มารฝันเหลือบตาขึ้นมอง เห็นเสิ่นชิงชิวหน้าเขียวปากซีด ก็กล่าวหน้าตาเฉยว่ “เดี๋ยวเจ้าหนูมันก็มาเองนั่นแหละ เจ้าจะรีบร้อนไปไย เมื่อก่อนมิใช่พยายามหลีกเลี่ยงอยู่ตลอดหรอกหรือ”

เสิ่นชิงชิวเห็นมารฝันแสร้งทำหน้าเหยียดหยามก็บ่นพึมในใจว่า แบบนี้เขาเรียกปลอบใจเรอะ!

เขาผ่อนคลายร่างกายแล้วนั่งกับพื้น ผ่านไปสักพักเสิ่นชิงชิวก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ผู้อาวุโสมารฝัน ก่อนหน้านี้ที่สุสานศักดิ์สิทธิ์ ข้าพาลั่วปิงเหอไปทางตะวันออก ระหว่างทางเจอคนสองคน หนึ่งในนั้นเป็นสตรีท่านเห็น…”

ตอนนั้นชิวไห่ถังหมดสติไปครู่หนึ่ง พอฟื้นขึ้นมาก็เป็นบ้าไปซะงั้น จากนั้นก็ออกวิ่งเตลิดไปหัวซุกหัวซุน เสิ่นชิงชิวนึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าตอนที่หมดสติไปนางไปเจออะไรในห้วงฝันเข้า

ตอนนั้นลั่วปิงเหอก็หมดสติอยู่เช่นกัน ตัวร้อนราวกับไฟ ย่อมไม่มีเวลาว่างขนาดจะบุกรุกเข้าไปในห้วงฝันของชิวไห่ถังอยู่แล้ว เช่นนั้นที่เป็นไปได้มากที่สุดก็มารฝันนั่นแหละเป็นผู้ลงมือ

จริงๆด้วย มารฝันเอานิ้วพันเคราเล่น กล่าวว่า “ผู้อาวุโสเช่นข้าเล่นกลนิดๆหน่อยๆน่ะ”

แม้เขาจะบอกว่า ‘เล่นกลนิดๆหน่อย’ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในน้ำเสียงก็ข่มความภูมิใจเอาไว้ไม่อยู่ เสิ่นชิงชิวถามอย่างอดใจไม่ไหว “ท่านให้นางเห็นอะไรกันแน่”

โดยทั่วไปแล้วหากมารฝันต้องการโจมตีจิตใจใครสักคน ก็จะให้คนๆนั้นได้เห็นความทรงจำที่มืดมนและเจ็บปวดทรมานที่สุดของตัวเอง หรือมารฝันจะพลิกฟื้นความทรงจำตอนที่สกุลซิวถูกฆ่าล้างตระกูล?

ไม่น่าใช่ หากเป็นอย่างนี้จริงตอนที่ซิวไห่ถังฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นเสิ่นชิงชิวเป็นอย่างแรก ก็ไม่น่าจะมีปฏิกิริยาแบบนั้นซิ น่าจะความแค้นพวยพุ่งเอากระบี่แทงเขาให้พรุนถึงจะถูก ทำไมถึงได้ทั้งร้องไห้ทั้งตะโกน แล้วหมุนตัววิ่งหนีไปล่ะ

มารฝันกล่าวว่า “ที่ข้าให้นางได้เห็นมิใช่ความทรงจำของนาง แต่เป็นความทรงจำของเจ้า”

เสิ่นชิงชิวเข้าใจทันที นั่นก็คือความทรงจำของเสิ่นจิ่วที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยในกายเขานั่นเอง

เขาสนใจอดีตของเสิ่นชิงชิวที่เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีไม่ได้เขียนเอาไว้มาตลอด จึงขอทันทีว่า “ผู้อาวุโสจะช่วยเรียกออกมาให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”

มารฝันมองเขา ไม่ถามว่าความทรงจำของตัวเองแท้ๆ ทำไมต้องให้คนอื่นเรียกมาให้ดู ถามเพียงว่า “เจ้าจำไม่ได้หรือ”

เสิ่นชิงชิวกำลังเตรียมจะเอาเรื่องธาตุไฟเข้าแทรกความทรงจำเลยเสียหายมาเป็นข้ออ้างอยู่พอดี จึงพยักหน้า “ถูกต้องขอรับ”

พึงรู้ว่าธาตุไฟเข้าแทรกความทรงจำเสียหายอะไรนั่น โอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นต่ำมาก แต่มารฝันก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอะไร แค่เอ่ยว่า “เรื่องบางเรื่องจำไม่ได้ก็ดีแล้ว”

เสิ่นชิงชิวร้องขอ “ขอผู้อาวุโสโปรดช่วยเหลือด้วย”

มารฝันถามว่า “เจ้าอยากดูจริงๆหรือ”

เสิ่นชิงชิวพยักหน้าทันที มารฝันยื่นนิ้วออกมาแตะที่หน้าผากเขา “หลับตา พอข้าปล่อยมือค่อยลืมตา”

เสิ่นชิงชิวหลับตาตามที่ฝ่ายนั้นบอก มารฝันกล่าวต่อว่า “ความทรงจำของเจ้าไม่สมบูรณ์ กระโดดไปกระโดดมาไม่ปะติดตะต่อ บางทีอาจเห็นหน้าตาคนได้แบบเลือนราง นี่เกิดจากตัวของเจ้าเองนะ”

ความหมายก็คือหากเจอ Bug เป็นเพราะปัญหามันอยู่ที่ไฟล์ต้นฉบับของแก ไม่ใช่อยู่ที่ฝีมือฉัน

เสิ่นชิงชิวนับหนึ่งถึงสิบในใจ รอจนกระทั่งแรงกดที่หน้าผากหายไปก็ลืมตาขึ้น เด็กชายตัวผอมบาง ผมเผ้ารุงรังผู้หนึ่ง กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นโดยมีเชือกมัดแขนไพล่หลังอยู่ตรงหน้าเขา

เด็กคนนี้หน้าขาวคางแหลม คิ้วตางามหมดจด ทว่าหน้าตากลับดูอมทุกข์อย่างยากจะกำจัด มุมปากและหน้าผากมีร้อยฟกช้ำสองปื้น นี่ก็คือเสิ่นจิ่วในวัยเยาว์นั่นเอง

ตอนอยู่ที่เมืองฮวาเยวี่ย เสิ่นชิงชิวหนีออกจากห้วงฝันของลั่วปิงเหอแล้วหลุดเข้าไปในเศษซากความทรงจำที่เหลืออยู่ของเสิ่นจิ่วโดยบังเอิญ ที่เห็นก็คือฉากนี้นี่เอง เขากวาดตามองไปโดยรอบ พบว่าที่มองเห็นคร่าวๆในตอนนั้นเขาไม่ได้มองผิดไปจริงๆ ห้องนี้เป็นห้องที่กว้างขวางมาก มีห้องนอนและห้องหนังสือเชื่อมต่อกันโดยมีประตูวงเดือนทำจากไม้จันทร์คั่นกลาง เครื่องเรือนหรูหราราคาแพง ผนังทุกด้านมีภาพวาดตัวอักษรลายมือประณีตงดงามชนิดที่หากไม่ใช่เศรษฐีไม่มีปัญญาหามาได้แขวนอยู่ ย่อมไม่ใช่รังของพวกพ่อค้าทาสอย่างแน่นอน

เสิ่นชิงชิวยกมือขึ้นกอดอก ยืนพิงตู้เก็บของที่อยู่ด้านข้าง รอดูเงียบๆ

ประตูไม้แกะสลักที่อยู่ด้านหน้าเปิดอย่างไร้สุ้มเสียง

เสิ่นจิ่วคอแข็งทื่อ กลอกตาขึ้น เงาร่างของผู้ที่เข้ามาฉายสะท้อนอยู่บนดวงตาของเขา

ผู้ที่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาคือหนุ่นน้อยที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราราคาแพงผู้หนึ่ง เห็นหน้าตาของเขาคล้ายคลึงกับชิวไห่ถังห้าหกส่วน เสิ่นชิงชิวรู้เลยว่านี่จะต้องเป็นเจ้าทุกข์รายใหญ่ของคดีฆ่าล้างตระกูลซิว พี่ชายของซิวไห่ถังแน่นอน

ที่เขาเคยนึกสงสัยมาก่อนนั้นไม่ผิดจริงๆ ช่วงเวลาที่เสิ่นจิ่วอยู่บ้านตระกูลซิว ดูยังไงก็ไม่เหมือนที่ซิวไห่ถังพูดว่า ‘สนิทสนม’ เลยสักนิด

เด็กหนุ่มผู้นั้นเยื้องย่างช้าๆมาหยุดข้างกายเสิ่นจิ่ว แล้วเดินวนรอบกายเขาครึ่งรอบ เสิ่นจิ่วหน้าขึง เม้มปากแน่น แม้หน้าตาจะบึ้งตึง ไหล่กลับสั่นเบาๆ เห็นชัดว่าหวาดกลัวแต่ฝืนทำนิ่งเข้าไว้

และแล้วคุณชายน้อยสกุลซิวก็ยกขาขึ้นถีบไปที่กลางหลังเขา เสิ่นจิ่วหน้าคว่ำลงกับพื้นทันที

คุณชายซิวหัวเราะหยัน “ทำไมเล่า คราวนี้ไม่กล้าสู้กลับแล้วหรือ”

เสิ่นจิ่วล้มคะมำจนจมูกเปื้อนทั้งเลือดและฝุ่น กล่าวเสียงอ่อยว่า “คุณชายโปรดไว้ชีวิต ข้าไม่รู้จริงๆว่าเป็นท่าน”

คุณชายซิวกล่าวว่า “ไม่รู้อย่างนั้นเหรอ ขนาดไม่รู้เจ้ายังกล้ามากวนโมโหข้าเนี่ยนะ!”

เขาตบเสิ่นจิ่วคว่ำลงไปกับพื้น หน้าผากกระแทกไม้กระดานเสียงดังดตึง เลือดกำเดาสองสายไหลย้อยมาตามคาง คุณชายซิวดูจะได้รับความเพลิดเพลินอย่างสูงในการตบหัวเขาเล่นราวกับเป็นลูกหนัก

เสิ่นชิงชิวยืนดูด้วยสีหน้า “…” โดยตลอด เป็นเช่นนี้อยู่สิบกว่าครั้งในที่สุดเสิ่นจิ่วก็อดรนทนไม่ไหว ร้องตะโกนว่า “เจ้าจะเอาเช่นไรกันแน่”

คุณชายซิวหัวเราะชั่วร้าย “ตอนนี้เจ้าเป็นคนของบ้านข้า ข้าจะเอาเช่นไรย่อมได้ทั้งนั้นแหละ”

ทันใดนั้นนอกประตูมีเสียงอ่อนหวานของสาวน้อยดังขึ้น “เกอเกอ? เกอเกอ? ท่านอยู่ข้างในหรือไม่”

(哥哥 เกอเกอ คำเรียกพี่ชาย)

คุณชายซิวได้ยินเสียงเรียกของน้องสาวก็หน้าเปลี่ยนสี แก้มัดให้เสิ่นจิ่ว ขู่เสียงต่ำว่า “เช็ดหน้าเจ้าเสีย ขืนพูดผิดคำเดียวละก็ เจ้าตายแน่”

เสิ่นจิ่วทั้งเกลียดทั้งกลัวคนผู้นี้ รังสีอำมหิตวาบขึ้นในดวงตา เขากล้าแค้นแต่ไม่กล้าพูด ถูหน้าแรงๆสองที เช็ดเลือดและฝุ่นที่จมูกแต่นึกไม่ถึงว่ายิ่งเช็ดยิ่งเลอะ

คุณชายซิวเห็นดังนั้นก็เอาแจกันดอกไม้ข้างหน้าต่างมาใบหนึ่ง สาดน้ำในแจกันใส่หน้าเขา แล้วเปลี่ยนสีหน้า เดินไปเปิดประตูด้วยรอยยิ้มสดใสฉาบทั่วใบหน้า “ถังเอ๋อร์มาได้อย่างไรกันนี่”

ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็รู้ว่านิสัยหน้าไหว้หลังหลอกของเสิ่นชิงชิวคนเก่ามีที่มายังไง เป็นได้ว่าคงมาจากนายน้อยสกุลซิวทำให้เห็นจนชินตานี่เอง

ซิวไห่ถังสวมเสื้อปักสีม่วงอ่อน สวมรองเท้าผ้าต่วนปักลายสีขาว หัวรองเท้าติดไข่มุก ดูเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมจริงๆ ช่างแตกต่างกับสาวสวยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนผู้นั้นลิบลับ กล่าวได้ว่าสวยไปคนละแบบ นางเดินเข้าประตูมา หัวเราะคิก “ข้าได้ยินว่าท่านซื้อคนผู้หนึ่งมา เลยเข้ามาดูว่าเป็นอย่างไร”

นางเห็นเด็กชายผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงมุมห้อง ก้มหน้าคอตก เก็บมือเก็บเท้าเรียบร้อย ทว่าหน้าตากลับดูดีมาก ดวงตาของนางเปล่งประกายวาบขึ้น เดินเข้าไปถามอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าคือเสี่ยวจิ่วหรือ”

เสิ่นจิ่วเช็ดหน้าสะอาดแล้ว ก้มหน้างุด ไม่ตอบคำถาม คุณชายซิวยืนอยู่ด้านหลังน้องสาว ดวงตาแฝงแววข่มขู่ กล่าวยิ้มๆว่า “เขาไม่ค่อยชอบพูดเท่าไร นิสัยออกจะพิลึกอยู่มาก”

ซิวไห่ถังจับมือเขาขึ้นมา เซ้าซี้ว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบพูดล่ะ พูดกับข้าหน่อยนะ ได้หรือไม่”

เสียงนางสดใสนุ่มนวล น้ำเสียงเป็นกันเอง กิริยาท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจตัดใจทำหน้าโหดใส่นางลง

เสิ่นชิงชิวคิด หนิงอิงอิงกับซิวไห่ถังตอนเป็นวัยรุ่นมีส่วนที่เหมือนกันอยู่นิดๆนะ ที่แท้เสิ่นชิงชิวคนเก่าชอบแบบนี้นี่เอง

เสิ่นจิ่วตอนแรกทำหน้านิ่งๆ แต่ต้านทานท่าทางออดอ้อนแบบนี้ของสาวน้อยไม่อยู่ จึงพยายามเก็บอาการด้วยการเบือนหน้าไปทางอื่นแต่ใบหูสองข้างกลับแดงก่ำ ซิวไห่ถังเห็นดังนั้นก็ตบมือกล่าวว่า “เกอเกอ เขาน่าสนใจจริงๆ มิน่าเล่าแต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่เคยชอบพาคนนอกเข้าบ้านมาก่อน แต่กลับซื้อเขามา ข้าชอบเขานิดๆแล้วล่ะ”

คุณชายซิวปากยิ้มตาไม่ยิ้ม “ข้าก็ชอบเขามากเหมือนกัน”

เสิ่นจิ่วได้ยินคำว่า ‘ชอบ’ ก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างอดไม่อยู่

มาถึงตรงนี้ จู่ๆภาพก็มืดลงกะทันหัน

คนสองสามคนในฉากหายไปอย่างไร้ร่องรอย เสิ่นชิงชิวชะงัก รู้ทันทีว่านี้เป็นสภาวะความทรงจำขาดช่วงอย่างที่มารฝันบอกไว้ เนื่องจากความทรงจำของเสิ่นชิงชิวคนเก่าเหลืออยู่ในร่างแบบขาดๆหายๆ ไม่ปะติดปะต่อ สภาวะทรงจำขาดช่วงจึงค่อนข้างถี่ ความทรงจำท่อนเมื่อครู่หมดแล้ว ตอนนี้กำลังเริ่มความทรงจำอีกท่อนหนึ่ง

ฉากยังคงเป็นห้องนี้อยู่ เสิ่นจิ่วคราวนี้ไม่ได้ถูกมัด แต่ยังจมูกบวมตาเขียวนอนคว่ำหน้ากับพื้น นิ้วจิกพรมปูพื้นแน่น ตามซอกนิ้วเต็มไปด้วยเลือด

แต่แล้วก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ข้างนอกมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งส่งเสียงเรียกต่ำๆอยู่ในลำคอ “เสี่ยวจิ่ว เสี่ยวจิ่ว”

ได้ยินเสียงนี้เสิ่นจิ่วก็ขยับทันที โผไปที่ประตู เอาหน้าไปใกล้แม่กุญแจที่คล้องอยู่ “ชีเกอ! (พี่เจ็ด)”

เด็กหนุ่มด้านนอกกล่าวว่า “เบาเสียงหน่อย ข้าลอบเข้ามา”

เสิ่นชิงชิวตอนแรกยังเดาไม่ออกว่าคนที่อยู่ด้านนอกเป็นใคร แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ชื่อของเสิ่นจิ่วมีคำว่าจิ่ว (เก้า) เพราะตกมาอยู่ในมือของพ่อค้าทาสเป็นลำดับที่เก้า ดังนั้นก็ต้องมี  1 2 3 4 5 6 7 8 อยู่แล้ว

แต่ด้วยนิสัยของเสิ่นจิ่วกลับมีเพื่อนที่คบหากันดีๆ กับเขาด้วยประเด็นนี้ทำให้เสิ่นชิงชิวประหลาดใจอยู่สักหน่อย

เสียงแกรกกรากดังขึ้นด้านนอก เหมือนคนที่อยู่ข้างนอกกำลังเขย่าประตู เสิ่นจิ่วกล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก จะข้างนอกข้างในล้วนคล้องกุญแจไว้ห้าหกลูก หน้าต่างก็ใส่กุญแจด้วยเหมือนกัน”

เด็กหนุ่มผู้นั้นกล่าวอย่างกังวลว่า “คราวนี้หนีไม่สำเร็จ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเจ้ากระมัง”

เสิ่นจิ่วเดือดดาลขึ้นมาทันที ด่าว่า “ไม่ทำอะไรรึ เจ้าเง่ารึเปล่า เอาข้ามาขังในนี้สองวันแล้ว ตีขาข้าหักทั้งสองข้าง เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”

เสิ่นชิงชิวเห็นอย่างชัดเจนว่า ถึงเขาจะโดนซ้อมหนักจนเดินไม่ได้ แต่ขาทั้งสองข้างยังอยู่ดี หักที่ไหนกัน แต่เด็กหนุ่มด้านนอกมองไม่เห็นสภาพภายในห้อง ดูท่าจะเชื่อว่าเขาพูดจริง จึงกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”

เสิ่นจิ่วกล่าวอย่างโกรธแค้นว่า “เป็นเพราะเจ้านั่นแหละไม่ดี ล้วนเป็นความผิดของเจ้า เด็กใหม่พวกนั้นเจ้ากับข้าก็ไม่ได้สนิทสนมด้วยเสียหน่อย พวกมันจะถูกเหยียบก็ปล่อยให้โดยเหยียบไปซิ ทำไมเจ้าต้องไปเสนอหน้าช่วยพวกมันด้วย หรือเจ้ากลัวว่าชีวิตชั้นต่ำอย่างพวกเรายังถูกทุบตีไม่พอ นี่ถ้าเจ้าไม่เสนอหน้า ข้าก็ไม่ต้องเดือดร้อนไปช่วยเจ้าหรอก และถ้าข้าไม่ไปช่วยเจ้า ยังจะมีเรื่องกับเขาไหม แล้วคนแซ่ซิวมันจะเจาะจงซื้อตัวข้าไหม เขาไม่ซื้อข้า ข้าจะเป็นเช่นนี้ไหม สองวันทุบตีชุดเล็ก สามวันทุบตีชุดใหญ่ ทุบตีข้าเหมือนหมูเหมือนหมา!”

เด็กหนุ่มผู้นั้นพร่ำไม่หยุดว่า “ขอโทษด้วย เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”

กะแล้วไม่มีผิด ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเสิ่นจิ่ว หากมีเพื่อนกับเขาสักคนอีกฝ่ายต้องนิสัยดีจนน่าสงสารอย่างแน่นอน หลังจากอีกฝ่ายขอโทษขอโพยนับครั้งไม่ถ้วน เสิ่นจิ่วถึงค่อยหายโกรธขึ้นมา กล่าวว่า “ช่างเถอะ ชีวิตยี้ข้าไม่เคยยึดถือคุณธรรมน้ำมิตรมาก่อน คุณธรรมครั้งเดียวในชีวิตมอบให้เจ้าก็แล้วกัน”

เด็กหนุ่มผู้นั้นกล่าวอย่างซาบซึ้งว่า “ข้ารู้”

เสิ่นจิ่วกล่าวอย่างดุดันว่า “เจ้าจะมารู้กะผีอะไร”

เด็กหนุ่มพูดว่า “ข้ารู้จริงๆนะ ชีเกอจดจำคุณธรรมนี้ของเจ้าไว้แล้ว ต่อไปภายหน้าจะต้องตอบแทนให้เจ้าแน่”

เสิ่นจิ่วถ่มถุย “เพ้ย! ยังจะมาพูดถึงวันหน้าอะไรอีก อย่างกับชีวิตนี้เจ้าจะหลุดรอดจากเงื้อมมือได้พ่อค้าทาสไปได้อย่างนั้นแหละ วันหน้าก็คงมีชะตาเป็นพ่อค้าทาสเหมือนกัน ไม่ซิ เจ้าเป็นคนดีเกินไป เจ้าทำไม่ได้หรอก อย่างมากก็เป็นขอทานต่อไปนี่แหละ”

เด็กหนุ่มกล่าวว่า “เสี่ยวจิ่ว ที่ข้าจะมาบอกกับเจ้าก็คือเรื่องนี้พอดี ข้าต้องไปแล้ว วันนี้จะมาบอกลาเจ้า”

เสิ่นจิ่วตกตะลึง ยันกายขึ้นนั่งตัวตรงทันที “ไปหรือ เจ้าจะไปไหน”

เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าชีเกอตอบว่า “ข้าไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว สกุลซิวเป็นผู้มีอิทธิพลในเมือง พวกเราจะสู้ก็สู้ไม่ได้ หนีก็หนีไม่ได้ ใต้หล้ามีสำนักวิชาเซียนมากมายปานนี้ ข้าจะไปหาสักแห่ง ศึกษาวิชาเซียนให้เก่งแล้วกลับมาช่วยเจ้า”

ดวงตาของเสิ่นจิ่วเรืองประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันที “ชีเกอ ได้ยินว่าทางตะวันออกมีภูเขาเซียนแห่งหนึ่ง ทุกปีจะรับศิษย์ที่มีความสามารถโดดเด่น เจ้าจะไปที่นั่นหรือ”

เด็กหนุ่มเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ แต่ก็จะลองดู ต้องมีสักสำนักรับข้าแน่”

เสิ่นจิ่วพึมพำว่า “หากข้าไม่ถูกขังอยู่ในนี้ก็สามารถไปกับเจ้าได้แล้ว…” ใบหน้าเขาเผยให้เห็นแววอิจฉาอย่างอดไม่อยู่ จ้องรอยแยกของประตูเขม็ง ดูท่ากำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่ เสิ่นชิงชิวอดเหงื่อตกแทนคนที่อยู่ข้างนอกไม่ได้

ผ่านไปสักครู่เสิ่นจิ่วถอนใจอีกครั้ง และกล่าวว่า “ชีเกอ ต่อไปภายหน้าเจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่นเช่นนั้นอีก มีแต่จะเสียเรื่อง คราวนี้ถือว่าข้าโชคร้ายก็แล้วกัน แต่วันหน้าหากเจ้าเข้าสำนักเซียนเหล่านั้นได้ แล้วยังเป็นเช่นนี้อยู่จะทำอย่างไร เจ้าต้องใจเย็นหน่อยนะ”

อายุยังน้อยก็สั่งสอนคนที่โตกว่าเสียแล้ว เสิ่นชิงชิวรู้สึกขำจนบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มที่อยู่นอกประตูไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจแม้แต่น้อย กลับกล่าวอย่างละอายเสียด้วยซ้ำ “ข้าจะจำไว้”

เพราะเริ่มมีความหวัง กระทั่งน้ำเสียงของเสิ่นจิ่วก็มีชีวิตชีวาขึ้น “เจ้าต้องทำที่เคยพูดไว้ให้ดี ต้องกลับมาช่วยข้าให้ได้”

ชีเกอคล้ายจะพยักหน้าแรงๆกล่าวหนักแน่นว่า “ได้ เจ้ารอข้านะ รอให้ข้าเรียนวิชาสำเร็จ จะต้องมาพาเจ้าไปแน่”

เด็กหนุ่มทั้งสองที่มีประตูกั้นขวางอยู่ ต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง เสิ่นจิ่วถามว่า “เจ้าไปแล้วหรือ”

เด็กหนุ่มผู้นั้นตอบ “ยังหรอก ข้ารอคำพูดของเจ้าอยู่”

เสิ่นจิ่วกล่าวว่า “ชีเกอ เจ้าเข้ามาใกล้ๆหน่อย ให้ข้ามองเจ้าจากรอยแยกของประตูหน่อยเถอะ ไม่รู้ว่า…เจ้าจะ…จะ…ยังต้องอีกกี่ปี จึงจะได้เจอเจ้าอีก”

เด็กหนุ่มหัวเราะ กล่าวว่า “เจ้าจะบอกว่า ไม่รู้ว่าเจ้าจะตายอยู่ข้างนอก ใช่หรือไม่ ได้ซิ”

เสิ่นจิ่วทำเสียงถุยทีหนึ่ง กล่าวว่า “นี่เจ้าพูดเองนะ อย่ามาโทษว่าข้าปากเสียเล่า” เขาแข็งใจกระเถิบไปใกล้ประตู เอาหน้าแนบกับรอยแยก

เสิ่นชิงชิงอยากรู้อยากเห็น เลยตามเข้าไปด้วย มองออกไปข้างนอกผ่านรอยแยกสายหนึ่ง

…วอท เดอะ ฟัค!

ที่เสิ่นชิงชิวสบถ ไม่ใช่เพราะใบหน้าของอีกฝ่ายนะ หากเป็นแบบนั้นก็จะดีหรอก แต่ประเด็นคือใบหน้าของเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านนอกมันเบลอไปหมด เบลอเหมือนภาพโมเสกเวลาหนังโดนเซ็นเซอร์นั่นเลย!

แม้มารฝันจะบอกไว้แล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเจอคนหน้าเบลอและความทรงจำขาดช่วง แต่ความเป็นไปได้นี้ก็กระแทกชนเสิ่นชิงชิวจังเบ้อเร่อ จนอยากกระอักเลือดสุดๆ

ขนาดลุงมารฝันก็ซ่อมไอ้ Bug นี่ไม่ได้เหรอ แล้วตกลงคนๆนี้หน้าตาเป็นไงวะเนี่ย อยากรู้จะตายอยู่แล้ว!

ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังจะมุดประตูออกไป ลองดูว่าหากเข้าไปใกล้อีกนิด ภาพโมเสกมันอาจจะหายไป ความทรงจำก็ขาดช่วงอีกรอบ

คราวนี้ฉากคือห้องหนังสือ

นายน้อยสกุลซิวกำลังเขียนหนังสือ เสิ่นจิ่วคอยยืนรับใช้อยู่ข้างๆฝนหมึกให้เขาเงียบๆ

เสิ่นจิ่วในเวลานี้ยังคงเป็นเด็กหนุ่มร่างผอมแต่ตัวสูงขึ้นมาก เทียบกับคนรุ่นเดียวกันถือว่าสูงชะลูดทีเดียว คอยยืนรับใช้อยู่ด้านข้าง ดูมีกลิ่นอายของปัญญาชนกับเขานิดๆเหมือนกัน

ตอนที่กระดาษใกล้จะหมดหน้า เสิ่นจิ่วกล่าวอย่างจ๋องๆว่า “คุณชาย…มะ…มีเรื่องหนึ่ง…”

คุณชายซิวไม่เหลือบตาขึ้นมองด้วยซ้ำ “ที่เจ้าจะพูดคือเรื่องเจ้านักต้มตุ่นในเมืองคนนั้นใช่หรือไม่”

เสิ่นจิ่วแย้ง “ผู้อาวุโสอู๋เยี่ยนจื่อไม่ใช่นักต้มตุ๋นนะขอรับ”

คุณชายซิววางพู่กัน ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าอยู่บ้านนี้อย่างสงบเสงี่ยม ใช้ชีวิตเป็นเขยแต่งข้าวของเจ้าไป อยู่กับน้องสาวข้าให้สบายก็ใช้ได้แล้ว จะคิดเรื่องเพ้อฝันให้มากมายปานนั้นทำไม”

เงียบไปครู่หนึ่งจู่ๆเสิ่นจิ่วก็กัดฟันกรอด “…ใช้ชีวิต ใช้ชีวิต…ข้าไม่ได้อยากใช้ชีวิตเช่นนี้!”

ในที่สุดคุณชายซิวก็เหลือบตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็กระโดดถีบเข้าที่ขาพับของเขา

เสิ่นจิ่วล้มตึง หน้าคว่ำลงไปฟาดพื้น

เสิ่นชิงชิวอดลูบน่องตัวเองที่ยังอยู่ในสภาพดีไม่ได้ ตลอดหลายปีมานี้ทั้งสองคนดำเนินความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้มาตลอดเลยหรือ

คุณชายซิวลุกขึ้นจากเก้าอี้ หัวเราะหยัน “ที่ข้าสอนเจ้าหลายปีมานี้ สู้วิชาปาหี่นอกรีตนอกรอยของเจ้านักต้มตุ๋นนั่นไม่ได้งั้นรึ”

เสิ่นจิ่วจมูกเปื้อนฝุ่น เลือดกำไหล แต่เชิดหน้าขึ้นกล่าวเยาะเย้ย แฝงแววลำพองอยู่ในที “นั่นมิใช่วิชาปาหี่นอกรีตนอกรอย แต่เป็นวิชาเซียน คนธรรมดาสามัญอย่างเจ้าได้แต่เรียกคนอื่นว่านักต้มตุ๋นเพื่อปลอบใจตัวเองเท่านั้นแหละ”

คุณชายซิวยอบกายลง จิกผมเขาขึ้นมา กล่าวเสียงสูงเสียงต่ำอย่างเน้นย้ำว่า “วิชาเซียนหรือ อย่าบอกนะว่า พันธุ์ชั้นต่ำอย่างเจ้ายังหวังจะฝึกเป็นเซียนกับเขาน่ะ”

เสิ่นจิ่วเบี่ยงหน้าไปทางอื่น หมายหลบฝ่ามืออีกฝ่าย

คุณชายซิวตบหน้าผากเขาเป็นจังหวะช้าๆ อากัปกิริยาแฝงความดูถูกดูหมิ่นเต็มเปี่ยมแล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าน่ะไม่นับว่าเป็นคนได้ด้วยซ้ำ ยังหวังจะเป็นเซียนกับเขาหรือ”

เสิ่นจิ่วเอามือกุมหัว ไม่พูดไม่จา เห็นเขาห่อเหี่ยว แรงจากมือของคุณชายซิวก็ผ่อนลงเล็กน้อย กล่าวเป็นงานเป็นการว่า “อยู่อย่างเชื่อฟัง ทำหน้าที่ของตัวเองไป มีอะไรไม่ดีกัน เจ้า 15 แล้ว อายุไม่น้อย ถึงวัยมีครอบครัวได้แล้ว เลยช่วงวัยที่เหมาะจะฝึกวิชาเซียนไปนานแล้ว จะฝึกให้ได้อะไรขึ้นมา หากเจ้าเลอะเลือนติดตามเขาไป ยังไม่แน่ว่าเขาจะรับเจ้าไว้เสียหน่อย”

รนหาที่ตาย รนหาที่ตายแท้ๆเลย

สิ่งที่เสิ่นชิงชิวตัวจริงใส่ใจที่สุดในชีวิตคือพลังฝึกปรือ ไม่ยอมให้ใครเก่งกว่าเขา  ยิ่งทนฟังไม่ได้หากคนอื่นมาพูดสักครึ่งคำว่าเขาไม่เก่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่อิจฉาและเกลียดขี้หน้าลั่วปิงเหอเป็นบ้าเป็นหลังหรอก หมอนี่ดันบังอาจมาพูดใส่หน้าเขาตรงๆว่าเขาไม่มีอนาคต

เสิ่นจิ่วพลิกแขนอย่างแรง คว้าเอาแท่นฝนหมึกบนโต๊ะขว้างใส่คุณชายซิว มองจากมุมนี้เหมือนกำลังจะขว้างมาใส่เสิ่นชิงชิว เขาจึงเอี้ยวตัวหลบไปข้างๆโดยสัญชาตญาณ

แน่นอนว่าแท่นฝนหมึกย่อมไม่โดนเขา ทั้งไม่โดนคุณชายซิวด้วย แต่ฝ่ายหลังโดนหยดหมึกกระเซ็นไปถูกชายเสื้อเข้า เสื้อปักฝีมือประณีตจึงเสียหายไปเช่นนี้ ใบหน้าคุณชายซิวบึ้งตึงทันที ด่าว่า “ถังเอ๋อร์ชอบเจ้า นั่นเป็นวาสนาที่เจ้าสั่งสมมาแต่ชาติปางไหน หากไม่ใช่เพราะบ้านข้า ป่านนี้เจ้าก็ยังแต่งตัวเป็นขอทานอยู่ตามถนนปลิ้นปล้อนหลอกเขากินไปวันๆ ตอนนี้เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องไม่มีจะกินทั้งยังอ่านออกเขียนได้ ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาแล้ว ทั้งหมดนี้เจ้าได้มาจากใครเล่า” และจับศีรษะเสิ่นจิ่วโขกลงไปกับพื้น “จะสำนึกบุญคุณสักนิดก็ไม่มี!”

เสิ่นจิ่วดูท่าจะยอมแลกชีวิตแล้ว ตะโกนอย่างแข็งกร้าว “ข้าเป็นคน เหตุใดต้องสำนึกบุญคุณเดรัจฉานตัวหนึ่งด้วย?!”

น่ายกย่องในความกล้าหาญจริงๆ

คุณชายซิวจับเขาเหวี่ยงใส่ผนัง ตะโกนด่า “หลงนึกว่าสองสามปีมานี้เจ้าก้าวหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังเป็นโคลนเหลวไร้ประโยชน์อยู่ดีนั่นแหละ”

บนผนังสีขาวแขวนกระบี่ไว้เล่มหนึ่ง พอถูกเสิ่นจิ่วกระแทกชนก็ร่วงลงมา เสิ่นจิ่วก้นจ้ำเบ้าอยู่มุมผนัง มือแต่ด้ามกระบี่ อารามจวนตัวจึงชักกระบี่ออกจากฝัก เขากำด้ามกระบี่ด้วยสองมือสั่นเทิ้ม จ้องมองคุณชายซิวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแผ่ซ่าน

ฝ่ายหลังไม่เชื่อสักนิดว่าเขาจะกล้าลงมือจริงๆ เลยชี้หน้าเขา “อารมณ์รุนแรงเหมือนกันนี่ ครั่นเนื้อครั่นตัวอยากเจอดีอีกล่ะซิ”

เห็นเขาเดินเข้ามใกล้ขึ้นอีกสองสามก้าว เสิ่นจิ่วก็ขวัญกระเจิงตะโกนลั่น “อย่าเข้ามานะ”

คุณชายซิวกล่าวว่า “ไม่เอาไหนจริงๆ เจ้า…”

หลังคำว่าเจ้า เขาก็หมดโอกาสพูดต่อให้จบประโยค

คุณชายซิวค่อยๆก้มหน้ามอง กระบี่เล่มนั้นเสียบเข้ามาในท้องเขาตรงๆ

คุณชายซิวทำหน้าไม่อยากเชื่อ เสิ่นจิ่วกระชากกระยี่ออกอย่างแรง

เสิ่นชิงชิวที่อยู่ด้านข้างช็อกสุดจะบรรยาย

เชี่ยๆๆๆๆ แม่งฆ่ากันให้เห็นแบบถ่ายทอดสดเลย!

สถานการณ์พลิกผันในชั่วพริบตา พูดกันได้ไม่กี่ประโยคก็เกิดการสังหารโหดแล้ว

เสิ่นจิ่วตกตะลึง คุณชายซิวเอามือข้างหนึ่งกุมท้อง ชิงกระบี่มาอย่างดุดัน ขาข้างหนึ่งถีบอีกฝ่ายล้มลงไปนอนพังพาบกับพื้น ตะโกนขึ้น “ใครก็ได้เข้ามาที!”

เสิ่นจิ่วรีบโผเข้าไปคว้าคอเขา ขณะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน บ่าวในบ้านสองสามคนก็กรูกันเข้ามา พอเห็นสภาพด้านในห้องหนังสือเข้าก็เอะอะอื้ออึงกันจ้าละหวั่น

เสิ่นจิ่วทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว มือวาดถาถาอะไรก็ไม่รู้ กระบี่ที่คุณชายซิวถืออยู่ในมือพลันบินขวางออกไป คนรับใช้ล้วนถูกแทงทะลุอกกราวรูด

ครั้นหันหน้ามาอีกที คุณชายซิวกำลังเดินโซซัดโซเซมาทางเขา มือแดงฉานทำเหมือนจะเข้ามาคว้าจิกผม เสิ่นจิ่วสั่งกระบี่ออกไปอีกครั้ง คราวนี้แทงทะลุปอดเขาเลยทีเดียว

หลังจากนั้นก็แทงติดต่อกันกระบี่แล้วกระบี่เล่า มีแรงเท่าไหร่ล้วนใช้ไปจนหมด เสิ่นจิ่วยิ่งแทงยิ่งบ้าเลือด สีหน้าทวีความดุดันอำมหิตมากขึ้น แทงเข้าไปติดๆกันกว่า 50 กระบี่ จนกระทั่งหน้าแต่และอวัยวะส่วนสำคัญของศพยับเยินอาบโชกไปด้วยเลือดนั่นแหละ เขาถึงค่อยหยุดพักหายใจ

นี่น่าจะเป็นการฆ่าคนครั้งแรกของเสิ่นจิ่ว และเป็นครั้งแรกที่ใช้พลักทิพย์ของตัวเองฆ่าคนเช่นกัน

เสิ่นชิงชิวที่ยืนดูเป็นพยานตั้งแต่ต้นจนจบช็อคไปแล้ว

ครั้งแรกก็อย่างโหด!

เสิ่นจิ่วยืนนิ่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยซากศพอยู่เป็นนาน จู่ๆก็รู้สึกตัวขึ้นมา เขาโยนกระบี่ทิ้งดังเคร้ง แล้วเดินไปเดินมาในห้องหนังสือ เอามือเช็ดกับเสื้อผ้าตามสัญชาตญาณ อกสั่นขวัญหายไปหมด ทว่าก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานนักก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว

กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ทั้งหมดทั้งสิ้นกินเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีเท่านั้น กำลังขวัญสุดยอด!

เสิ่นจิ่วยืนทรงตัวนิ่งๆ ลองงอนิ้วดู กระบี่ที่โชกไปด้วยเลือดดูน่าสยดสยองซึ่งแน่นิ่งอยู่กับพื้นเล่มนั้น ก็ค่อยๆลอยขึ้นมา

พอเห็นกระบี่คมกริบลอยขึ้นมาอยู่ระดับสายตา ใบหน้าของเสิ่นจิ่วก็ผุดแววยินดีอย่างประหลาดออกมา คว้ากระบี่เอาไว้แน่น!

เขาสะบัดๆปลายกระบี่ แล้วถืออาวุธสังหารเดินออกไปจากห้องหนังสือ เสิ่นชิงชิวยืนได้สักพัก ระบบก็แจ้งข้อมูล

[ขอแจ้งให้ท่านทราบก่อนว่ากรุณาล็อคเป้าหมายเพื่อกลบหลุม ขอแนะนำว่าควรอยู่ห่างเป้าหมายไม่เกิน 10 เมตร เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถเก็บรวบรวมเนื้อหาได้ครบถ้วนทั้งหมด]

ถ้าไม่ตามเป้าหมายที่จะกลบหลุมก็จะเสียคะแนนเหรอ เสิ่นชิงชิวรีบตามหลังเขาไปติดๆ ก้าวเดียวก็ไม่กล้าทิ้งห่าง เสิ่นจิ่วเลี้ยวตรงมุมหนึ่งชนเข้ากับบ่าวตัวหนาล่ำสองคนพอดี เขาโบกแขนทีหนึ่ง รังสีเย็นยะเยือกวาบขึ้น ลำคออวบหนาทั้งสองก็โดนปาด เลือดพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ

เสิ่นจิ่วแทบจะเห็นใครก็ฆ่าหมด ยิ่งฆ่ายิ่งเมามัน รอยยิ้มชั่วร้ายตรงมุมปากเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทางเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนน่าสังเวช มีคนศีรษะกระเด็นหลุดจากบ่าลงไปกลิ้งกับพื้นแล้ว 10 คน

เสิ่นชิงชิวสังเกตเห็นว่าเขาฆ่าแต่ผู้ชาย ไม่ฆ่าผู้หญิงแม้แต่คนเดียว สาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยล้วนหลบอยู่ก้นครัวไม่กล้าออกมา เขาก็ไม่ได้ตามไปฆ่าปิดปาก แยกเพศชัดเจน เป้าหมายของความพยาบาทก็ชัดเจนอย่างมากเช่นกัน

ขณะกำลังมองด้วยความสยดสยอง ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

ชิวไห่ถังยืนอยู่ที่ปลายระเบียงทางเดิน กำลังมองมาอย่างตื่นตะลึงเสิ่นจิ่วเปรอะเลือดไปทั้งตัว ดูราวกับผีร้าย กำลังชักกระบี่ออกจากคอบ่าวคนหนึ่งอยู่

ใบหน้างดงามของซิวไห่ถังกระตุกหลายที สองตาเหลือกค้าง ล้มตึงลงไปนอนกลางแอ่งเลือด

ดูท่าว่าแม่นางคนนี้มีร่างกายที่พร้อมจะเป็นลมในยามคับขันมาแต่ไหนแต่ไร

พอเห็นซิวไห่ถัง เสิ่นจิ่วก็มีสติขึ้นมาบ้าง มือที่กำกระบี่ห้อยแนบลำตัว เขาพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปยังห้องครัว

หลังจากนั้นไม่นาน ไฟกองหนึ่งก็ลุกพวยพุ่ง เมฆดำบนท้องฟ้ายามราตรีเหนือบ้านสกุลซิวถูกแสงสีแดงอาบจับดูราวกับลาวาที่ปะทุมาจากนรก

เสิ่นจิ่วลากตัวซิวไห่ถังไปซุกไว้ที่พุ่มไม้ด้านนอก ด้านหลังเขามีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นโดยไร้สุ่มเสียง เขาคว้ากระบี่หันกลับไปทันที ดวงตาฉายรังสีอำมหิต แต่เมื่อเห็นผู้มาก็ระบายลมหายใจโล่งอก ส่งเสียงเรียก “ผู้อาวุโส”

‘ผู้อาวุโส’ ผู้นี้ต้องเป็นอู๋เยี่ยนจื่อที่มาตั้งแท่นปะรำทดสอบพลังทิพย์และชักนำให้เสิ่นจิ่วเกิดจิดคิดขบถขึ้นอย่างแน่นอน

อีกฝ่ายถามอย่างเหี้ยมโหดว่า “ไม่สังหารให้สิ้นหรือ”

เสิ่นจิ่วเงียงไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “คนที่ข้าต้องการปลิดชีวิตล้วนมอดม้วยไม่เหลือแล้ว”

คนผู้นั้นกล่าวว่า “ความจริงที่พี่ชายเจ้าพูดไว้ประเด็นเรื่องหนึ่งก็ไม่ผิด ข้ายอมรับว่าพรสวรรค์ของเจ้าดีมาก แต่เจ้าเลยช่วงอายุที่ดีที่สุดในการฝึกวิชาเซียนไปแล้วจริงๆ อีกทั้งการที่เขาทรมานเจ้า ส่งผลให้โครงสร้างร่างกายเสียหายไปบ้างแล้ว วันหน้าคงมีความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่หากคิดปีนให้ถึงขั้นสุดยอดนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว หากเป็นสักสองสามปีก่อนก็อีกเรื่อง”

เมื่อคนผู้นี้ได้ยินคำพูดของคุณชายสกุลซิว แสดงว่าเขาได้เห็นโศกนาฏกรรมครั้งนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ไม่มีความคิดจะสอดมือเข้ามายุ่งแม้แต่น้อย ซ้ำยังนิ่งดูดายอีกต่างหาก เห็นทีว่า ‘ผู้อาวุโส’ คนนี้จะไม่ใช่ตัวละครใจดีอะไร หากเสิ่นจิ่วติดตามเขาไปจริงๆ น่ากลัวว่าคงไม่มีอนาคตที่สดใสแน่

เสิ่นชิงชิวเคยคิดว่าขนาดเสิ่นชิงชิวตัวออริจินอลเข้าสำนักช้ากลับสามารถเข้าสู่ระดับจินตานได้ในช่วงสิบกว่าปีเท่านั้น นับว่าร่างนี้มีคุณสมบัติเป็นเยี่ยมมากแล้ว ที่ไหนได้เดิมทียังสามารถไปได้ไกลกว่านี้ด้วยซ้ำ พอมาทราบความจริงเช่นนี้ กระทั่งคนที่ไม่มีความทะเยอทะยานอย่างเขายังอดถอนใจด้วยความเสียดายไม่ได้ และเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมเสิ่นชิงชิวตัวจริงที่ชอบเอาชนะคะคานผู้นั้น จิดใจถึงได้เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายเคืองขุ่นอยู่ตลอดเวลา ก็นะ สิ่งที่ได้มาแล้ว หากเอาไปเปรียบกับสิ่งที่ไม่เคยได้มา มันก็ต้องน่าแค้นใจอยู่แล้ว

เส้นเอ็นเขียวๆบนหลังสือข้างที่กุมกระบี่ของเสิ่นจิ่วปูดโปน เขากล่าวเย็นเยียบว่า “เดรัจฉานผู้นั้นไม่ใช่พี่ชายข้า อีกอย่างท่านมีทางเลือกอื่นให้ข้าหรือ”

คนผู้นั้นหมุนกายมา เห็นเสิ่นจิ่วยังยืนอยู่ที่ทางเข้าบ้านสกุลซิว เลยถามว่า “ยังไม่ไปอีก รอใครอยู่รึไง”

คำว่า ‘รอใคร’ นี้ น่าจะเป็นแค่การย้อนถามเพราะเคยปากและเพื่อเร่งให้ออกเดินทางเท่านั้น เสิ่นจิ่วหันกลับไปมองเปลวไฟที่กำลังลุกท่วมคฤหาสน์สกุลซิว นัยน์ตาคล้ายกับมีเปลวไฟลุกเรืองขึ้นมาเช่นกัน

พวกบ่าวที่รอดตายชิงกันวิ่งหนี้ออกมาจากตัวบ้าน ท่ามกลางเสียงร่ำไห้มีเพียงร่างซีดขาวของเขายืนนิ่งอยู่หน้าประตูใหญ่ แสงไฟสีส้มจับร่างเขาวูบวาบ เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

ไฟที่ลุกไหม้คฤหาสน์สกุลซิวโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ ขื่อเพดานเริ่มถล่มลงมา เสิ่นจิ่วถูกเถ้าเขม่าปลิวจับเต็มหน้า และดูเหมือนผ้าที่ถูกซักฟอกจนซีดแล้วมีรอยเปื้อน

เขาปากระบี่เข้าไปกลางเปลวไฟสุดแรงเกิด จากนั้นหมุนกายเดินตามไป

“ไม่รอแล้ว”

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าเขาหมายถึงใคร เด็กหนุ่มที่สัญญาว่าจะกลับมาช่วยเขา ไม่ได้กลับมาอย่างที่คิดจริงๆ

แต่มันก็สมเหตุสมผมแล้วไม่ใช่หรือ นี่มันคีย์เวิร์ดในตำนานเลยนะ ใครที่สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ‘ฉันจะกลับมาแต่งด้วยแน่นอน’ ‘เดี๋ยวฉันจะกลับมา’ อะไรพวกนี้ รับประกันได้เลยว่าไม่มีทางกลับมาเด็ดขาด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสองคนนี้โลกสวยเกินไป ใสซื่อเกอนไป

เวลามีใครขอฝากตัวเป็นศิษย์ใคร คนๆนั้นจะต้องรับไว้เสมอหรือ ผิดแล้ว

ต่อให้ฝากตัวเป็นศิษย์ได้จริง ผ่านไปสองสามปี ร่ำเรียนวิชาสำเร็จจริงๆ เห็นโลกกว้างขึ้น มีเรื่องที่ต้องห่วงต้องกังวลมากขึ้น ไม่น่าว่าจะกลับมาตามหาเพื่อนเล่นวัยเยาว์อีก ทั้งยุทธภพเอาแน่เอานอนไม่ได้ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันไปสารพัดชนิด ความน่าจะเป็นที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลับมาช่วยเสิ่นจิ่วมีไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ

ทว่ากลบมาถึงหลุมนี้ เสิ่นชิงชิวก็พอเข้ามจเหตุผลในการหั่นพล็อตของเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

ถ้าจะเอาให้ได้ตามโครงเรื่องเดิมที่วางไว้ ตัวละครแบบนี้เขียนยากจริงๆนั่นแหละ คุณว่าเขาเป็นเดนมนุษย์ แต่เขาก็น่าสงสารด้วย คุณเห็นเขาน่าสงสาร เขาก็โหดเหี้ยมอำมหิตอีก ตัวละครที่เป็นทั้งเดนมนุษย์ทั้งน่าสมเพชมักเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งจนกระทู้แสดงความคิดเห็นต้องกลายเป็นเวทีปะทะคารมอยู่เป็นประจำ สู้หั่นบทตัวละครสารเลวพวกนี้ให้กลายเป็นตัวสารเลวธรรมดาเอาไว้ให้พระเอกได้เหยียบเต็มๆเท้าจะเขียนได้ง่ายกว่า คนอ่าน อ่านแล้วสะใจด้วย

แต่ซิวไห่ถังไร้ความผิดจริงๆ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น นางไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด รักลึกซึ้ง แค้นฝังแน่น ได้ขยำขยี้ชีวิตเด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์ผู้หนึ่งให้กลายเป็นหญิงสาวจมทุกข์ คิดหวังแต่จะแก้แค้น ความตายของนางในสุสานศักดิ์สิทธิ์ยิ่งน่าคับแค้นกว่า บทลงเอยดีสู้ในฉบับนิยายดั้งเดิมไม่ได้ด้วยซ้ำ

หากฉุดนางไว้ได้แต่แรกก็คงดี

ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังทอดถอนใจ จู่ๆภาพก็เปลี่ยนเป็นเหมือนทีวีสมัยก่อนเวลาเจอสัญญาณรบกวน ปรากฏภาพเหมือนหิมะขาวๆดำๆตกเต็มหน้าจอ ฉากกับหน้าคนบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ เสียงก็เป็นเสียงงี๊ดๆราวกับภาษาเอเลี่ยน

ระบบประกาศ [ความทรงจำบกพร่องไม่สมบูรณ์ ระดับความเสียหายของข้อมูล 5% ระดับความเสียหายของข้อมูล 7% ระดับความเสียหายของข้อมูล 9%…]

ช่วงที่ความทรงจำขาดหายขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อยๆแล้ว!

เปอร์เซ็นต์ความเสียหายสูงขึ้นๆ เสิ่นชิงชิวตบกรอบแจ้งเตือนรัวๆ เหมือนตอนเด็กที่เวลาสัญญาณทีวีขาดหายก็จะ ‘ซ่อม’ ให้คนอื่นด้วยการตบทีวีรัวๆ ตบไปสิบกว่าทีกลับได้ผลเป็นที่อัศจรรย์ขึ้นมาจริงๆ ตอนที่ระดับความเสียหายของข้อมูลมาถึง 10% ในที่สุดเสียงแจ้งเตือนก็หยุด ภาพหิมะขาวดำหายไป เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น

เสิ่นชิงชิวถึงค่อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หดมือกลับและก้าวถอยหลัง ยังไม่ทันหยุดยืนนิ่งๆก็ต้องเบิกตากว้าง

เบื้องหน้าเขาห่างออกไปไม่กี่ก้าว มีเด็กหนุ่มตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังนั่งคุดคู้อยู่

บนแก้มขาวผ่องเปื้อนคราบดินซึ่งเป็นได้ว่าติดมาโดยไม่รู้ตัวตอนเช็ดเหงื่อ ที่คอห้อยจี้กวนอิมหยกคล้องด้ายแดงอยู่ชิ้นหนึ่ง มีห่อผ้าลายดอกห่อเล็กๆ ขาดเปื่อยมัดติดอยู่กับหลัง กำลัง…ขุดดินอย่างขะมักเขม้น

เสิ่นชิงชิวโพล่งออกไป “ลั่วปิงเหอหรือ”

ลั่วปิงเหอน้อยไม่ได้ยิน ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขุดหลุมแล้วเอาดินกลบ

เขามองไปรอบด้าน ในหุบเขากว้างใหญ่คนนับร้อยทั้งหญิงชาย ผู้ใหญ่และเด็ก ในชุดเสื้อผ้าหลากหลายกำลังพร้อมใจกัน…ขุดดิน

ความคิดหนึ่งวาบขึ้นในสมองเสิ่นชิงชิว เขาเงยหน้าขึ้นมอง จริงๆด้วย ด้านบนของหุบเขาเป็นผาหินสูงชัน มีคนยืนอยู่สองคน

คนหนึ่งแต่งกายในชุดเสวียนตวนสีดำสนิท กิริยาท่าทางสุขุม กำลังทอดตามองลงมายังผู้คนนับร้อยที่หุบเขาเบื้องล่าง อีกคนหนึ่งที่เอวสะพายกระบี่ยาว ควงพัดด้ามจิ้วเล่นไปมาระหว่างนิ้ว ลมโชยพัดชุดเขียวของเขาเบาๆ ดูราวกับระลอกคลื่นบนผิวน้ำสีมรกต เขาเชิดหน้าเล็กน้อยหลุบตามองบรรดามดปลวกเบื้องล่างด้วยสีหน้าเนือยๆ

เยวี่ยชิงหยวนกับเสิ่นชิงชิวนั่นเอง

นี่คือฉากที่ลั่วปิงเหอเข้าหุบเขามารับการทดสอบ เพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์สำนักชางฉยงซาน

คุณไม่ได้อ่านผิดหรอก หัวข้อที่ใช้ในการทดสอบคือการขุดดินจริงๆ

แม้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีจะเขียนอธิบายไว้หลายย่อหน้า รวมทั้งชี้แจงไว้ในช่วงสนทนานอกเรื่องกับผู้เขียน ว่าการขุดดินไม่ใช่แค่การสักแต่ขุดอย่างเดียว หากแต่เป็นการใช้การเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนจะง่ายๆนี้ ทดสอบพละกำลัง ความเร็ว ความมุ่งมั่น วิธีการโคจรพลังทิพย์ ไปจนถึงลักษณะนิสัย ฯลฯ ของผู้ขุด แต่เสิ่นชิงชิวจำเหตุผลไม่ได้เลยสักข้อ ในใจเขาต่อให้อธิบายมากมายยังไง มันก็คือการสักแต่ขุดๆไปเท่านั้นแหละ

เสิ่นจิ่วในยามนี้ น่าจะมีตำแหน่งเป็นเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงแล้ว

กฎระเบียบของชางฉยงซานนั้นเจ้ายอดเขาทั้งสิบสองต้องทำอะไรไปในทางเดียวกัน รับตำแหน่งพร้อมกัน ลงจากตำแหน่งก็ลงพร้อมกัน จะทำพิธีอะไรก็ต้องอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ปลีกวิเวกเร้นกายก็ปลีกวิเวกเป็นโขยงด้วยกัน แม้แต่ระหว่างอยู่ในตำแหน่งหากมีเจ้ายอดเขาคนไหนโชคร้ายละสังขารไปก่อนก็ได้แต่ปล่อยให้ตำแหน่งนั้นว่างไป ตอนเสิ่นชิงชิวแกล้งหนีตายอยู่ 5 ปี ตำแหน่งเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงก็เว้นว่างไว้ ดังนั้นจึงไม่เคยมีสถานการณ์อย่างเจ้ายอดเขาต่างรุ่นกันต้องมาทำงานร่วมกันเลย

ถึงอาจมีสถานการณ์พิเศษที่ทำให้เกิดปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็ดีตรงที่ไม่มีช่องว่างระหว่างวัย ความรู้สึกผูกพันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเจ้ายอดเขายังแข็งแกร่งเป็นพิเศษด้วย

พอคิดมาถึงตรงนี้เสิ่นชิงชิวก็หวนคิดไปถึงกฎอีกข้อหนึ่ง

หลังจากเจ้ายอดเขารุ่นก่อนประกาศแต่งตั้งหัวหน้าศิษย์แล้ว มักเปลี่ยนชื่อให้ศิษย์โดยใช้ชื่อของรุ่นนั้นๆ เพื่อแสดงฐานะอันแตกต่างจากศิษย์ทั่วไป ใต้หล้านี้มีคำที่ขึ้นต้นด้วย ‘ชิง’ เป็นกระบุง แต่เสิ่นจิ่วดันได้คำว่า ‘ชิงชิว’ มาเป็นชื่อ อักษรชิว (秋) ตัวนี้คือตัวเดียวกันกับ ‘ชิว’ (秋) ที่แปลว่าฤดูสารทของสกุลชิวโป๊ะเชะเลยทีเดียว โลกแม่งโหดร้ายจริงๆ

เสิ่นจิ่วเกลียดคำว่า ‘ชิว’ เข้ากระดูกดำ แต่ดันได้ชื่อนี้มา แล้วทำไมจะไม่ฮึดฮัดฟึดฟัดอยู่ในใจ แม้แต่เสิ่นชิงชิวยังอดใจอ่อนด้วยความสงสารไม่ได้ไป 30 วิ.เลย มิน่าเสิ่นชิงชิวตัวจริงมันถึงไม่เคารพนบนอบเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงคนก่อนสักเท่าไหร่

บนหน้าผา คนสองคนดูเหมือนกำลังสนทนากัน เสิ่นชิงชิวมองลั่วปิงเหอน้อยที่ก้มหน้าก้มตาขุดอย่างขมีขมัน เขาลูบศีรษะเด็กน้อยผ่านความว่างเปล่า แล้วกระโจนขึ้นหน้าผาไปยืนข้างคนสองคน ฟังพวกเขาสนทนากัน

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ปีนี้ดูเหมือนมีคนมามากกว่าปีที่แล้วอีกนะ”

เสิ่นจิ่วหรี่ตา ใบหน้าไม่บอกอารมณ์ สองนิ้วขยับเบาๆคลี่พัดด้ามจิ้วในมือเล็กน้อย

ด้านข้างมีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา ค้อมกายคารวะเยวี่ยชิงหยวน “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก”

คนผู้นี้ไม่สนใจเสิ่นจิ่วซึ่งอยู่ด้านข้างและกำลังจ้องมองตนด้วยสายตาขุ่นเคืองชนิดแทบถลนออกมาอยู่แล้ว

เท่สุดๆแบบนี้ นอกจากพี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่แล้วยังจะมีใครได้อีก

หลิ่วชิงเกอในเวลานี้น่าจะเพิ่งรับตำแหน่งเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงได้ไม่กี่ปี เค้าโครงเครื่องหน้ามองออกว่าเป็นคนหนุ่มที่ยังอ่อนประสบการณ์ทว่าแววตาดุดันเฉียบขาด กิริยาท่าทางส่อให้เห็นถึงความองอาจฮึกเหิมของวัยเยาว์

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ศิษย์น้องหลิ่วมาพอดี เจ้ามาลองดูหน่อยซิว่ามีคนไหนเข้าตาเจ้าไหม”

หลิ่วชิงเกอเพียงมองแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “พรสวรรค์เป็นเยี่ยมที่สุดก็คือเขา”

เสิ่นชิงชิวพยักหน้าอย่างพอใจ พี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่สายตาแหลมคมจริงๆ เพราะที่เขาชี้คือลั่วปิงเหอที่กำลังหันหลังให้คนทั้งสาม ตั้งหน้าตั้งตาขุดดินอย่างขยันขันแข็งนั่นเอง

เยวี่ยชิงหยวนถาม “ศิษย์น้องหลิ่วอยากได้หรือ”

หลิ่วชิงเกอตอบ “อยากมาก็มาเอง”

ไป่จั้นเฟิงเป็นเช่นนี้มาตลอด อยากเข้าสังกัดก็เดินเข้ามาเองได้เลย มาแล้วก็เตรียมตัวถูกซ้อมไว้ให้ดี คนที่ไม่มาร้องห่มร้องไห้วิงวอนขอรับการถูกทุบตีถูกทารุณที่ไป่จั้นเฟิงด้วยตัวเอง หากแต่รอให้ผู้อื่นเลือก นั่นก็คือคนที่ไม่มีอนาคตไม่มีวาสนากับไป่จั้นเฟิง

เสิ่นจิ่วกล่าวเรียบเรื่อยว่า “มีพรสวรรค์ก็ไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จ”

หลิ่วชิงเกอไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา เอ่ยว่า “เทียบกับพวกหลังเขาที่อายุสิบหกถึงค่อยได้ฝึกแนวทางที่ถูกต้อง ความสำเร็จก็ย่อมสูงกว่า”

…สองคนนี้ช่างเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไรจริงๆ หลิ่วชิงเกอไม่ชอบพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เหม็นขี้หน้ากัน แต่เพื่อเย้ยหยันเสิ่นจิ่วกลับพูดออกมาตั้ง 26 พยางค์

ยามนี้ที่ตนกับหลิ่วชิงเกอยังคบหากันได้ไม่เลว ถือเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวตำหนิ “ศิษย์น้องหลิ่ว”

หลิ่วชิงเกอไม่ยอมฟังเทศน์ หมุนกายได้ก็ไปทันที “จะไปฝึกกระบี่”

พอบอกว่าจะไปก็ไปเดี๋ยวนั้น ไปมาเหมือนสายลม เสิ่นจิ่วยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ถูกคำพูดของเขาทำเอาโกรธจนตัวสั่น บีบพัดด้ามจิ้มอย่างแรงจนได้ยินเสียงดังกร็อบ

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างอ่อนใจว่า “ศิษย์น้องหลิ่วพูดจาไม่เป็น เจ้าก็รู้ อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเลย”

เสิ่นจิ่วแค่นเสียงทีหนึ่ง อึดอัดขัดใจเตรียมจะพูดอะไรสักอย่าง หนิงอิงอิงก็ปีนเขาขึ้นมาพอดี

นางเข้ามากอดเอวเสิ่นจิ่ว ตะโกนว่า “ซือจุนเจ้าคุ ซือจุน ตกลงอิงอิงจะได้ศิษย์น้องไหมเจ้าคะ”

เสิ่นจิ่วมองนาง สีหน้าอ่อนลง ก่อนถามว่า “เจ้าอยากได้ศิษย์น้องหรือ”

หนิงอิงอิงพยักหน้าถี่ๆ เสิ่นจิ่วเงยหน้าขึ้น โบกพัดด้ามจิ้วเบาๆ หรี่ตาอีกครั้ง เริ่มคิดแผนการอะไรบางอย่าง

จู่ๆเขากล่าวขึ้นว่า “ข้าจะเอาเจ้าเด็กคนนั้น”

ที่เขามองคือลั่วปิงเหอ เยวี่ยชิงหยวนชะงัก

พฤติกรรมชั่วช้าที่เสิ่นชิงชิวตัวจริงทำกับบรรดาศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ไว้ก่อนหน้านี้ คงเป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งสำนักแล้ว ตอนนี้ยังออกปากขอเด็กซึ่งมีพรสวรรค์จากเจ้าสำนักอีก

เสิ่นชิงชิวเข้าใจได้เลยทีเดียวว่าทำไมเยวี่ยชิงหยวนถึงลังเล เรื่องนี้ต้องคิดสะระตะให้ดีจริงๆ

เสิ่นจิ่วเห็นเยวี่ยชิงหยวนเงียบไม่ตอบ จึงกล่าวซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าจะเอาเด็กคนนี้”

กับเจ้าสำนักดันพูดจาแบบนี้ วอนซะแล้ว เสิ่นชิงชิวอดเหงื่อตกแทนไม่ได้

นึกไม่ถึงเยวี่ยชิงหยวนพยักหน้าช้าๆ แล้วรับปากจริงด้วย “ได้”

เสิ่นชิงชิวหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง

เยวี่ยชิงหยวนกลับยอมลงให้อีกแน่ะ…ร่างนี้ตกลงมันอยู่อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไงฟะนี่!

ยังมีพี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่อีกคน ความจริงแล้วตอนแรกเสิ่นชิงชิวตัวออริจินอลไม่ได้ต้องการเอาลั่วปิงเหอมาเข้าสังกัดตัวเองสักนิด สรุปแล้วนายนั่นเลยที่เป็นต้นเหตุ

หนิงอิงอิงกรีดร้องดีใจ รีบวิ่งลงจากหน้าผาไปยังก้นหุบเขาเพื่อดึงตัวลั่วปิงเหอที่อยู่ท่ามกลางผู้คน ช่วงนี้ เป็นเหตุการณ์เริ่มต้นตอนลั่วปิงเหอกราบ ‘เสิ่นชิงชิว’ เป็นอาจารย์นั่นเอง

ทว่าเนื่องจากเรื่องนี้เน้นเล่าเรื่องจากมุมมองพระเอก เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีเลยไม่ได้บรรยายรายละเอียดของคลื่นใต้น้ำระหว่างเจ้ายอดเขาทั้งสาม แต่จรดปากกาเริ่มเขียนจากหนูน้อยโลลิตัวนุ่มๆหอมๆทะยานจากฟากฟ้าตรงเข้าไปฉุดตัวลั่วปิงเหอเลย เชื่อว่านักอ่านทุกคนพออ่านมาถึงช่วงนี้จะต้องเป็นเหมือนเสิ่นหยวนเวลานั้น คือเข้าใจว่าพระเอกคนนี้ดวงดีฉิบเป๋ง เริ่มต้นมาก็มีวาสนาดอกท้อเลยทีเดียว

(วาสนาดอกท้อ หมายถึง มีโชคดีเรื่องคู่)

หารู้ไม่ว่าเป็นเศษลูกอมหวานก่อนปล่อยชุดกระบวนท่าต่อเนื่องด้วยการกระซวกมีด 300 ทีต่างหาก

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าที่รอลั่วปิงเหออยู่หลังจากนี้คืออะไร ทว่าก็ได้แต่เบิ่งตามองอย่างเดียวเท่านั้น เขามองลั่วปิงเหอตามหนิงอิงอิงไปที่เรือนไม้ไผ่บนยอดชิงจิ้งเฟิง

เสิ่นจิ่วนั่งอยู่ตรงที่ที่เสิ่นชิงชิวนั่งบ่อยที่สุด ประคองถ้วยชาไว้ในมือ เอาฝาถ้วยชาปาดใบชาบนผิวน้ำอยู่นั่น

เขาสั่งให้หนิงอิงอิงที่พูดเจื้อยแจ้วออกไปเรียบร้อยแล้ว หมิงฟานยืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยปากเจรจาแทน “เริ่มต้นจากวันนี้ไป เจ้าอยู่ในสังกัดชิงจิ้งเฟิง”

ใบหน้าของลั่วปิงเหอน้อยแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้นดีใจ คุกเข่าคารวะอย่างเรียบร้อย กล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “ศิษย์ลั่วปิงเหอน้อมพบซือจุนขอรับ”

เสิ่นจิ่วแสยะริมฝีปาก ในที่สุดก็เอาถ้วยชาออกไปจากระดับคางได้เสียที

เขากล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เจ้าลองพูดให้ฟังที ทำไมถึงอยากเข้าชางฉยงซาน”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างตื่นเต้นและกระตือรือร้นราวกับท่องจำมาแล้วขึ้นใจ “ศิษย์ชื่นชมเซียนซือผู้งามสง่าที่อยู่บนภูเขาเซียนมาแต่เด็กแล้ว หากสามารถกราบเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก ได้ร่ำเรียนจนสำเร็จวิชา วิญญาณท่านแม่ของศิษย์บนสวรรค์จะต้องปลาบปลื้มยินดีอย่างมากขอรับ”

เสิ่นชิงชิวรู้ นี่คือคำตอบที่เขาครุ่นคิดนับครั้งไม่ถ้วนตลอดทางที่เดินมา

เสิ่นจิ่วทำเสียงอ้อ ถามว่า “ที่บ้านมีแม่หรือ”

เขาถามเหมือนไม่ได้สนใจนัก “แม่เจ้าเป็นคนอย่างไร”

ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้นยิ้มทันควัน สองตาเป็นประกาย “ท่านแม่ดีต่อข้าที่สุดในโลก”

เสิ่นจิ่วหน้ากระตุก ยกมือให้เขาหยุดพูด

เขามองลั่วปิงเหอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมินรอบหนึ่ง กล่าวว่า “อายุกำลังเหมาะสำหรับเริ่มฝึกวิชาเซียนที่สุดจริงๆ”

เสิ่นชิงชิวสามารถอ่านจากหน้าของตัวออริจินอลได้สามคำเลยทีเดียวว่า

อิจฉา อิจฉา แล้วก็อิจฉา

อิจฉาที่ลั่วปิงเหอมี ‘แม่ที่ดีต่อเขาที่สุดในโลก’ อิจฉาพรสวรรค์ของลั่วปิงเหอ และอิจฉาที่ลั่วปิงเหอกำลังอยู่ในช่วงอายุที่เหมาะที่สุดตอนเข้าเป็นศิษย์ของชางฉยงซาน อิจฉาเด็กคนหนึ่งเข้าใส้ เขาเป็นคนแบบนี้จริงๆ

เสิ่นจิ่วลุกขึ้นยืน เดินไปหาลั่วปิงเหอทีละก้าวๆ

เสิ่นชิงชิวเข้าไปยืนขวางหน้าโดยไม่รู้ตัว แต่จะขวางได้ที่ไหน

ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้น มองเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงที่เดินเข้ามาหาตนราวกับมองเทพเจ้า

ไม่คาดว่าเทพเจ้าจะเดินเลยผ่านเขาไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองแล้วเอาน้ำชาในมือถ้วยนั้นเทลงบนตัวเขาพร้อมถ้วยและฝา

น้ำชาไม่ใช่น้ำเดือดใหม่ ร้อนประมาณเจ็ดส่วน แต่ลั่วปิงเหอก็ยังตะลึงงันไปทั้งตัว

ก่อนหมิงฟานจะเดินตามเสิ่นจิ่วที่เดินเอามือไพล่หลังออกไปจากเรือนไผ่ก็เหลียวหน้ากลับมาบอกว่า “คุกเข่าดีๆ ซือจุนไม่อนุญาตให้เจ้าลุก หากเจ้าบังอาจลุกขึ้นมา ระวังจะโดนจับแขวนโบย โบยเสร็จแล้วก็ลากตัวไปขังที่ห้องเก็บฟืนสามวัน!”

…เสิ่นชิงชิวค้นพบเป็นครั้งแรกว่าเจ้าเด็กหมิงฟานนี่มีพรสวรรค์ในการรนหาที่ตายของลิ่วล้อเต็มแมกซ์จริงๆ

ลั่วปิงเหอเพิ่งกราบเข้าเป็นศิษย์ในสำนักมา กำลังมีความสุขและความซาบซึ้งล้นหัวใจ จู่ๆก็โดนน้ำชาราดหัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย รู้สึกราวกับโดนน้ำเย็นเฉียบใส่ก้อนน้ำแข็งสาดเข้าหน้าเต็มๆ หนาวเหน็บไปทั้งใจ ความสุขความซาบซึ้งดับมอดไปหมดสิ้น

เขาคุกเข่าตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ตาไม่กะพริบ

ท่ามกลางความเงียบ หยาดน้ำตาใสไหลรินลงมาอาบเต็มหน้า

นี่เป็นการร้องไห้ครั้งแรกของลั่วปิงเหอนับจากเขาฝังแม่บุญธรรมด้วยตัวเอง และเป็นการร้องไห้ครั้งสุดท้ายหลังเข้าเป็นศิษย์ชางฉยงซาน

นับแต่นั้นมาไม่ว่าจะทุกข์ทนแค่ไหน ไม่ว่า ‘เสิ่นชิงชิว’ จะปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์อันบิดเบี้ยวอย่างไร ลั่วปิงเหอก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหลั่งน้ำตาเหมือนเช่นวันนี้อีกเลย

เสิ่นชิงชิวย่อตัวลงตรงหน้าเขา แต่แขนเสื้อที่ยกขึ้นมาก็ทะลุผ่านตัวเขาไป แตะก็แตะไม่โดน กอดก็กอดไม่ได้ กระทั่งเช็ดน้ำตาให้ก็ทำไม่ได้ อึดอัดแทบทนไม่ไหว เจ็บปวดใจเหลือเกินแล้ว

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าเขาไม่ได้ยิน แต่ก็ยังพูดว่า “อย่าร้องไห้”

ลั่วปิงเหอจ้องมองเข่าตัวเอง มือที่วางบนขาค่อยๆ กำเป็นหมัดแน่น น้ำตายิ่งพรั่งพรูลงมาต้องเสื้อผ้าเปียกเป็นดวง

เสิ่นชิงชิวเช็ดแก้มของเขาทั้งๆที่รู้ว่าไร้ประโยชน์ ปลอบว่า “ซือจุนจะไม่ตีเจ้าอีกแล้ว ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง”

ลั่วปิงเหอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา เก็บถ้วยชาบนพื้นวางไว้ด้านข้าง กำจี้หยกที่อยู่ตรงหัวใจแน่น จัดท่านั่งคุกเข่าให้เรียบร้อย

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าความคิดเขาในยามนี้เป็นอย่างไร

จะต้องคิดว่าเป็นเพราะตัวเองไม่รู้กฎระเบียบ ทำไม่ถูกต้องตรงไหนสักอย่างเลยล่วงเกินเจ้ายอดเขา จึงต้องได้รับบทเรียน ในฐานะที่เป็นศิษย์คุกเข่าให้ซือจุนนานๆหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร

เห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ของเขา เสิ่นชิงชิวก็คุกเข่าตรงหน้าเขาอย่างอดรนทนไม่ได้

แล้วยื่นมือไปโอบร่างน้อยๆของลั่วปิงเหอเข้ามากอดแนบแน่นในอ้อมอกอันว่างเปล่า

เสิ่นชิงชิวหลับตา เบื้องหน้าสายตามีแต่ความมืดมิด เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบม่านเตียงขาวสะอาดและพู่ห้อยทั้งสี่มุมเข้าเต็มตา

จู่ๆเห็นฉากไม่เหมือนเดิม ยังไม่ทันที่เสิ่นชิงชิวจะได้ตั้งตัวหรือขยับเขยื้อน เสียงของเยวี่ยชิงหยวนก็ดังขึ้นจากด้านข้าง “ฟื้นแล้วหรือ”

เสิ่นชิงชิวกะพริบตาปริบๆราวกับเครื่องจักร คอแห้งเล็กน้อย เขาพยายามฝืนเรียก “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก”

เยวี่ยวชิงหยวนนั่งอยู่ข้างเตียง มองเขาอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าคอยเรียกชื่อลั่วปิงเหอตลอดเลย”

เสิ่นชิงชิวได้แต่เอ่ย “…โอ้”

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวเสริม “ทั้งร้องไห้ทั้งตะโกน”

เสิ่นชิงชิวลูบหน้า นอกจากเหงื่อก็เจอของเหลวอย่างอื่นอีกด้วย ไอ้ของอย่างน้ำตานี่ มันติดต่อกันง่ายจริงๆ

“…” เขากล่าวอย่างร้อนตัว “ศิษย์พี่ ท่านฟังข้าอธิบาย”

อธิบายอะไรได้ จะมีเหตุผลอะไรที่สามารถทำให้เรื่องที่ ‘เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิง’ ทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนเรียกชื่อศิษย์ของตัวเองในฝันฟังน่าเชื่อถือได้ด้วยหรือ

เห็นเขาพูดไม่ออก เยวี่ยชิงหยวนก็ถอนใจอีกเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “แล้วไปเถอะ ฟื้นมาก็ดีแล้ว ไม่ต้องอธิบายหรอก”

เสิ่นชิงชิวลุกขึ้นนั่งอย่างขัดเขิน จู่ๆก็รู้สึกว่าสถานการณ์นี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง ครั้งแรกที่เขาฟื้นขึ้นมาในโลกนี้ ก็เป็นเยวี่ยชิงหยวนกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงแบบนี้เหมือนกัน

เยวี่ยชิงหยวนพินิจสีหน้าเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าหลับไปห้าวัน ยังอยากนอนต่ออีกหรือไม่”

หลับไปห้าวัน! เสิ่นชิงชิวเกือบล้มหงายตึงลงไปอีกรอบ

ระบบ [โปรเจคกลบหลุม ‘เสิ่นจิ่ว’ ประสบความสำเร็จ 70%]

สำเร็จแค่ 70% เองเหรอ เดี๋ยวนะ หักส่วนของความทรงจำที่เสียหายซึ่งทำให้ข้อมูลไม่สมบูรณ์ 10% แล้ว ก็ยังเหลืออีก 20% นี่นา แล้วมันหายไปไหน!

ไม่มีเวลามาคิดให้มากความแล้ว เสิ่นชิงชิวคว้าตัวเยวี่ยชิงหยวนไว้ “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก วันแรกที่หิมะตก ที่แม่น้ำลั่ว!”

เมื่อพบว่าตนเองตื่นเต้นเกินไปจนพูดจาไม่เป็นภาษา เขาก็ตั้งสติปรับสีหน้าให้นิ่งดูเป็นงานเป็นการขึ้น “ที่ข้าจะบอกคือมีความเป็นไปได้ว่าในเวลาและสถานที่นี้ เทียนหลางจวินจะใช้กระบี่ซินหมัวกรีดเปิดทางเพื่อรวมสองภพเข้าด้วยกัน”

เยวี่ยชิงหยวนซักว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

เสิ่นชิงชิวอึ้งอีกรอบหนึ่ง เขาจะบอกได้เหรอว่าเพราะในนิยายต้นฉบับเขียนเอาไว้น่ะซิ เวลากับสถานที่ดังกล่าวนี่แหละประจวบเหมาะที่สุด

เสิ่นชิงชิงตอบไปว่า “ด้วยข้าตกอยู่ในกำมือเทียนหลางจวินมาระยะหนึ่งขอรับ”

เยวี่ยชิงหยวนถามต่อ “ดังนั้นเขาก็เลยบอกเจ้าตรงๆหรือ”

เวลานี้เสิ่นชิงชิวยังคิดหาเหตุผลไม่ได้ ได้แต่แข็งใจกล่าวต่อ “ศิษย์พี่เจ้าสำนักโปรดเชื่อข้าเถอะขอรับ”

เยวี่ยชิงหยวนมองเขาอยู่เป็นนาน หลับตาครู่หนึ่ง ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าพักผ่อนก่อน เรื่องนี้มอบให้ศิษย์ร่วมสำนักที่เหลือจะดีกว่า”

พักผ่อน หมายถึงหลับน่ะเหรอ ก็หลับมาห้าวันแล้วนะ

จินตานที่ต้องนอนหลายวันขนาดนี้ก็มีแต่ใน ‘เทพมารอหังการ’ นี่แหละ ที่ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ลองเปลี่ยนเป็นนิยายเรื่องอื่นในเว็บจงเตี่ยนจะกล้าเขียนแบบนี้ไหมเนี่ย นักเขียนเป็นได้โดนโห่จนแม่ไม่ยอมรับเป็นลูกแน่

เยวี่ยชิงหยวนเพิ่งจะเดินออกไป เสิ่นชิงชิวก็ลุกพรวดจากเตียง มองหาเสื้อตัวนอกไปทั่วห้อง ขณะกำลังหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่นั่นเอง ฉับพลันก็มีคนเข้ามาใกล้เขาโดยไม่รู้สึกตัว มือข้างหนึ่งเอื้อมมาปิดตาเขา

เสิ่นชิงชิวเอาศอกถองโดยสัญชาตญาณ ตวาดว่า “ผู้ใด!”

ขวัญกล้าขนาดนี้ ทั้งยังชอบเล่นอะไรไร้สาระแบบนี้กับเขา ยังจะมีใครได้อีก ศอกของเขาถูกยึดไว้มั่น เสียงคุ้นเคยกระซิบข้างหู “ซือจุนมิสู้ลองเดาดู”

เปิดปากมาก็เรียกซือจุนเลย ยังต้องเดาทำแป๊ะอะไร เสิ่นชิงชิวกลอกตามองบน ผู้ที่อยู่ด้านหลังจู่ๆก็กอดเอวเขาแล้วทิ้งตัวล้มลงบนตั่งไม้ไผ่ด้วยกัน น้ำหนักของคนสองคนทำเอาไม้ไผ่ส่งเสียงกรอบแกรบ ผู้ที่ปิดตาเขาแน่นอนว่าคือลั่วปิงเหอนั่นเอง

ลั่วปิงเหอย้ายมือที่ปิดตาไปปิดปากเสิ่นชิงชิวแทน กล่าวว่า “อย่ากะพริบตาขอรับ ขนตาซือจุนยาวมากเลย ยาวจนจั๊กจี้มือข้า จั๊กจี้หัวใจด้วย”

นายซิถึงจะขนตายาว ขนตายาวที่สุดคือนายต่างหาก!

เสิ่นชิงชิวกะพริบตาถี่ๆ ติดกันหลายสิบทีเพื่อแสดงความโกรธ

ลั่วปิงเหอหัวเราะ จุมพิตที่เปลือกตาเขาทีหนึ่งดังจุ๊บแล้วกล่าวว่า “ห้ามร้องเด็ดขาด หากถูกคนที่ชิงจิ้งเฟิงพบเห็นขึ้นมา ชื่อเสียงที่สั่งสมมาหลายปีของซือจุนคงได้เสียหายในวันเดียวแน่”

ยังจะมีชื่อเสียงอะไรเหลืออีกล่ะ ถูกศิษย์ทรพีอย่างนายทำลายป่นปี้ไปนานแล้ว

ลั่วปิงเหอพรมจุมพิตไล่จากดวงตาของเสิ่นชิงชิวลงต่ำไปเรื่อยๆ “ข้าบอกไว้ว่าจะมารับท่าน ไม่เห็นหน้าหลายวันปานนี้ ซือจุนคิดถึงข้าหรือไม่”

ถ้าเป็นคำตอบตามมาตรฐานของเสิ่นชิงชิวแล้วละก็ จะต้องเอาเข่ายันท้องน้อย ถีบเจ้าศิษย์นอกคอกผู้นี้ให้ร่วงจากเตียงก่อน แล้วค่อยจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย สุดท้ายตอบด้วยน้ำเสียงสูงส่งเย็นชาว่า ‘ไม่คิด’

แต่ไม่รู้ยังไงพอคิดถึงความทรงจำเมื่อครู่ ภาพที่ลั่วปิงเหอนั่งคุกเข่าในเรือนไม้ไผ่อย่างเดียวดาย เก็บถ้วยชาบนพื้นเงียบๆ เสิ่นชิงชิวกลับยกขาไม่ขึ้นซะงั้น

แม้กระทั่งลมหายใจของเสิ่นชิงชิวก็คล้ายสั่นไหวอยู่ใต้ฝ่ามือลั่วปิงเหอ

เขาหลับตาทั้งสองข้าง แล้วพยักหน้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version