Skip to content

Scumbag System 26

ตอนพิเศษ 5

บันทึกการผจญภัยของ ต่าเฟยจี

เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีเป็นนักเขียนนิยายฮาเร็มคนหนึ่ง

เป็นนักเขียนนิยายฮาเร็มผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง

ขนาดบนเว็บนิยายจงเตี่ยนที่มีนักเขียนระดับมหาเทพวิ่งกันให้เพ่นพ่าน เทพเล็กเทพน้อยเกลื่อนกลาดราวกับต้นหญ้า ก็ยังเป็นนักเขียนนิยายฮาเร็มที่ถูกคนยกขึ้นมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง

ความเด็ดเดี่ยวและความมุ่งมั่นในการรักษาความเร็วมือระดับอุลตร้าไฮสปีดให้อัพนิยายได้มากกว่าวันละหนึ่งหมื่นตัวอักษรมาตลอดระยะเวลา 3 ปี อีกทั้งความบ้าพลังขั้นเย้ยฟ้าท้าปฐพีในการอัพเรื่องทีละ 8 บทเป็นครั้งเป็นคราวนั้น สำหรับนักเขียนโนเนมที่ดาษดื่นแล้ว นั่นก็คือเทพนิยายที่ได้แต่มองแต่ไม่อาจเอื้อมถึง คือตำนานที่อาจไปพานพบเข้าแต่ไม่อาจร้องขอได้นั่นเอง

ไหนจะยังมาสายฮาเร็มที่ศิลธรรมจรรยาเหมือนกับโดนหมากินไป ผนวกกับการวางพล็อตที่ไอคิวเหมือนถูกหมากินไปอีกเช่นกัน แต่สิ่งเหล่านี้ดันกลายเป็นจุดเด่น เป็นโลโก้ของเขาซึ่งนักอ่านนับพันนับหมื่นกล่าวขานถึง

สำหรับผลงานของเขานั้น คำวิจารณ์ได้รับมากที่สุดคือ ‘นิยายปัญญาอ่อน ก็คือนิยายปัญญาอ่อนวันยังค่ำ! แต่มันฟินไง!’

ถูกต้อง ผลงานเรื่องใหม่ล่าสุดของเซี่ยงเทียนต่าเฟยจี ‘เทพมารอหังการ’ ถือเป็นนิยายซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวที่คนด่าก็มาก แต่คนติดตามอ่านยิ่งมีมากกว่า ของแบบนี้แหละ ที่เขาเรียกกันว่า ‘นิยายฮิตที่ไม่มีใครมาสรรเสริญ’

คนชอบก็จะชอบเอามากๆ ส่วนคนเกลียดนั้น ต่อให้เหยียบจนจมกองขี้แล้วถ่มน้ำลายรดอีกทีก็ยังไม่หายเดือด นิยายที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ลักษณะนี้ มักจะเป็นสนามรบของเหล่าแฟนๆ กับคนที่เกลียดชังเสมอ

อย่างเช่นตอนนี้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี ทางหนึ่งกำลังแต่งนิยายตอนต่อไปของวันนี้โดยไม่ใช้หัวสมองอย่างเมามัน อีกทางก็เปิดห้องแชทของเว็บนิยายดังเตรียมจะกระหน่ำโพสต์ข้อความขยะเสียหน่อย เขากวาดตาอ่านผ่านๆรอบหนึ่ง ปราดแรกก็ทำเอาตะลึงอึ้งเหวอทันที ด้วยกระทู้ที่มีชื่อนิยายและนามปากกาของเขาแถมแปะป้าย ‘Hot’ ซึ่งแผ่รังสีโจมตีอันร้อนระอุอยู่นั้น กำลังเป็นกระทู้ที่มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดบนหน้าแรกเลยทีเดียว

สถานการณ์ที่ชาวบ้านกำลังตบตีกันอยู่เช่นนี้ เขาใช่ว่าเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีนั้นเป็นพวกขามุงที่กลัวแต่จะไม่มีเรื่องใหญ่โตให้ดูอยู่แล้ว จึงคลิกเปิดอ่านอย่างลั้นลา

จริงเสียด้วย ยังคงตำรับที่คุณคุ้นเคย รสชาติที่คุณคุ้นลิ้นของแท้เลยทีเดียว

1 # อ่านหนังสือสิบปีลับกระบี่หนึ่งเล่ม [เจ้าของกระทู้] :

อ่านนิยายในเน็ตมาเกือบจะ 10 ปี ไม่เคยเจอนิยายผู้ฝึกวิชาเซียนเรื่องไหนกากยิ่งกว่า ‘เทพมารอหังการ’ เลยจริงๆ เอ่อ ไม่ซิ ไอ้ที่ทั้งวันแม่งมีแต่กินๆนอนๆ รับหญิงเข้าฮาเร็มเนี่ยนะ อย่าได้มาบอกกันเชียวว่าคือนิยายผู้ฝึกวิชาเซียน ลอจิกเน่าๆ สไตล์การเขียนเน่าๆ ศีลธรรมของนักเขียนก็เน่า เช็ดแม่เอ๊ย [โกรธ] [โกรธ] [โกรธ] คนที่ชอบอ่านนิยายเรื่องนี้ช่วยเข้ามาบอกทีเถอะ ชอบอ่านกันเข้าไปได้ไงวะ คนที่ชอบอ่านต้องเป็นคนแบบไหนกันนี่ ใครที่เที่ยวเอาเรื่องนี้ไปแนะนำให้คนอื่นอ่านนี่มีความแค้นใหญ่หลวงกับผู้คนขนาดนี้เลยเรอะ ทนไม่ไหวจริงๆ เลิกอ่านไปแล้วเนี่ย!

2 #

ฉันอยากด่ามานานแล้ว [มือสั่น] …ระดับฌานแบบของเขานี่ จะกำหนัดไปทำไมไม่ทราบ จะจินตานจะหยวนอิง ไม่ได้ต่างอะไรกับคนธรรมดาทั่วไปเลย ทุกครั้งที่อ่าน เป็นต้องเจอฉากเดี๋ยวก็กิน เดี๋ยวก็นอน เลยทนอ่านต่อไม่ไหว ระดับฌานนี่มีเอาไว้เป็นแค่ของประดับตกแต่งเท่านั้นเลยมั้ง ส่วนพวกมุกตบหน้าพวกตัวโกงให้หงายเงิบแค่ครั้งสองครั้งก็ยังโอเคนะ แต่ถ้าตบซะจนเป็นสูตรตายตัวก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว สรุปคือ ไม่ได้มีความฟินอะไรขนาดนั้นอย่างที่เขาว่ากันเลย รู้สึกว่ามีแต่ราคาคุย

แต่ติ่งนิยายเรื่องนี้ดุมากนะ เดี๋ยวพวกเขาคงได้เข้ามารุมคุณแน่ จขกท.ดูแลตัวเองเน้อ ส่งฝากระทะให้คุณไว้คลุมหัวละกัน เผ่นละ

3 # มือกระบี่อยากจะเผือก :

เขียนออกมาได้โคตรกาก คนอ่านแม่งก็งี่เง่า

4 # โทษของเจ้าไม่อาจอภัย

คห.บนด่าใครว่างี่เง่า หย่อนการอบรมจริงๆ

5 # คิดถึงจนตาลายมองแดงผิงเป็นเขียว* :

(คิดถึงจนตาลายมองแดงผิดเป็นเขียว มาจากบทกวี ความหมายก็คือ มัวแต่เฝ้าคิดถึงชายที่รัก จนตาลายมองสีแดงเป็นสีเขียว อีกนัยหนึ่งคือ สาวน้อยที่เฝ้าคิดถึงรอคอยชายหนุ่ม จนเวลาล่วงผ่านจากวัยที่เหมือนบุปผาสีแดงสดใส จนดอกร่วงหล่นเหลือแต่ใบเขียว)

ก่อนเปิดอ่านกระทู้นี่ก็รู้เลยว่าต้องออกมาแนวนี้ เมาท์เรื่องนี้ทีไรเป็นต้องตีกันทุกที ไม่เคยมีเว้นสักครั้งเลยจริงๆ ยกเก้าอี้มานั่งรอเผือก

6 # โทษของเจ้าไม่อาจอภัย :

คือรำคาญมากอ่ะ ตีกันได้ตลอด ไม่รู้จะทะเลาะอะไรกันนักหนา คุณไม่ขอบก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นเขาจะไม่ชอบนะ เหตุผลง่ายๆแค่นี้เอง ชอบอ่านก็อ่าน ไม่ชอบอ่านก็ไปให้พ้นๆ เก่งจริงก็ไปแต่งนิยายเองเลยปะ คำว่า YOU CAN YOU UP นี่เข้าใจมั้ย เจ้าของกระทู่อ่านไม่จบก็มาตั้งกระทู้ด่า ด่าเพราะสักแต่ว่าอยากด่านี่มันสนุกเหรอ

7 # อ่านหนังสือสิบปีลับกระบี่หนึ่งเล่ม :

เด็กประถมมาเองเลยนะนี่ U CAN U UP มาเชียว โถๆ หัวเราะพลางลูบหัวน้องด้วยความเอ็นดู เป็นเด็กเป็นเล็กตั้งใจเรียนก่อนเถอะหนู โรงเรียนยังไม่ปิดเทอมแล้วมาป่วนกระทู้นี่จะดีรึ ทำการบ้านไม่เสร็จระวังคุณครูจะเอาไปฟ้องผู้ปกครองนะ ‘คุณชอบก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นเขาจะต้องชอบด้วยนิ’ เอาประโยคนี้แหละคืนให้เลย อีกอย่าง ขี้หมาไม่จำเป็นต้องกินให้หมดถึงจะรู้ว่าเป็นขี้หมา OK?

8 # กระพรวนน้อยของซาหัวหลิง :

[หัวใจ] [น้ำลายไหล] [น้ำลายไหล] ไม่เห็นว่านิยายเรื่องนี้มันจะกากอย่าง จขกท.ว่าเลย รักนิยายเรื่องนี้ รักน้องซา I love you~~~

9 # เจวี๋ยซื่อหวงกวา [ผู้เชี่ยวชาญ*] :

(ผู้เชี่ยวชาญ เป็นตำแหน่งของเจวี๋ยซื่อหวงกวาประจำห้องแชท ในบอร์ตจะมีหลายตำแหน่ง มีแอดมิน มีผู้เชี่ยวชาญเป็นต้น)

เข้าใจความรู้สึกของจขกท.เลย ช่วงนี้ผมอ่านนิยายเรื่องนี้อยู่ แม่งโคตรยาว มีแต่น้ำท่วมทุ่ง

 

 

ไม่เคยเห็นตัวโกงเรื่องไหนจะไอคิวต่ำเท่าตัวโกงเรื่องนี้อีกแล้ว ลิ่วล้อตัวประกอบไอคิว 40 ตัวโกงหลักไอคิว 60 ล้วนโดนนักเขียนตบหน้าเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อความฟินของนักอ่านจนเหมือนได้สยิวตลอด 24 ช.ม. แบบนี้ไม่กลัวฝ่อกันบ้างรึไง ตัวละครหญิงแทบทั้งเรื่องฉลาดน้อย ดีแต่สวย หลิ่วหมิงเยียนที่เป็นดาวเด่นอยู่คนเดียวทำไมถึงไม่จัดการบ้านเล็กบ้านน้อยพวกนี้ซะที เป็นเมียเอกแท้ๆ แต่ดันทำเฉย ล้อเล้นเปล่าฟะ!

องค์ประกอบของนิยาย เพื่อนๆนักอ่านด่าไปตั้งแต่ 3 แสนตัวอักษรแรกแล้ว ผมจะไม่ด่าซ้ำละ ความจริงส่วนที่สนุกที่สุดคือปีศาจในภพมารเขียนให้มากๆหน่อยก็จะดี แถมตอนหลังยังมีฉากเทครัวรับน้องหนู 50 กว่าคนจากตระกูลเดียวกันที่ยอมอุทิศกายถวายชีวิตให้พระเอกมาเข้าฮาเร็มได้อีก สาวๆแต่ละคนกระทั่งนิสัยก็เหมือนกันหมอ สำนวนการเขียนยิ่งไม่ได้เรื่องอย่างแรง ขอแค่มีผู้หญิงออกมาสักคนก็จะใช้ ‘อกอิ่มสะท้านสั่นไหว’ อยู่นั่นแหละ สั่นแม่แกซิ ขี้หมูขี้หมาก็เปลี่ยนคำสักนิดจะได้มั้ย คำถามซีเรียสคือวิชาภาษาจีนสมัยประถมของเฟยจี ได้ครู่ที่ไหนมาสอนให้เนี่ย

แต่คาแรคเตอร์พระเอกกลับสร้างขึ้นมาได้ไม่เลว การเปลี่ยนผ่านคาแรคเตอร์จากใสซื่อมีคุณธรรมมาเป็นสัปปับอำมหิตเขียนได้อย่างละเอียดเป็นธรรมชาติ มีบุญคุณก็ตอบแทนพระคุณ มีแค้นก็ล้างแค้น ที่ควรฆ่าก็ฆ่าเลย ไม่มีใจอ่อนแม้แต่น้อย ทำเอาอ่านนิยายแนวพระเอกเป็นเศษฟืนแล้วอยากเบิ๊ดกะโหลกเลย ปิงเกอช่างคู่ควรจะให้เรียก ‘เกอ’ จริงๆ ดาร์กได้ใจ ฟินได้ใจ ผมชอบนะ

ส่วนเสิ่นชิงชิวนั้นเลวแบบไร้ที่มาที่ไปโดยแท้

10 # หัวหน้าแผนกกวาดบันไดทางขึ้นเขาชางฉยงซาน :

มีใครชอบเจ้าสำนักเยวี่ยไหม ชอบฝ่ายรุกที่อบอุ่นที่สุด งี๊ดๆๆ ว่าแล้วก็ลอยจากไปเงียบๆ

11 # ค้อนนักรบ :

ไม่สนุก เขียนสู้ ‘ศึก XX เซียน’ ไม่ได้ ห่างกันคนละชั้นเลย แบบนั้นซิถึงจะเรียกว่านิยายผู้ฝึกวิชาเซียนอย่างแท้จริง วางองค์ประกอบมาอย่างพิถีพิถัน เนื้อหาแน่นปัง นักเขียนทุ่มเทความคิดไปไม่น้อย ตั้งอกตั้งใจเขียนดีมาก

12 # โทษของเจ้าไม่อาจอภัย :

คห.บน เหยียบฝั่งหนึ่งแล้วมาชื่นชมอีกฝั่งหนึ่ง ฟินมากใช่เปล่า เหอๆ

13 # ไม่ยอมขุดหลุม :

หวงกวาซยง คห.9 เขียนด่าซะยาวขนาดนี้ต้องรักมากแน่เลย

14 # อ่านหนังสือสิบปีลับกระบี่หนึ่งเล่ม :

ตอบ คห.12 เหอๆไม่กล้ารับ ขอคืนกลับไปให้คุณละกัน แฟนเทพมารฯ อย่างกับเหยียบย่ำนิยายเรื่องอื่นน้อยนักนี่ จะต้องให้แคปหน้าจอมาประจานไหม

15 # แผนกเฝ้าประตูชางฉยงซาน :

ตอบ คห.10 [มีใครชอบเจ้าสำนักเยวี่ยมั่งไหม งี๊ดๆ ว่าแล้วก็ลอยจากไปเงียบๆ]

คว้ามือน้องสาว คห.10 น้องสาวใช่เปล่า ฉันก็ชอบศิษย์พี่เจ้าสำนักนะ! ตั๊ลร้าก! เอาใจแบบไร้ลิมิต น่ารักสุดๆ แต่เสียดายที่อีกฝ่ายเป็นศิษย์น้องผู้ชอบรนหาที่ตายซะเหลือเกิน เลยแบดเอนด์จนเอาไปจิ้นไม่ออกเลยอ่ะ

15 # พี่ชายบังเกิดเกล้าของชิงเกอ :

[เสิ่นชิงชิวนั้นเลวแบบไร้ที่มาที่ไปโดยแท้] เห็นด้วยเลย +10086!

มายก๊อด คห.15 ชอบคนสารเลวแบบนี้เหรอ แค่นึกถึงมันก็จะอ้วกแล้ว ที่มันฆ่าสุดที่รักของฉันนี่ยังไงก็ลบมลทินไม่ได้หรอก

มักจะรู้สึกว่าเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงตายเร็วขนาดนั้นน่าสงสารมากอ่า ท่านเฟยจีก็ดันไม่ยอมเขียนซะอีก ไม่อย่างนั้นก็มีคู่อื่นให้จิ้นไปแล้ว

17 # กลบหลุมบ้างเป็นบางโอกาส :

คห.บนๆ มีข้อมูลเยอะมาก ฉันอยากบอกว่ากระทู้นี้น่าจะถูกตัวประหลาดบุกแล้ว…

18 # เจวี๋ยซื่อหวงกวา [ผู้เชี่ยวชาญ] :

คห.บนใจเย็นๆ ในกระทู้นี้มีสาวๆที่เป็นสาวกเว็บจจ.เยอะเหมือนกันนะนี่ [แว่นดำ]

19 # เสี่ยวเอ้อร์นะเออ:

เจวี๋ยซื่อหวงกวาเป็นแฟนพันธุ์แท้จริงๆ แต่พอมาบ่นตรงนี้ดุเดือดน้อยกว่าในฟอรัมรีวิวหนังสือนะ ไม่แสบซะแล้ว แย่จัง

20 # ชาวนาเช่นฉันตอนกลางวันอยู่ที่ไหน :

แฟนๆเทพมารฯ มาทะเลาะกันอีกละ จะไปที่ไหนก็เจอนิยายเรื่องนี้ตลอด ระดับความร้อนแรงของนิยายเรื่องนี้ไม่น่าจะถึงขนาดนี้นะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเฟยจีไม่ได้จ้างคนมาเม้มต์ รอนักวิเคราะห์มาเปิดกระทู้ว่าเขาโกงคะแนนโหวตเปล่า

21 # ชาวนาเช่นฉันตอนกลางวันอยู่ที่ไหน :

ตอบ คห.4 [ข้างบนว่าใครงี่เง่า หย่อนการอบรมจริงๆ]

ขำวุ้ย เด็กประถมที่ชอบอ่านหนังสือกากๆนี่มีหน้าจะมาพูดเรื่องการอบรม ไม่มีใครจะหย่อนการอบรมเท่าพวกเธอแล้วล่ะ

22 # พี่ชายบังเกิดเกล้าของชิงเกอ :

เพราะคนแค่ไม่กี่คนก็ด่ากราดไปทั่วแบบนี้ พูดไม่ออกจริงๆ เห็นคห.20 โผล่มาจุดชนวนอีกละ นี่เป็นไอดีอีกอันของจขกท.เปล่า การที่คะแนนโหวดของเฟยจีเยอะ เป็นเพราะเขาใช้ทุกวิถีทางที่ไร้ขีดจำกัดล่างในการขอคะแนนไงเล่า อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ดูแค่การอัพนิยายรายวันของเขาก่อนก็ได้ วันละหมื่นตัวอักษร วันหยุดจัดไปสองหมื่นห้า มีสักกี่คนที่ทำได้อย่างเขาล่ะ แต่อย่าไปพูดถึงเรื่องคุณภาพนะ

23 # มองหาเพื่อนกินข้าวที่ขั้วโลกเหนือทุกวัน :

เขียนแฟนฟิค ปิงเกอ X สารเลวเสิ่นไว้ (:3)<)_ ไม่รู้มีใครอยากอ่านมั้ย ชอบคู่ที่ไม่มีใครเขาสนนี่มันทรมานเหมือนอยู่ขั้วโลกเหนือจริงๆ มาหาคู่จิ้นหวานแหววในจงเตี่ยนนี่ ฉันมันรนหาที่แท้ๆเลย

24 # หัวหน้าแผนกกวาดบันไดทางขึ้นเขาชางฉยงซาน :

น้องสาวที่เขียนแฟนฟิคอย่าเพิ่งไป ใช่เรื่องที่ขึ้นต้นตัวอักษรตัวที่แปด* ไหม ขอหน่อย ฮือๆๆๆ

(อักษรตัวที่แปด หมายถึงตัว H อันเป็นอักษณย่อของคำว่า Hentai ในภาษาญี่ปุ่น ในที่นี้หมายถึงนิยายลามก)

25 # กลบหลุมบ้างเป็นบางโอกาส :

เฟยจีเขียนซีนอารมณ์ไม่ค่อยจะซึ้งเท่าไหร่ สู้อย่าเขียนดีกว่า ฉันว่าลั่วปิงเหอไม่มีความรักให้เมียคนไหนเลย มีแต่ใช้ประโยชน์ และดูไม่ออกเลยว่าผู้หญิงพวกนั้นรักเขาด้วยใจจริงที่ตรงไหน

26 # ค้อนของนักรบ :

เก็บน้องๆหนูๆกินให้หมดก็พอ จะรักไม่รักก็ช่างมันเหอะ

27 # เจวี๋ยซื่อหวงกวา [ผู้เชี่ยวชาญ] :

พี่กลบหลุม คห.25 นี่ฮาอ่ะ จะให้เฟยจีเลิกเขียนฉากฮาเร็มเนี่ยนะ แบบนี้เท่ากับ 80% ของนิยายเรื่องนี้จะหายไปเลย

28 # คิดถึงจนตาลายมองแดงผิดเป็นเขียว :

แต่ฉันว่าฉันดูออกนะ เจ้ายอดเขาคนไหนรักเจ้ายอดเขาคนไหนด้วยใจจริงน่ะ…มองฟ้า

ฉันว่านะ เขาเขียนความรู้สึกผูกพันระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องเพศเดียวกันในสำนักออกมาได้ละเอียดอ่อนกว่าฉากปิงเกอกับเมียอีก เป็นความผูกพันลึกซึ้งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย เนื้อแท้ของเฟยจีเป็นนักเขียนที่เชิดชูโบรแมนซ์เหมือนกันนะนี่

ปล. น้อง คห.24 หิวขึ้นมาก็กินไม่เลือกเลยนะ…

29 # ชาวนาเช่นฉันตอนกลางวันอยู่ที่ไหน :

[เนื่องจากความเห็นนี้เข้าข่ายละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นจึงถูกระงับชั่วคราว จนกว่าเจ้าของความเห็นจะมีการแก้ไข]

………………..

………………..

………………..

เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีนั่งไขว่ห้าง คนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพลางขยับเม้าส์เลื่อนหน้าจอไล่อ่านกระทู้ไปเรื่อยๆอย่างใจเย็น แน่นอนว่าพอเห็นชื่อไอดี เจวี๋ยซื่อหวงกวาอันคุ้นเคย ดวงตาก็เรืองประกายสว่างวาบขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

ขาวิจารณ์อาจเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ มีแต่อีตาหวงกวานี่แหละที่เป็นเจ้าประจำไม่ไปไหน หวงกวาซยงผู้โด่งดังคนนี้มักชอบเข้ามาด่าๆในฟอรัมรีวิวนิยายของเขา แต่การกดฟอลโลว์และกดเร่งรัดตอนต่อไปกลับไม่เคยขาดเลยสักครั้ง ด้วยเหตุนี้ ครั้งหนึ่งเขาเลยสงสัยว่าคนๆนี้อาจจะเป็นสาย M

“ดีมาก คุณดึงดูดความสนใจผมสำเร็จแล้ว” เฟยจีวางมาดของประธานบริษัทผู้เฉียบขาด เริ่มเข้าไปอ่านที่หวงกวาซยงก่นด่าเขาไว้ในฟอรัมรีวิวหนังสือแบบชิลล์ๆ

ในที่สุด เขาก็ได้ข้อสรุปว่า คนๆนี้ช่างเหมือนหญิงสาวที่แต่งกับผัวซึ่งไม่ได้ดั่งใจจนอยากจะขึ้นไปนั่งคร่อมผัว จับบีบคอเขย่า จูบไปด้วยด่าไปด้อยอย่างทั้งรักทั้งแค้นเสียมากกว่า เจวี๋ยซื่อหวงกวาก็คือคนประเภทที่ทางหนึ่งก็วิ่งไล่ตามอย่างไม่อาจตัดใจ ทางหนึ่งก็เกลียดที่ทำไมฉันถึงควบคุมมือเฮงซวยของฉันไม่อยู่ คอยคลิกเข้าไปอ่านนิยายอยู่ได้

“ปากว่าตาขยิบ”

ท่านเฟยจีลงความเห็น พลางตบโต๊ะคอมหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง

แต่ตบนี้อาจจแรงเกินไปหน่อย ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพลิกคว่ำกระฉอกใส่คีย์บอร์ดสุดเลิฟที่ทำงานหนักรับใช้เขาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด น้ำซุปหมาล่าที่เผ็ดร้อนไหลนอง ต่าเฟยจีตกใจจนหน้าถอดสี กระโดดผึงช่วยชีวิตคีย์บอร์ดเป็นการด่วน เขากระโดดสูงเกินไป ขาเลยไปสะดุดเอาสายปลั๊กต่อเข้า โน้ตบุ๊คดับวูบ

หลังจากปฏิกิริยาลูกโซ่อันเกิดขึ้นจากให้ทุกข์แก่ท่านทุกย์นั้นถึงตัว ต่าเฟยจีก็หน้าซีด

วอท เดอร์ ฟัคคคคคค!!

เขากำลังอ่านกระทู้ไปพลางโหลดหนังอย่างว่าไปพลาง แถมยังเปิดไฟล์นิยายไว้ด้วย แม่ง อย่าให้พังพินาศเลย วันนี้เขียนไปได้แปดดันตัวอักษรแล้วนะ

เขาพุ่งตัวไปที่เต้าเสียบปลั๊กทันทีตามสัญชาตญาณ หยิบปลั๊กขึ้นมายัดเข้าไปในรู——

จากนั้นก็ได้รู้ซึ้งถึงคำว่า ‘อัสนีบาตจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าผ่าลงมาใส่ร่าง’ ด้วยตัวเองเลยทีเดียว

…………………………………..

“เจ้าคนโง่ คิดจะทำอะไรหา! ยังไม่ไปทำงานอีก!”

ท่านเฟยจีทำเสียง ‘ถุย’ ถ่มหญ้าหางหมาในปากออกมา

เขาชูนิ้วกลางอยู่ในใจให้ศิษย์พี่อันติ้งเฟิงผู้ดุดันพร้อมกับกล่าวคำที่ขึ้นต้นด้วยอักษร F ไปนับพันจง ขณะที่หันหน้าไปยิ้มหวาน ตีหน้าสุดชื่นเดินเข้าไปหม “มาแล้วขอรับ!”

ศิษย์พี่ X ถุยน้ำลาย “เจ้ามันรู้จักแต่อู้”

ซั่งชิงหัว ศิษย์นอก* ผู้มีอายุมากกว่าใครเพื่อนขณะที่อายุทางร่างกายคือ 17 ปี เดินตามคนกลุ่มใหญ่ขนสินค้าขึ้นจากเรือมาไว้บนท่าน้ำพลางเหลียวหน้ามองไปรอบๆ

(ศิษย์นอก หมายถึง ศิษย์ทั่วไป ไม่มีพรสวรรค์โดดเด่น ได้รับการส่งเสริมจากสำนักน้อย ต้องผ่านการพิสูจน์ฝีมือหรือมีความดีความชอบระดับหนึ่ง จึงจะได้รับโอกาสเข้าเป็นศิษย์ใน ซึ่งจะได้รับการส่งเสริมจากสำนักมากกว่า)

ถูกต้อง นี่คือท่านต่าเฟยจี หรือตอนนี้อาจจะเรียกเขาได้ว่า ซั่งชิงหัว

คนถ่อยสถุนในนิยายฮาเร็มที่เขาเขียนขึ้นมาเองกับมือ สายลับสองหน้า ลิ่วล้อผู้ทำงานอย่างขยันขันแข็งให้กับโม่เป่ยจวิน สุดท้าย พอใช้งานเสร็จ ก็ถูกเจ้ายายผู้อำมหิตเลือดเย็นของตัวเองฆ่าทิ้ง เขาล่ะ ซั่งชิงหัว แผนกธุรการแนวหลังนั่นเอง

ไม่ถูกซิ เวลานี้ เขายังเป็นศิษย์นอกของอันติ้งเฟิงที่ใครๆ ก็รังแกเขาได้อยู่เลย ไม่ใช่หัวหน้าศิษย์ และยังไม่ได้รับการเปลี่ยนชื่อที่มีคำว่า ‘ชิง’ ตามชื่อของรุ่น

อันติ้งเฟิงนั้นเป็นยอดเขาที่รัดทดนัก

ตัวเจ้ายอดเขาเป็นเหมือนผู้อำนวยการศูนย์แม่บ้าน ช่างแสนจะอึดอัด ศิษย์ทั้งหลายเหมือนแรงงานที่ไร้ค่าตัว ก็อึดอัดไปด้วย ส่วนศิษย์นอกนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นสิ่งมีชีวติที่ชั้นต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร ยิ่งอึดอัดซ้อนอึดอัดเข้าไปอีก มีแต่คนอารมณ์ร้อน คนที่อาวุโสกว่ารังแกคนที่อาวุโสน้อยกว่าถือเป็นเรื่องปกติ

ซั่งชิงหัวจะคอยแช่งชักหักกระดูกอยู่ในใจเป็นครั้งเป็นคราว นี่ถ้าพ่อได้เป็นเจ้ายอดเขาเมื่อไหร่ล่ะก็ พวกแกคอยดู๊…เหอๆ

ทว่า ความคิดเพ้อฝันเช่นนี้ก็ถูกตัวเขาเองขยี้ดับอย่างรวดเร็ว

คิดดูก็แล้วกัน เป็นเจ้ายอดเขา = ได้รับการหนุนหลังจากภพมาร = โม่เป่ยจวินเป็นนาย = ผลลัพธ์สุดท้ายซึ่งก็คือ ถูกเจ้านายใช้งานเสร็จก็ฆ่าทิ้ง ไม่ได้ตายดี

ดูแล้วก็รู้ว่าไม่คุ้ม

หากสามารถทำตามความปรารถนาได้ล่ะก็ ซั่งชิงหัวจะถอดชุดนี้ทิ้ง ม้วนที่หลับที่นอนแล้ววิ่งแจ้นลงไปจากชางฉยงซาน ไปให้พ้นจากโลกของผู้ฝึกวิชาเซียน ไปใช้ชีวิตแบบคนจนๆที่แสนจะอิสระ อาศัยข้อมูลที่เขาเคยค้นคว้าเพื่อเอามาใช้เขียนนิยายฮาเร็มมาก่อน เช่น การทำสบู่ เป่าแก้ว ดีดลูกคิด เขาเชื่อว่าตนเองจะสามารถใช้ชีวิตน้อยๆ เอ้อระเหยไปตามลมตามน้ำได้แน่นอน 5555555555!!!

แต่ว่า ขอเพียงความคิดนี้ผุดขึ้นมา

[ผิดกฎ หักคะแนน]

ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในนิยายฮาเร็มที่ตัวเองเขียนก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมเขาไม่ได้เป็นพระเอกล่ะ

ไม่ได้เป็นพระเอกก็แล้วไปเถอะ แล้วทำไมถึงต้องมีไอ้ระบบผีบ้าอะไรนี่มาด้วย

ทั้งหมดนี้ต้องโทษไอ้คนตั้งกระทู้นั่นเลย หากไม่มีพวกที่เข้ามาเม้มด่าๆๆ ก็จะไม่เกิดความเสียหายหรอก ไหนจะไอ้เจวี๋ยซื่อหวงกวาแท่งนั้นอีก ขอให้แตงกว่าของมันไม่มีโอกาสได้งัดออกมาใช้ไปทั้งชาติเลย

ซั่งชิงหัวขนหีบหนังสือหนักอึ้งลงจากเรือมาวางบนเกวียนบรรทุกของทีละหีบๆ เทียมม้าจนเสร็จเรียบร้อยก็ยังนึกแค้นอยู่ไม่วาย

เรื่องเล็กน้อยอย่างขนของพรรค์นี้ ตามหลักการของนิยายผู้ฝึกวิชาเซียนแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่เพียงแค่โบกแขนทีหนึ่งก็จัดการเสร็จแล้ว จะว่าไป ก็ต้องโทษตัวเขาเองนั่นแหละ ดันเขียนฉากพลังวิเศษน้อยนัก พวกกุลีก็ต้องทำงานกันจริงๆ แล้วสุดท้ายตัวเองก็ซวยเอง

จริงๆแล้วที่เขาอยากพูดก็คือ ชิงจิ้งเฟิงแม่งช่างมีความสามารถในการทรมานทรกรรมผู้คนจริงๆ!

ความสามารถในการหางานมาให้ของพวกมันก็สุดยอดนัก! เวลาช่วยพวกพี่สาวน้องสาวเทพธิดาของเซียนซูเฟิงขนเครื่องสำอางปิ่นปักผม เสื้อผ้าใหม่อะไรพวกนี้ก็เหนื่อยอยู่หรอก แต่อย่างน้อยๆก็ชื่นใจ

ลำบากกาย ทว่าละลายหัวใจ…

แต่ขนของให้พวกชิงจิ้งเฟิงนี่มันคืออะไร

หนังสือหนักเป็นร้อยๆชั่ง ที่ขนซื้อมาแต่ละครั้งล้วนให้อันติ้งเฟิงถ่อสังขารลงเขาไปรับมา จากนั้นก็ต้องหอบกันปอดบานเอาไปส่งให้ถึงที่ ส่วนพวกมันอยู่กันดีเฉย นั่งตูดแปะอยู่กับเก้าอี้ นิ้วไม่ห่างจากสายฉิน รอให้พวกเขาเอาของมาส่ง

แสร้งทำเป็นสูงส่งเย็นชา เก่งนักก็ลงเขาไปเอามาเองซิฟะ!

ศิษย์นอกคนอื่นๆก็บ่นกระปอดกระแปดเหมือนกัน “พวกศิษย์ชิงจิ้งเฟิงเห็นชัดว่าดูถูกอันติ้งเฟิงของพวกเรา ขณะที่พวกเราได้แต่ทำงานเป็นวัวเป็นม้ารับใช้พวกมัน”

มีคนกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ยิ่งเสิ่นชิงชิวผู้นั้นล่ะตัวดี เห็นแต่ตนเองเป็นสำคัญ เชิดหยิ่งนัก ราวกับดวงตางอกอยู่บนหัวก็ไม่ปาน”

“แม้ว่ากระบี่ซิวหย่าของเขาจะมีชื่อ แต่นี่จะเย่อหยิ่งจองหองเกินไปแล้ว”

“เฮ้อ ขนาดหลิ่วชิงเกอหัวหน้าศิษย์ของไป่จั้นเฟิงเขายังกล้าล่วงเกิน ไหนเลยจะเห็นคนไร้ชื่อเสียงอย่างพวกเราอยู่ในสายตาล่ะ”

“ด้วยนิสัยใจคอของไป่จั้นเฟิง และนิสัยใจคอของหลิ่วชิงเกอ กลับไม่มีใครฟาดเขาให้ตายหรอกหรือ”

“ทำได้ที่ไหนเล่า เจ้าว่าศิษย์พี่เยวี่ยจะมองดูเฉยๆโดยไม่ห้ามหรือ มีเขาอยู่ทั้งคน อย่างไรหลิ่วชิงเกอก็ฟาดเสิ่นชิงชิวตายไม่ได้หรอก

ศิษย์นอกผู้หนึ่งซึ่งฝากตัวเป็นศิษย์ของชางฉยงซานตอนอายุเกินกำหนดกล่าวอย่างรันทดว่า “เสิ่นชิงชิวที่เพิ่งมาเข้สสำนักไม่นานผู้นี้ไฉนได้รับเลือกเป็นหัวหน้าศิษย์ก็สุดจะรู้ บอกว่าเขากับศิษย์พี่เยวี่ยคบหากันดี แต่ไม่เคยเห็นเขาไปที่ฉยงติ่งเฟิงเลย พอเจอศิษย์พี่เยวี่ยก็ทำหน้าตาย แสร้งทำท่าเย็นชาสูงส่งขึ้นมาทันที จะบอกว่าพวกเขาไม่ดีต่อกันก็ไม่คล้ายอีกนั่นแหละ”

ซั่งชิงหัวนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา คับอกคับใจเป็นที่สุด

โว้ย! คันปากยิบๆ อยากจะเอาพล็อตใหญ่ที่ฉันวางไว้แต่กลับถูกทำแท้งเสียตั้งแต่อยู่ในครรภ์ปาใส่หน้าพวกแกจริงๆ ความหลังเก่าแก่พวกนี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าท่านเทพอย่างฉันที่ยกมือปิดฟ้าเปิดจักรวาลด้วยมือข้างเดียวแล้ว!

โทสะของทุกคนพวยพุ่งขึ้นฟ้า ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ความอิจฉาตาร้อนเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นทวีคูณ แต่ไม่รู้จะไปเอาเรื่องกับใคร

ซั่งชิงหัวก้มหน้าก้มตาบังคับรถอยู่ พอถูกคนถามก็เพียงหัวเราะแหะๆเท่านั้น ระมัดระวังไม่ไปสอดปาดแม้แต่คำเดียว อย่าได้เห็นว่าตอนนี้พวกเขากำลังนินทากันอย่างเมามันอยู่ ดีไม่ดี วันหลังอาจจะเอาเรื่องที่ใครนินทาใครตรงนี้ไปแฉก็ได้ พูดสนุกปากชั่วครู่ชั่วยาม ถึงเวลาถูกคนเอาไปฟ้องจนโดนศิษย์ยอดเขาอื่นเพ่งเล็ง คงรับผลที่จะตามมาไม่ไหวเป็นแน่ จิตใจมนุษย์นั้นโหดเหี้ยมน่ากลัว ยังไงก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน!

ผิวถนนหลังฝนตกเป็นหลุมเป็นบ่อ ล้อเกวียนแล่นโยกเยกไปตามถนน ระหว่างที่นั่งโคลงเคลงอยู่นั่นเอง ระบบก็ ‘ติ๊ง’ เข้ามาประกาศข้อความ

[เตรียมตัวรับภารกิจ]

พอซั่งชิงหัวได้ฟัง ใบหน้าก็ย่นเป็นรูทวารขึ้นมาทันที

เขายิ้มเป็นเชิงประจบ “พี่ระบบ ข้อมูลที่คุณเอามาแจ้งแต่ละครั้ง มันจะสั้นจุ๊ดจู๋ไปหน่อยมั้ย บอกมาให้ชัดๆไปเลยไม่ได้เหรอ ว่าเควสท์อะไร เตรียมตัวยังไง เตรียมอะไร อย่างน้อยๆก็ใบ้หน่อยได้ไหม”

ระบบตอบอย่างอมพะนำ [ก็อย่างที่คุณรู้]

ซั่งชิวหัว “…”

แต่ตูไม่รู้!

เวลานี้เองก็มีเสียงดังกึก จู่ๆเกวียนก็ไม่ขยับเหมือนติดอะไรบางอย่างที่พื้นเลยทำให้ไปต่อไม่ได้

ศิษย์นอกที่อยู่บนกระบะเกวียนและที่เดินตามมาด้านหลังก็พากันสะดุดตาม แต่ละคนแทบจะหัวคว่ำคะมำหงาย เดิมทีก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟกันอยู่แล้ว พลันร้องด่าขรมเป็นการใหญ่ “เจ้าโง่ผู้นี้ เกวียนคันเดียวยังบังคับดีๆไม่ได้! ไปต่อซิ หยุดทำพระแสงอะไร!”

ซั่งชิงหัวก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆเกวียนถึงวิ่งไม่ได้ เขากระโดดลงมาดูด้วยความสงสัย พอเห็นเข้าก็ตกใจจนขวัญบิน

สาเหตุที่ล้อรถไม่ขยับ เป็นเพราะมันติดหล่ม น้ำในหล่มกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้ล้อไม้มีน้ำแข็งจับไปด้วย

ท่ามกลางความเวิ้งว้างโดยรอบ ไอเย็นเฉียบไร้รูปแทรกซึมไปทั่วบรรยากาศ เหน็บหนาวปานฤดูเหมันต์ แต่ในใจของซั่งชิงหัวกลับหนาวยิ่งกว่า เขาเหลือบตาขึ้นมอง ตัวสั่นระริก

ร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำกำลังเดินเข้ามาช้าๆ รูปร่างสูงโปร่ง ลำตัวเหยียดตรง มองออกรางๆว่าเป็นร่างของเด็กหนุ่ม

ในที่สุดระบบก็พูดมากขึ้นอีกสองสามคำ

[ค่าความโกรธในขณะนี้ของอีกฝ่าย เท่ากับ 1000]

[เป้าหมายของภารกิจคือ : เอาชีวิตรอด]

[จบสิ้นการเตือน ขอให้ท่านโชคดี]

ท่านเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีมีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือชอบหั่นพล็อต

ก่อนจะเริ่มเขียนนิยายอย่างเป็นทางการ เขาจะลองหยอดปมมิ้งไว้ในนิยายก่อน แล้วสังเกตกระแสของนักอ่านเพื่อตัดสินใจอีกทีว่าจะใช้พล็อตจากที่กำหนดไว้ในโครงร่างหรือหั่นมันออกไป

ตัวอย่างเช่น เสิ่นชิงชิวที่ถูกนักอ่านนับหมื่นด่าว่า ‘เลวแบบไร้ที่มาที่ไป’ ก็เป็นผลผลิตอันน่าเศร้าจากการหั่นพล็อตนั่นเอง

อ้อ ยังมีท่านพ่อของปิงเกอด้วยอีกคนที่โดนหั่นพล็อตออกไปเยอะมากจนไม่ได้ออกโรง

ข้อดีของการทำเช่นนี้คือได้เซอร์วิสนักอ่าน จะได้เป็นการรับประกันว่าอย่างน้อยๆ ยอดกดฟอลโลว์จะไม่ถึงกับดิ่งลงไปจมน้ำตายที่ก้นบ่อ

แต่ข้อเสียก็คือ เงื่อนปมที่ผูกเอาไว้และหยอดลงไปแต่แรกก็ต้องปล่อยทิ้งไปกลายเป็นหลุ่มเป็นบ่อมากมาย นักอ่านที่ตามจิกหน่อย มีคลาสหน่อย ไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ ก็จะด่ากันเช็ดเลยทีเดียว

เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีมักจะอึดอัดอยู่บ่อยครั้ง เพราะว่าความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้ชอบเขียนแนวตบหน้าเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตบๆไปล้วนเป็นพวกตัวโกงที่ไอคิวต่ำกว่ามาตรฐานทั้งนั้น บางครั้งเขาก็อยากจะสร้างตัวโกงกับพวกลิ่วล้อตัวประกอบให้มันมีมิติมากขึ้นกว่านี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาก็ทำการบ้านเรื่องลักษณะพื้นฐานของความเป็นมนุษย์มาเหมือนกัน และจะได้โชว์อุดมการณ์ด้านวรรณศิลป์ด้วย

แต่นักอ่านไม่เอาด้วยนี่ซิ แล้วค่าใช้จ่ายเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจะเอาอะไรมารับประกันล่ะ

ดังนั้น เมื่อเทียบกับนักอ่านและค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตแล้ว การถ่ายทอดความเป็นมนุษย์กับอุดมการณ์ทางวรรณศิลป์มันก็กินไม่ได้ใช่ไหมล่ะ 555555!!!

กลับเข้าเรื่อง เพราะความเคยชินที่ไม่ดีเช่นนี้นี่เอง รายละเอียดหลายอย่างที่เตรียมไว้แต่เดิมจึงได้หดหาย แท้งตายไปตั้งแต่อยู่ในพุง อย่างเช่น…

โม่เป่ยจวินเข้ามาคว้าตัวซั่งชิงหัวไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้!

ในเนื้อความเดิมไม่ได้พูดถึงไว้ เนื้อหาหลักๆเดิมเป็นเรื่องของปิงเกอผู้อหังการเข่นฆ่าสังหารไปทั่ว ใครจะไปสนใจว่าลิ่วล้ออย่างแกไปเป็นสายลับตั้งแต่เมื่อไหร่

 

แต่พอทะลุมิติมา ส่วนที่หดหายไปเหล่านั้น ก็จะถูกโลกใบนี้เติมเต็มให้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นท่านเฟยจีจึงสูญเสียความได้เปรียบของการรู้ทุกอย่างล่วงหน้าไปจนหมดสิ้น เมื่อพล็อตเริ่มเดินหน้าไปอย่างแท้จริง กว่าจะเข้าใจสถานการณ์ได้เขาก็ข้าไปหลายก้าวเสมอ

ศิษย์พี่ X ชักกระบี่ออกจากฝัก (ซึ่งศิษย์อันติ้งเฟิงไม่เคยมีโอกาสได้ชักกระบี่กับใครเขามา 800 ปีได้แล้ว) ตวาดด้วยเสียงอันดัง “ปีศาจจากที่ไหนช่างบังอาจนัก”

ศิษย์พี่ทุกคนล้วนตื่นเต้นไปตามๆกัน ทยอยชักกระบี่ออกมา “กล้าดีอย่างไรมาปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์ชางฉยงซาน”

โม่เป่ยจวินเห็นชัดว่าอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก กระทั่งจะรอให้ลิ่วล้อตัวประกอบได้พูดบทออกฉากตามแพทเทิร์นให้จบก่อนก็ไม่ยอมรอ เสียงดีดนิ้วดังขึ้น

ธนูน้ำแข็งแฉลบผ่านไปราวกับสายลม ศีรษะคนร่วงลงพื้นดับตุบตับ

ซั่งชิงหัว ใจหนึ่งกรีดร้องโหยหวน น่ากลัวเป็นบ้า!

อีกใจหนึ่งตะโกนก้อง แต่หล่ออ่ะ! หล่อชิบเป๋ง!!!

แต่จะหล่อจนเทวดาตะลึงผีสางสะอื้นไห้ยังไง หากวันข้างหน้าจะต้องถูกท่านผู้นี้ฆ่าอย่างหนีไม่พ้น ซั่งชิงหัวก็ไม่เอาด้วยเด็ดขาด

ทันใดนั้น ศิษย์พี่ X ก็ผลักไหล่เขา “ยังไม่รีบไปอีก!”

ในใจซั่งชิงหัวราวกับมีไฟสุม แต่สติสัมปชัญญะยังแจ่มชัดดีอยู่ มือเท้าจึงยิ่งแปะติดกับเกวียนราวกับหมากฝรั่ง “ไปทำอะไร”

ศิษย์พี่ X กล่าวว่า “ไปกำราบมารปกป้องธรรมะ ผดุงธรรมแทนสวรรค์อย่างไรเล่า”

นายทำไมไม่เข้าไปก่อนล่ะ

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “เชิญศิษย์พี่ก่อน”

ศิษย์พี่ X กล่าวอย่างโมโห “บอกให้เจ้าไป เจ้าก็ไปซิ ไหนเลยมาพูดจาเหลวไหลปานนี้อยู่ได้” ว่าพลางผนึกกำลังกับคนอื่นๆอีก 7 มือ 8 เท้าทั้งผลักทั้งถีบ

ซั่งชิงหัวไหนเลยจะไม่รู้ ศิษย์นอกกลุ่มนี้หมายให้เขาไปถ่วงโม่เป่ยจวินเอาไว้ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาหลบหนี ในใจเขากระจ่างราวกับกระจก มีจุดยืนมั่นคงแน่วแน่ ปักหลักยึดฐานที่มั่นนี้ไว้แน่นไม่ยอมขยับเขยื้อน ตัดพ้อราวกับจะร้องไห้ “ไม่นะ ศิษย์พี่! เป็นศิษย์ร่วมสำนักกันมาช้านาน ในเวลาเช่นนี้ท่านหักใจให้ข้าออกไปเป็นลิ่วล้อพลีชีพได้อย่างไร!”

ศิษย์พี่ X ไม่ว่าอะไรก็ยกมากล่าวได้เพราะความกลัว “ลิ่วล้อพลีชีพอะไรของเจ้า หากเจ้าพิชิตปีศาจเผ่ามารตนนี้ได้ นับว่ามีความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง จากนี้ไปเจริญก้าวหน้า หนทางเพียงหนึ่งเดียวของศิษย์นอกอย่างพวกเรา ขณะนี้มาอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วนะ”

ซั่งชิงหัวรู้สึกว่าจวนจะเกาะตัวรถไม่อยู่แล้ว เขาแหกปากร้องปอดแทบฉีก “ข้าไปแล้ว ไปจริงๆแล้วนะ!”

สิ้นเสียง เขาก็ถูกแกะออกจากตัวรถที่ยึดอยู่อย่างแรง แล้วถูกโยนลงไปที่พื้น

ตัวคน – ขวางอยู่แทบเท้าโม่เป่ยจวิน

กระบี่ – ยังคาอยู่ในฝักอีกครึ่งหนึ่ง

หัวใจ – ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะชักกระบี่ออกมาดีหรือไม่

โม่เป่ยจวินหัวเราะหยัน ในดวงตามีประกายสีน้ำเงินเย็นยะเยียบวาบผ่าน และแล้วก็มีเสียงดังตุบ ซั่งชิงหัวฟุบตัวลงไปกอดขาเขาด้วยความเร็วสูงชนิดบรรยายตามไม่ทัน

ศิษย์พี่ทุกคน “=o=”

โม่เป่ยจวิน “= =”

ซั่งชิงหัวคุกเข่า โดยชันขาข้างหนึ่งขึ้น “ต้าหวาง* กรุณาให้ข้าติดตามรับใช้ท่านไปชั่วชีวิตด้วยเถอขอรับ!”

(ต้าหวาง แปลว่า ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่)

โม่เป่ยจวินความจริงอยากถีบเขาออกไป จนใจที่ซั่งชิงหัวมีพลังเกาะยึดเหนียวแน่นเสียนี่กระไร คิดจะฟาดเขาสักฉาดให้ตายก็ยิ่งทำได้ลำบาก เขาทำราวกับตุ๊กแกที่ป่ายไปป่ายมาตามผนังอย่างปราดเปรียวว่องไว โดยที่ยังกอดขาตนได้แน่นไม่ยอมหลุด

โทสะโม่เป่ยจวินจึงพวยพุ่งอย่างอดไม่อยู่

บรรดาศิษย์นอกของอันติ้งเฟิงเห็นเขามีฝีมืออันน่าตื่นตะลึงปานนี้ ก็ดีใจเป็นล้นพ้น ทิ้งเกวียนทิ้งข้าวของแล้ววิ่งอ้าวกันเดี๋ยวนั้น

ซั่งชิงหัวเพิ่งจะแช่งชักหักกระดูกคนพวกนี้อยู่ในใจ แต่แล้วไม่ทันจะถึง 3 วิ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องระงมดังขึ้นที่เบื้องหน้า

ธนูน้ำแข็งบางเฉียบราวกับเส้นไหมหลายสิบดอกปักทะลวงหน้าอกคนทั้งหมด ประกายสีเงินกระเด็นเซ็นซ่าน เลือดสาดกระจายไปทั่วสารทิศ

เห็นเข้าดังนั้น มือที่กอดขาโม่เป่ยจวินอยู่ก็ยิ่งรัดแน่นราวกับปลอกเหล็ก เขาเริ่มพล่าม “ต้าหวาง กรุณารับข้าไว้ด้วยเถอะขอรับ ข้ามีประโยชน์มากเลยนะ!”

ร่างของโม่เป่ยจวินคล้ายจะเซวูบ ถามว่า “เอ๋ เจ้ามีประโยชน์อย่างไร”

“ข้าสามารถยกน้ำชา หิ้วน้ำร้อน ซักผ้า พับผ้าห่ม…ไม่ซิ” ซั่งชิงหัวทำตัวราวกับเสื้อนวมน้อยแนบหัวใจ* โม่เป่ยจวินด้วยการกล่าวแจกแจงอย่างประจบเอาใจว่า “ต้าหวาง ท่านลองคิดดูซิ ข้าคอยแฝงตัวอยู่ในชางฉยงซานเพื่อส่งข่าวให้ท่านได้นะขอรับ แล้วแผนการที่เผ่ามารจะรวบภพมนุษย์เข้ามาไว้ในอำนาจก็จะเป็นผลสำเร็จ”

(สำนวนเสื้อนวมแนบหัวใจ หมายถึง เอาใจอย่างรู้อกรู้ใจ ปกติเอาไว้เปรียบกับลูกสาวที่รู้อกรู้ใจ ช่างเอาใจแม่)

โม่เป่ยจวินหัวเราะหึๆ “ศิษย์นอก มิหนำซ้ำยังเป็นศิษย์นอกของอันติ้งเฟิง เจ้าคอยแฝงตัวเป็นไส้ศึก เดือนไหนปีไหนแผนการที่เผ่ามารจะรวบภพมนุษย์เข้ามาไว้ในอำนาจจึงจะเป็นผลสำเร็จเล่า”

ซั่งชิงหัวกล่าวอย่างอับอาย “ดูถูกถูหมิ่นกันแบบนี้ไม่ดีนา”

ทำไมแม้แต่เผ่ามารก็ดูถูกดูหมิ่นพวกเราละนี่ แถมยังดูถูกความเป็นอันติ้งเฟิงเสียยิ่งกว่าดูถูกความเป็นศิษย์นอกอีก ไม่พอใจอ่ะ ไม่พอใจ

ระหว่างที่กำลังร่ำไห้น้ำตานอง พัวพันตามตื้อชนิดต่อให้ต้องตายก็จะขอติดตามไปให้ได้นั้น โม่เป่ยจวินก็ล้มลงไปดื้อๆ โดยไม่มีวี่แววบอกให้รู้ล่วงหน้าแม้แต่น้อย

ซั่งชิงหัวยังกอดขาเขาอยู่ พอโม่เป่ยจวินล้ม ก็ทำเอาเขาเกือบจะโดนทับไปด้วย เลยต้องรีบปล่อยมือเป็นการด่วน

เขานั่งยองๆ อย่างตะลึงพรึงเพริดไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็คิดได้…หรือโม่เป่ยจวินจะได้รับบาดเจ็บมา?

มิน่าล่ะ หน้าถึงได้หงิกขนาดนี้ ฉุนเฉียวขนาดนี้ ผลักให้ล้มได้ง่ายขนาดนี้

หรือจะโดยมือพาซวยของเขาจิ้มถูกแผลเข้า? บางครั้งไอ้เจ้ามือพาซวยของเขามันก็มีคุณประโยชน์เหมือนกันนะนี่!

ซั่งชิงหัวขยับเข้าไปใกล้ๆอย่างระมัดระวัง แล้วพิจารณาอย่างละเอียด

จริงๆด้วย ช่วงเอวด้านหลังของโม่เป่ยจวิน น่าจะประมาณตำแหน่งไตข้างขวา มีแผลเล็กมากยาวประมาณ 1 ข้อนิ้ว ตรงบาดแผลมีของแหลมสีทองโผล่ออกมา ดูแล้วเป็นสิ่งของรูปทรงเหมือนกลีบดอกไม้ที่ใช้ทองคำเส้นตีออกมาอย่างประณีต

แพรวพราวแบบนี้ ต้องเป็นอาวุธซัดกลีบบุปผาของวังฮ่วนฮวาไม่ผิดแน่

อาวุธชนิดนี้ท่านเฟยจีเขียนใส่ๆไปอย่างนั้นเอง ตัวอาวุธซัดมีขนาดจิ๋ว บางเบาและยังฉาบยาสลบไว้เล็กน้อย ผู้ที่โดนอาวุธนี้ยากนักจะรู้สึกตัวว่าถูกอะไรซัดเข้ามาในร่าง หากขยับตัวแรงไป ตัวอาวุธจะ ‘แย้มบาน’ อย่างสวยงามออกมาเป็นอาวุธซัดรูปบุปผาหกกลีบอันคมกริบ บาดคว้านอวัยวะภายในของผู้ตกเป็นเหยื่อ

ฟังแล้วเหมือนจะคุ้นๆไหมนะ เหมือนจะไปซ้ำกับไอเทมที่เขียนไว้สำหรับปีศาจบางชนิดของภพมารใช่ไหม ไม่เป็นไร ง่ายมาก เดี๋ยวอธิบายเอาว่าอาวุธซัดกลีบบุปผานี้สร้างโดยผู้อาวุโสของวังฮ่วนฮวาที่หนีรอดออกมาได้จากภพมาร โดยออกแบบตามใยไหมอารมณ์ก็แล้วกัน สรุปแล้วก็อย่าไปอะไรมากมายกับรายละเอียดพวกนี้เลย

สิ้นสุดการบรรยาย วกกลับมาที่ปัญหาหลัก

สรุปแล้วก็คือ มารสายเลือดบริสุทธิ์รุ่นสองที่มีความเป็นไปได้ว่าจะฟาดเขาให้ตายในวันหน้าผู้นี้ ขณะนี้ไม่เพียงถูกจิ้มไตโดยวังฮ่วนฮวา แต่ยังโดนยาสลบอย่างแรงมาอีกด้วย

ดูท่าแล้ว โม่เป่ยจวินคงเพิ่งจะหนีออกมาจากการล้อมปราบของวังฮ่วนฮวา เผ่ามารล้วนอาฆาตมาดร้าย สกุลโม่เป่ยกับวังฮ่วนฮวามีความแค้นเก่าแก่กันมาก่อน การล้อมปราบเมื่องานชุมนุมเซียนครั้งใหญ่คราวนั้น สาเหตุที่วังฮ่วนฮวาบาดเจ็บล้มตายมากที่สุด ก็คือการแก้แค้นของโม่เป่ยจวินนั่นเอง เข้ากันได้กับพล็อตที่เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีวางไว้อย่างพอดิบพอดี

ซั่งชิงหัวทางหนึ่งกล่าวงึมๆงำอยู่ในใจ ทางหนึ่งหัวเราะฮ่าๆ มองหาตามพื้นอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เจอก้อนหินใหญ่ขนาดครึ่งค่อนศีรษะ จึงลองคะเนน้ำหนักดู หนักดีมาก

1…2…3 เขาตั้งท่าทุ่มหินใส่ศีรษะของโม่เป่ยจวินซั่งนอนหลับตาอยู่

ระบบไม่ได้เข้ามาส่งเสียงเตือนหรือห้ามแต่อย่างใด

ซั่งชิงหัวจึงวางใจ ไม่มีการเตือน ก็หมายความว่า ฆ่าได้!

“ต้าหวางเอ๊ย ต้าหวาง เจตนาฟ้าเป็นเช่นนี้ นายก็อย่ามาตำหนิฉันเลยนะ” ซั่งชิงหัวกล่าวขออโหสิอย่างไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย ยกหินในมือทุ่มลงไป

แต่แล้วก็เบรกกึกก่อนจะแตะโดนจมูกโด่งตรงอันกล่าวได้ว่างามสมบูรณ์แบบของโม่เป่ยจวิน

อันที่จริง ตัวละครโม่เป่ยจวินนี้ สำหรับเขาแล้วมีความสำคัญค่อนข้างพิเศษทีเดียว

กล่าวได้ว่า โม่เป่ยจวินก็คือรูปแบบของชายหนุ่มในอุดมคติที่ท่านเฟยจีอยากเป็นนั่นเอง แข็งแกร่ง ทั้งเก่งทั้งเท่ ไม่เห็นหัวใคร ก็เหมือนเด็กทุกคนที่เคยฝันอยากเป็นอุลตร้าแมนนั่นแหละ

แล้วเขาจะทนมองตัวเองฆ่าอุลตร้าแมนกับมือได้อย่างไรเล่า

ซั่งชิวหัวถอนใจอยู่พักใหญ่

หลังจากถอนใจเสร็จ เขาก็คิดอย่างหน้าด้านๆว่า งั้นอย่ามองเสียก็สิ้นเรื่อง

ดังนั้นเขาจึงเบือนหน้าไปทางอื่น ชูก้อนหินขึ้นสูงอีกครั้ง

ไม่ไหว เขาก็ยังทำไม่ลงอยู่ดี

ซั่งชิงหัวโยนอาวุธสังหารอันหนักอึ้งทิ้งลงกับพื้นดังตุบ สองตาเรื่องประกายเจิดจ้า เกือบจะโถมทั้งตัวไปบนร่างของโม่เป่ยจวินอยู่แล้ว

ไม่ไหว ไม่ไหว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้านี้มีเสน่ห์เกินไปแล้ว

ใบหน้าของปิงเกอเป็นสไตล์ผู้ชายหน้าสวย ความจริงแล้วเขาไม่เคยนึกชอบเลย เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีใช้สูตรนี้ในการสร้างพระเอกเพื่อให้ฮาร์ดแวร์ของพระเอกนักรักสมบูรณ์แบบมากขึ้น พระเอกนักรักก็ต้องสร้างตามหลังวิทยาศาสตร์เหมือนกันนะ เพราะผลการวิจับทางวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าพวกผู้หญิงจะชอบคนหน้าตาหล่อเหลาสวยงามดูสะอาดสะอ้าน และช่างออดอ้อนหน่อยๆ

พระเอกยังไงก็ต้องถูกแขวะอยู่แล้ว กล่าวได้ว่าปิงเกอนั้น 3 ก้าวเจอแฟน 5 ก้าวเจอแอนตี้แฟน แต่โม่เป่ยจวินนั้นไม่เหมือนกัน คนอ่านมักจะชอบพวกตัวประกอบ โม่เป่ยจวินแทบจะไม่เคยโดนด่าเลย

ตัวละครตัวนี้ เขียนขึ้นตามรสนิยมความชอบของเขาล้วนๆ ในฐานะที่เป็นตัวละครที่ผู้เขียนชื่นชอบ โม่เป่ยจวินแสดงให้เห็นถึงมุมมองด้านความงามตามอุดมคติต่อเพศเดียวกันของนักประพันธ์เช่นเซี่ยนเทียนต่าเฟยจี อย่ามาถามว่าทำไมลั่วปิงเหอถึงไม่สะท้อนถึงความงามของเพศเดียวกันตามอุดมคติองเขา ลั่วปิงเหอนั้นมีไว้เพื่อเติมเต็มความต้องการอันในการเต๊ะท่าและตบหน้าผู้คนเพื่อความสะใจ รวมถึงความต้องการทางเพศ(ตรงนี้ควรขีดทิ้ง)ของเขาแค่นั้น

ถึงแม้ยามนี้หนุ่มน้อยโม่เป่ยจวินยังไม่โตเต็มที่ แต่หน้าตาก็ตรงกับค่านิยมความงามของเขาว่าจะต้อง ‘ดวงตาลึก จมูกโด่งตรง เปี่ยมไปด้วยความองอาจ และเย็นชาอย่างสุดจะเปรียบ’ ทุกประการ

นี่ก็คือบรุษงามตามจินตนาการของเขา

ก้อนหินที่เป็นอาวุธสังหารถูกชูขึ้นแล้วก็ลดลง ชูขึ้นแล้วก็ลดลงอยู่อย่างนั้น ซั่งชิงหัวต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากเป็นครั้งแรกในชีวิต(นับจากทะลุหนังสือมา)

ในที่สุด ซั่งชิงหัวก็ตัดสินใจดังนี้

ไปเปิดห้อง!

ไปหาโรงเตี๊ยมเปิดห้อง เอ๊ยไม่ใช่…พักแรม

ที่ตรงนี้เกลื่อนไปด้วยศพ ซั่งชิงหัวลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะโกยพวกหนังสือของชิงจิ้งเฟิงที่ทั้งหนักและไร้ประโยชน์บนเกวียนทิ้งไปราวกับทิ้งขยะ จากนั้นก็แบกตัวโม่เป่ยจวินขึ้นไปวางแทน โดยจับให้นอนคว่ำหน้าเสีย จะได้ไม่ต้องเห็นใบหน้าที่ตนทนมองตรงๆไม่ไหวนี้ไป

ตอนนี้ยังกลับชางฉยงซานไม่ได้เป็นการชั่วคราวแล้ว ทางนั้นไม่น่าจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้เร็วนัก เพราะก่อนมาก็คะนเอาไว้ว่าเดินทางเที่ยวนี้ใช้เวลาไปกลับ 7 วัน นี่เพิ่งจะผ่านไปได้ 2 วันเอง

ยามที่องค์ชายน้อยแห่งเผ่ามารถูกโจมตีได้รับบาดเจ็บ ร่างกายอ่อนแอ แต่เขายังคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ข้างกายไม่ยอมห่าง นี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมปานไหนแล้วที่จะได้สร้างความประทับใจดีๆ ซั่งชิงหัวกล่าวปลอบใจตัวเองพลางบังคับเกวียนปุเลงๆมุ่งหน้าสู่ตัวเมือง

เงินที่เอามาเปิดห้อง เป็นเงินที่ซั่งชิงหัวแอบเก็บหอมรอมริบทีละเล็กละน้อยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ขณะนี้ เขาเป็นเพียงแค่ศิษย์นอกธรรดาสามัญคนหนึ่ง ไม่มีอำนาจในการดูแลบัญชีและยักย้ายถ่ายเทเงินกองกลาง แค่เปิดห้องๆเดียวก็แตะขีดจำกัดทางด้านการเงินของเขาแล้ว ดังนั้นแน่นอนว่ามันจึงต้องเป็นห้องเดี่ยวสำหรับหนึ่งคน และเป็นการถูกต้องแล้วที่ในห้องจะมีเตียงอยู่แค่หลังเดียว ฉะนั้น เตียงนี้จะเป็นของผู้ใด จึงเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วเช่นกัน

มันก็ต้องเป็นของตัวเขาเองอยู่แล้วน่ะซิ!

ซั่งชิงหัวนอนแผ่หลา กางแขนกางขาเป็นศพอยู่บนเตียงพักหนึ่ง หลังจากเหยียดแข้งเหยียดขาเป็นที่พอใจแล้ว ก็ลุกขึ้นมาอุ้มโม่เป่ยจวินไปนอนบนเตียง

นี่เป็นเรื่องจำเป็น เดิมทีโม่เป่ยจวินได้รับบาดเจ็บ อารมณ์เลยไม่ค่อยจะดีนัก ตอนตื่นขึ้นมา หากพบว่าตัวเองนอนอยู่กับพื้นหรือว่านั่งงอก่องอขิงอยู่บนเก้าอี้ คงได้เป็นเรื่องแน่ กลัวว่าเขาจะไม่ฟังอีร้าค่าอีรมก็ประทานธนูน้ำแข็งให้กับตนเป็นรางวัลเสียก่อน

เมื่อครู่ตอนผ่านร้านขายยา ซั่งชิงหัวได้ซื้อยาจำพวกขี้ผึ้งทาแผลเอาไว้เล็กน้อย ถึงแม้ตามหลักแล้วเผ่ามารจะมีพลังชีวิตอันแข็งแกร่งราวกับเอเลี่ยน ต่อให้ปล่อยทิ้งๆไว้ทั้งอย่างนี้ และแผลลึกแค่ไหน เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆสมานตัวหายได้เอง แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเกาะแข้งเกาะขาเขาก็ต้องรู้จักที่จะเลิกสงวนท่าที แล้วแสดงออกซึ่งความจริงใจให้ถึงที่สุด

ท่านเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีประโคมโอ่ตัวเองว่าเป็นคนเลวตัวจริง คนประเภทที่เขารังเกียจเหยียดหยามที่สุดคือคนที่ทั้งๆกำลังจะเกาะแข้งเกาะขาคนเขาแต่ยังมาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมเสแสร้งแกล้งทำอยู่อีก เขาควักยาออกมาก้อนใหญ่โปะลงไปบนปากแผลที่ลึกเป็นโพรงบริเวณไต จนรู้สึกว่าอุดแผลหมดแล้ว ก็จับโม่เป่ยจวินพลิกตัวให้นอนหงายอีกครั้ง เอามือเขาวางประสานกันที่หน้าอกในท่าเจ้าหญิงนิทรา ส่วนตัวเองนั่งลงข้างเตียง เฝ้าชื่นชมใบหน้าอันงดงามสมบูรณ์แบบสมดั่งจินตนาการ แล้วจึงค่อยเอนกายลงนอน เอาหัวหนุนแขนอยู่บนเตียงฝั่งด้านนอก

อากาศในค่ำคืนฤดูคิมหันต์ร้อนอบอ้าว ขนาดเปิดหน้าต่างไว้ยังไม่มีลมพัดเข้ามาสักวูบ…

เขาพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่ครึ่งคืนกว่าจะม่อยหลับไปอย่างยากเย็น แต่แล้วก็ถูกถีบโครมให้ลงไปนั่งจ้ำเบ้ากับพื้น

ลูกถีบนี้ทำเอาซั่งชิงหัวตกใจแทบช็อคเลยทีเดียว

เขารีบกลิ้งตัวมุดเข้าไปหลบใต้โต๊ะ แหงนหน้าขึ้นมองด้วยอาการขวัญผวายังไม่หาย โม่เป่ยจวินลุกขึ้นมานั่งตัวตรงแหน็วอยู่บนเตียง แสงสีน้ำเงินเข้มในดวงตาเรืองประกายเจิดจ้าคล้ายแบตเตอรี่ที่เพิ่งชาร์จมาเต็มแประชนิดแทบจะระเบิด

ซั่งชิงหัวเตรียมนึกคำพูดไว้ก่อนแล้ว เขาตีอกชกหัวคร่ำครวญอย่างถึงบทถึงบาท “ต้าหวาง ท่านฟื้นขึ้นมาได้เสียที—“

โม่เป่ยจวินนั่งนิ่งไม่ขยับ มองเขาอย่างเย็นชา

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “ท่านยังจำข้าได้หรือไม่”

อีกฝ่ายไม่สนใจเขา ซั่งชิงหัวก็ไม่ได้รู้สึกหน้าแตกแม้แต่น้อย แอบดีใจเสียด้วยซ้ำ ด้วยนึกไปถึงว่าเขาอาจจะความจำเสื่อมไปแล้วก็เป็นได้ พูดเองเออเองเสร็จสรรพว่า “ที่พวกเราเพิ่งจะพบกันบนทางสายน้อยอย่างไรเล่าขอรับ ข้ายังพูดเลยว่าข้าจะขอติดตามท่านไปชั่วชีวิต คอยรับใช้ต้าหวางดุจดั่ง…”

โม่เป่ยจวินตัดบทเขา “เมื่อครู่เจ้ากอดข้าทำไม”

“…เสื้อนวมน้อยแนบใจ…” ซั่งชิงหัวตะลึง “ท่านว่าอะไรนะ เมื่อครู่ข้าทำอะไรท่านหรือ”

“เจ้ากอดข้า”

ทันทีที่รู้เรื่อง ก็ราวกับฟ้าผ่าลงหัวกบาลกลางแดดเปรี้ยง

วันนี้อากาศร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาอบ แต่ร่างกายของโม่เป่ยจวินกลับเย็นจัด ตอนที่ตนสะลึมสะลือจึงได้อิงเข้าหาสิ่งเย็นๆโดยไม่รู้ตัว ยิ่งกระแซะก็ยิ่งรู้สึกเย็นสบาย มิน่า ถึงได้ฝันเห็นไอติมแท่งใหญ่ อารามดีใจเลยเข้าไปกอดเสียแน่นราวกับปลาหมึกยักษ์ เลียเอาๆ น้ำตาแห่งความสุขไหลพราก

ซั่งชิงหัวลอบมองใบหน้าและลำคอของโม่เป่ยจวินอย่างละเอียด พบว่าไม่มีคราบน้ำแปลกๆก็พุทโธในใจอย่างอดไม่อยู่ เขากล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ร่างกายของท่านเย็นราวกับน้ำแข็ง ข้ากลัวว่าท่านกำลังจะตาย จึงได้กอดท่านเอาไว้น่ะซิขอรับ”

พอโม่เป่ยจวินได้ฟัง ก็กล่าวเย้ยหยันว่า “โง่เง่า ข้าเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด ร่างกายยิ่งเย็นยิ่งดี อีกทั้งข้ามิใช่มนุษย์ที่ตัวเย็นแล้วจะตายเสียเมื่อไหร่”

ซั่งชิงหัวคอยดูสีหน้าเขาตลอด เห็นสีหน้าเขาผ่อนคลายก็ยิ้มออกทันที ขณะกำลังจะตีเนียนถือโอกาสนี้มุดออกมาจากใต้โต๊ะ แต่แล้วน้ำเสียงโม่เป่ยจวินก็กลับมาเย็นชาอีกครั้ง “ขืนเจ้ากล้าดีขยับตัวอีกก็ลองดู”

ซั่งชิงหัวตัวแข็งทื่อทันที กอดขาโต๊ะแน่นอย่างน่าสงสาร ดูราวกับหนูแฮมสเตอร์ขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่ใต้โต๊ะ

โม่เป่ยจวินกล่าวว่า “เจ้ามีวัตถุประสงค์ใด”

ซั่งชิงหัวทำหน้าหนากล่าวว่า “มิได้มีวัตถุประสงค์ใดเลยขอรับ แค่อยากติดตามรับใช้ท่านชั่วชีวิตเท่านั้น”

โม่เป่ยจวินทำเป็นไม่ได้ยิน “เจ้าเป็นศิษย์นอกของอันติ้งเฟิง”

ซั่งชิงหัวในยามนี้รู้สึกว่าเขาจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘อันติ้งเฟิง’ หนักเป็นพิเศษ แฝงไปด้วยความดูถูกดูหมิ่น ก็กลัวว่าเขาจะรังเกียจว่าตนไร้ประโยชน์มุดหัวออกมาทันที “ต้าหวางท่านฟังข้าหน่อยเถอะขอรับ ข้าอายุยังน้อย ยังมีโอกาสเลื่อนขั้น…”

“กลับเข้าไป”

ซั่งชิงหัวรีบมุดกลับเข้าหลุมหลบภัยเดี๋ยวนั้น

เมื่อระยะห่างเป็นที่พอใจ โม่เป่ยจวินจึงค่อยกล่าวว่า “เจ้าช่วยเหลือข้าก็เพื่อโอกาสที่จะได้เลื่อนขั้นหรือ”

จองหองจริงๆ ไม่พูดว่า ‘ช่วยชีวิต’ ซึ่งเป็นคำกริยาที่ฟังแล้วแสดงถึงความอ่อนแอสิ้นท่าของตัวเอง แต่เปลี่ยนไปใช้คำว่า ‘ช่วยเหลือ’ ที่แฝงความหมายของการสนับสนุนแทน ซั่งชิงหัวทำเป็นหัวเราะแหะๆ

“มิใช่หรือ”

ความน่าเชื่อถือต่ำกว่า 3%

“หรือว่าใช่”

โม่เป่ยจวินเกลียดชังคนเลวที่ทำตัวเหยาะแหยะ นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมในบทประพันธ์เดิม เขาถึงฆ่าซั่งชิงหัวอย่างไม่ปราณี เพราะไม่ได้คิดจะปล่อยให้มีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว แล้วตนจะต้องไปยอมรับให้เสียหน้าทำไมทำให้ความรู้สึกดีๆลดลงเสียเปล่าๆ

ดีที่ในใจของโม่เป่ยจวิน ซั่งชิงหัวถูกแปะฉลากไปเรียบร้อยแล้วว่าเป็นพวก ‘รักตัวกลัวตาย ประจบสอพลอ ขายได้แม้กระทั่งเพื่อนร่วมสำนัก’ เลยไม่ต้องการคำตอบของเขา เพียงแค่นเสียงอย่างเย็นชาทีหนึ่ง แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

ซั่งชิงหัวรอจนผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ไม่เห็นเขามีทีท่าว่าจะทำอะไรอีก

นี่จะถือว่าเขายอมรับการสวามิภักดิ์ของตนไปก่อนชั่วคราวได้ไหมนี่ หรือว่า…สลบไปอีกรอบแล้ว

แต่สุดท้าย ซั่งชิงหัวก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปอยู่ดี นั่งหมอบคุดคู้อยู่ใต้โต๊ะ ถูๆไถๆเอาตัวรอดไปได้หนึ่งราตรี

วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนคืน พอตื่นมาในตอนเช้า ซั่งชิงหัวก็เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการง่วนทำหน้าที่เป็นวัวเป็นม้ารับใช้อย่างเป็นทางการ

เพียงแค่ช่วงเช้า เขาก็ต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงบันใดอยู่ 20 กว่าเที่ยว และเปลี่ยนน้ำในถังไปเจ็ดแปดรอบ

น้ำเหล่านี้เอามาใช้รักษาอาการบาดเจ็บให้โม่เป่ยจวิน เจ้าแห่งเวทน้ำแข็งเสียอย่าง ยังไงก็การแช่น้ำนี่แหละสะดวกสุด แช่ไม่ทันถึงครึ่งชั่วยาม น้ำอุ่นจัดก็มีเศษน้ำแข็งลอยขึ้นมาเต็มถัง

ซั่งชิงหัวขดตัวอยู่มุมห้อง เคี้ยวเสบียงกรังที่พกติดตัวมาพลางมองโม่เป่ยจวินถอดเสื้อผ้าไปด้วย ให้นึกอิจฉาหุ่นและกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ตนเองฝันอยากมีกับเขาบ้างสุดๆ

มัวแต่มองเพลินก็พลันพบว่าโม่เป่ยจวินหยุดถอดเสื้อผ้าแล้ว กำลังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าไม่ชอบใจอย่างมาก

ซั่งชิงหัวเคี้ยวหยับๆ รีบกินเข้าอีกสองสามคำเพื่อป้องกันไม่ให้โม่เป่ยจวินสั่งเขาส่งมอบเสบียงกรังออกมา

โม่เป่ยจวินถามว่า “ว่างนักหรือ”

ซั่งชิงหัวรีบกล่าว “ไม่เค็ม*หรอกขอรับ อันนี้หวาน*”

(คำว่า ‘ว่าง’ ( ) เสียน พ้องเสียงกับคำว่า ‘เค็ม’ 咸เสียน)

เขายังไม่ทันจะได้กินอีกสักสองสามคำ เงาสีดำสองสามสายก็ถูกโยนลงมาโปะหน้า

ดังนั้นซั่งชิงหัวจึงไม่ว่างแล้ว เพราะเขาต้องซักเสื้อผ้าให้เจ้านายคนใหม่

องค์ชายน้อยของเผ่ามารมีเสื้อผ้ามาแค่ชุดเดียว ทั้งขาดเป็นรู ทั้งเปื้อนคราบเลือดเกรอะกรัง และไหนจะเหงื่อ ยังเอามาสวมได้อีกหรือ เลยต้องปะชุนและซักตากให้เรียบร้อย

อยู่ในโลกของจอมยุทธ์เซียนแต่ดันพลังเวทต่ำก็ต้องพบกับความเป็นจริงอันน่ารังเกียจ ทั้งไม่โรแมนติกและน่ารัดทดเช่นนี้แหละ

ซั่งชิงหัวจึงสาบานเอาไว้เลย หากยังมีโอกาสกลับไปเป็นเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีอีกครั้ง นิยายเรื่องต่อไปของเขา จะต้องเป็นแนวพลังเวทชั้นสูง ไม่ต้องใช้สมองไม่ต้องมีลอจิกอะไรทั้งสิ้น ตัวละครเก่งกาจประมาณว่าสามารถทอเมฆเป็นเสื้อ ตัดพระจันทร์มาเป็นสายคาดเอว งานหนักทุกชนิดเพียงแค่กระดิกนิ้วก้อยก็จัดการได้หมด ห้ามมีอะไรเศร้ารันทดแบบอันติ้งเฟิงอีกเป็นอันขาด

รูโหว่เล็กๆที่เสื้อตรงตำแหน่งไตของโม่เป่ยจวินได้รับการปะชุนด้วยความทุ่มเทชนิดใส่หัวใจไปทั้งดวง จากนั้นก็ซักตากไว้ในห้อง ซั่งชิงหัวคิดว่าวันนี้การแสดงออกของตนอยู่ในระดับดีเอามากๆ

ดังนั้นพอตกค่ำ เขาจึงพกความเชื่อมั่นอันน่าพิศวงไว้เต็มอก ทำหน้าหนาคิดจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียงเหมือนเมื่อคืนวานอีก แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ขอบเตียงด้วยซ้ำ ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย เขาถูกถีบร่วงลงไปอีกครั้ง

ซั่งชิงหัวนั่งแปะอยู่กับพื้น น้ำตาคลอ หางเสียงติดจะสั่นๆเล็กน้อย “…ต้าหวาง ท่านไม่ให้ข้านอนบนเตียง หากกลางดึกท่านหนาวขึ้นมา หรือว่าหิวน้ำ หรือว่าหิวข้าว หรือว่าอยากพลิกตัว…จะทำอย่างไรเล่าขอรับ”

โม่เป่ยจวินเลิกคิ้ว “ง่ายมาก”

ดังนั้น เขาจึงออกคำสั่งให้ซั่งชิงหัวไปหาเชื่อมาเส้นหนึ่ง ปลายข้างหนึ่งผูกับนิ้วมือโม่เป่ยจวิน ปลายอีกข้างผูกับ…

นิ้วของซั่งชิงหัวหรือ

ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆปานนั้น ก็ผูกคอน่ะซิ

ซั่งชิงหัวนอนตัวแข็งทื่อราวกับศพอยู่บนพื้น ในใจคิดว่า ชีวิตของไอ้ซั่งชิงหัวนี่ยังสู้หมาตัวหนึ่งไม่ได้เลย มีเพียงความคิดเดียวที่เขายังพอเอามาใช้ปลอบตัวเองได้นั่นคือ อย่างน้อยๆ โม่เป่ยจวินก็ไม่ได้โรคจิตวิปริต ไม่ได้เอาเชือกมาผูกกับ(เซ็นเซอร์)ของเขา ถ้าแบบนั้นละก็ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว

วันเวลาอันระทมขมขื่นเช่นนี้ดำเนินมาได้เพียง 4 วัน แต่สำหรับซั่งชิงหัวแล้วราวกับผ่านไปเป็นปีเลยจริงๆ แม้แต่กลางคืนยังฝันร้ายตลอด

คราวนี้เขาฝันว่าตัวเองอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้าคอม ข้างๆเป็นชายหนุ่มหุ่นล่ำบึ้กหน้าตาเกรี้ยวกราดดุดันคนหนึ่ง ถือแตงกวาที่เต็มไปด้วยหนามแหลมทั้งลูกไว้ในมือ มองดูเหมือนน่องที่เต็มไปด้วยขนยุ่บยั่บ แล้วเอาแตงกวานั่นฟาดหน้าเขาอย่างแรงพลางตวาดว่า “นิยายที่แกเขียนแม่งมี JB* กากๆ!”

(JB เป็นภาษาเน็ตของวัยรุ่นจีน เป็นคำย่อของ ji ba หมายถึง อวัยวะเพศชาย)

เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีพยายามหลบแตงกวาสุดชีวิต ละล่ำละลักอธิบาย “ผมไม่ได้อัพนิยายมานานแล้ว กวาซยงอย่าทำแบบนี้!”

เจวี๋ยซื่อหวงกวากล่าวว่า “แล้วทำไมยังไม่รีบอัพตอนใหม่!” พูดพลางก็เอาเชือกมารัดคอเขา

ท่ามกลางความเจ็บปวดเหลือแสน ซั่งชิงหัวดิ้นขัดขืนจนตื่นขึ้นมาที่คอก็ยังมีอะไรรัดแน่นอยู่ พอเขาเหลียวหน้าไปมอง โม่เป่ยจวินนอนอยู่บนเตียง กำลังกระตุกเชือกในมือถี่ๆ

ซั่งชิงหัวกล่าวอย่างหมดเรี่ยวแรงว่า “ต้าหวางต้องการอะไรหรือขอรับ”

ถามออกไปแล้วถึงค่อยพบว่าโม่เป่ยจวินหาได้ทำเพราะจงใจแกล้งตนไม่ เขาไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย กำลังพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายอะไรที่อยู่ในมือก็จับเอามาระบายโทสะทั้งยังหลับ เสียก็แต่ว่าที่ถูกเขากระตุกแรงๆในยามนี้คือคอของซั่งชิงหัวนั่นเอง โดนกระตุกเข้าไปสองที ลูกตาตนก็แทบจะพลัดออกมาเลยทีเดียว

โม่เป่ยจวินขมวดคิ้ว ยังคงพลิกตัวอย่างไม่เป็นสุข ซั่งชิงหัวเดินย่องด้วยปลายเท้าไปยังหน้าเตียง เห็นหน้าผากเนียนใสของเขามีเม็ดเหงื่อผุดพราว อีกทั้งตามเสื้อผ้ายังมีไอร้อนลอยขึ้นมาเป็นสาย ก็เข้าใจทันที

แผลตรงไตของโม่เป่ยจวินที่ดูเหมือนจะเป็นแค่บาดแผลเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ความจริงแล้วอาการค่อนข้างสาหัสทีเดียว แต่เขาก็ทนฝืนไว้ ไม่ยอมพูดออกมา กอปรกับสายเวทน้ำแข็งของเผ่ามารเดิมทีก็ไม่ชอบอากาศร้อนอยู่แล้ว ช่วงกลางฤดูคิมหันต์เช่นนี้ ก็เป็นไปได้ที่จะมีอาการแผลอักเสบหรือไม่ก็กลัดหนอง

ไตหายช้าแบบน้ ท่าจะต้องบำรุงไตกันเสียหน่อยแล้ว

สกุลโม่เป่ยนั้นขอแค่อุณหภูมิต่ำก็ใช้ได้แล้ว ไม่มีอุณหภูมิต่ำก็ได้แต่ลดอุณหภูมิเอาละกัน ซั่งชิงหัวกล่าวงึมงำ “ท่านอนแม่งอุบาทว์สุดๆ” เขาออกไปอย่างยอมรับชะตากรรม ตบประตูเรียกชาวบ้านกลางดึกโดยไม่กลัวโดนด่า ขอพัดใบลานมาได้สองเล่ม น้ำหนึ่งกาละมัง และผ้าแห้งสะอาดสองผืน จากนั้นก็กลับมาเช็ดตัวให้โม่เป่ยจวิน เอาผ้าเปียกโปะหน้าผาก ถือพัดใบลานด้วยมือซ้ายขวาช่วยกันกระพือสุดแรง

เขาพัดพลางหาวไปพลาง พัดจนตัวเองตาเริ่มปรอย ขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็เหมือนจะเห็นโม่เป่ยจวินลืมตาขึ้น ยามอยู่ใต้แสงจันทร์ ดวงตาสีน้ำเงินทั้งเจิดจ้าทั้งเย็นยะเยียบดูราวกับตาแมวอันงดงามเจิดจรัสและลึกลับ

สถานการณ์แบบนี้น่ากลัวสุดๆ ซั่งชิงหัวผวาเฮือก เขาถ่างตามองให้ชัดอีกครั้ง ตาก็ปิดสนิทอยู่นี่นา

แต่ตอนตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าไม่ได้การแล้ว

เมื่อคืนอากาศร้อนจนซั่งชิงหัวหน้ามืดตาลาย โบกๆพัดใบลานอยู่ก็กลับมานอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงเสียแล้ว อันตรายสุดๆ ดีที่โม่เป่ยจวินยังไม่ตื่น ไม่งั้นตื่นมาหัวเขาคงหลุดกระเด็นไปไหนต่อไหนแล้ว

ซั่งชิงหัวรีบกระโดดลงมานอนยังที่ของตัวเองตรงพื้นใต้เตียง

ผ่านไปครู่หนึ่ง พื้นกระดานเตียงดังเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ โม่เป่ยจวินลุกขึ้นนั่ง ซั่งชิงหัวกู่ร้องในใจ เกือบไปแล้วไหมล่ะ หากตื่นขึ้นมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวเป็นได้เลือดสาดกระจายคาที่ไปแล้ว

วันต่อมา ในที่สุดก็ได้พานพบแสงสว่างอีกครั้ง เขาได้รับอนุญาตจากโม่เป่ยต้าหวางให้ออกไปเดินเล่นที่ถนนได้

แต่ความจริงแล้ว เป็นเพราะเขาไปกอดขาร้องไห้กับโม่เป่ยจวินว่า “ต้าหวาง เสบียงกรังของข้าหมดแล้วขอรับ ข้าพลังฝึกปรือไม่สูงส่งเหมือนท่านที่อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน หากท่านไม่ปล่อยให้ข้าออกไปซื้อเสบียงกรัง ข้าคงได้อดตายกลายเป็นศพเหม็นเน่าอยู่ในห้องแน่…”

เขาสั่งโจ๊กชามหนึ่งจากแผงมุมถนน โจ๊กใสโจ้งเจ้งเป็นน้ำขนาดก้มหน้าก็มองเห็นเงาตัวเองเลยทีเดียว ภาพสะท้อนในชามบรรยายได้ว่าดูราวกับดอกไม้ที่โดนพายุฝนกระหน่ำ แล้วโดนคนกระทืบซ้ำอีกต่อ

ขณะกำลังนึกสมเพชกับความรันทดของตัวเอง อยู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเรียกว่าศิษย์น้อง เขาหันหน้าไปมอง พบว่ามีวัยรุ่นสี่ห้าคนเดินกันชายแขนเสื้อพลิ้วไสว ไอเซียนลอยตลบ บนหลังสะพายกระบี่ ท่าทางดูเป็นงานเป็นการกำลังมุ่งหน้ามาหาเขา

สำนักเดียวกัน ศิษย์ร่วมสำนักชางฉยงซานของเขานั่นเอง

จริงซิ ผ่านไปเจ็ดแปดวันแล้วนี่นะ สำนักก็ต้องส่งคนมาตามหาเขาอยู่แล้ว

ซั่งชิงหัวน้ำตาคลอหน่วย ยื่นมือสั่นระริกออกไป “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่เว่ย!”

หนุ่มน้อยผู้นำทีมมามีรอยยิ้มระบายอยู่เต็มหน้า ที่เอวห้อยกระบี่ไว้สองเล่ม เล่มหนึ่งยาวเล่มหนึ่งสั้น แขนเสื้อสองข้างสะบัดพลิ้วราวกับสายลมเย็นฉ่ำ เขาก็คือศิษย์พี่เว่ยชิงเวยแห่งวั่นเจี้ยนเฟิงนั่นเอง พอเห็นซั่งชิงหัวโผเขามา ก็ยื่นมือออกไปรับ กล่าวอย่างตื่นเต้น “ศิษย์น้อย x จะ…เจ้าเป็นอะไรไป ไม่เห็นหน้าเสียหลายวัน ไฉนเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเช่นนี้ ไม่เหลือสารรูปเลย!”

“…” ซั่งชิงหัวกล้ำกลืนน้ำตา กล่าวอย่างอับอายว่า “นั่นคงจะเป็นเพราะข้าไม่ใช่ศิษย์พี่ x กระมัง”

ตอนนี้ฉันก็แค่ไม่ค่อยได้กินอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลยผอมไปหน่อยเท่านั้นเอง อะไรคือไม่เหลือสารรูปกัน อีกอย่าง ฉันก็เคยไปเช็ดพวกกระบี่ที่แท่นทดสอบกระบี่บนวั่นเจี้ยนเฟิงของพวกนายมากกว่าสามครั้งแล้ว แต่ละครั้งนายยังให้ฉันไปกวาดห้องนายด้วยเลย ข้าวปลาอาหารก็ทำให้ ตัวนิ่ม* ก็ไปเลี้ยงให้ แป๊บเดียวแค่นี้ก็ลืมหน้ากันเลยเหรอ

(ตัวนิ่มหรือเรียกอีกอย่างว่าตัวลิ่น (Pangolin) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวมีเกล็ด)

เว่ยชิงเวยกล่าวว่า “เจ้าดูไม่ออกหรอกหรือว่าข้าล้อเจ้าเล่น ทำไมเล่า ไม่ขำหรือ ว่าแต่ศิษย์น้องซั่ง ทำไมถึงเห็นเจ้าอยู่คนเดียว คนอื่นๆเล่า ไฉนกลับไปช้านัก หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“ศิษย์พี่เว่ยยังคองชอบปล่อยมุกหน้าตายเหมือนเดิมนะขอรับ คนอื่นๆ…คนอื่นๆ…”

ถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ซั่งชิงหัวเลยปั้นเรื่องแบบแนบเนียนไร้ช่องโหว่ไม่ออก ได้แต่ทำหน้าซีด ตัวโอนไปเอนมาสองที จากนั้นก็ล้มตึง

ด้วยสภาพไร้เรี่ยวแรงที่พร้อมจะล้มลมไปได้ทุกเมื่อของเขาในยามนี้แกล้งเป็นลมก็ไม่ทำให้ใครนึกสงสัย

ตอนแกล้งตายอยู่นั้น เขารู้สึกเหมือนเว่ยชิงเวยยอบกายลงมาจิ้มๆใบหน้าเขา คนอื่นๆกล่าวว่า “ศิษย์พี่ เขาเป็นลมไปแล้ว เอาอย่างไรดีขอรับ”

เว่ยชิงเวยจิ้มไปพูดไป “จะเอาอย่างไรได้ ลากกลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

……………………

ฉยงติ่งเฟิง

ซากร่างวางเรียงรายเป็นแถวอยู่ด้านนอกอาราม ศิษย์นอกของอันติ้งเฟิงที่ได้รับมอบหมายให้ลงเขาวันนั้นล้วนทอดร่างอยู่ตรงนี้หมดทั้งสิ้นยกเว้นซั่งชิงหัวคนเดียว

ซั่งชิงหัวคุกเข่าอยู่ตรงหน้าศพ น้ำตาร่วงลงมาเป็นสาย

ทำไงได้ โลกของผู้ฝึกวิชาเซียนใช่จะตบตากันโดยง่าย พรสวรรค์ไม่ได้เรื่องแบบเขา ถ้าบ่อน้ำตาไม่มีประสิทธิภาพอีกก็ไม่ได้การล่ะ ไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อกี้ตอนอยู่ต่อหน้าบรรดาเจ้ายอดเขาคงทำท่า ‘โศกเศร้าสุดจะรับงับถึงขนาดพูดจาไม่เป็นศัพท์’ ไม่ได้แน่

บรรดาเจ้ายอดเขาฟังเรื่องราวจบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด จากนั้นก็เข้าไปปรึกษากันข้างใจ ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงพู่ห้อยกระบี่และห่วงหยกห้อยเองกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง หนุ่มน้อยผู้หนึ่งในชุดเครื่องแบบชิงจิ้งเฟิงค่อยๆเดินเข้ามา

หนุ่มน้อยผู้นี้ผิวพรรณขาวสดใส คิ้วตาเรียวยาว ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ หน้าตาแฝงความร้ายกาจอยู่ในที ผมยาวดำขลับผูกรวบไว้ด้วยสายรัดสีเขียวอ่อนอย่างเรียบร้อยที่ด้านหลังศีรษะ กอดกระบี่ไว้กับอก เขาก็คือผีร้ายที่เป็นดาวหายนะ ศิษย์อัจฉริยะของชิงจิ้งเฟิง ตัวโกงเดนมนุษย์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุคจากเรื่อง ‘เทพมารอหังการ’ นั่นเอง —- เสิ่นชิงชิว

เสิ่นชิงชิวมองสำรวจซากศพเสร็จ ก็เอ่ยถามลอยๆว่า “เผ่ามารผู้นั้นมิได้ฝากคำพูดอะไรหรือว่าของใดมากับเจ้าหรอกหรือ”

ซั่งชิงหัวตกตะลึง การที่เขาเป็นฝ่ายมาพูดด้วยก่อนทำเอาตนแตกตื่นไปแล้วกับวาสนาที่คาดไม่ถึง

“ไม่มีหรือ” เสิ่นชิงชิวทำหน้าเชิดคอตั้งจนเป็นนิสัย ท่าชายตามองชาวบ้านด้วยหางตาจึงเป็นเรื่องปกติ ทุกครั้งที่ซั่งชิงหัวสนทนากับเขา มักจะรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังดูหมิ่นเหยียดหยามตนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นตนก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร ชินแล้ว

เสิ่นชิงชิวทำหน้าเหมือนจะยิ้มไม่ยิ้ม “เช่นนั้นก็ช่างประหลาดนัก คนเจ็ดแปดคนล้วนตายหมด หากว่ามิได้มีคำใดฝากเจ้ามาบอกหรือมีของใดต้องการให้เจ้าเป็นผู้นำมา ทำไมปล่อยให้เจ้ารอดมาคนเดียว”

ซั่งชิงหัวกะพริบตาปริบๆ น้ำตาร่วงเผาะลงมาอีกครั้ง “นี่…นี่…”

เสิ่นชิงชิวคราวนี้ยิ้มออกมาจริงๆแล้ว “ซั่ง…ศิษย์น้องซั่ง ตกลงเจ้าอาศัยอะไรถึงเอาตัวรอดกลับมาถึงชางฉยงซานอย่างปลอดภัยได้เล่า”

คำพูดนี้ไม่อาจตอบอย่างขอไปทีเด็ดขาด

ไอ้เจ้าเสิ่นชิงชิวที่อยู่ในโลกใบนี้เดินตามแนวที่เขากำหนดไว้ในพล็อตเป๊ะ ไม่เหมือนลิ่วล้อยพลีชีพที่ไอคิวต่ำกว่า 40 พวกนั้นเลยสักนิด ตบตาเขาไม่ได้ง่ายๆแน่นอน หากเผลอหลุดปากจนเขาเอาไปฟ้องได้ รับรองว่าชีวิตสายลับที่ยังไม่ทันเริ่มต้นก็ต้องมีอันสิ้นสุดลงแน่

แกล้งทำเป็นยิ้มโง่ๆอยู่ 30 วิ ซั่งชิงหัวราวกับมีหลอดไฟสว่างวาบที่เหนือศีรษะ กล่าวพึมพำออกมาทันที “นี่…หรือจะเป็นเพราะ…”

เพราะยอมคุกเข่าโดยไม่รีรอ?

เพราะเรียกต้าหวางอย่างจริงใจชัดเจน?

เพราะละทิ้งเกียรติยศศักดิ์ศรีอย่างไม่ลังเล?

เสิ่นชิงชิวรออย่างอดทน จากนั้นก็ได้ยินเสียงไอโขลกๆราวกับปอดจะฉีก

ซั่งชิงหัวไอจนน้ำตาเล็ด เสิ่นชิงชิวถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง แสดงสีหน้ารังเกียจ

สิ่งใดๆในโลกนี้ย่อมมีอีกสิ่งที่ข่มกันอยู่ นายคอยดูตอนฉันอัญเชิญใครบางคนมาจัดการนายก็แล้วกัน

จริงดังคาด 5 นาทีต่อมา เสียงของเยวี่ยชิงหยวนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ศิษย์น้องชิงชิว พฤติกรรมของเผ่ามารแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่อยู่ในกรอบในเกณฑ์อะไรอยู่แล้ว ศิษย์น้องซั่งหนีรอดมาได้หาใช่เรื่องง่าย ต่อให้มีคำถาม ก็ให้เวลาเขาพักหายใจหน่อยเถิด”

ออกมาแล้ว! สัตว์อัญเชิญ*ขั้นเทพ พ่อพระผู้แสนดี ว่าที่เจ้าสำนักในอนาคต—–เยวี่ยชิงหยวนออกโรงแล้ว!

(สัตว์อัญเชิญ เป็นภาษาเกม ด้วยในเกมมีอาชีพหนึ่งที่เวลาสู้ ผู้เล่นอัญเชิญสัตว์วิเศษออกมาสู้แทนตัวเอง)

ซั่งชิงหัวเริ่มนับเงียบๆ

เสิ่นชิงชิวชูไม้ชูมือ “ได้ๆ ข้ามันพูดจาไม่เพราะ ไม่พูดแล้ว ศิษย์พี่เยวี่ยเชิญท่านเถอะ”

1 HIT

เยวี่ยชิงหยวน “พวกศิษย์น้องของอันติ้งเฟิงลงเขาคราวนี้ เดิมทีก็เพื่อช่วยจัดการธูระให้ชิงจิ้งเฟิง ศิษย์น้องไฉนแล้งน้ำใจปานนี้…อ้าว แล้วศิษย์น้องซั่งทำไมถึงได้ไอรุนแรงขึ้นทุกที ให้ข้าไปตามศิษย์น้องมู่แห่งเซียนเฉ่าเฟิงมาดูอาการเจ้าหน่อยดีไหม”

2 HIT

ซั่งชิงหัวส่ายหน้า ซาบซึ้งในน้ำใจของเยวี่ยชิงหยวนเสียจนน้ำตาเล็ดจากนั้นก็นับต่อ

เสิ่นชิงชิวกล่าวเย้ยหยันว่า “12 ยอดเขาต่างก็มีหน้าที่ของตนเอง เชี่ยวชาญเก่งกาจต่างกัน นี่ก็เป็นหน้าที่ของอันติ้งเฟิงอยู่แล้ว ศิษย์พี่เยวี่ยทำไมจะต้องพูดจนดูเหมือนพวกเขาได้รับความไม่เป็นธรรมปานนั้น ราวกับว่าทั้งชางฉยงซานมีแต่อันติ้งเฟิงที่ทำงานอย่างนั้นแหละ อีกอย่าง ศิษย์พี่นึกว่าพวกเขาช่างหนักเอาเบาสู้ปานนั้นจริงหรือ แต่ละวันแทบไม่เคยตั้งกองนินทาลับหลังอย่างนั้นซิ?”

3 HIT

ตั้งแต่ต้นจนจบเยวี่ยชิงหยวนสีหน้าสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน ทำท่าจะพูดบ้าง แต่เสิ่นชิงชิวกล่าวทันควัน “พอเลย ขอบคุณศิษย์พี่เยวี่ยที่สอนสั่ง ไว้วันหลังชิงชิวจะมาขอรับคำสั่งสอนใหม่ ข้าไปก่อนแล้ว”

4 HIT Get!

เขารู้อยู่แล้ว สองคนนี้คุยกันทีไร พอเกินกว่า 5 ประโยคก็มีอันวงแตกทุกครั้งไป

เสิ่นชิงชิวกอดกระบี่ซิวหย่าเดินไปไกลแล้ว เยวี่ยชิงหยวนจึงค่อยหันมากล่าวว่า “ศิษย์น้องซั่ง ทำเจ้าตกใจแล้ว”

ซั่งชิวหัวรีบกล่าว “มะ…ไม่เลยขอรับ”

เทียบกับความเหน็ดเหนื่อยและการกดขี่ที่ได้รับเมื่อสองสามวันก่อน ตกใจนิดหน่อยแค่นี้ถือว่าจิ๊บๆ

เหมือนอย่างนิทานผู้เฒ่าไซ่เสียม้า*ไง ใครก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะออกมาดีหรือร้าย หลังเกิดเหตุครั้งนี้ขึ้น ไม่รู้ว่าเจ้ายอดเขาผู้เฒ่าของอันติ้งเฟิงอย่างจะปลอบใจซั่งชิวหัวหรืออย่างไร เลยเลื่อนขั้นให้เขากลายเป็นศิษย์ในอย่างเป็นทางการ

(เฒ่าไซ่เสียม้า อุปมาถึงในร้ายมีดี ในดีมีร้าย มีที่มาคือ วันหนึ่งม้าของผู้เฒ่าไซ่หายไป แต่แล้วม้าก็กลับมาพร้อมกับม้าป่าที่วิ่งเร็วมากตัวหนึ่ง ลูกชายผู้เฒ่าชอบม้าป่ามาก เลยเอาไปขี่จนขาหักพิการ ต่อมาเกิดสงคราม มีการเกณฑ์ทหาร ลูกชายของเฒ่าไซ่พิการเลยไม่โดนเกณฑ์ จึงเป็นอุทาหรณ์ว่าเมื่อเสียอะไรไปอาจนำมาซึ่งโชคดี หรือเมื่อได้อะไรมาก็อาจจะนำโชคร้ายมาให้ก็เป็นได้)

ซั่งชิงหัวเดินลั้ลลาไปตลอดทาง กลับไปยังห้องนอนรวมเพื่อเก็บข้าวเก็บของไปรายงานตัวที่หอคนว่างงานชั้นบนสุดของอันติ้งเฟิง

ใช่แล้ว ท่านอ่านไม่ผิดหรอก บรรดาศิษย์อันติ้งเฟิงที่งานยุ่งจนโงหัวไม่ขึ้นเหล่านี้ แต่กลับพำนักอยู่ในโรงนอนที่มีชื่อว่า ‘หอคนว่างวาน’

ว่างงานพ่อง! เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีสาบานได้จริงๆนะว่า ตอนเขาตั้งชื่อนี้ขึ้นมา เขาไม่ได้มีเจตนาประชดประชันเย้ยหยันอะไรทั้งสิ้น แต่มายามนี้ พอเห็นชื่อนี้ทีไร กลับซาบซึ้งถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้เข้าไปสุดทรวงในเลยทีเดียว

ซั่งชิงหัวหาห้องเล็กของตัวเองเจอในที่สุด ทั้งๆที่เหน็ดเหนื่อยสองเด้งทั้งกายและใจ แต่เขาก็อุตส่าห์ปูที่นอนให้เรียบร้อยก่อนจึงค่อยหันไปรินน้ำดื่ม ครั้นหันมาอีกที ก็พบว่ามีคนมานอนบนเตียงเขาเรียบร้อยแล้ว

ถ้วยชาที่เพิ่งได้รับมาใหม่ในมือร่วงตกไปอยู่แทบเท้าตามระเบียบ แข้งขาอ่อนยวบจนเกือบจะลงไปนั่งแปะกับพื้น “…ต้าหวาง”

โม่เป่ยจวินพลิกกายทีหนึ่ง หันหน้ามาทางเขา กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก น้ำเสียงเย็นยะเยียบราวกับน้ำแข็งว่า “ติดตามข้าไปชั่วชีวิต…หืม?”

ซั่งชิงหัวกลัวจนอยากจะร้องไห้

ดันตรมกลับมาด้วย! นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่ซิ พูดกันตามจริงแล้วจะถือว่าผิดความคาดหมายอย่างมากก็ไม่ได้หรอก ‘ลึกลับซับซ้อนนึกจะโผล่ก็โผล่ นึกจะหายก็หายไปอย่างน่าพิศวง’ เดิมทีก็เป็นความสามารถพิเศษที่เขาเขียนขึ้นมาให้โม่เป่ยจวินอยู่แล้ว เพื่อให้เอาไปช่วยปิงเกอฆ่าคนวางเพลิง หรือปฏิบัติการลับอะไรก็ตามได้ทุกที่ทุกเวลา จากนั้นก็หายตัวไปดื้อๆ

ซั่งชิงหัวรีบพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ “ต้าหวางท่านฟังข้าอธิบายก่อนนะขอรับ วันนั้นพอออกมา ข้าเดิมทีตั้งใจว่ากินโจ๊กเสร็จจะกลับไป แต่ใครจะไปรู้เล่าขอรับ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับผู้คนโดยแท้ ข้าดันไปเจอะเอาศิษย์พี่ที่คุ้นหน้ากันท่านหนึ่งเข้าพอดี ข้ากลัวเขาจะถามมากความจนเปิดเผยพิรุธ แล้วพาคนไปตามสร้างความลำบากให้ต้าหวางละก็คงไม่ดีแน่ กอปรกับอาการบาดเจ็บของท่านก็ดีขึ้นมาก ข้าคิดสะระตะแล้วจึงได้ตัดสินใจกล้ำกลืนความอัปยศ ตามพวกเขากลับมาก่อน วันหน้ามีจังหวะเหมาะค่อยหาทางอีกที…”

มือข้างที่กุมขมับของโม่เป่ยจวินดูเหมือนจะล้าเต็มที เขาจึงเปลี่ยนมาใช้มืออีกข้างหนึ่ง

“เขาให้เจ้ากลับ เจ้าก็ตามเขากลับมาเลยรึ”

ซั่งชิงหัวกล่าวอย่างคับแค้นใจ “แล้วข้าจะทำอะไรได้เล่าขอรับ ยอมตายไม่ยอมจำนน? ลงมือต่อยตี? ทำเช่นนี้ อย่าว่าแต่ข้าจะสู้พวกเขาไม่ได้เลย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือข้ายังต้องเป็นไส้ศึกให้ต้าหวางอยู่นะขอรับ จะรีบแตกหักอย่างซึ่งๆหน้ากับชางฉยงซานได้อย่างไร”

เขารีบฉวยโอกาสที่ไฟกำลังโหมแรง รีบตีเหล็กขณะยังร้อน “ขอเรียนให้ต้าหวางทราบว่า ขณะนี้ข้าได้เป็นศิษย์ในแล้ว ทีนี้จะทำอะไรก็สบายแล้วใช้หรือไม่ โอกาสที่จะก้าวหน้าก็เพิ่มมากขึ้นแล้วใช่หรือไม่…”

สุนัขรับใช้จริงๆ สุนัขรับใช้สุดติ่งเสียจนไม่อาจสุดติ่งไปมากกว่านี้แล้ว

แต่ถึงแม้ภายนอกจะไม่ต่างอะไรจากสุนัขรับใช้ในหัวใจของท่านเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีกลับปลอดโปร่งโล่งสบายมาก เขาเชื่อมั่นมาตลอดว่า

1 ลูกผู้ชายคุกเข่าแล้วเจอทองคำ* (ใช้คำแบบนี้ถูกต้องแล้วนะจ๊ะ)

(สำนวนที่ถูกต้องคือ ‘หัวเข่าลูกผู้ชายมีทองคำ’ เพื่อบอกว่าจงอย่าคุกเข่าแก่ใครโดยง่าย ในที่นี้ผู้เขียนเอามาแผลงให้มีความหมายว่า คุกเข่าแล้วได้ทองคำ)

2 ลูกผู้ชายเขาไม่หลั่งน้ำตากันง่ายๆ แต่ไม่หลั่งตอนนี้จะหลั่งตอนไหน

หลักการสองข้อนี้บอกให้เขารู้ว่า หากถึงเวลาคับขันขึ้นมา เป็นสุนัขรับใช้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ลองเปลี่ยนวิธีคิดอีกด้านดู โม่เป่ยจวินเป็นตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมา สำหรับนักเขียนแล้วก็เท่ากับว่าเป็นลูกชายคนหนึ่ง คนเป็นพ่อจะอวยลูกชายตัวเองมากไปนิด เอ็นดูมากไปหน่อย ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยอีกเหมือนกัน ว่ากันว่าลูกๆก็คือหนี้กรรมในชาติก่อนของพ่อแม่…

เปรี้ยง!……….โครม!……..

ซั่งชิงหัวยังคงเป็นซั่งชิงหัวที่ยังไงก็ต้องโอนอัดน่วมอยู่วันยังค่ำ นั่งกอดเข่าคุดคู้อยู่บนเก้าอี้รับการทุบตีอย่างอดทน พลางใช้เทคนิคเอาชนะทางใจของอาคิว*มาเยียวยารักษาตัวเอง

(เทคนิคเอาชนะทางใจของอาคิว เป็นสำนวนอุปมาถึง คนที่ไม่เผชิญกับความเป็นจริง เมื่อแพ้คนอื่นก็สรรหาคำพูดมาหลอกตัวเองจนรู้สึกเหมือนเป็นฝ่ายมีชัย มีที่มาจากบทประพันธ์เรื่อง ‘เรื่องจริงของอาคิว’ แต่งขึ้นในปี ค.ศ. 1921 โดยหลวี่ซวิ่น ซึ่งเป็นเรื่องของอาคิวผู้ชอบหลอกตัวเองจนในที่สุดก็พาตัวเองไปตาย)

โม่เป่ยจวินยืดเส้นยืดสายเสร็จ ก็ล้มตัวลงกลับไปนอนใหม่ เขายืดเอวบิดขี้เกียนทีหนึ่ง พลิกตัวอีกทีหนึ่ง แล้วหันหลังให้ซั่งชิงหัว กล่าวด้วยเสียงไม่สูงไม่ต่ำแฝงความง่วงงุนว่า “พรุ่งนี้มาต่อ”

……………………….

ยังมีต่ออีกเรอะ!

ซั่งชิงหัวใคร่อยากจะกู่ร้องตะโกนเรียกคนทั้งชางฉยงซานมาจัดการเขาให้ตายตกไปตามกันนัก

แต่แน่นอนว่า ที่ ‘ความใคร่อยาก’ ถูกเรียกว่าเป็น ‘ความใคร่อยาก’ ก็เพราะมันมักจะถูกระงับไว้เสียก่อน ไม่อาจปล่อยให้ดำเนินการต่อได้

รองเท้ายาวของโม่เป่ยจวินยังไม่ได้ถอด ก็มานอนบนเตียงใหม่เอี่ยมที่เขายังไม่เคยได้นอนเลยสักครั้ง ซั่งชิงหัวอึดอัดขัดใจสุดๆ

“ต้าหวาง ที่นี่คือชางฉยงซานนะขอรับ”

หมอนใบหนึ่งที่มีอำนาจทำลายล้างสูงลอยหวือมาอย่างแรง ฟาดใส่หน้าซั่งชิงหัวจนต้องกัดฟันกรอด

ซั่งชิงหัวเก็บหมอนขึ้นมา กล่าวอย่างอ้อมๆว่า “ต้าหวาง นี่เป็นเตียงข้านะขอรับ”

โม่เป่ยจวินชูนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง แล้วส่ายน้อยๆ เขากล่าวออกมาสองคำด้วยน้ำเสียงอันสูงส่งเย็นชาว่า “ของข้า”

เข้าใจแล้ว

เพราะว่าทั้งตัวของเขาเป็นของโม่เป่ยจวิน ดังนั้นข้าวของของเขาก็แน่นอนว่าต้องเป็นของโม่เป่ยจวินด้วย เตียงจึงย่อมเป็นของโม่เป่ยจวินไปโดยปริยาย

แล้วกฎแห่งหารอนุมานแบบผกผันจะเกิดขึ้นได้ไหม เวลานี้ก็คงจะเป็นทฤษฎีของใจแอนท์ซินะ ‘ของของนายก็คือของของฉัน ของของฉันก็คือของของฉัน’

ซั่งชิงหัวกลิ้วตัวลงมาจากเก้าอี้ด้วยความคับแค้น เก็นเศษถ้วยชาที่ตกแตกอยู่ข้างเท้าขึ้นมาเงียบๆ แล้วเริ่มฮัมเพลง ‘ฉันนอนพื้นนายนอนบนเตียง ฉันกินรำข้าวนายดื่มน้ำแกงเนื้อ’ พลางเก็บกวาดห้องนอนใหม่ไปด้วย

อย่างน้อยๆก็ให้หมอนตนมาใบหนึ่ง ก่อนหน้านี้กระทั่งหมอนจะหนุนหัวเขายังไม่มีด้วยซ้ำ รู้จักพอก็ก่อสุข นอนกอดหมอน พินอบพิเทาไปแต่โดยดีเถอะ

………………………………

ซั่งชิงหัวในวันนี้ขยันขันแข็งเสียจนดูราวกับผึ้งน้อยที่มีความสุขตัวหนึ่ง

หลังจากโม่เป่ยจวินนอนอยู่ในหอคนว่างงานเป็นเวลา 3 วัน ก็หายตัวไปเงียบๆ ไม่ให้สุ้มให้เสียง

ซั่งชิงหัวจึงค่อยตระหนักว่าดัชนีทองคำที่ตนเขียนให้โม่เป่ยจวินนั้น มันช่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างแรง——- 3 วันเชียวนะ ใน 3 วันนี้ ไม่มีสัญญาณเตือนภัย ไม่มีใครมาสงสัย ไม่มีอะไรทั้งนั้น! มีเผ่ามารส่ายอาดๆ มาพำนักถึงอันติ้งเฟิง แล้วจับตัวศิษย์(แผนกธุรการ)ระดับท็อปในอนาคตมาจิกหัวใช้ราวกับเป็นวัวเป็นความ แต่ดันไม่มีใครแม้แต่คนเดียวมาเจอเข้า

ซั่งชิงหัวระริกระรี้ราวกับทาสชาวนาที่ได้รับการปลดแอกอยู่พักหนึ่งจนกระทั้งได้รับภารกิจจากเจ้ายอดเขาผู้เฒ่าของอันติ้งเฟิง

ถึงแม้ภารกิจของอันติ้งเฟิงจะเป็นแค่งานจิปาถะหยุมหยิม แตกต่างก็แค่ดิ้นรนอยู่แนวหลังหรือว่าฟันฝ่าอยู่แนวหน้าเท่านั้น ทว่าพอต้องเฉียดเข้าใกล้สิ่งที่เป็นอันตรายมากขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ปลอดภัย

ตัวอย่างเช่น ตอนที่ไป่จั้นเฟิงกำลังเข่นฆ่าสังหารวิญญาณร้ายที่มาอาละวาด เขาต้องวิ่งเอายาตานบำรุงเลือดขึ้นไปส่ง ภารกิจพรรค์นี้มองอย่างไรก็โหด

ดีที่โม่เป่ยจวินยังคงปกป้องคนของตัวเอง

ซั่งชิงหัวเดิมทีเข้าใจว่าเขาคงโดยตนทิ้งลงก้นสมองไปแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าหลายครั้งที่เข้าตาจน ล้วนถูกสิ่งมีชีวิตหน้าตาแปลกๆที่ดูยังไงก็เหมือนเผ่ามารคอยคว้าตัวเขาขึ้นมาเสมอ ทำให้รอดชีวิตมาได้

…..นี่จะถือว่าเป็นความหมายของ ‘ติดตามข้าให้ดีๆ แล้วข้าจะคุ้มครองเจ้า’ ได้หรือไม่

ซั่งชิงหัวอดรู้สึกไม่ได้ว่า การเกาะแข้งเกาะขาคนยังไงก็มีประโยชน์และเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งยวดจริงๆ

ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่อยู่รอดมาได้ถึงตอนนี้หรอก!

ไหนๆ แล้วท่านระบบที่แสนจะห้วนและตรงไปตรงมาจึงถือโอกาสนี้ถ่ายทอดคำสั่งใหม่แก่ซั่งชิงหัว ภายในสามปีนี้ เขาจะต้องขึ้นเป็นหัวหน้าศิษย์ของอันติ้งเฟิง

นอกเหนือจากยามที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ข้างนอก จำเป็นต้องทำตัวดีๆภายใต้ ‘การดูแล’ ของโม่เป่ยจวินแล้ว ในเมื่ออยากเป็นหัวหน้าศิษย์ ความคิดจิตใจที่ต้องทุ่มเทให้ซางฉยงซานก็ไม่อาจน้อยเช่นกัน

อย่างที่ทุกคนรู้ ไอคิวของเหล่าลิ่วล่อตัวประกอบในนิยาย ‘เทพมารอหังการ’ ล้วนมีแค่ไม่เกิน 40 ดังนั้นแผนการที่เรียกว่าศึกบุปผาวังมังกร* ก็น่าจะประมาณนี้คือ

(ศึกบุปผาวังมังกร หรือ กงซินจี้เป็นละครพีเรียดจากฮ่องกงว่าด้วยการชิงอำนาจในวังหลวง ออกอากาศในประเทศไทยใช้ชื่อว่าศึกบุปผาวังมังกร)

เจ้ายอดเขาผู้เฒ่าของอันติ้งเฟิงได้กำหนดตัว ศิษย์ A ให้เป็นหัวหน้าศิษย์ไว้เรียบร้อยแล้ว คุณสมบัติโดดเด่นเป็นเยี่ยม (โดดเด่นเป็นเยี่ยม ในที่นี้คือความสามารถทำงานเสิร์ฟชา หิ้วน้ำร้อน ซักผ้า พับผ้าห่มและงานใช้แรงงานสารพัดชนิดอย่างแตกฉานช่ำชอง ถือได้ว่าเป็น Number 1 ของศูนย์แม่บ้าน) อยู่มาวันหนึ่ง เจ้ายอดเขาผู้เฒ่าสั่งให้ศิษย์ A อบขนมเปี๊ยะอร่อยๆ 12 ชิ้น ส่งไปให้แต่ละเจ้ายอดเขาท่านละ 1 ชิ้น ที่ซั่งชิงหัวต้องทำก็คือคอยย่องเอาเกลือหรือไม่ก็น้ำตาลสักกำมือแอบโรยใส่ขนมเปี๊ยะที่ศิษย์ A ทำด้วยความทุ่มเทจนรสชาติแย่กินไม่ได้ พอทำกระบวนการดังกล่าวซ้ำกัน 3 รอบ OK ในที่สุดเจ้ายอดเขาผู้เฒ่าก็หมดหวังในตัวศิษย์คนโตผู้นี้อย่างสิ้นเชิง

ลองคิดดูก็แล้วกัน กระทั่งขนมเปี๊ยะยังอบให้อร่อยไม่ได้ ยังจะไปทำอะไรได้อีกล่ะ

เวลานี้เอง ซั่งชิงหัวก็ลุกขึ้นมาสำแดงฝีมือการทำอาหารอันเยี่ยมยอดให้เป็นที่ประจักษ์สักสองสามครั้ง ก็เป็นอันสำเร็จผล ได้เลื่อนตำแหน่งสมใจ

นี่แหละที่เรียกว่า ไอคิวไม่พอให้ใช้ ก็อาศัยความจัญไรเข้าช่วย ถ้าทำให้ดีที่สุดไม่ได้ งั้นก็ทำให้จัญไรที่สุด

พล็อตมันปัญญาอ่อนเสียจนทำให้นักอ่านก่นด่าถึงความจัญไร ก็เป็นความสำเร็จชนิดหนึ่งเหมือนกัน

พล็อตลักษณะนี้มีอยู่ใน ‘เทพมารอหังการ’ ชนิดนับไม่ถ้วน เหตุการณ์ที่บรรดานักอ่านมารวมตัวกันในฟอรัมรีวิวหนังสือเพื่อตั้งกระทู้ด่าตั้งแต่หัวปียันท้ายปีจัดได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว และคนที่ด่าได้แรงสุด ก็คือไอ้ท่านเจวี๋ยซื่อหวงกวาคนนั้นนั่นเลย

คิดมาถึงตรงนี้ ซั่งชิงหัวก็อดคิดถึงบรรดานักอ่านตัวแสบในฟอรัมรีวิวหนังสือและพี่ชายท่านนี้ไม่ได้

คิดถึงที่เขาจะคอยด่าเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีโดยไม่เบื่อหน่ายด้วยประโยคอันโอ่อ่าผ่าเผยว่า ‘ก็เพราะคุณมีความคิดแบบนี้นี่แหละ คุณถึงเป็นได้แค่นักเขียนนิยายฮาเร็มชั้นปลายแถว!!!’

ถึงกระนั้น เมื่อได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าศิษย์ของอันติ้งเฟิง ความกลัดกลุ้มกลับมีแต่จะเพิ่มขึ้นไม่มีลดลงไปเลยซักนิด

ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้ ตอนที่ยังเป็นศิษย์นอก โอกาสที่จะได้ลงเขาไปทำภารกิจร่วมกับเสิ่นชิงชิว และหลิ่วชิงเกอนั้นแทบไม่มีเลย

นี่เป็นความโชคร้ายที่สั่งสมมากี่ชาติกันถึงจับได้แจ็คพอตพิเศษแบบนี้

ชางฉยงซานให้ความสำคัญต่อความรู้สึกผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างศิษย์ร่วมรุ่น จึงถือเป็นเรื่องปกติที่ศิษย์ระดับหัวหน้าสองสามคนจะรวมตัวทำภารกิจด้วยกันเป็นครั้งคราว การแบ่งงานกันทำระหว่างสามคนนี้ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งมาก หลิ่วชิงเกอเป็นกองหน้าขาบุก เสิ่นชิงชิวเป็นกองกลาง ทำหน้าที่เสแสร้งแกล้งมีมารยาท คอยลอบโจมตีและลงดาบซ้ำ รวมถึงยืนเก็กโบกพัดด้ามจิ้วของเขาไปด้วย(ขีดทิ้งทั้งหมด)

แล้วซั่งชิงหัวล่ะ

อยู่แล้วว่าย่อมต้องทำหน้าที่ขับรถม้า เช่าห้องพัก แบกหามข้าวของรวมทั้งคอยดูแลเรื่องรายรับรายจ่ายของการเดินทางแต่ละเที่ยว ก็แผนกธุรการนี่นะ เฮ้อ

แต่ถ้ามันง่ายดายแค่นี้จริงๆก็จะดีหรอก

………………………..

“กล่าวคือ พอตกดึก หากชะโงกศีรษะมองเข้าไปในบ่อ จะเห็นเงาสะท้อนของตัวท่านเองโบกมือยิ้มแย้มทักทายท่าน ทันใดนั้นก็จะฉุดท่านให้ตกลงไปจมน้ำตายในบ่อ บางครั้งยังเห็นญาติที่ตายไปแล้ว แค่กๆ ศิษย์พี่เสิ่น ศิษย์น้องหลิ่ว พวกเจ้า…ฟังข้าให้จบก่อนซิ…”

ซั่งชิงหัววางเอกสาร

ในแขนเสื้อของเสิ่นชิงชิวมีตำราเล่มหนึ่ง ที่พร้อมจะเอามาเก็กท่าแกล้งทำเป็นตั้งใจอ่านได้ตลอดเวลาไม่ว่ายามนั่งหรือยืน อย่างในเวลานี้เขากำลังยืนพิงต้นไทรที่แผ่ร่มเงาครึ้ม แสดงความเป็นบัณฑิตผู้ทรงภูมิของเขาอยู่ ส่วนหลิ่วชิงเกอไปยืนข้างบ่อน้ำอยู่ก่อนแล้ว กำลังมองสำรวจเข้าไปข้างใน

หลิ่วชิงเกอคิดแต่จะสู้ๆให้มันจบไปโดยเร็วที่สุด จะได้ไม่ต้องอยู่ร่วมกับเสิ่นชิงชิวอีก ส่วนเสิ่นชิงชิวก็อยากจะปล่อยให้หลิ่วชิงเกอทำงานกุลีเสียให้เสร็จๆแล้วรีบไสหัวไปให้ไวหน่อย ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้สร้างความสะอิดสะเอียนให้กันและกัน ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดตัวเอง เลยไม่มีใครฟังเขาอ่านคำอธิบายภารกิจเลยแม้แต่คนเดียว

หลิ่วชิงเกอเงยหน้าขึ้น “ไม่มี”

ซั่งชิงหัวรู้ทันที ความหมายของเขาก็คือ ‘เงาสะท้อนของข้าในบ่อไม่ได้โบกมือยิ้มแย้มให้ข้า’ ซั่งชิงหัวแบมือกล่าวว่า “นี่…หรือว่า จะเปลี่ยนให้ศิษย์พี่เสิ่นไปลองดู”

เสิ่นชิงชิวเก็บหนังสือ เปลี่ยนมาถือพัด ยุรยาตรไปยังข้างบ่อ “รบกวนหลบๆไปหน่อย”

หลิ่วชิงเกอปลีกตัวหนีออกไปสิบกว่าก้าวตั้งแต่คำว่าหลบคำแรกแล้ว เสิ่นชิงชิวเมียงมองในบ่อน้ำอย่างขอไปที ดูจะไม่ได้อะไรเช่นกัน

ซั่งชิงหัวเอาเอกสารมาพลิกเป็นการใหญ่ “แปลกจริงแท้ หน้านี้บอกเอาไว้ชัดเจนเลยนะว่า…”

น่าเสียดายที่เสียงพลิกหนังสือดันไม่อาจกลบน้ำเสียงซึ่งแฝงไปด้วยเจตนาชั่วช้าของเสิ่นชิงชิวได้ “พวกเราได้ลองดูแล้ว เจ้ามาลองดูมั่งไหม”

ที่แท้บนโลกใบนี้ แม้แต่ภูตผีปีศาจก็รังแกคนอ่อนแอกว่ากลัวคนเข้มแข็งกว่าเช่นกัน ตอนที่สองคนนั้นมอง จะผีบ้าผีบออะไรก็ไม่โผล่มาให้เห็นสักตัว แต่พอถึงตาซั่งชิงหัว เขาก็เห็นเงาสะท้อนของตัวเองกำลังยักย้ายส่ายสะโพกอยู่ในบ่อน้ำเลยทีเดียว

หลิ่วชิงเกอไม่พูดพล่ามทำเพลง ตบด้ามกระบี่ทีหนึ่ง เฉิงหลวนดีดออกจากฝักพุ่งลงไปในบ่อฉับพลัน ทรงอานุภาพประดุจสายรุ้ง

เงียบไปครู่หนึ่ง ผิวน้ำในบ่อที่สงบนิ่งก็เริ่มมีฟองอากาศผุดบุ๋งๆขึ้นมา ซั่งชิงหัวรีบถอยหลังกรูดอย่างรู้การณ์ควรไม่ควร พาตัวเองออกมาอยู่ในที่ปลอดภัย เขาได้ยินเสียงผีโหยหวนครวญคราง วิญญาณจำนวนมากพุ่งขึ้นมาจากบ่อ

หลิ่วชิงเกอช่วยฟาดหัวผู้หญิงที่ไล่ตามมากัดเขา ร้องว่า “หลบไป”

ตามหลักการที่ปฏิบัติกันมา พอเริ่มเปิดศึก ศิษย์อันติ้งเฟิงถ้าไม่เป็นกองหนุ่นช่วยขนของก็ต้องหลบไปให้ไกลที่สุด ตรงไหนมีที่ร่มลมเย็นก็ไปยืนรออยู่ตรงนั้นเลย แต่น่าเสียดายที่คราวนี้ซั่งชิวหัวคำนวณพลาดไปถนัดใจ หลบไม่ไกลพอ เส้นทางทั้งหมดถูกวิญญาณร้ายที่กระจายตัวออกเป็นหมอกสีขาวปิดล้อมไว้ ถึงขั้นนี้ เขาจำต้องงัดความสามารถพิเศษเฉพาะตัวออกมาใช้ ทำตาเหลือกล้มตึงไปกับพื้นทันที

กระบวนท่าแกล้งตายนี้ ไม่ว่ายังไงก็พิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลตลอดกาล

ท่ามกลางความชุลมุน หลิ่วชิงเกอกับเสิ่นชิงชิวหันหลังชนกันโดยไม่ตั้งใจเตรียมพร้อมต่อสู้ พอรู้ตัว ทั้งคู่ต่างก็แสดงสีหน้ารังเกียจออกมาพร้อมกันทันทีราวกับนัดหมาย เสิ่นชิงชิวพลิกมือไปข้างหลังซัดพลังเฉียดหัวไหล่หลิ่วชิงเกอไป หลิ่วชิงเกอโมโห เอาคืนเดี๋ยวนั้น

สวยล่ะทีนี้ กำลังรบหลักไม่มีใครสนใจศัตรูแล้ว แต่หันมาตีกันเอง เสิ่นชิงชิวร้องด่า “เจ้าตาบอดรึ จะโจมตีไปทางไหนกันแน่”

หลิ่วชิงเกอเองก็ไม่ได้สุภาพไปกว่าเขา “ใครล่ะที่ตีก่อน ใครกันแน่ตาบอดก่อน”

ซั่งชิงหัวนอนกลอกตามองบนอยู่กับพื้น เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อกี้นี้เหนือศีรษะของหลิ่วชิงเกอมีเงาสีขาวสายหนึ่ง เสิ่นชิงชิวเลยฟาดอ้อมไหล่หลิ่วชิงเกอจนมันแตกกระจาย พอเห็นว่าการฟาดฟันกันเองของคนทั้งคู่ดูท่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สู้กันจนตาจะแดงเป็นเลือดแล้ว เขาเลยไม่อาจแกล้งตายต่อไปได้อีก ลุกขึ้นนั่งแล้วร้องตะโกนอย่างอ่อนแรงว่า “พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันเลย ศิษย์น้องหลิ่วเจ้าเข้าใจผิดแล้ว จริงๆนะ เมื่อครู่นี้ศิษย์พี่เสิ่นเขาจะ…”

เสิ่นชิงชิวสะบัดมือทีหนึ่ง กำแพงที่อยู่ข้างศีรษะของซั่งชิงหัวก็ถูกฟาดแตกเป็นรอยร้าวลึกสองสามสาย เศษอิฐเศษดินฟุ้งตลบ

เสิ่นชิงชิวกล่าวเสียงเฉยชาว่า “จะตายก็ต้องตายให้ถึงที่สุด ห้ามลุกขึ้นมากลางคันเป็นอันขาด”

ซั่งชิงหัวคำเดียวก็ไม่พูด ล้มลงไปนอนเป็นศพต่อทันทีอย่างสบายอกสบายใจ

พอจับปีศาจบ่อน้ำและบรรดาวิญญาณร้ายที่มันสะสมไว้มาผนึกลงในกล่องกักวิญญาณเสร็จชนิดแม้แต่ตัวเดียวก็ไม่ให้หลุดรอดไปได้ ซั่งชิงหัวก็ลากรถม้าเข้ามา หลิ่วชิงเกอเดินแยกไปอีกทางทันทีโดยไม่เหลือบมามองสักแวบ ซั่งชิงหัวรีบกล่าว “ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าจะไปไหนน่ะ”

หลิ่วชิงเกอแค่นเสียง “ข้าไม่ขอร่วมทางกับคนที่ลอบโจมตีเพื่อนร่วมสำนักเด็ดขาด”

เสิ่นชิงชิงปรบมือกล่าวยิ้มๆ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าก็ไม่อยากร่วมทางกับคนที่มีกำลังแต่ไร้สมองเหมือนกัน ศิษย์น้องซั่ง ไปได้แล้ว”

เขาบีบๆไหล่ซั่งชิงหัว ขณะที่ฝ่ายหลังตอบรับด้วยเสียงสูดปากเพราะความเจ็บ ไม่ง่ายเลยกว่าจะแกะกรงเล็บมารออกไปจากไหล่ได้ เขาวิ่งตามหลังหลิ่วชิงเกอ พลางร้องตะโกนว่า “ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์พี่ขอบอกอะไรสักประโยค อย่าได้ฝึกวิชาคนเดียวเด็ดขาดนะ เดี๋ยวธาตุไฟจะเข้าแทรกโดยง่าย”

หลิ่วชิงเกอยังไม่ทันตอบคำ เสิ่นชิงชิวก็เอาพัดด้ามจิ้วเคาะๆกับตัวรถ ซั่งชิงหัววิ่งแจ้นกลับมา

ระหว่างทาง เขาขับรถม้าไปพลางจ้องมองเสิ่นชิงชิวไปพลาง

เสิ่นชิงชิวเดิมทีนั่งเองๆ อ่านหนังสืออยู่ในห้องโดยสาร พอถูกจ้องสีหน้าก็ตั้งเค้าทะมึนยิ่งขึ้นทุกที เขาหรี่ตากล่าวว่า “เจ้ามองข้าทำอะไร”

ซั่งชิงหัวตอบอย่างขัดเขินระคนขลาดเขลา “…ศิษย์พี่เสิ่น ความจริงแล้วข้าไม่ได้ตั้งใจจะบอกท่านหรอกนะ แต่ในเมื่อท่านถามอย่างจริงใจเช่นนั้นข้าก็…หนังสือของท่านมันกลับหัว”

“….”

เสิ่นชิงชิวหน้าแดงแจ๋อยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วจู่ๆก็ชักกระบี่ออกมาเดี๋ยวนั้น

“หยะ….อย่าหุนหันซิ!!!”

ไอ้เจ้าเสิ่นชิงชิวผู้นี้หนังหน้าบางเป็นที่สุด ฉีกหน้าเขาเข้าครั้งหนึ่ง เขาจะจดจำไปทั้งชีวิต ซั่งชิงหัวนึกเสียใจที่ปากพล่อยไปชั่ววูบ คนที่มีความสามารถในด้านการเก็กท่าช่ำชองขนาดเสิ่นชิงชิวกลับยอมวางหนังสือลงมาขู่เขาได้ เห็นทีว่าเมื่อกี้คงจะโกรธไม่เบาทีเดียว

โถ อุตส่าห์จะทำเรื่องดีๆสักครั้ง ผลกลับออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาเสียเลย ก็ทำไมนายไม่บอกกับหลิ่วชิงเกอไปตามตรงล่ะ ว่าเมื่อกี้ที่ทำก็เพราะอยากช่วยชีวิตเขา แต่นายก็ดันไม่ยอมพูดซะงั้น นายไม่ยอมพูดก็ให้ฉันช่วยอธิบายแทนซิ แต่นายก็ดันไม่ยอมอีก ไม่รู้ว่าขี้อายหรือยังไง คนๆนี้ช่างไม่ยอมลดราวาศอกให้ใครเลยจริงๆ ขยันหาเรื่องให้ตัวเองเก่งนัก

สายตาของเสิ่นชิงชิวราวกับอสรพิษ ทำเอาเหงื่อเย็นยะเยียบหลั่งออกมาเต็มหลังของซั่งชิงหัว

ผ่านไปครู่ใหญ่ เสิ่นชิงชิวก็กลับลงไปนั่งอีกครั้ง สอดกระบี่คืนลงฝักพยายามสงบสติอารมณ์ให้เย็นลง จากนั้นยิ้มแบบปากยิ้มตาไม่ยิ้ม “ซั่งชิงหัว เจ้าหุบปากได้หรือไม่”

ซั่งชิงหัวคันในหัวใจยิบๆ ชูมือขึ้นกล่าวว่า “ข้าพูดอีกประโยคเดียวได้ไหม”

เสิ่นชิงชิวใช้มือขวาคลึงขมับ บุ้ยคางทีหนึ่งเป็นนัยให้รู้ว่าอนุญาต ซั่งชิงหัวมองเขาอย่างเคร่งขรึม กล่าวประโยคที่แฝงความนัยที่สุดนับจากถูกไฟดูดจนทะลุเข้ามาใน ‘เทพมารอหังการ’ ออกไปว่า “หากวันหน้าท่านไปเจอคนที่กำลังถูกธาตุไฟเข้าแทรกเข้าละก็ ท่านอย่าได้ตกใจจนลนลาน ทั้งอย่าได้บุ่มบ่ามเข้าไปช่วยชีวิตเขาเด็ดขาด จะต้องสงบเยือกเย็นเข้าไว้ ออกไปเรียกคนมาช่วย อย่าได้ลงมือเอง หาไม่แล้ว มันจะกลายเป็นว่ายิ่งช่วยยิ่งแย่ นำมาซึ่งเหตุร้ายแรง จากนั้นก็ต้องอยู่อย่างหมดอาลัยตายอยาก ชั่วชีวิตไม่อาจพลิกฟื้นได้อีก ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ล้างมลทินไม่หมด”

เสิ่นชิงชิวจับต้นชนปลายไม่ถูก “ผู้อื่นธาตุไฟเข้าแทรกเกี่ยวอะไรกับข้า แล้วทำไมข้าจะตกใจลนลาน แล้วทำไมข้าจะต้องเข้าไปช่วย”

ซั่งชิงหัวทำหน้า ‘กะแล้วต้องเจอปฏิกิริยาแบบนี้’ พลางตอบว่า “สรุปแล้ว เจ้าจำเอาไว้ก็แล้วกัน”

จนกระทั่งซั่งชิงหัวได้ขึ้นเป็นเจ้ายอดเขา ในที่สุด เขาก็ไม่ต้องคอยทำตัวลีบเป็นข้ารับใช้อีกต่อไป

ชีวิตที่มากไปด้วยงานก็ยังคงมากไปด้วยงาน แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เลื่อนขั้นจากสาวใช้ไปเป็นพ่อบ้านใหญ่ก็แล้วกัน ถือว่าก้าวหน้าใหญ่หลวง

……………………………..

ได้ยินว่าบนยอดชิงจิ้งเฟิง เจ้ายอดเขาที่ไม่อาจล่วงเกินผู้นั้นล้มป่วยลง หลังจากเขาหายป่วย บนยอดเขาฉยงติ่งเฟิงก็เปิดการประชุมลับขึ้นอย่างเงียบๆ

ในโถงข้างของอารามฉยงติ่ง เจ้าแห่ง 12 ยอดเขาเข้าประชุมกันพร้อมหน้าโดยขาดไปหนึ่งคน

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ ศิษย์น้องชิงชิว…หมู่นี้ดูแปลกไป”

เจ้ายอดเขาหลายคนเห็นพ้อง หลิ่วชิงเกอกล่าวเรียบเรื่อย “ไม่ใช่แค่แปลกไปหรอก”

ฉีชิงชีกล่าวงึมงำ “พูดให้ถูกคือเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยเทียวละ”

เวลานี้เองซั่งชิงหัวที่เหน็ดเหนื่อยเพราะเพิ่งกลับจากการเดินทางก็เดินเข้ามาในห้องประชุมพอดี สองสามปีมานี้ เม็ดกวยจี้กระดูกมังกรหอมของเชียนเฉ่าเฟิงขายดีมา ที่เขาไปอยู่ข้างนอกเสียหลายเดือนก็เพื่อวิ่งเต้นหาลู่ทางการค้านั่นเอง เพิ่งจะกลับมา อยู่ๆก็ถูกลากตัวให้เข้าประชุมโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาถือมือไปมากล่าวว่า “นี่…ข้าไม่ได้พบหน้าศิษย์พี่เสิ่นมาพักหนึ่งแล้ว ทุกท่านพอจะบอกได้หรือไม่ว่าแปลกไปอย่างไร”

เยวี่ยชิงหยวน “เขาสามารถคุยกับข้าได้โดยสงบกว่าหนึ่งชั่วยาม”

“…” ซั่งชิวหัวตกตะลึง “แม่เจ้าโวย! แปลกมาก! เช่นนั้นก็แปลกมากจริงๆนั่นแหละ!”

ปกติแล้วระหว่างสองคนนี้มีปมกันอยู่ ตราบใดที่ปกนี้ไม่คลี่คลาย ก็ไม่มีทางที่จะปรองดองกันได้เด็ดขาด ก่อนหน้านี้ แค่ภายใน 5 ประโยคก็มีอันต้องแยกย้ายกันไปคนละทางด้วยความหงุดหงิดแล้ว สนทนากันโดยสันติได้ถึงหนึ่งชั่วยามนี่ถือเป็นเรื่องระดับมหัศจรรย์พันลึกเลยนะ!

หลิ่วชิงเกอกล่าว “ตอนอยู่ในถ้ำหลิงซี…เขาช่วยข้าเอาไว้”

ซั่งชิงหัวเลยนึกขึ้นมาได้ เออใช่ ตามลำดับเวลาในเรื่องแล้ว ตอนนี้หลิ่วชิงเกอควรจะถูกเสิ่นชิงชิวช่วยแบบยิ่งช่วยยิ่งแย่จนทำให้เขาตายไปถึงจะถูกซิ ทำไมถึงยังกระโดดโลดเต้นจนมานั่งประชุมอยู่ในนี้ได้ล่ะ

หรือว่าตอนนั้นที่ไปปราบปีศาจบ่อน้ำ คำเตือนที่เขากล่าวกับเสิ่นชิงชิงเกิดประโยชน์ขึ้นมา

คนอื่นๆ ช่วยกันสรุปความประหลาดช่วงนี้ของเสิ่นชิงชิวให้เขาฟังไม่ว่าจะสู้กับปีศาจสาวเผ่ามารที่ไม่รู้ดีรู้ชั่วจนตัวเองได้รับบาดเจ็บเอย แสดงความห่วงใยและยืดอกเข้าปกป้องศิษย์เอย ซั่งชิงหัวฟังจนหน้าเหยเก

เขาขบคิด พฤติกรรมที่เสียสละตนเองเพื่อคนอื่นนี้ ไม่ว่าดูอย่างไรก็ OOC ขั้นรุนแรง

เขากล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “เดี๋ยวนะ ขะ…เขาคงไม่ได้ถูกสวมวิญญาณยึดครองร่างหรอกกระมัง ศิษย์พี่เว่ย แท่นทดสอบกระบี่ของพวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง เขาได้ไปแถวนั้นหรือไม่”

แท่นทดสอบกระบี่บนวั่นเจี้ยนเฟิงของเว่ยชิงเวยนั้นมีกระบี่ ‘หงจิ้ง’ (กระจกขาด) อันเป็นกระบี่วิเศษที่ไม่เคยมีผู้ใดชักออกมาได้ แต่หากมีวิญญาณชั่วร้ายเข้าไปใกล้ ตัวกระบี่จะดีดออกจากฝักมาเอง หากเสิ่นชิงชิวถูกสิ่งอัปมงคลติดมาบนร่าง ขอเพียงเข้าใกล้แท่นกระบี่ หงจิ้งก็จะต้องส่งเสียงดังเป็นที่สะเทือนเลื่อนลั่นแน่นอน

แต่เว่ยชิงเวยตอบว่า “เขาไป 3 ครั้งแล้ว ยังลองดึงกระบี่ 3 ครั้งด้วย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นเลยสักนิด”

“บนร่างเขาหาได้มีไอปีศาจไม่” เยวี่ยชิงหยวนกล่าวต่อ “ข้าไม่รู้สึกถึงร่องรอยการถูกสวมวิญญาณยึดครองร่างเลย”

ฉีชิงชีแบมือกล่าวว่า “หากเป็นการสวมวิญญาณยึดครองร่าง ก็ยิ่งไม่เป็นเหตุเป็นผลเข้าไปใหญ่ จะสวมวิญญาณยึดครองร่างอย่างไรสุดท้ายก็ต้องมีแผนการร้ายอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่ แต่หมู่นี้เขาไม่ทำอะไรเลย เอ้อระเหยยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”

หารือกันอยู่พักหนึ่ง ก็ไม่ได้คำตอบอะไรขึ้นมา สุดท้าย มู่ชิงฟางก็กล่าวว่า “ไม่น่าจะใช่สวมวิญญาณยึดครองร่างหรอก เท่าที่ข้าดู ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโรคเก่าเรื้อรังของศิษย์พี่เสิ่นกำเริบขึ้นมาก็ได้”

เจ้ายอดเขาแต่ละคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

‘โรคเก่าเรื้อรัง’ อีกอะไร ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ทุกคนต่างเป็นอันรู้กัน

เสิ่นชิงชิวเป็นคนที่เย่อหยิ่งจองหองและชอบเอาชนะคะคาน นิสัยรีบร้อนแสวงหาความสำเร็จก็มิใช่เพิ่งจะมาเป็นวันแรก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไปแอบฝึกวิชาจนในที่สุดก็ธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้ว

มู่ชิงฟางวิเคราะห์ต่อ “ข้าเคยได้ยินตัวอย่างมาไม่น้อย คนที่ถูกหินก้อนใหญ่ทุบเข้าที่ศีรษะ หรือว่าถูกกระตุ้นอารมณ์อย่างรุนแรง บางครั้งก็มีโอกาสที่จะสูญเสียความทรงจำบางช่วงก็เป็นได้ โดนธาตุไฟเข้าแทรกจนลืมอดีต นิสัยเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

เยวี่ยชิงหยวน “เช่นนั้นยังมีหนทางพอจะรักษาให้หายได้หรือไม่”

ฉีชิงชีย่นจมูก “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก หรือท่านอยากให้เขานึกออก แล้วกลับมาทำนิสัย…แบบก่อนหน้านี้ใส่ชาวบ้านหรือเจ้าคะ”

เยวี่ยชิงหยวนอึ้งไปคำรบหนึ่ง “ข้าหรือ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เขากล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า “ถึงแม้เขาที่เป็นอย่างในตอนนี้จะดีมาก…แต่ว่า หากได้ความทรงจำกลับมา จะเป็นการดีกว่า”

เจ้ายอดเขาบางท่านถามอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อก่อนเวลาเขาเห็นศิษย์พี่เจ้าสำนักหรือว่าเพื่อนร่วมสำนักคนไหนก็ไม่เคยเข้าไปทักทายดีๆเลย ทั้งไม่เป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยียนใคร ดุยด้วยก็เหมือนซ่อนเข็มไว้ในสำลี ทำตัวพิลึกพิกล มีตรงไหนดีกัน เป็นอย่างตอนนี้ดีกว่าเยอะ”

เยวี่ยชิงหยวนยิ้มน้อยๆ ไม่กล่าววาจา มู่ชิงฟางกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ครั้งก่อนตอนที่ข้าเขียนใบสั่งยาเพื่อรักษาพิษไร้ยาถอน เลยถือโอกาสตรวจให้เขาด้วย แต่ก็ไม่ได้ความอะไร เลยไม่รู้จะจัดการอย่างไร คงได้แต่ปล่อยไปตามธรรมชาติแล้ว”

หลังจากได้ข้อสรุปว่า ‘เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงความจำเสื่อม เป็นเรื่องน่ายินดี’ ก็เลิกประชุม

หลังการประชุมครั้งนี้ผ่านพ้น ซั่งชิงหัวมีความรู้สึกว่า เขาจำเป็นจะต้องไปตรวจสอบความแปลกประหลาดที่ว่านี้เสียหน่อย (ไหนๆก็ต้องเอาเงินค่าใช้จ่ายไปส่งให้ชิงจิ้งเฟิงพอดี)

ก่อนจะตรวจสอบ ยอดเขาที่ซั่งชิงหัวแวะไปก่อนคือไป๋จั้นเฟิง

ว่ากันตามระบบอาวุโสของชางฉยงซาน ชิงจิ้งเฟิงอยู่อันดับสอง ไป๋จั้นเฟิงอยู่อันดับเจ็ด เมื่อเอาเงินไปส่งที่ฉยงติ่งเฟิงซึ่งเป็นอันดับหนึ่งเสร็จ ลำดับต่อไปควรจะต้องนำไปส่งที่ชิงจิ้งเฟิงถึงถูก แต่ข้อหนึ่ง เสิ่นชิงชิวนั้นรับมือยาก แต่ละครั้งซั่งชิงหัวแทบจะต้องเค้นสมองเลยทีเดียวว่าควรจะพูดจาอย่างไรถึงจะไม่ไปล่วงเกินเขา ข้อสอง ไปจั้นเฟิงเป็นพวกเอะอะลุยแหลก เอาเงินค่าใช้จ่ายไปส่งให้พวกเขาเสียให้เสร็จๆไป ซั่งชิวหัวจะรู้สึกสบายใจกว่า

ว่าแต่สบายใจแบบไหนเหรอ อือ ก็สบายใจแบบเจ้าของร้านเล็กๆที่ส่งส่วยให้เจ้าถิ่นคอยคุ้มครองอะไรแบบนั้นไง

ผู้ที่มาต้อนรับเขาคือจี้เจวี๋ยผู้เป็นศิษย์น้องของหลิ่วชิงเกอ จี้เจวี๋ยยังคงต้อนรับเขาอย่างมีไมตรีเช่นทุกครั้ง โอภาปราศรัยกันสองสามประโยค ส่งมอบของเสร็จเรียบร้อย จี้เจวี๋ยก็กล่าวว่า “เช่นนั้นศิษย์พี่ซั่งค่อยๆเดินนะขอรับ ข้าจะกลับไปลานฝึกยุทธ์แล้ว”

ซั่งชิงหัวมองสีหน้าเขา ดูเจ้าตัวจะไม่เต็มใจให้เขารีบออกไปเท่าไหร่จึงถามว่า “หมู่นี้ศิษย์น้องหลิ่วอยู่ยนไป่จั้นเฟิงตลอด เป็นศิษย์น้องคนไหนระดับพลังก้าวหน้าใหญ่หลวงขึ้นมาหรือ”

หลิ่วชิงเกอนั้นปกติมักอยู่ข้างนอกคอยเที่ยวหาคนมาต่อยตีด้วยตลอดทั้งปี บนไป่จั้นเฟิงไม่มีใครเป็นคู่ต่อกรของเขา หนึ่งเดือนนั้นอย่างมากก็กลับมาแค่ครั้งเดียว เมื่อไหร่ที่ไป่จั้นเฟิงยกทีมกันไปเซียนเฉ่าเฟิงเพื่อรักษาพยาบาล ก็หมายความว่าเขากลับมาอยู่ที่ยอดเขาแล้วนั่นเอง แต่หมู่นี้ ธรณีประตูของเซียงเฉ่าเฟิงถูกพวกขาใหญ่แห่งไป่จั้นเฟิงย่ำจนเกือบจะแตกอยู่แล้ว แถมเงินค่าใช้จ่ายก็ขัดสนจนมู่ชิงฟางต้องไปขอร้องซั่งชิงหัวเป็นระยะๆ ทำให้เขาแปลกใจว่าไป่จั้นเฟิงมีศิษย์เก่งกาจคนไหนที่สามารถต่อกรกับหลิ่วชิงเกอได้หรือไง จึงได้ถามออกมา

จี้เจวี๋ยตอบอย่างเศร้าสร้อย “มิใช่คนของยอดเขาข้าหรอกขอรับ เป็นเสิ่นชิงชิว”

ซั่งชิงหัวตอนแรกไม่ได้คาดหวังจะได้ยินคำตอบประเภทสะท้านฟ้าสะเทือนดินอะไร จึงพยักหน้ายิ้มน้อยๆ “อ้อ เสิ่นชิงชิวนี่เอง…หา เสิ่นชิงชิวหรือ!?”

กว่าจะย่อยปริมาณข้อมูลมหาศาลที่อยู่ในคำสามคำนี้ได้ ซั่งชิงหัวก็ตะลึงจนเกือบจะขวัญบินเลยทีเดียว

เสิ่นชิงชิว? มาไป่จั้นเฟิง? แถมยังอยู่ที่ลานฝึกยุทธ์ของไป่จั้นเฟิง? มาทำไม? ถูกหลิ่วชิงเกอซ้อมอยู่ข้างเดียว? ไม่ถูก ด้วยความสามารถในการชักนำให้ผู้คนมาเกลียดชังของเขา สมควรจะถูกรุมกินโต๊ะไปแล้ว——เกิดเล่นกันถึงชีวิตจะทำยังไงเล่านี่ ยังไงเขาก็เป็นผู้ร้ายสารเลวคนสำคัญนะ หากเขาถูกซ้อมตายแล้ว ต่อไปจะได้ใครไปข่มเหงรังแกปิงเกอล่ะ

จี้เจวี๋ยวกล่าวว่า “…ศิษย์พี่ซั่ง ทำไมท่านถึงทำหน้าเช่นนั้นเล่าขอรับ! อย่ามองข้าแบบนี้ซิ พวกข้าไม่ได้ฆ่าคนนะขอรับ! เสิ่นชิงชิวยังมีชีวิตอยู่ ใครก็ไม่ได้ทำอะไรเขาทั้งนั้น! ที่ท่านควรจะถามคือเขาทำอะไรพวกข้าต่างหาก!”

ดังนั้น ซั่งชิงหัวจึงซอยเท้ารีบตามเขาไปที่ลานฝึกยุทธ์ทันที

บนลานหินอัคนีดำ หลิ่วชิงเกอกับเสิ่นชิงชิงกลับกำลังเปรียบฝีมือกระบี่อย่างถูกต้องตามธรรมเนียมทุกประการกันอยู่จริงๆ

การเคลื่อนไหวของหลิ่วชิงเกอเชื่องช้ากว่ายามปกติมาก อย่าไปเรียกว่าเปรียบฝีมือกระบี่เลย เรียกว่าป้อนกระบวนท่าไปเลยดีกว่า หว่างคิ้วก็ยังนับว่าสงบราบเรียบ หารังสีสังหารไม่เจอแม้แต่น้อย

เสิ่นชิงชิวแทงวืดใส่อากาศจังหวะนี้พอดี แล้วขมวดคิ้ว ขยับมือซ้ายเล็กน้อย

ใจของซั่งชิงหัวเขม็งเกร็งขึ้นมาทันที ชำเลืองมองสีหน้าจี้เจวี๋ยที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยหางตา เห็นเขาหน้ากระตุกทีหนึ่ง คล้ายกับอยากตะโกนบางอย่างออกไปใจจะขาด

คนสองคน ตาสบตา ก็เป็นอันเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ย

จี้เจวี๋ยมีสีหน้าที่เหมือนดูหวาดผวาไม่หาย กล่าวเสียงต่ำว่า “ข้ามักจะรู้สึกว่าเดี๋ยวเสิ่นชิงชิวจะต้องเอาอาวุธลับอาบยาพิษอะไรพวกนั้นออกมาใช้แน่ๆ”

ซั่งชิงหัวกล่าวอย่างเห็นพ้อง “ยอดคนผู้ยิ่งใหญ่มักจะคิดอะไรเหมือนกันจริงแท้”

ดูท่าว่าศิษย์น้องจี้จะเข้าใจตัวละครตัวนี้ปรุโปร่งเลยทีเดียว สมแล้วที่เป็นคู่อาฆาตเก่า เคยลงมือต่อยตีกับเสิ่นชิงชิวในหอคณิกา จนพาให้ยอดเขาทั้งสองเสียหน้าไปตามๆกัน

เสิ่นชิงชิงเก็บกระบี่ซิวหย่า ยืนนิ่งในท่าครุ่นคิด

1 เขาไม่ได้ยิ้มหยัน

2 เขาไม่ได้มองคนด้วยหางตา

มองดูแล้ว สาวตาสุภาพนุ่มนวลเช่นนี้ กลับมีเค้าของสุภาพบุรุษผู้ธำรงไว้ซึ่งความถ่อมตนและสง่างามอยู่เอาการ

เพียงครู่สั้นๆ เสิ่นชิงชิวก็กล่าวว่า “ไม่เข้าใจ”

หลิ่วชิงเกอตวัดกระบี่เล่นฉวัดเฉวียน ถามว่า “ไม่เข้าใจตรงไหน”

ศิษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างจี้เจวี๋ยครางออกมาเดี๋ยวนั้น “สวรรค์ เขาไม่เข้าใจอีกแล้ว”

ศิษย์อีกคนหนึ่งกล่าวเสียงเบา “ขะ…ข้าไม่ไหวแล้ว…ข้ารู้สึกมวลท้อง ข้าลงไปก่อนแล้ว…”

จี้เจวี๋ยรีบกล่าวว่า “ศิษย์น้องรอด้วย ข้าก็…”

ศิษย์น้องรีบผลักเขากลับมา “หยุดเลย! เจ้ามิใช่เพิ่งจะกลับมาหรอกหรือ!?”

บนลาน เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “สองสามกระบวนท่าเมื่อครู่ หากข้าใช้มือขวาแทงกระบี่ใส่เจ้า มือซ้ายโจมตีด้วยท่าระเบิดพลังทิพย์ หาจังหวะฟาดใส่ท้องน้อยเจ้า ก็ยังมีโอกาสชนะได้นะ”

หลิ่วชิงเกอหัวเราะหยัน “เป็นไปไม่ได้”

เสิ่นชิงชิวยืนกราน “เป็นไปได้ซิ”

หลิ่วชิงเกอ “หากเอาชนะได้ ไฉนเจ้าไม่ลองดู”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างสำรวม “นี่ก็แค่ลองประมือกันดูใช่ไหมเล่า สู้กันจริงจังมันไม่ดีหรอก”

หลิ่วชิงเกอไม่พูดกับเขาให้มากความ สั่งการลงไป “ใครก็ได้ขึ้นมาคนหนึ่ง!”

คนที่ถูกชี้ทำราวกับตัวเองเป็นผู้กล้าแห่งลำน้ำอี้สุ่ย* เดินขึ้นลานไปด้วยสีหน้าพร้อมรับความตาย ประมือกับหลิ่วชิงเกอสองสามกระบวนท่าด้วยวิธีการของเสิ่นชิงชิว แล้วก็ถูกปราณกระบี่ของเฉิงหลวนซัดเสียกระเด็น

(ผู้กล่าแห่งลำน้ำอี้สุ่ย หมายถึง จิงเคอ มือสังหารช่วงยุคปลายจ้านกั๋วผู้ได้รับมอบหมายให้ไปกำจัดฉินหวางก่อนจะได้เป็นจิ๋นซีฮ่องเต้ รู้ทั้งรู้ว่า ไปแล้วไปลับ แต่เพราะต้องการตอบแทนพระคุณไท่จื่อตานรัชทายาทแห่งแคว้นเยียน จิงเคอจึงอาสาไปลอบสังหารฉินหวางอย่างไม่กลัวความยากลำบาก ตอนจิงเคอจะออกเดินทาง ไท่จื่อตานพาคนไปส่งจิงเคอถึงริมฝั่งแม่น้ำอี้สุ่ย เกาเจี้ยนหลีสหายสนิทของจิงเคอดีดฉิน จิงเคอขับขานเป็นเพลงว่า ‘ลมเอยโชยพัด ลำน้ำอี้สุ่ยเย็นเยือก ผู้กล้าจากไปครานี้ คงมิได้หวนกลับมา’ เพลงที่จิงเคอขับขาน กระทบใจผู้ที่ได้ยินยิ่งนัก พฤติกรรมความกล้าหาญของเขาจึงเป็นที่จารึกในใจคนจีนว่า หากเขาลงมือสำเร็จก็จะไม่มีทรราชฉินผู้โหดร้าย เขาจึงได้รับการยกย่องในฐานะผู้กล้าแห่งลำน้ำอี้สุ่ย)

หลิ่วชิงเกอจึงค่อยเก็บกระบี่กลับคืนลงฝัก กล่าวต่อเสิ่นชิงชิวว่า “เห็นแล้วหรือไม่ มันไม่ได้ผล”

เสิ่นชิงชิงคลี่พัดด้ามจิ้วออกโบกตรงหน้า หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เห็นแล้ว ศิษย์น้องหลิ่วปฏิกิริยารวดเร็วเหลือเกิน ไม่ได้ผลจริงๆนั่นแหละ”

จี้เจวี๋ยลดเสียงต่ำเล่าให้ซั่งชิงหัวฟังว่า “ทุกครั้งที่เขาพูดว่า ไม่เข้าใจ ศิษย์พี่หลิ่วเป็นต้องหาใครคนหนึ่งขึ้นไปสาธิตให้ดู จนกว่าเขาจะเข้าใจ…”

มิน่า หมู่นี้คนของไป่จั้นเฟิงที่ได้รับบาดเจ็บจนพิการถึงมีแต่เพิ่มไม่มีลด โถงหน้าของเซียนเฉ่าเฟิงงี้คึกคักราวกับตลาดยังไงยังงั้น

ซั่งชิงหัวมีเพียงความคิดเดียว

เสิ่นชิงชิวมันจงใจแหง!!!

พอลงมาจากลาน หลิ่วชิงเกอก็ฝึกซ้อม(อัดหนัก) ศิษย์ของไป่จั้นเฟิงต่อ เสิ่นชิงชิวทักทายซั่งชิงหัว จากนั้นก็ลงจากไป่จั้นเฟิงมาด้วยกัน ตอนจะออกจากประตูใหญ่ จี้เจวี๋ยกลับหิ้วกระสอบสองใบเข้ามามอบให้เสิ่นชิงชิวกับซั่งชิงหัว

ซั่งชิงหัวไม่เข้าใจเลยเปิดออกดู ก็เห็นอะไรบางอย่างที่มีขนยุ่บยั่บอาบไปด้วยเลือดซุกอยู่ก้นถุง “นี่คือ…”

จี้เจวี๋ยตอบด้วยสีหน้าตายด้าน “ปีศาจขนสั้นที่ศิษย์พี่หลิ่วเพิ่งจะล่ากลับมา ได้ยินว่ารสชาติดีมาก ศิษย์พี่ทั้งสองท่านนำกลับยอดเขาไปปรุงกันเอาเองเถอะขอรับ”

ปีศาจขนสั้นเหรอ ปีศาจขนสั้น? ฉันเคยใส่ปีศาจแบบนี้ไว้ในนิยายด้วยรึ กินได้ด้วย? เอาจริงป่ะนี่!?

เสิ่นชิงชิวดูจะนึกกังขาต่อคุณสมบัติในการเอามาทำเป็นอาหารของเจ้าสิ่งนี้อยู่เหมือนกัน “รบกวนแล้ว…”

จี้เจวี๋ยกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ศิษย์พี่บอกว่า นี่เป็นของตอบแทนที่ชิงจิ้งเฟิงส่งใบชามาให้คราวก่อน”

ใบชา? แถมยังส่งใบชาให้กัน? อะไรกันวะนี่ มีการแลกเปลี่ยนของขวัญกันด้วย? ซั่งชิงหัวร้องตะโกนเชี่ยๆ อยู่ในใจ แต่ภายนอกหัวเราะฮ่าๆ “เช่นนี้ข้าเลยได้ของไปด้วยเพราะบารมีพี่เสิ่นแท้เทียว แต่ไม่ทราบว่าใบชาดีอะไรหรือ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “เป็นใบชาจากไร่ที่บ้านของหมิงฟานศิษย์ข้าน่ะ ส่วนที่ว่าดีหรือไม่ ไหนๆแล้วศิษย์น้องซั่งก็ลองแวะชิงจิ้งเฟิงไปชิมดูเสียหน่อยก็จะรู้กระมัง”

ซั่งชิงหัวทำหน้ากระมิดกระเมี้ยน “เช่นนั้นข้าก็ขอโดยสารบารมีศิษย์พี่เสิ่นอีกครั้งแล้วกัน”

ดังนั้น ต่างคนต่างลากถุงกระสอบคนละใบ พูดคุยนี่นั่นไปพลางขณะมุ่งหน้าไปยังชิงจิ้งเฟิง

ทันทีที่เข้าประตูใหญ่มา บรรยากาศอันเงียบสงัดหลุดพ้นจากโลกีย์วิสัยก็พุ่งเข้ามาปะทะหน้า ได้ยินเพียงเสียงนกร้องเบาๆ แตกต่างจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง คนทั้งสองเหยียบย้ำไปตามทางซึ่งเต็มไปด้วยไผ่เขียวอ่อนนุ่มโปรยปราย ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งเย็นสบาย

ไม่รู้อย่างไร เสิ่นชิงชิวดูจะอารมณ์ดีมาก ไม่มีอาการของคนที่เพิ่งจะแพ้ให้กับหลิ่วชิงเกอให้เห็นสักกระผีกริ้น หากแต่กล่าวชอมอย่างสบายอกสบายใจเสียด้วยซ้ำ “วิชากระบี่ของศิษย์น้องหลิ่วไม่เลวเลยจริงๆ”

ซั่งชิงหัวกล่าวเตือนความจำให้อย่างอดใจไม่ไหว “ศิษย์พี่เสิ่นท่าน…แพ้เขามากี่ครั้งแล้วนี่”

เสิ่นชิงชิวขบคิดก่อนจะตอบ “หืมม์ อืม เจ้าหายถึงเช้านี้หรือ ก็เจ็ดแปดครั้งได้กระมัง”

แล้วทำไมถึงยังชิลล์ได้ขนาดนี้อ่ะ

ก็น่าจะออกอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน น้ำตาร่วงราวกับดอกหลีต้องฝนพรำ (………………) สะอึกสะอื้นจนน้ำตาเป็นสายเลือด ตีโพยตีพายกลับเข้าไปปิดด่านฝึกวิชาสัก 3 เดือนแล้วสาบดสาบานว่าจะออกมาสู้ใหม่ซิ

นาย OOC แล้ว รู้ตัวเปล่า ตั้งใจทำหน้าที่กว่านี้หน่อยไม่ได้เรอะ

เสิ่นชิงชิวใช้พัดด้ามจิ้วเคาะๆต้นคอ “แพ้ให้กับเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงนี่นะ จะทำอย่างไรได้ มิสู้พูดว่าเอาชนะได้ซิจึงจะเป็นเรื่องผิดปกติ”

“…” ซั่งชิงหัวรู้สึกว่าหมดหนทางจะสื่อสารกับเขาแล้ว

เขาความจำเสื่อมไปแล้ว เขาจะต้องฝึกวิชาจนถูกธาตุไฟเข้าแทรกแน่นอน เลยเป็นเหตุให้ความจำเสื่อม ปรากฏการณ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องเคารพให้เกียรติและรักใคร่ปรองดองกันมาเกิดขึ้นระหว่างเสิ่นชิงชิวกับหลิ่วชิงเกอเนี่ยนะ สวรรค์ ไม่แน่นะ ต่อไปอีกสักสองสามวันอาจถึงขั้นเสิ่นชิงชิวหยอกล้อเกี้ยวพากับลั่วปิงเหอเลยก็ได้นะนี่

จังหวะนี้ภาพอันน่ากลัวนี้วาบขึ้นมาในสมอง เงาสีขาวสายหนึ่งก็โฉบเข้ามาตรงหน้าพอดี ในอ้อมอกของเสิ่นชิงชิวมีก้อนอะไรบางอย่างโผนเข้ามาแปะติดหนึบ

ก้อนอะไรนุ่มๆนั่นร้องว่า “ซือจุนนนนนนน!”

เสิ่นชิงชิงถูกเขาโผเข้าใส่จนเกือบจะล้มหน้าหงาย ตัวโอนเอนจนต้องอาศัยเกาะต้นไผ่ไว้ ถึงค่อยทรงตัวได้อย่างลำบาก มองไปเห็นซั่งชิงหัวกำลังยืนสังเกตการณ์ตีหน้าไม่ถูกอยู่พอดี นี่ก็ไม่อาจตำหนิซั่งชิงหัวหรอกที่ทำหน้าแข็งทื่อเช่นนั้น

ทันทีที่เห็นละอ่อนน้อยสุดหล่อเอาสองหัตถ์วชิระกอดเอวเสิ่นชิงชิวแน่น ซั่งชิงหัวก็เกือบจะโพล่งออกไปแล้วว่า “ปิงเกอ!”

มือข้างหนึ่งของเสิ่นชิงชิวโบกพัดด้ามจิ้วอย่างเก้ๆกังๆกล่าวกระอักกระอ่วนว่า “จะเรียกก็เรียกดีๆ อย่ามาลากเสียงยาวแบบนั้น โผนเข้าใส่คนอยู่ได้ทั้งวัน อาจารย์อาซั่งของเจ้าก็อยู่ด้วย รู้จักสำรวมบ้าง!”

ลั่วปิงเหอคลายมือออกอย่างอิดออด ยืนตัวตรง ส่งเสียงทักทาย “อาจารย์อาซั่ง” ก่อนอย่างว่าง่าย จึงค่อยกล่าวว่า “หลังจากศิษย์ทบทวนบทเรียนตอนเช้าเสร็จก็ยืนรออยู่ตรงนี้ตลอด พอซือจุนกลับมาเลยดีใจจนลืมตัวไปชั่วขณะน่ะซิขอรับ…”

ใจของท่านเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีเกือบจะสลายอยู่แล้ว

ลั่วปิงเหอเปลี่ยนกระบวนท่าไปกอดแขนเสิ่นชิงชิว “ซือจุน วันนี้ทำไมถึงไปนานจังเล่าขอรับ”

“วันนี้คนเยอะน่ะ”

มองดูรอยยิ้มปลอดโปร่งสบายๆ ของเสิ่นชิงชิว ซั่งชิงหัวก็อดนึกไปถึงจำนวนครั้งที่เขา ‘ไม่เข้าใจ’ และจำนวนครั้งที่ให้หลิ่วชิงเกอ ‘สาธิตให้ดู’ ในวันนี้ไม่ได้

ลั่วปิงเหอรับถุงกระสอบในมือของเสิ่นชิงชิวไปถือเองด้วยกิริยาเป็นธรรมชาติ “คราวหน้าข้าไปด้วยได้ไหมขอรับ”

“เช่นนั้นก็ต้องดูวิชากระบี่ของเจ้าก่อนว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “ในถุงกระสอบมีตัวประหลาดอะไรก็ไม่รู้อยู่ อาจารย์อาหลิ่วของเจ้าบอกว่ากินได้ เจ้าลองดูว่าเอามาถอนขนทำความสะอาดได้หรือไม่ แล้วเอามาปรุงอย่างไรดี”

นี่นายจับปิงเกอเขาไปเป็นแม่ครัวเรอะ—–อาหารฝีมือพระเอกน่ะ มีแต่นางเอกถึงจะมีวาสนาได้กินนะ ทำหน้าที่ตามบทของตัวเองกันให้ดีๆหน่อยได้ไหม

เฮ้อ ช่างเถอะ ซั่งชิงหัวหมดปัญญาแล้ว

“ขอรับ” ลั่วปิงเหอตอบรับอย่างดีอกดีใจ เขย่ากระสอบดู สิ่งที่อยู่ข้างในดิ้นพรวดพราดขึ้นมาทันที “ซือจุน มันยังเป็นๆ อยู่เลยขอรับ”

เมื่อไปถึงห้องรับแขกของเรือนไผ่ บรรดาศิษย์ของเสิ่นชิงชิวล้อมวงเข้ามาผลัดกันจิ้มเจ้าสิ่งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรในกระสอบกันเป็นการใหญ่ ปีศาจขนสั้นถูกจิ้มก็ร้องโหยหวน พวกเขาพากันตื่นเต้นสนุกสนานไม่หยุด จุปากด้วยความประหลาดใจ “ซือจุน ยังเป็นอยู่จริงๆ ด้วยขอรับ”

“เป็นแล้วทำอย่างไรดี ยังจะเอามาฆ่ากินไหม”

“ไม่เอานะ น่าสงสารออก…”

ซั่งชิงหัวพยายามสุดชีวิตที่จะไม่แสดงความสนใจต่อบรรดาศิษย์ที่นั่งระเกะระกะอยู่ตามพื้น เขาก้มหน้าดื่มชา ในใจกระตุกไม่หยุด

จำได้ว่าที่มาคราวก่อน พวกศิษย์ทุกคนหน้าตาราวกับทุกข์ทรมานด้วยความแค้นฝังลึก ยืนตัวตรงเด๊ะราวกับต้นสน นั่งตัวตรงแหน็วราวกับระฆัง มือถือคัมภีร์โบราณ ปากก็ท่องงึมงำไปตลอดทางไม่ว่าจะไปที่ไหน พูดจาเสียงสูงเสียงต่ำอ้างอิงตำรับตำรา ตอนนี้มาเห็นอีกที…นี่มันใช่ชิงจิ้งเฟิงที่ผลิตคนหนุ่มคนสาวผู้ไฝ่ศิลปะวิทยาจอมเก็กรุ่นแล้วรุ่นเล่าจนมีชื่อเสียงไปทั่วจริงๆ น่ะรึ

เหมือนศูนย์รับเลี้ยงเก็ดสมาธิสั้นมากกว่า

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ยังเป็นอยู่เช่นนั้นก็เลี้ยงไว้เถอะ”

หมิงฟานรีบกล่าวคัดค้าน “กินเถอะๆ พวกเราไม่เคยเลี้ยงมันมาก่อน ไม่รู้ว่ามันกินมากกินน้อยแค่ไหน ต้องเปลี่ยนน้ำพาไปเดินเล่นอย่างไร ยุ่งยากอยู่นะ…”

หนิงอิงอิงทำปากยื่น “หยุดเลย ถึงจะเลี้ยงก็ไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นคนเลี้ยงหรอก ซือจุนย่อมให้อาลั่วเป็นคนเลี้ยงอยู่แล้ว” นางเงยหน้ามาถาม “ซือจุน ท่านจับเจ้าตัวประหลาดนี้มาได้จากที่ใดหรือเจ้าคะ”

“เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงให้มา เพื่อตอบแทนเรื่องใบชา”

หนิงอิงอิงได้ฟังดังนั้น ก็กล่าวกระเง้ากระงอดว่า “ซือจุน ข้าไม่ชอบไป่จั้นเฟิงเลยเจ้าค่ะ พวกเขาน่าชังจริงๆ…คราวก่อนพวกเขาถือดีว่าเก่งวิชากระบี่แล้วมารังแกอาลั่ว ไล่ตีเขาใหญ่เลย…”

ซั่งชิงหัวนึกในใจว่า มันก็ถูกต้องแล้วนิ ไป่จั้นเฟิงรังเกียนชิงชังลั่วปิงเหอถือเป็นเรื่องธรรมชาติ นี่แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณของสัตว์เซลล์เดียวต่อสิ่งที่ซุ่มซ่อนความชั่วร้ายไว้ไงล่ะ คำพูดนี้ไม่ได้พูดเพราะความเกลียดชังไป่จั้นเฟิงเลยนะ ซั่งชิงหัวเป็นแฟนไป่จั้นเฟิงเสียด้วยซ้ำ

หนิงอิงอิงพล่ามเสร็จ ก็กล่าววิงวอน “ซือจุน ท่านต้องช่วยพวกเราสั่งสอนพวกเขาให้หนักๆ เลยนะเจ้าคะ”

พรูด! เสิ่นชิงชิวสำลัก หันมากล่าวยิ้มๆ กับซั่งชิงหัวอย่างเกรงใจ “แค่กๆ เด็กคนนี้พูดจาเหลวไหลนัก สำนักเดียวกันต้องรักสามัคคีกันไว้ เอะอะก็จะไปสั่งสอนให้หนักๆ ได้อย่างไร”

ซั่งชิงหัวทำเสียงอือออเป็นเชิงเห็นด้วย ฝืนยิ้มตอบอย่างเกรงอกเกรงใจดุจเดียวกัน ตั้งอกตั้งใจดื่มชาสุดกำลัง

น้องอิงอิงจ๋า ไม่ต้องให้ซือจุนของหนูออกหน้าลงมือ หลิ่วชิงเกอก็สั่งสอนพวกเขาเสียอนาถไปเรียบร้อยแล้ว

การที่เสิ่นชิงชิวรับผิดชอบ ‘สร้างความสมานฉันท์บ่มเพาะน้ำใจมิตรสหาย’ แล้วให้หลิ่วชิงเกอรับผิดชอบ ‘สั่งสอนให้หนักๆ’ นี่มันช่างเหมาะกับคุณลักษณะของสุภาพบุรุษจอมปลอมดีแท้!

ซั่งชิงหัวแอบโล่งใจ เสิ่นชิงชิวต่อให้ธาตุไฟเข้าแทรกจนความจำเสื่อมก็ยังคงเป็นเสิ่นชิงชิวที่หน้าไหว้หลังหลอกอยู่วันยังค่ำ

จังหวะนี้เอง ลั่วปิงเหอก็นำใบชาเข้ามาพอดี แล้วนำมามอบให้ซั่งชิงหัว

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “มา ศิษย์น้อง ได้ความกรุณาของอันติ้งเฟิงคอยช่วยดูแลมาตลอด…”

ทันใดนั้นหนิงอิงอิงที่ยังคงนั่งยองๆ อยู่กับพื้นก็ร้องโยเยขึ้นมาอย่างไม่ยอมเลิกราว่า “ซือจุน ท่านต้องไประบายแค้นให้อาลั่วนะเจ้าคะ”

“…” เสิ่นชิงชิวอดรนทนไม่ไหว “อิงอิง ออกไปเล่นข้างนอก”

ลั่วปิงเหอรีบกล่าว “ไม่ต้องระบายแค้นอะไรทั้งนั้น ก็แค่ฝีมือศิษย์สู้เขาไม่ได้เท่านั้นเอง ทำให้ซือจุนกับชิงจิ้งเฟิงต้องเสียหน้าแล้ว”

เสิ่นชิงชิวกล่าวปลอบว่า “เจ้าแค่พื้นฐานไม่ค่อยดีเท่านั้นเอง ตอนนี้เลยยังสู้เขาไม่ได้ ขอเพียงขยันฝึกฝน รอแค่วันเวลาเท่านั้น จะต้องแซงหน้าพวกเขาได้แน่นอน”

หมิงฟานกล่าวอย่างเหยียดหยาม “แซงหน้าไป่จั้นเฟิง เขาเนี่ยนะ คงต้องรออีกร้อยปีแล้ว”

หนิงอิงอิงเป็นเดือดเป็นแค้น “เจ้าดูถูกดูหมิ่นชิงจิ้งเฟิง ดูถูกอาลั่วขนาดนี้ ก็ไปอยู่กับไป่จั้นเฟิงเลยซิ ดูซิว่าพวกเขาจะยอมรับเจ้าไว้หรือไม่”

เสิ่นชิงชิวเอามือยันหน้าผาก “มิใช่สั่งให้พวกเจ้าไปเล่นข้างนอกแล้วหรอกหรือ ไฉนยังอยู่ที่นี่กันอีก ปิงเหอเจ้ารีบพาพวกเขาออกไปที อย่าให้มาทำขายหน้าที่นี่”

“ขอรับซือจุน ว่าแต่ตกลงเจ้าตัวนี้จะกินหรือจะเลี้ยงไว้ขอรับ”

……….

ซั่งชิงหัวรู้สึกว่าหลอดเลือดหัวใจเขาอุดตันไปแล้ว

เสิ่นชิงชิวเล่นบทครูประถมใจดี ส่วนลั่วปิงเหอก็เป็นเสื้อนวมตัวน้อยแนบหัวใจ นี่มันคือเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน

อย่าบอกนะ ว่าที่เสิ่นชิงชิงไปหยอกล้อกลั่นแกล้งคนของไป่จั้นเฟิงก็เพื่อระบายแค้นให้ลั่วปิงเหอ!

ภาพที่บิดาเมตตา บุตรกตัญญู…เอ๊ย ไม่ใช่ๆๆ สามีภรรยาให้เกียรติซึ่งกันละกัน เอ๊ย ไม่ใช่ๆๆ ต่างฝ่ายต่างเคารพให้เกียรติกัน นี่มันชวนหลอนยิ่งกว่าภาพเสิ่นชิงชิวประลองฝีมืออย่างสมานฉันท์กับหลิ่วชิงเกอเสียอีก ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าคงได้มีวันที่พวกเขาหยอกล้อมเกี้ยวพากันขึ้นมาจริงๆ นะนี่ พับผ่า หากเวลานั้นมาถึงจริงๆ เขาจะยอมกลืนขี้ร้อยๆ สักสามชั่งเลย

ท่านเฟยจีลั่นวาจาเสร็จ ก็ลองขบคิดใคร่ครวญอย่างไม่ค่อยจะได้ทำนัก เขาไม่เก่งเรื่องการใช้สำนวนโวหารมาแต่ไหนแต่ไร ที่มีอยู่ในคลังคำก็เอาไปใช้บรรยายความงามของหลิ่วหมิงเยียนจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ที่ใช้บ่อยที่สุดก็ ‘อกอิ่มสะท้านสั่นไหว’ กับ ‘ผิวนวลลอออ่อน’ เอาคำว่า ‘ต่างฝ่ายต่างเคารพให้เกียรติกัน*’ มาใช้สำหรับเสิ่นชิงชิวกับลั่วปิงเหอตรงนี้ก็ไม่น่าจะผิดมั้ง อืม ดูจากความหมายตามตัวอักษรก็คงจะไม่ผิดหรอก

(สำนวนต่างฝ่ายต่างเคารพให้เกียรติกัน ความจริงใช้บรรยายความสัมพันธ์ของสามีภรรยา ไม่ใช้กับความสัมพันธ์อื่นๆ)

ในเวลานั้นเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีที่ขยันทำงานเพื่อความอยู่รอด ไม่ได้รู้เลยว่าเสิ่นชิงชิวที่เป็นตัวโกงเดนมนุษย์ถูกเปลี่ยนตัวมาเป็นเจวี๋ยซื่อหวงกวาจอมแขวะไร้เทียมทานเรียบร้อยแล้ว

นึกถึงตอนนั้น มีบางครั้งที่คนๆนี้แขวะเขาหนักเข้า เขาก็จะแช่งอย่างชั่วร้าย ต่อให้แตงกวามันสะท้านภพยังไงก็ขอให้หมดโอกาสจะได้ใช้ แต่ใครจะรู้ว่าคำแช่งนี้ก็นับว่าเป็นจริงแล้วในระดับหนึ่ง

………………….

หมู่นี้ปิงเกออารมณ์ไม่ค่อยจะดี

ซั่งชิงหัวก็พอจะเข้าใจเขาได้อยู่ ในฐานะที่เป็นพระเอกนิยายฮาเร็มซึ่งในฉบับดั้งเดิมสามารถพลิกฟ้าได้ด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้เขาจับเสิ่นชิงชิวมาขังไว้—–กลับดันเอามาขังเพียงอย่างเดียวจริงๆ แค่ขัง ไม่ได้ทำอะไรอื่นอีก

เหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ ขนาดตนเป็นคนเขียนยังไม่กล้าจะเชื่อเลย

หากปิงเกอในเวลานี้ยังอยู่ใต้การควบคุมของปากกาคนที่ยึดถือหลักการ ‘ให้พระเอกได้ฟิน ก็คือให้นักอ่านได้ฟิน’ เขาเป็นได้เขียนให้ลั่วปิงเหอจับเสิ่นชิงชิวเสียบแล้วพลิกหน้าพลิกหลังสักสองสามร้อยตลบเหมือนพลิกเล่าปิ่ง*ไปแล้ว (เขาไม่ได้มีความแค้นเป็นการส่วนตัวกับเจวี๋ยซื่อหวงกวา ณ ที่นี้เลยนะ รับรองไม่มีจริงจริ๊ง) เอาแบบอุปกรณ์ท่วงท่าสถานที่ไม่มีซ้ำเลย พลิกหน้าพลิกหลังเสียให้สุก ถึงจะคุยกันได้รู้เรื่อง ปิ้งไปปิ้งมาเดี๋ยวก็รักกันไปเองนั่นแหละ

(เล่าปิ่ง คือ แป้งแผ่นที่นำไปจี่หรือปิ้งให้สุก โรยหน้าด้วยเนื้อและผักต่างๆ เหมือนเครป)

เทียบกับนิยายดั้งเดิมแล้ว ชีวิตปิงเกอในตอนนี้ช่างอดอยากปากแห้ง ไม่เคยได้รู้จักรสชาติของเนื้อมาตลอด 3 ปี พาให้ซั่งชิงหัวนึกสงสารลูกชายตัวเองยิ่งนัก

จึงไม่มีคนโง่ที่ไหนกล้าเสนอหน้าเข้าไปใกล้เขาในยามนี้

ในห้องประชุมของตำหนักใต้ดินที่ต่างคนต่างยุ่งกับงานของตัวเอง

ซาหัวหลิงกำลังปะชุนตาข่ายมัดเซียนยักษ์ของนางที่ถูกเสิ่นชิงชิวระเบิดขาด พลางแอบมองลั่วปิงเหอพร้อมกับกัดริมฝีปากไปด้วยอย่างไม่สบอารมณ์เป็นระยะ

โม่เป่ยจวินตาปรือครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ทางฝั่งตะวันตก ขณะที่ซั่งชิงหัวว่างงานเสียจนจิตใจฟุ้งซ่าน เอาแต่นั่งเขย่าขาไม่หยุด เขาไม่มีอะไรจะทำจริงๆ ทั้งไม่ได้อยากมาที่ห้องประชุมนี่สักนิด แต่ที่นี่เป็นอาณาเขตของเผ่ามาร หากเขาไม่เกาะติดโม่เป่ยจวินเข้าไว้ทุกย่างก้าว ไม่แน่ว่าอาจโดนสัตว์ประหลาดของเผ่ามารจับกินทั้งเป็นๆ ไปแล้ว

ขณะกำลังคิดจะคลานไปอยู่ข้างโม่เป่ยจวิน เสี่ยงกับการถูกซ้อม ด้วยการไปขอให้ต้าหวางเปลี่ยนที่พักผ่อนให้มีบรรยากาศผ่อนคลายขึ้นอีกหน่อย จู่ๆ ลั่วปิงเหอกกล่าวออกมาสองคำ “หากว่า…”

เผ่ามารทั้งหมดที่อยู่ในห้องกางหูผึ่ง

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “หากว่าในใจของพวกเจ้ามีความรู้สึกไม่ธรรมดาต่อคนคนหนึ่ง พวกเจ้าจะทำอย่างไรให้เขารู้ถึงความรู้สึกของเจ้าได้”

Poor Ice Brother!

นี่มันเหมือนพวกคนป่วยใกล้ตายที่ตระเวนหาหมอมั่วเลยนะนี่

ถึงแม้เขาจะพยายามถามแบบเก็บอาการขนาดนี้ แต่ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าเขากำลังปรึกษาปัญหาความรักอยู่

ปัญหาพรรค์นี้กลับเอามาหารือกับลูกน้องซะซีเรียสเชียว ค (มาร) เรานี่ไม่ควรมีความรักเลยจริงๆ พอมีความรักเข้าไอคิวก็ดึงลงเหวทันที

แน่นอนว่าไม่มีใครลุกขึ้นมาเปิดโปงเขาตรงๆ ถามเรื่องแบบนี้กับเผ่ามารเนี่ยนะมันช่าง….มันช่างผิดที่ผิดทางเสียจริงผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ไม่มีใครตอบเขา

ความจริงแล้วปัญหาข้อนี้ง่ายมาก คนธรรมดาทั่วไปก็ตอบได้ ชอบใครก็บอกเขาไปตามตรงก็สิ้นเรื่อง จนใจที่ ณ ที่นี้ไม่มีใครที่ ‘ธรรมดา’ เลยสักคนเดียว และนอกจากซั่งชิงหัวแล้ว ก็ไม่มี ‘คน’ อีกเหมือนกัน

โม่เป่ยจวินขบคิด ด้วยวงจรสมองของเขาแล้ว ไม่รู้ว่าเข้าใจคำว่าความรู้สึกที่ ‘ไม่ธรรมดา’ ยังไงกันแน่ เขาเสนอว่า “จับซ้อมวันละสามเวลา?”

?

ลั่วปิงเหอชูมือข้างหนึ่งเป็นสัญญาณบอกว่า ‘หยุดเลย’ กล่าวอย่างฉลาดว่า “เจ้าไม่ต้องตอบแล้ว”

ในบรรดาคนที่อยู่ในที่นั้น บุคคลเพียงคนเดียวที่ได้เปรียบเพราะผิดเพศจากชาวบ้าน และอาจจะตอบคำถามนี้ได้ดีกว่าใครมีเพียงซาหัวหลิง

ดังนั้นคนทั้งหมดจึงเบนสายตามาที่นาง น้องซาผู้ได้รับความนิยมอย่างสูงในนิยายดั้งเดิมทำหน้า ‘วอท เดอะ ฟัค!’ แล้วทำไมชั้นจะต้องเป็นที่ปรึกษาเรื่องพรรค์นี้ให้ผู้ชายที่ตัวชั้นเองก็เล็งอยู่ด้วยล่ะ หลังจากหัวคิ้วกับริมฝีปากกระตุกอยู่เป็นครู่ ในที่สุดก็เค้นออกมาประโยคหนึ่งแบบห้วนๆ “จวินซั่งทำไมไม่ถามผู้อาวุโสมารฝันเล่าเจ้าคะ”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “เคยถามแล้ว”

มารฝันจะตอบห่วยๆ อะไรมา ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าซั่งชิงหัวแล้ว มารฝันผู้นี้ก็เหมือนเขานั่นแหละ เป็นพวก ‘ยังไงก็ขอให้ได้ฟินสักครั้งก่อน’

ซั่งชิงหัวหลุดขำพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

ซาหัวหลิงกำลังหงุดหงิดเต็มอกไม่มีที่ให้ระบาย ก็คว้าโอกาสนี้หมับทันที แหวลั่น “บังอาจ’ เจ้าเป็นตัวอะไร ไม่เพียงบังอาจมาปะปนอยู่ในห้องประชุมนี้ กลับยังกล้าก่อกวนบรรยากาศในการหารือเรื่องสำคัญของจวินซั่งด้วยหรือ”

ปัญหาพรรค์นี้ คงเรียกการหารือเรื่องสำคัญไม่ได้หรอกมั้ง อีกอย่างเขาก็ปล่อยพรืดไปทีเดียวเองจะมาบอกว่าก่อกวนบรรยากาศได้ยังไง

ที่ซาหัวหลิงมาหาเรื่องเขานี้ไม่ใช่เป็นครั้งแรก ซั่งชิงหัวเลยสามารถปล่อยวางอย่างสงบลงได้เขาก็แค่นั่งนิ่งอยู่กับที่ แกล้งทำตัวเป็นอากาศธาตุของเขาไป แน่นอนว่า โม่เป่ยจวินก็ย่อมจะไม่สะดุ้งสะเทือนเหมือนกัน ซาหัวหลิงเห็นว่าไม่มีใครสนใจนาง ก็บิดเล็บยาวไปมาอย่างไม่พอใจ “จวินซั่งวันๆโม่เป่ยจวินจะไปไหนก็พาเขาไปด้วย ไม่เคยคิดจะเลี่ยงข้อครหา แม้กระทั่งมาที่ห้องประชุมก็ยังพามาด้วย นี่มันยังไงกันเจ้าคะ”

ลั่วปิงเหอเองก็ไม่นึกเดือดร้อนเช่นกัน “เจ้าเห็นเขาอยู่ทุกวันยังไม่ชินอีกหรือ”

ซาหัวหลิงแทบจะเป็นลม

ตลอดหลายเดือนมานี้นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ปิงเกอออกความเห็นเกี่ยวกับการมีตัวตนของเขาเชียวนะนี่ ซั่งชิงหัวลุกขึ้นแดนซ์ในใจเป็นการใหญ่

ลูกชายสนใจฉันแล้ว ลูกชายสนใจฉันแล้ว ฮ่าๆๆ

ใครจะไปคิด ลั่วปิงเหอมองๆ เขาแล้วพูดว่า “ในเมื่อหัวเราะออกมาก็แสดงว่าเจ้ามีเรื่องอยากจะกล่าวกระมัง”

“…” ซั่งชิงหัวพูดไม่ออก

ซาหัวหลิงทำเสียงหึๆ กล่าวว่า “จวินซั่งถามได้ตรงใจนัก ในเมื่อเขากับเสิ่น…… คุ้นเคยกันปานนี้ จะต้องมีความคิดยอดเยี่ยมแน่นอนเจ้าค่ะ พวกข้าล้างหูเตรียมรอฟังเลยทีเดียว”

ซั่งชิงหัวเหลียวหน้าไปมองโม่เป่ยจวินที่นั่งอยู่ด้านหลัง เห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะช่วยตนให้รอดพ้นจากสถานการณ์แม้แต่น้อย ก็ทำใจเด็ดกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “……..เรื่องนี้…….แน่นอนว่าย่อมต้องมีคำพูดอยากกล่าว เคล็ดลับอยู่ที่คำคำเดียวเท่านั้น ตื้อ!”

“อันคำกล่าวที่ว่าสตรีใจเด็ดกลัวอยู่แต่บุรุษนักตื้อ ผู้กล้านั้นหรือกลัวแต่หญิงงามออดอ้อนขอเพียงทุ่มเทตื้อให้หนักๆ ตะปูยังฝนให้กลายเป็นเข็มได้ หรือต่อให้เหยียดตรงเป็นเข็มปัก ก็ยังหักงอให้เป็นลวดหนีบกระดาษได้”

ซาหัวหลิงกล่าวว่า “เหยียดๆ งอๆ อะไรของเจ้า ห้ามเอาสำนวนของพวกมนุษย์มาพูดที่นี่นะ จวินซั่งข้าว่าเขาจงใจทำเป็นพูดจาให้มันวกวนจะได้อวดฉลาดเจ้าค่ะ”

ลั่วปิงเหอกลับอินไปกับประโยคนี้อย่างเต็มที่ กล่าวงึมงำว่า “ข้ายังตื้อไม่พออีกรึ ยังไม่พอหรือ”

ซั่งชิงหัวร่ายเป็นฉากๆ “การตื้อเป็นนโยบายที่ต้องยึดถือให้มั่น แต่นอกจากถ้อยคำที่เป็นสัจธรรมนี้แล้ว ยังมีจุดสำคัญอีกอย่างที่ต้องใส่ใจด้วย ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย จึงรู้ว่าอันความรักของสตรีนั้นมีบ่อเกิดจากการยอมรับนับถือ ส่วนความรักของบุรุษมีบ่อเกิดจากความเอ็นดูสงสาร เรื่องของสตรีนั้นพวกเราจะยังไม่นำมาถกกันในเวลานี้ เชื่อว่าไม่มีสตรีคนไหนจะไม่ยอมสยบต่อความรู้สึกลึกซึ้งจริงใจและความองอาจสง่างามประหนึ่งเทพยดาที่หาใดเหมือนของจวินซั่งได้ ดังนั้นพวกเราจะเน้นไปพูดคุยอีกกรณีหนึ่งแทน หากว่าอยากให้ชายหนุ่มสักคนเข้าใจเจ้า อ๊ะ ไม่สิต้องเป็นท่านสิ เข้าใจความรู้สึกของท่าน รวมทั้งตอบรับความรู้สึกของท่าน เช่นนั้นควรจะทำอย่างไรดี วิธีการก็ง่ายมาก ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่ชอบคนรักที่ตัวเล็กอ่อนแอ น่ารัก ว่าง่าย แล้วอย่างไรจึงจะเรียกว่าน่ารัก น่ารักก็คือสิ่งของหรือคนที่สามารถปลุกเร้าความเอ็นดูสงสารที่อยู่ในใจคนได้ ดังนั้นก็จะต้องทำตัวให้น่ารัก ว่าง่ายเข้าไว้…..”

ท่ามกลางคำประจบสอพลอและเพ้อเจ้อไร้สาระที่ลอยฟุ้งไปทั่วห้อง ทุกคนในห้องต่างพากันแอบมองลั่วปิงเหอที่นั่งเด่นเป็นสง่าเหนือใครเป็นตาเดียว สีหน้าอึมครึม นัยน์ตาแดงก่ำเต็มไปด้วยรังสีสังหารนั้นไม่อาจอธิบายง่ายๆ ด้วยคำว่า ไม่อาจล่วงละเมิด (ไม่สุขสมอารมณ์หมาย) ได้เลย ยิ่งห่างไกลกับคำว่า ตัวเล็กอ่อนแอ น่ารัก ว่าง่าย น่าเอ็นดู ประมาณฟ้ากับเหวเลยทีเดียว

ซาหัวหลิงทำเสียงถุยอย่างอดรนทนไม่ไหว

ซั่งชิงหัวรีบหุบปากฉับพลัน ลั่วปิงเหอคลึงขมับ “เจ้าพูดต่อ”

ได้รับคำอนุญาต ซั่งชิงหัวจึงค่อยแจกแจงต่อ เขากล่าวอย่างไม่มีเจตนาดีว่า “พวกเราลองนำเสิ่นชิงชิวมาเป็นตัวอย่างก็ได้ เขาคนนี้น่ะนะ เป็นชายแท้ทั้งแท่ง ชายแท้ทั้งแท่งคืออะไร เอ่อ ชายแท้ทั้งแท่งก็คือผู้ชายปกติธรรมดานี่แหละ….เอ่อ แต่ข้าไม่ได้หมายความว่าจวินซั่งไม่ปกตินะขอรับ เขายึดถือศักดิ์ศรีในความเป็นอาจารย์อย่างมาก พวกอาจารย์น่ะล้วนโปรดปรานนักเรียนที่เชื่อฟัง ดังนั้นหากอยากให้เขาชอบ อย่างแรกที่ต้องทำเลยคือเชื่อฟัง ”

ภูตผีปีศาจที่อยู่ในห้องต่างตกตะลึงอึ้งเหวอไปเลยทีเดียวกับคำพูดที่กล่าวออกมาโดยไม่บันยะบันยังของเขา

ซาหัวหลิงแหว “เหลวไหล! ความหมายของเจ้าคือจะให้จวินซั่ง กะ…แกล้งทำเป็นน่าสงสาร เชื่อฟังคำพูดของเขาอย่างนั้นหรือ จวินซั่งเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพมาร จะมาทำเรื่องน่าขายหน้าพรรค์นี้ได้อย่างไร!!”

นั้นแหละ ความหมายของฉันเลยล่ะ!

ซาซา เธอดูจวินซั่งของพวกเธอให้ดีๆ ท่าทางที่เหมือนคิดอะไรอยู่ของเขามันเหมือนคนที่คิดว่าเรื่องแบบนี้ทำให้เสียหน้าไหม

ซั่งชิงหัวแจกแจงวิธีแก้ปัญหารักอย่างตั้งอกตั้งใจต่อ กว่าการพล่ามเป็นน้ำไหลไฟดับความยาวยี่สิบนาทีนี้จะจบซาหัวหลิงก็ใช้สายตาบีบคอเขาตายไปไม่รู้ที่ตลบแล้ว พอลั่วปิงเหอลุกจากไป ซั่งชิงหัวจึงกระเถิบไปให้ชิดๆ โม่เป่ยจวินเข้าไว้เพื่อร้องขอการคุ้มครอง

โม่เป่ยจวินปรายตามองเขา “ดังนั้นที่กล่าวก็คือ หากอยากให้บุรุษชอบ วิธีที่มีประโยชน์ที่สุดคือแกล้งทำตัวให้น่าสงสารหรือ”

ซั่งชิงหัวคิดๆ ก่อนจะตอบว่า “ว่ากันตามทฤษฎี เป็นเช่นนี้ก็ไม่ผิดขอรับ”

โม่เป่ยจวินยื่นมือออกมา

ซั่งชิงหัวนึกว่ากำลังจะถูกตบกะโหลก เลยรีบเอามือกุมหัว แต่หาได้มีความเจ็บปวดอย่างที่คาดไว้ไม่โม่เป่ยจวินเพียงเขกที่ศีรษะเขาเบาๆ เท่านั้น จากนั้นก็ลุกขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจะอารมณ์ดีอย่างยิ่ง แล้วเดินออกจากห้องประชุมไป

ซั่งชิงหัวถึงแม้งุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็ทนสายตาที่จ้องมองมาแบบจะกินเลือดกินเนื้อของซาหัวหลิงไม่ไหว เลยรีบสาวเท้าตามหลังโม่เป่ยจวินไปติดๆ

…………….

สุดท้ายก็ยังคงเกิดเรื่องขึ้นจนได้ เทือกเขาฝังกระดูกระเบิดออกเป็นจุณตามที่เขาวางแผนจะเขียนไว้แต่แรกทุกประการ เศษดินเศษหินฟุ้งตลบอบอวล ทั้งเขายังแสดงความกล้าหาญช่วยชีวิตโม่เป่ยจวินที่บินไม่ได้ไว้ครั้งหนึ่ง

ตอนที่คว้ามือข้างนั้นของเขาไว้ขณะลอยอยู่กลางอากาศ ซั่งชิงหัวสามารถมองเห็นแววแห่งความตกตะลึงไม่อยากจะเชื่อในก้นบึงดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ โม่เป่ยจวินจะต้องปักใจว่าที่ซังซึ่งหัวคอยติดตามอยู่ข้างกายเขาไม่ยอมห่างนั้นก็เพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ของตน มีประโยชน์ก็แต่คอยประจบสอพลอ ยกยอปอปั้น หรือเอาไว้ระบายอารมณ์อะไรพวกนั้น เวลาเจออันตรายขึ้นมาจริงๆ เขาจะเป็นคนที่ออกวิ่งตูดแจ้นหนีไปก่อนใคร พูดกันตามตรง ขนาดซั่งชิงหัวเองยังเชื่อแบบนั้นเลย เขากล้าพูดเลยว่าตัวเขาเองนั้นตกตะลึงจังงังไม่อยากจะเชื่อเสียยิ่งกว่าโม่เป่ยจวินเสียอีก

นับจากนั้นมา อาจจะเป็นเพราะมีความดีความชอบในการปกป้องเจ้านายมีผลงานดีเป็นที่ประจักษ์ เงินเดือนสวัสดิการและสถานะจึงขยับขึ้น แถมยังได้รับอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านเก่าที่ชางฉยงชานด้วย

เยวี่ยชิงหยวนพ่อพระผู้แสนประเสริฐก็ไม่คิดแค้นเรื่องในอดีต อนุญาตให้เขากลับอันติ่งเฟิงไปเป็นเจ้ายอดเขาในนามต่อได้ หลายวันนี้อยู่ในหอคนว่างงาน เป็นครั้งแรกที่ซั่งชิงหัวรู้สึกว่างงานจนกระดูกกระเดี้ยวมันว้าวุ่นไปหมดแล้ว

หลังจากแกะเม็ดกวยจี้หมดไปหนึ่งชั่ง จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ระบบไม่ได้โผล่มาส่งเสียงนานแล้ว

หายากนักที่ซั่งชิงหัวจะเป็นฝ่ายเคาะเรียกระบบ พอเคาะ ระบบก็ตอบกลับมาอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

[เป้าหมายบรรลุแล้ว ไฟล์แนบสำหรับกลับคืนเมืองกำลังอยู่ระหว่างการดาวน์โหลด

ซั่งชิงหัว “…”

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มจับไหล่ทั้งสองข้าง (ซึ่งไม่ได้มีอยู่) ระบบเขย่า “เป้าหมายบรรลุแล้วอย่างนั้นหรือ ไฟล์แนบสำหรับกลับคืนเมือง? ไฟล์แนบสำหรับกลับสู่เมืองอันใหน ใช่อย่างที่ผมคิดรึเปล่า หา ระบบ เป็นครั้งแรกที่คุณพูดมากขนาดนี้ คุณบอกผมเพิ่มอีกสักคำเถอะ ขอร้องล่ะ รีบพูดเร็วเข้า!!!”

ระบบ [โครงเรื่องโดยรวมของ เทพมารอหังการ บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ด้านความรักเกิดการเบี่ยงเบนเล็กน้อย บรรลุตามวัตถุประสงค์เช่นกัน ไฟล์แนบสำหรับการกลับคืนสู่โลกเดิมดาวน์โหลดเสร็จสิ้นขอเรียนถามท่านต้องการจะเริ่มต้นกระบวนการกลับคืนเมืองเลยหรือไม่]

โครงเรื่องส่วนใหญ่เปลี่ยนไปตามแนวทางที่เขาเห็นพ้อง หลุมที่ควรกลบก็กลบแล้ว แต่ด้านความรักเกิดการเบี่ยงเบนเล็กน้อย นี่มันไม่ถูกนะ

ปิงเกอไปสายเกย์แล้ว ยังจะพูดออกมาได้อย่างไรว่า เบี่ยงเบนเล็กน้อย เฮ้อ เอาเถอะๆ แต่เดิมเขาก็ไม่ได้จะเขียนให้ปิงเกอต้องมีชีวิตอยู่ยืนยงคงกะพันอย่างไร้รัก โดดเดี่ยวเดียวดายไปตลอดกาลอยู่แล้ว คุณจะเพิ่มส่วนนี้เข้ามาก็ไม่ว่ากัน ดังนั้นที่พูดมาทั้งหมดนี้หมายความว่าเขาสามารถกลับไปที่โลกเดิมได้แล้วใช่ไหม

ซั่งชิงหัวน้ำตานองหน้า

เขาไม่ได้เขียนนิยายมานานมากแล้ว คิดถึงไอดีของเซียงเทียนต่าเฟยจีที่มีคนรักและคนเกลียดเท่าๆ กัน คิดถึงบรรดานักแขวะในฟอรั่มรีวิวหนังสือ คิดถึงนักอ่านมือเติบที่คอยกดให้ทิปคิดถึงแล็ปท็อปซึ่งใช้มาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งที่มันกวนโอ๊ยคอยจะเจ๊งอยู่ตลอดเวลา ไหนจะคลิปหนังอย่างว่าที่โหลดเก็บไว้บานเบอะในฮาร์ดดิสก์อีก แล้วก็ยังมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกเป็นลังๆ กองซ้อนกันอยู่ด้านหลังเก้าอี้หมุน หลังจากซื้อยกลังในราคาขายส่งกลับมาแล้ว เขายังไม่ได้เอารสใหม่ล่าสุดมาลองชิมดูเลย

กล่องข้อความของระบบเด้งออกมา [ไฟล์แนบดาวน์โหลดเสร็จสิ้นเปิดใช้งานทันทีหรือไม่] จากนั้นก็ปรากฏปุ่มที่มีสีต่างกันสองปุ่ม

[ตกลง] [คราวหน้าค่อยว่ากัน]

ซั่งชิงหัวเตรียมจะกดปุ่มสีแดงทางช้ายแบบไม่ต้องคิด

แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรมาฉุดแขนเขาไว้

ความจริง ทางโน้นเขาไม่มีญาติที่ไหนเหลืออยู่แล้ว

พ่อแม่เขาหย่ากันไปนานแล้ว หย่าปุ๊บก็แยกย้ายไปคนละทาง แล้วไปมีครอบครัวใหม่ของตัวเองทันที นานๆ ครั้งก็นัดมากินข้าวกัน ไม่ว่าจะฝั่งไหนเขามักจะรู้สึกว่าการมีตัวตนของเขามันช่างเกะกะนัก ตักอาหารอย่างเกรงอกเกรงใจ ปั้นหน้ายิ้มให้อย่างเกรงอกเกรงใจ เกรงใจเสียยิ่งกว่ากินข้าวร่วมโต๊ะกับคนแปลกหน้าอีก

ถึงแม้พ่อจะเป็นผู้ปกครองของเขาตามกฎหมาย แต่เวลาที่ไม่พบหน้านอกจากโทรศัพท์คุยกันเป็นครั้งคราวตอนตรุษจีนหรือวันเทศกาล ถามว่าเขาต้องการเงินใช้หรือไม่ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันไปมากกว่านี้อีก บางครั้งกระทั่งจะถามเขาว่ามีเงินพอใช้หรือไม่พ่อก็ยังลืม และเขาก็ไม่เคยทวง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน กับใคร เขาชินแล้ว ทั้งยังเชี่ยวชาญอย่างมากในการปั้นหน้ายิ้มแย้ม

อย่างไรเสียก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ให้พวกเขาจ่ายค่าเทอมที่มหาวิทยาลัยให้มันก็เรื่องหนึ่ง แต่ค่าใช้จ่ายในการดารงชีวิตเขาคิดหาวิธี

ของเขาเอง

และตอนที่กำลังคิดหาวิธีนั่นเอง เขาก็ลงทะเบียนสร้างไอดีบนเว็บจงเตี่ยนโดยไม่ตั้งใจ เริ่มต้นเขียนนิยาย

ตอนแรกก็เพื่อระบายอารมณ์ล้วนๆ คิดอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น ถึงแม้จะล้มเหลวไม่เป็นท่า แม้จะขึ้นชั้นหนังสือแนะนำก็ยังเป็นปัญหา แต่ดันได้รับคำชื่นชมจากนักอ่านที่มีรสนิยมเฉพาะตัวมากลุ่มหนึ่ง

แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็นึกอยากเปลี่ยนสไตล์ขึ้นมา อยากจะลองดูซิว่าจะสามารถกอบกู้ยอดกดฟอลโลว์ที่แม้แต่บรรณาธิการยังคร้านจะถามถึงได้ไหม ดังนั้น ‘เทพมารอหังการ’ อันโด่งดังจึงได้ถือกำเนิดขึ้น

เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีพลันกระจ่างแจ้งเขาหาวิธี ได้แล้ว

ยิ่งเขียนก็ยิ่งกลายเป็นโอตาคุเก็บตัว ยังเก็บตัวก็ยิ่งเขียน พอมาเป็นโอตาคุเต็มรูปแบบ คนที่คบหากันดี นิสัยใจคอเข้ากันได้ล้วนเป็นคนที่รู้จักบนเว็บ อยู่กันคนละทิศทางแล้ว เพื่อนอย่างโม่เป่ยจวินนั้นเขาไม่มีเลย เกรงว่าวันข้างหน้าก็คงหาไม่ได้แบบนี้อีก

เดี๋ยวนะ

โม่เป่ยจวิน? เพื่อน?

เขาวางตำแหน่งโม่เป่ยจวินไว้ในฐานะ เพื่อน!

ซั่งชิงหัวถูกความคิดตนเองทำให้ตกใจช็อกไปแล้ว รีบเอาเม็ดกวยจี้กระดูกมังกรหอมสินค้าขึ้นชื่อของเชียนเฉาเฟิงมากินให้หายตกใจไปอีกสามชั่งแล้วเข้านอน

ตอนที่ถูกโม่เป่ยจวินจับม้วนกับที่นอนแล้วหิ้วทั้งๆ อย่างนั้นลงจากเขาอันติ้งเฟิงไปยังแดนเหนือ รสชาติเค็มๆ มันๆ ของเม็ดกวยจี้ที่เพิ่งกินไปยังอวลในปากอยู่เลย และเขาก็กำลังฝัน ในฝันเขากำลังกลืนขี้ร้อนๆ สามชั่งอย่างตะกรุมตะกรามตามที่ได้ลั่นปากไว้ จากนั้น เขาก็ถูกความหนาวเย็นปลุกให้ตื่น

โม่เป่ยจวินโยนเขาลงกับพื้น เมื่อมาเจอกับพายุหิมะของแดนเหนืออันเหน็บหนาวบาดจิต เค้าโครงหน้าและแววตาของผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ก็ยิ่งดูคมปลาบมากขึ้นไปอีก

ถึงแม้จะหล่อลาก หล่อวัวตายควายล้ม แต่ซั่งชิงหัวก็หนาวเสียจนไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมความหล่อแล้ว พอจะอ้าปากกล่าวประจบลิ้นก็เกือบน้ำแข็งจับ ดังนั้นเขาจึงหุบปากนิ่งอย่างรู้การควรไม่ควรม้วนผ้าห่มเข้ากับตัวแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้วยอาการตัวสั่นงันงก

ป้อมปราการสร้างจากน้ำแข็งหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โม่เป่ยจวินเดินเข้าไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ซั่งชิงหัวรีบตามหลังไปติดๆ

ประตูทางเข้าปราสาทที่สร้างจากแท่งน้ำแข็งเปิดดังปังแล้วหุบปิดตามหลังทันที จากนั้นก็เดินลงไปตามบันไดยาวเหยียด ตลอดทางไร้ผู้คน

จนกระทั่งใกล้จะถึงห้องบรรทม จึงค่อยมีองครักษ์กับนางกำนัลอยู่สองสามคนที่กระทั่งจะหายใจแรงๆ ยังไม่กล้า

ซั่งชิงหัวแอบมองสีหน้าโม่เป่ยจวิน ถึงแม้ยังดูเหินห่างเย็นชาเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับดูเคร่งขรึมกว่าเดิมมาก

เขาเอ่ยปากถามอย่างอดไม่อยู่ “เอ่อ ต้าหวาง พวกเราต้องยืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนขอรับ”

โม่เป่ยจวินไม่ได้หันหน้ามา แค่ปรายตามองเขา “เจ็ดวัน”

ซั่งซิงหัวแทบหงายหลัง

ช่างเหอะๆ ไม่แน่ว่าเดี๋ยวจะต้องกลับไปเป็นต่าเฟยจีต่อ ฉวยโอกาสเจ็ดวันนี้ บอกลาอีกฝ่ายดีๆ ก็แล้วกัน อย่างไรเสีย หลังจากกลับไปแล้วก็จะไม่มีใครมาคอยต่อยเขา จับเขาไปเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ซักผ้าพับผ้าห่มเสิร์ฟชาหิ้วน้ำร้อนไปให้อาบอีกแล้ว

ยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ่งรู้สึกหนาวมากขึ้น

เขตแดนในปกครองของตระกูลโม่เป่ยนั้นไม่ใช่ที่สำหรับมนุษย์จะอยู่จริงๆ นั่นแหละ ซั่งชิงหัววิ่งอยู่กับที่ไม่หยุด เพื่อไม่ให้ถูกความหนาวจับตัวจนกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งทั้งเป็น โม่เป่ยจวินมองเขา ในก้นบึงของดวงตาเหมือนกับจะมีรอยยิ้มขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วก็หายไป

โม่เป่ยจวินยื่นมือออกมาจับนิ้วซั่งชิงหัวไว้นิ้วหนึ่ง กล่าวว่า “อย่าทำเสียงหนวกหู”

ความหนาวเย็นคล้ายกับจะถูกเขาดูดซับออกไปจากจุดที่นิ้วสัมผัสกัน ซั่งชิงหัวรู้สึกว่า หนาวน่ะยังหนาวอยู่ แต่ไม่รู้สึกยากจะทานทนขนาดนั้นแล้ว

เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทอดถอนใจยิ่งขึ้นกับการที่จะต้องลาจากกันในไม่ช้านี้ เลยยิ่งรู้สึกตัดใจยากขึ้นไปอีก

มาคิดดู อันที่จริงแล้ว โม่เป่ยจวินนั้นนอกจากจะนิสัยเสียไปนิด ความสามารถในการดำรงชีวิตแย่ไปหน่อย เอาแต่ใจไปเล็กน้อย แถมยังชอบจับคนมาซ้อมไปอีก ทว่าเขาก็ไม่ได้แย่กับตนเท่าไหร่นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ สวัสดิการไม่เลว เงินเดือนก็ไม่ถึงกับแย่ ถึงแม้จะโดนซ้อมเป็นกิจวัตร แต่ก็มีเพียงเขาคนเดียวที่ซ้อมได้ คนอื่นๆ จะมาซ้อมแบบนั้นบ้างไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่าง หลังๆ มานี้เขาก็ไม่ค่อยจะซ้อมตนเท่าไหร่แล้ว

ซั่งชิงหัวกังวลหนักที่มุมมองเกี่ยวกับความสุขในชีวิตของตนดูเหมือนจะบิดเบี้ยวเสียแล้ว

หากว่าเขากลับไปจริงๆ หากว่าโม่เป่ยจวินเกิดอยากจะหาคนไว้ซ้อมขึ้นมา ผลปรากฏว่าจะหาที่ไหนก็หาเขาไม่เจอ พอนึกภาพว่าเกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้น เลยเกิดความรู้สึกเศร้าขึ้นมานิดหน่อยเหมือนพอดนตรีจบคนก็แยกย้าย ของอยู่แต่คนไม่อยู่อะไรแบบนั้น

แต่แล้วอยู่ๆ ความหนาวจับกระดูกก็กลับคืนสู่ร่างกายของเขาอีกครั้ง

โม่เป่ยจวินถามอย่างเย็นชา “จะกลับไปไหน”

ซั่งชิงหัวจึงค่อยพบว่า ด้วยความที่มัวแต่เศร้า เขาดันพูดสิ่งที่ในใจกำลังคิดออกไปซะงั้น เดี๋ยวได้ ‘เศร้า’ ของจริงล่ะทีนี้

มือของโม่เป่ยจวินบีบแน่นขึ้นจนเกือบจะทำนิ้วชี้เขาหักอยู่แล้ว “ตอนนี้เจ้ายังบอกว่าจะไปรึ”

ซั่งชิงหัวเจ็บจนหน้าเหยเก รีบกล่าว “เปล่านะๆ ไม่ใช่ตอนนี้ขอรับ”

“ไม่ใช่ตอนนี้รึ” โม่เป่ยจวิน “เจ้าเคยพูดอะไรกับข้าไว้”

ติดตามต้าหวางไปชั่วชีวิต เขาพูดนับครั้งไม่ถ้วนจนกลายเป็นคำพูดติดปากไปแล้ว แต่เขาไม่คิดว่าจะมีใครมายึดถือคำพูดของเขาเป็นจริงเป็นจังนี่นา

เงียบกันไปครู่หนึ่ง โม่เป่ยจวินก็กล่าวว่า “เจ้าอยากจะไปนัก งั้นก็ไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอให้ครบเจ็ดวันหรอก

ซั่งชิงหัวตกตะลึง กล่าวว่า “ต้าหวาง หากข้าไปจริงๆ จากนี้ไปก็ไม่อาจเจอกันได้อีกแล้วนะขอรับ”

โม่เป่ยจวินใช้สายตาราวกับอยู่สูงขึ้นไปเก้าสิบล้านจั้งก้มลงมามองเขา ย้อนถามว่า “อะไรทำให้เจ้าเหมาเอาว่าข้าจะสนใจเรื่องนี้”

ถึงแม้หนังหน้าของซั่งชิงหัวจะผ่านการฝึกฝนตามวันเวลาจนแทบจะฟันแทงไม่เข้า แต่พอเจอท่าทางและประโยคนี้ของเขาก็อดที่จะไหล่ห่อไม่ได้

เขายังอยากจะอธิบายสักสองสามคำ แต่สถานการณ์กลับเกินความคาดหมายไปมาก

โม่เป่ยจวินกล่าวว่า “ไสหัวไปซะ”

จากนั้นเขาก็ปลิวหวือไปข้างหลังจนกระแทกเข้ากับผนังน้ำแข็งที่แกร่งราวกับกำแพงเหล็ก

ความเจ็บแปลบที่แผ่นหลังทำเอากระดิกกระเดี้ยไม่ได้ไปชั่วขณะ ก่อนจะลุกลามไปตามอวัยวะทั่วร่างอย่างรวดเร็ว

โม่เป่ยจวินไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นยิ่งไม่ชายตามามองเขาสักแวบด้วยซ้ำ ของเหลวอุ่นระอุที่เจือด้วยกลิ่นสนิมทะลักขึ้นมาเต็มลำคอของซั่งชิงหัว

ถึงแม้โม่เป่ยจวินจะซ้อมเขาจนแทบจะเป็นกิจวัตร และมักจะให้เขา ‘ไสหัวไป’ อยู่เป็นประจำจนน่าจะเคยชินแล้ว แต่ไม่มีครั้งไหนที่ซั่งชิงหัวจะรู้สึกถึงความโกรธและคับแค้นใจของเขาอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้มาก่อนเลย

เหมือนดังเช่นก่อนหน้านี้นับครั้งไม่ถ้วน เขาคลานขึ้นจากพื้น เช็ดเลือดที่มุมปากเงียบๆ และปั้นยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีใครเห็นค่าของเขาไปเงียบๆ

ยืนอยู่ครู่หนึ่ง ยังคิดจะพูดอะไรต่อ โม่เป่ยจวินก็ตวาดราวกับเหลืออดเต็มทีแล้ว “ไสหัวไปให้พ้น!”

ซั่งชิงหัวรีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนั้น

พูดกันตามจริง ถึงแม้ไม่มีใครรู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ยังรู้สึกขายหน้านิดๆ อยู่ดี

เมื่อนึกถึงคำว่า ‘โม่เป่ยจวิน’ กับคำว่า ‘เพื่อน’ ที่แวบขึ้นมาก่อนหน้านี้ซั่งชิงหัวค่อยๆ เดินขึ้นบันได องครักษ์และสาวใช้เผ่ามารที่เดิมทีอยู่ด้านในก็ถูกไล่ออกมาจนหมดเช่นกัน แถมยังวิ่งเร็วกว่าเขาอีกด้วยกรูกันออกนอกปราสาทน้ำแข็งไปราวกับฝูงแมลง อากาศยังคงหนาวบาดจิตเหมือนเดิม

แต่สภาพขาไปกับขามาช่างแตกต่างกันลิบลับ

เวลานี้เอง เงาร่างพลิ้วไหวสายหนึ่งก็ทิ้งตัวลงมา ซั่งชิงหัวเบือนหน้าไปมองก็สบเข้ากับดวงตาดอกท้อแฝงแววเย็นชาคู่หนึ่งมองกราดผ่านเขาไป

ถึงแม้ดวงตาคู่นี้มิได้แยแสเขาแต่ซั่งชิงหัวก็ถูกสายตานี้ทำเอาตัวสั่นยะเยือก ฝ่าเท้าแปะติดกับบันไดหนึบ

เขาแอบย้อนกลับเข้าไปเดี๋ยวนั้น

หลังจากพวกทหารรักษาการเฝ้าปราสาทน้ำแข็งใต้ดินถูกไล่ออกไป ในปราสาทก็ไม่เหลือมารแม้แต่คนเดียว โม่เป่ยจวินจะต้องเข้าใจว่าเขา ‘ไสหัว’ ไปแล้วจริงๆ แน่ และคงไม่คิดว่าเขาจะย้อนกลับมา

ตอนที่ซั่งชิงหัวเดินมาจนถึงระเบียงทางเดินหน้าห้องบรรทม เลยยังไม่ถูกใครพบตัว เขาหยุดอยู่ตรงนี้ จากนั้นปีนเสาขนาดสามคนโอบขึ้นไปบนขื่อเพดาน มองหาตำแหน่งที่จะไม่ถูกใครพบเห็นแล้วนั่งลง

ตำแหน่งนี้ถึงจะชัวร์ว่าไม่ถูกใครเห็นเข้า แต่เขาก็มองคนอื่นไม่เห็นเหมือนกัน!

เสียงเย็นชาของโม่เป่ยจวินดังขึ้น เหมือนยังพยายามระงับโทสะ เขาถามว่า “เจ้ามาทำอะไร”

เสียงหัวเราะอันไม่คุ้นหูของชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่งดังขึ้น “หลานชายได้สืบทอดตำแหน่ง ข้าจะมาขอสุรามงคลดื่มสักจอกไม่ได้หรือ”

โม่เป่ยจวินไม่ตอบคำ แค่นเสียงทีหนึ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยกล่าวว่า “มีสุรามงคลอะไรให้ดื่มกัน”

อีกเสียงหนึ่งกล่าวว่า “อีกเจ็ดวันเจ้าก็จะได้เป็นโม่เป่ยจวินโดยแท้จริงแล้ว นี่ไม่คู่ควรกับการแสดงความยินดีหรอกหรือ”

ซั่งชิงหัวรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร และตรงนี้คือเนื้อเรื่องช่วงไหนของนิยายดั้งเดิมที่ถูกทำป่วนเสียจนเพิ่งจะมาโผล่เอาป่านนี้

ตายแน่โม่เป่ยจวินเจอตออันเบ้อเริ่มเข้าให้แล้ว

แขกที่มาโดยไม่ได้รับเชิญผู้นี้คือหลิ่นกวงจวิน ท่านอาเล็กของโม่เป่ยจวินนั่นเอง

ส่วนร่างที่นอนอยู่ในห้องบรรทม ก็ต้องเป็นร่างของบิดาโม่เป่ยจวิน ที่นับแต่เขาเกิดมาก็น้อยนักจะได้พบหน้า….และบัดนี้ก็พักผ่อนไปแล้วชั่วนิรันดร์กาล

ตามพล็อตที่เขาวางไว้ หลังจากราชาแต่ละรุ่นของสกุลโม่เป่ยวายชนม์ จะส่งมอบพลังวัตรเจ็ดส่วนให้แก่ทายาทผู้สืบทอดคนต่อไป ยามนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก ดังนั้น ตามเนื้อเรื่องในนิยายดั้งเดิม หลิ่นกวงจวินเลยจับตามองจังหวะนี้อยู่ ขณะที่โม่เป่ยจวินกำลังย่อยและดูดซับพลังวัตรในวันสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงเวลาคับขันที่สุดนั่นเอง หลิ่นกวงจวินก็ลอบโจมตี เพราะว่าแต่เดิมนั้น ทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งอันดับหนึ่งโดยชอบธรรมคือโม่เป่ยจวิน หลิ่นกวงจวินไม่มีคุณสมบัติในการรับสืบทอดพลังวัตร ต่อให้แย่งชิงก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ชอบธรรมก็คือไม่ชอบธรรม บรรพบุรุษทั้งโคตรไม่มีทางยอมรับ แต่หากโม่เป่ยจวินขึ้นครองตำแหน่งก่อนแล้วค่อยเสียชีวิต หลินกวงจวินถึงจะกลายเป็นผู้สืบสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของสกุลโม่เป่ย ยามนั้นก็จะรับพลังวัตรทั้งเจ็ดส่วนไปอย่างสบายๆ

ตามนิยายดั้งเดิม ควรจะต้องมีปิงเกออีกคนหนึ่งมานั่งทำตัวแสร้งเป็นหมูรอจ้องตะครุบเสืออยู่ข้างๆอีกคน แถมด้วยการทำหน้าที่คอยคุ้มครอง

แต่หลังจากโม่เป่ยจวินดำรงตำแหน่งก็เรียกค่าตอบแทนจากสกุลโม่เป่ยตามระเบียบ แต่ปิงเกอของโลกนี้ยามนี้เอาแต่จับซือจุนของเขาพลิกหน้าพลิกหลังอย่างไร้ยางอายอยู่ คุณว่าเขาจะเอาเวลาว่างที่ไหนมาสนใจทางนี้ล่ะ ผู้ที่โม่เป่ยจวินพากลับมา ดันเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ทำเบื้อกอะไรเลย!

ซั่งชิงหัวจิกทิ้งผมตัวเอง

ต้าหวาง นายๆๆๆ นายพาฉันกลับมาทำอะไร ฉันน่ะไหล่ก็ไม่มีปัญญาแบกหาม มือก็หิ้วของหนักไม่ไหว แล้วจะเอาความสามารถที่ไหนไปคุ้มครองนายล่ะ เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้จำเป็นจะต้องหาคนที่ไว้ใจได้นะ ไปหาสหายที่เจ๋งๆ สิ ต่อให้นายไม่มีวิธีแกะปิงเกอที่เกาะติดซือจุนของเราเป็นตังเมอยู่ออก อย่างน้อยๆ ก็ต้องไปหาเขาเพื่อขอยืมขุนพลเกราะดำมาซักสองสามหมื่น! ยังไงก็ไม่น่าจะมาหาฉันอ่ะ ฉันน่ะนอกจากเสิร์ฟชาหิ้วน้ำร้อนซักผ้าพับผ้าห่มแล้ว ยังมีความสามารถอะไรที่ไม่ใช่มือสมัครเล่นมั่ง

ไม่มีร่างทองคำที่ไม่มีวันบุบสลายที่มอบให้กับพระเอกไปแล้วกับมือ

ช่วงเวลาสำคัญหลังจากเจ็ดวันผ่านไป โม่เป่ยจวินก็จะ…

หลิ่นกวงจวินกล่าวว่า “ช่วงเวลาสำคัญปานนี้ เจ้าไม่เอาใครมาด้วยหรอกหรือ”

“…” โม่เป่ยจวินตอบอย่างเย็นชา “ไม่เอามา”

หลิ่นกวงจวินหัวเราะหึๆ “เดิมทีก็พามาด้วยนี่นาข้าเห็นนะ ตอนเดินเข้ามา เผอิญเจอคนผู้หนึ่งเดินออกไปพอดี นั่นน่ะ คือเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงที่บอกว่าจะติดตามเจ้าไม่ใช่รึ เขากวนโมโหเจ้าหรือไร เลยทุบตีเสียจนอยู่ในสภาพนั้น เท่าที่ข้าได้ยินมา ยังนึกว่าเจ้านิสัยดีขึ้นแล้วนะนี่

นานมาก ไม่มีเสียงผู้ใดตอบอะไร

หลิ่นกวงจวินหัวเราะอีกครั้ง “อาเล็กแค่ถามดูเท่านั้น ทำไมจะต้องมองกันเสียดุดันขนาดนั้นด้วยเล่า”

โม่เป่ยจวินกล่าวทื่อๆ “ข้าอยากให้ท่านออกไป”

“เจ้าช่างพูดจาใจร้ายใจดำนัก แต่เสียดายที่ตระกูลเราไม่ได้มีกฎเขียนไว้นี่นาว่าระหว่างพิธีการสืบทอดตำแหน่ง ไม่อนุญาตให้คนอื่นดูอยู่ด้านข้าง อีกอย่างข้าก็เป็นน้องชายของพ่อเจ้าเสียด้วย หากไม่มีเจ้า ในวันนี้ผู้ที่ยืนรอรับตำแหน่งอยู่ ณ ที่นี้ก็จะต้องเป็นข้าอยู่แล้ว”

โม่เป่ยจวินเหมือนจะรู้แล้วว่าไล่ยังไงเขาก็ไม่ไปจึงไม่พูดอะไรอีกหลิ่นกวงจวินกลับดูกระหยิ่มยิ้มย่องยิ่งนัก กล่าวอย่างไม่เจียมตัวว่า “เฮ้อ พอโตแล้ว และจะได้เป็นเจ้าศักดินาผู้ครองแดนเหนือก็ไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ นะนี้ ยังคงเป็นเจ้าสมัยเด็กๆ ที่น่ารักกว่ามาก”

ซั่งชิงหัวได้ยินบทพูดอันคุ้นหู ก็ปาดเหงื่อ รู้สึกละอายอยู่บ้างที่เขียนตัวละครหน้าด้านแบบนี้ออกมา ท่านอาเล็กผู้นี้ยังมีหน้ามาพูดถึงตอนเด็กได้อีก

โม่เป่ยจวินไม่มีแม่มาตั้งแต่เกิด ตอนยังเด็กญาติที่เขาติดแจและสนิทที่สุดก็คืออาเล็กที่อายุห่างกันไม่เท่าไหร่ผู้นี้นี่เอง อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะความขัดแย้งและเรื่องราวความรักระหว่างพี่น้องของผู้ใหญ่รุ่นก่อน หลิ่นกวงจวินจึงทำใจให้รักหลานชายผู้นี้ไม่ลง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉวยโอกาสที่มารอื่นๆ เผลอ ปะเหลาะหลานชายที่ว่าง่ายผู้นี้ออกไปข้างนอก แล้วโยนเข้าไปในภพมนุษย์ ปล่อยให้ผู้ฝึกวิชาเซียนกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่รุมตีมารน้อยที่ไม่รู้ประสีประสา และกำลังขวัญหนีดีฝ่อทำอะไรไม่ถูก วิ่งไม่กี่ก้าวก็คอยแต่จะล้มผู้นี้อยู่เป็นหลายวัน

อายุของโม่เป่ยจวินในเวลานั้นน่าจะเทียบเท่ากับเด็กมนุษย์วัยสี่ขวบ

หากมิใช่เพราะจู่ๆ ท่านพ่อของเขานึกขึ้นมาได้หลังจากผ่านไปแล้วสิบกว่าวันว่า หมู่นี้ดูเหมือนบุตรชายตนจะมิได้คอยเดินตามน้องชายนัก ถึงได้เรียกลูกน้องมาถามจนได้ความ ก็ไม่แน่ว่าโม่เป่ยจวินอาจจะถูกขังให้ตกใจกลัวจนเสียชีวิตอยู่ในคุกน้ำของวังฮ่วนฮวาไปแล้ว สำหรับมารที่อายุขนาดนั้น

มนุษย์ที่ไปปิดล้อมเขาแล้วตะโกนโหวกเหวกโวยวายเป็นที่สับสนก็คือปีศาจที่กินเนื้อสดๆ ดื่มเลือดเป็นอาหารฝูงหนึ่งนั่นเอง ลองนึกภาพหากเด็กมนุษย์วัยสี่ขวบสักคนถูกจับไปขังในถ้ำปีศาจ ปฏิกิริยาก็ย่อมไม่แตกต่างกันหรอก

ท่านพ่อของเขาที่ดำรงตำแหน่งโม่เป่ยจวินในขณะนั้นใจกว้างราวกับที่ราบลุ่มแห่งมณฑลเสฉวน อย่างไรเสียก็เอาตัวลูกชายกลับมาได้แล้ว ถึงจะตกใจอยู่บ้างแต่ก็ปลอดภัยไร้อันตรายและไม่ตาย เลยไม่ติดใจเอาความ เพียงตำหนิน้องชายสองประโยค และบอกพวกเขาว่า จากนี้ไปให้ อยู่ร่วมกันให้ดีๆ

หลังจากถูกเก็บกลับมาในสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิงหน้าตามอมแมม โม่เป่ยจวินก็ไม่พูดคุยกับอาเล็กที่เขาเคยชอบมากที่สุดอีกเลย ยิ่งโตขึ้น อาการก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่ากับใครก็ไม่อยากจะพูดคุยด้วยทั้งนั้น ทั้งยังชิงชังการทรยศหักหลังทุกรูปแบบจนเข้ากระดูกดำ

นึกทวนประวัติองค์ชายน้อยผู้เย็นชาที่ตัวเองเขียนในสมองรอบหนึ่ง ซั่งชิงหัวก็ทบทวนความผิดของตัวเอง หลักๆ ก็คือทบทวนว่าที่เขียนให้อุปนิสัยของเผ่ามารเย็นชาไร้ความรู้สึกนั้น มันไร้มนุษยธรรมเกินไปหรือไม่ ต่อมาก็ทบทวนว่าตอนเขียนนิยายทำไมถึงไม่เพิ่มกฎลงไปเสียหน่อยว่าระหว่างพิธีการสืบทอดตำแหน่ง ไม่อนุญาตให้คนอื่นที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องมายืนรออยู่ข้างๆ แม้แต่ญาติสนิทก็ไม่ได้ จึงทำให้ตอนนี้โม่เป่ยจวินที่กำลังอยู่ระหว่างไว้ทุกข์และรอคอยการถ่ายทอดพลังไม่สามารถปลีกตัวออกไปและไม่มีเหตุผลที่จะไล่หลิ่นกวงจวินให้จากไปเช่นกัน

ซั่งชิงหัวทบทวนความผิดตัวเองพร้อมกับหวาดผวาไปด้วยเช่นนี้จนครบเจ็ดวันเต็มๆ ในที่สุดก็ถึงวันสุดท้าย

ยืนเคารพศพอยู่เจ็ดวัน ในที่สุดก็มาถึงจังหวะนั้น ช่วงที่โม่เป่ยจวินกำลังรับสืบทอดพลังวัตรอย่างเป็นทางการ เขาถ่วงเวลาไม่เริ่มดำเนินการใดๆ อย่างคนมีสมอง ทว่า ไม่ช้าก็ต้องเคลื่อนไหวทำอะไรสักอย่างอยู่ดี

หลิ่นกวงจวินถามว่า “ทำไมรึ ทำไมถึงมัวรีรออยู่ได้”

ก็เพราะมีนายอยู่ตรงนี้ด้วยน่ะสิ!!

หลิ่นกวงจวินกล่าวว่า “คงไม่ใช่ว่า..กลัวข้าจะลอบโจมตีหรอกนะ จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเป็นอาเจ้านะ โม่เป่ย เจ้าต้องเร่งหน่อยแล้ว หากไม่เริ่มก็จะพลาดแล้วพลาดเลยนะ ไม่มีโอกาสจะให้เอากลับคืนมาได้แล้ว คงไม่ต้องให้ข้าเตือนหรอกกระมัง”

หากมัวชักช้าเสียเวลา พลังวัตรก็ย่อมจะสูญสลายไป เปรียบได้กับมรดกมูลค่ามหาศาลที่จะสูญสลายไปกับสายลม แต่หากเริ่มทันที ก็มีหลิ่นกวงจวินที่ยืนจ้องตาเป็นมันอยู่ด้านข้างอย่างไม่มีเจตนาดี สถานการณ์ของโม่เป่ยจวินในเวลานี้ กล่าวได้ว่าถอยก็ไม่ได้รุกก็ไม่ได้โดยแท้

ทุกอย่างดำเนินไปแบบเดียวกับนิยายดั้งเดิมเป๊ะ แต่ขาดปิงเกอผู้กวาดล้างไปทั่วสารทิศหนึ่งคน และเพิ่มหัวตี้ (น้องหัว) ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวมาหนึ่งคน

ในที่สุด โม่เป่ยจวินก็หัวเราะหยันออกมาทีหนึ่ง

ซั่งชิงหัวยังคงยอมเสี่ยงที่จะโดนตรวจพบแล้วถูกปาดคอหัวหลุดกระเด็นในดาบเดียว กัดฟันโผล่หัวออกไป

ในจังหวะที่แสงสีฟ้ากลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากภายในห้องบรรทม

ครอบคลุมโม่เป่ยจวินไว้ทุกทาง หลิ่นกวงจวินก็พลันลงมือเอาดื้อๆ!

โม่เป่ยจวินเตรียมการไว้อยู่ก่อนแล้ว ยื่นมือไปรับฝ่ามืออันชั่วช้าสับปลับทันควัน แต่กระนั้น เพราะแบ่งสมาธิไม่ทัน จึงทำให้ปราณมารสายหนึ่งซึมเข้าฝ่ามือ ปราณมารที่มิได้เป็นของตัวเขาเองสายนี้แล่นพล่านไปทั่วร่างโมเป่ยจวินเขาไม่กล้าประมาทได้แต่แบ่งสมาธิส่วนหนึ่งมาจัดการกับมัน

หลิ่นกวงจวินสำเหนียกได้ว่าฝ่ามือนี้ได้ผล ก็ดีใจปานคลุ้มคลั่ง แต่ยังไม่ทันได้ลงมือต่อ เพราะจู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งทิ้งตัวลงมาจากฟ้า กระโดดปราดออกมา!

หลิ่นกวงจวินกล่าวอย่างใจเย็น “ถึงว่าทำไมที่นี่ยังมีองครักษ์ที่ไม่ถูกไล่ออกไป เจ้ามิใช่จากไปตั้งแต่เจ็ดวันก่อนแล้วหรอกหรือ ทำไมรึ กลับมาคุ้มครองเจ้านาย? มองไม่ออกเลยนะนี่ว่าเจ้าจะเป็นคนที่จงรักภักดีขนาดนี้”

ก่อนหน้านี้ซั่งชิงหัวมองเขาไม่ถนัดก็ยังดีอยู่ แต่พอมองเห็นชัด เข่าก็อ่อนยวบ หลิ่นกวงจวินถึงแม้หน้าตาดีมากแต่เป็นความหน้าตาดีที่กระเดียดไปทางสวยและดูชั่วช้าสับปลับ ดวงตาดอกท้อที่ดูราวกับเข็มอาบยาพิษแผ่รังสีเย็นยะเยียบ ยามยิ้มแย้มเห็นไรฟัน ซึ่งฟันและเขี้ยวขาววาววับนั้นดูเหมาะสำหรับการกินเนื้อดิบๆ เป็นพิเศษ

ซั่งชิงหัวแข็งใจมายืนขวางหน้าโม่เป่ยจวิน “ข้อหนึ่ง ใครบอกเจ้าว่าข้ากลับมาคุ้มครองเจ้านาย ข้อสอง ใครบอกเจ้าว่าเขาเป็นนายข้า”

หลิ่นกวงจวิน “เช่นนั้น ที่ตอนนี้เจ้าขวางทางข้าอยู่ ตกลงมันเป็นเรื่องใดกัน”

ซั่งชิงหัวตอบชัดถ้อยชัดคำ “จะเข้ามาช่วยซ้ำ”

ยามที่เขากล่าววาจาเหลวไหลอยู่นั้น เขายกมืออันสั่นเทาชี้หน้าตัวเอง “เจ้าดู เขาทุบตีข้าเสียจนเป็นเช่นนี้ หลานชายเจ้าผู้นี้ นิสัยช่างประเสริฐนัก!”

โม่เป่ยจวินกระอักเลือดออกมาคำหนึ่งอยู่ด้านหลัง คงจะโมโหเดือดเพราะเขาแหง

ซั่งชิงหัวฟ้องพลางทำหน้าราวกับจะร้องไห้ “หลายปีมานี้ กระดูกข้าที่หักเอามากองพูนเป็นเทือกเขาฝังกระดูกยังได้อีกลูกเลย เลือดที่ข้ากระอักออกมาก็ทำให้ข้าจมกองเลือดตายได้ จงรักภักดีรึ กับคนแบบนี้ ไม่สิ มารแบบนี้ ใครหน้าไหนมันจะภักดีด้วย เขาปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ หากแม้นซั่งชิงหัวสามารถกล้ำกลืนความอัปยศไม่ล้างแค้นเอาคืน ก็เสียทีที่เป็นเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงแล้ว!”

ระหว่างที่พูดจาอยู่นี้ ซั่งชิงหัวไม่กล้าหันกลับไปมองสีหน้าโม่เป่ยจวินเลยแม้แต่แวบเดียว แผ่นหลังหนาวยะเยือกจนจะจับผลึกเป็นดอกไม้น้ำแข็ง*อยู่แล้ว

(ดอกไม้น้ำแข็ง ในที่นี้หมายถึง ซวงฮวา หรือ Frost Flower ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนผิวน้ำที่อุณหภูมิติดลบต่ำกว่า 22 องศาเซลเซียส แล้วผิวน้ำจับผลึกแข็งเป็นลวดลายสวยงาม เหมือนดอกไม้ลอยบนผิวน้ำแข็ง)

หลิ่นกวงจวินหัวเราะฮ่าฮ่า “โม่เป่ย เจ้าได้ยินหรือไม่ ข้าล่ะเห็นใจเจ้าจริงๆ ชีวิตถูกลิขิตมาให้เจอแต่คนทรยศหักหลังไปทั้งชาติ เจ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะปกครองโม่เป่ยทั้งสกุลได้อย่างไร ขืนให้เจ้าสืบทอดตำแหน่งต่อไป ด้วยคุณสมบัติของเจ้า ตระกูลข้าจะไม่เสี่ยงต่อการถูกโค่นล้มเสียเมื่อไหร่ก็ได้หรอกหรือ ยังคงเชื่อฟังคำของอาเล็ก เรื่องสำคัญๆ ก็วางใจส่งมอบให้ข้าดูแล แล้วเจ้าก็ไปเสียเถอะ”

สิ่งที่เฝ้าฝันมาหลายปีกำลังใกล้จะเป็นจริงแล้ว หลินกวงจวินกล่าวอย่างใจกว้างว่า “เจ้าตั้งใจจะเข้ามาซ้ำเติมอย่างไร”

ซั่งชิงหัวหัวเราะแหะๆ ร่ายคาถาเรียกไฟ แล้วโยนไปทางด้านหลัง

หลิ่นกวงจวินรู้สึกว่ามีความร้อนขุมหนึ่งพุ่งเข้าปะทะหน้า เบื้องหน้าสายตามีแสงสีแดงฉานเต้นเร่า เผ่าน้ำแข็งสกุลโม่เป่ยนั้นเกลียดไฟเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟที่มิใช่ไฟธรรมดา หรือก็คือเชื้อเพลิงเสวียนหยางที่ชั่งชิงหัวหน้าด้านไปขอให้เสิ่นชิงชิวสร้างให้นั่นเอง ความเกลียดชังไฟของหลิ่นกวงจวินยังแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวอยู่ด้วย รีบเอามือปิดหน้าถอยหลังกรูดทันที นึกประหลาดใจพอดู

เขาขบคิด ดูไม่ออกเลยว่าเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงที่เขาลือกันว่างุ่มง่ามเงอะงะกลับเป็นบุคคลร้ายกาจผู้หนึ่ง แต่ข้าเคยได้ยินว่าโม่เป่ยดีต่อเขาไม่เลว ใครจะไปนึกว่า เขาจะเก็บงำความแค้นได้หลายปีปานนี้ ลงมือที่โหดร้ายปานนี้ ถึงกับเอาเพลิงของสำนักเซียนมาเผาโม่เป่ยเลยทีเดียว รับรองไม่มีทางตายสบาย ไฟนี้เกรงว่าจะเผาโม่เป่ยจนกลายเป็นเถ้าถ่านทั้งเป็นแน่

หากเมื่อครู่เขาโยนคาถาเช่นนี้ใส่ข้า ข้าก็คงลำบากน่าดูเช่นกัน ไม่รู้ว่าเขายังมีเชื้อเพลิงอันร้ายกาจแบบนี้เหลืออยู่เท่าใด แต่ไม่ว่าจะยังมีหรือไม่ ก็ไม่อาจปล่อยคนผู้นี้ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปเด็ดขาด

แต่รอจนคิดคำนวณเสร็จ พอมองให้เต็มตา หลิ่นกวงจวินก็มีอันต้องโมโหเดือดสุดขีด

โม่เป่ยจวินมิได้ถูกเปลวไฟกลืนหายไป เพียงถูกปิดป้องด้วยวงล้อมของไฟต่างหาก เชื้อเพลิงที่ซั่งชิงหัวโยนออกไปเมื่อครู่ กลับหาได้โยนใส่ร่างเขาไม่ แต่เป็นการขีดเส้นปริมณฑลวงใหญ่รอบตัวเขากินรัศมีกว่าหนึ่งจั้ง

เพลิงเสวียนหยางสะบัดเต้นเร่า โอบล้อมพวกเขาสองคนเอาไว้ตรงกลาง

ถึงแม้โม่เป่ยจวินไม่อาจออกมานอกวง แต่หลิ่นกวงจวินก็เข้าไปไม่ได้เช่นกัน หากเขาฝืนปล่อยพลังฝ่าอากาศเข้าไป เวทน้ำแข็งของเขาก็จะถูกเพลิงเสวียนหยางละลายหายไปทันที เช่นนี้ดูไปแล้ว ไม่เหมือนเป็นวิชาโจมตีแต่กลับเป็นการล้อมรั้วคุ้มกันมากกว่า

เมื่อรู้สึกว่าโดนหลอก สีหน้าของหลิ่นกวงจวินก็ดำทะมึนในชั่วพริบตา

โม่เป่ยจวินถูกหลิ่นกวงจวินซัดปราณมารที่มีพิษร้ายแรงสายหนึ่งเข้าใส่กำลังปั่นป่วนทรมานไปทั่วร่าง ใบหน้าประเดี๋ยวขาวซีดประเดี๋ยวเขียวคล้ำ

ไม่มีเวลาจะหันไปดูรอบกายแม้สักแวบ ซั่งชิงหัววิ่งวนไปวนมารอบตัวเขาเป็นหนูติดจันไม่รู้จะช่วยยังไง หลิ่นกวงจวินเดินวนห่างๆ อยู่นอกวงล้อมของเพลิงเสวียนหยาง พลางหัวเราะหยัน

เขากล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าพูดผิดไป เจ้าไม่เพียงจงรักภักดีธรรมดา แต่จงรักภักดีสุดหัวใจอย่างพร้อมจะสละชีพนั่นเลยทีเดียว ถึงขนาดยอมกลับมาหาที่ตายอย่างเสียเปล่าเพื่อหลานชายที่ไม่ได้ความของข้า! แต่ไม่รู้ว่ารั้วนี้ของเจ้าจะยันได้อีกนานเท่าใดนี่สิ”

คำพูดนี้เข้าไปที่ใจดำของซั่งชิงหัว

เชื้อเพลิงที่เสิ่นชิงชิวให้มานี้ เขาโยนออกไปพรวดเดียวหมดเกลี้ยงโบ๋เบ๋ไปเรียบร้อยแล้ว เขานั่งยองๆ อยู่ข้างโม่เป่ยจวิน ภาวนาหน้าดำคร่ำเครียด พ่อเจ้าประคุณต้าหวาง ได้ยินหรือไม่ เขาจะฆ่าฉัน อาของนายกำลังจะฆ่าฉันอยู่แล้ว รีบดูดซับพลังให้เสร็จเร็วเข้า ฉันไม่รู้จริงๆ ว่ารั้วนี้จะยันได้นานแค่ไหน

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเปรี้ยะเศษน้ำแข็งละเอียดเป็นแป้งร่วงกระจาย

ลงมาจากเหนือศีรษะ

ซั่งชิงหัวนั่งยองๆ อยู่อย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก เลยโงนเงนเป็นจังหวะเดียวกับเปลวไฟที่ส่ายวูบวาบ

ที่เห็นคือหลิ่นกวงจวินชักมือข้างหนึ่งกลับจากเสาระเบียงทางเดิน

กล่าวว่า “พวกเจ้าเข้าใจว่าหากไม่ออกมา ข้าก็จะจัดการพวกเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

เขาคิดจะฟาดปราสาทน้ำแข็งให้ถล่มลงมาโดนโม่เป่ยจวินโครมเดียว

ตายหรือไม่ก็ฝังให้ตายทั้งเป็น!

มองดูรอยร้าวถี่ยิบแล่นไต่ขึ้นไปตามเสาน้ำแข็ง ขณะที่หมัดต่อมาของหลิ่นกวงจวินกำลังจะฟาดออก ซั่งชิงหัวรีบกล่าว “ออกแล้ว ออกแล้ว นี่ไง กำลังออกมาแล้ว”

เขากระโดดออกมาจากวงล้อมของไฟอย่างรีๆ รอๆ ทำท่าราวกับกบที่เต็มไปด้วยความคับแค้นจำต้องกระโจนลงกระทะร้อน

ออกมาแล้วก็อย่าได้คิดหมายว่าจะกลับเข้าไปได้อีก หลิ่นกวงจวินไวราวกับผีคว้าตัวเขาไว้ทันที “ออกมาอย่างเดียวจะมีประโยชน์อะไร ถอนไฟออกไปด้วย”

ความจริงซั่งชิงหัวเองก็ชักจะร้อนใจขึ้นมาแล้ว ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าโม่เป่ยจวินจะสะกดข่มปราณมารสายนั้นได้ หากว่าเขาสามารถปรับลมปราณได้เสร็จสิ้นก่อนที่เพลิงเสวียนหยางดับ และดูดซับพลังวัตรเจ็ดส่วนครบถ้วน เรื่องวันนี้ก็จะเป็นแค่ฉากวุ่นวายฉากหนึ่งเท่านั้น

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “ข้าเป็นแต่วางเพลิง แต่ดับเพลิงไม่เป็นน่ะสิ”

หลิ่นกวงจวิน “เช่นนั้นก็เอาเขาออกมา!”

ซั่งชิงหัวกล่าว “เอ่อ….จวินซั่ง ท่านดูสภาพเขาในตอนนี้ ต่อให้อยากออกมาก็ออกมาไม่ไหวหรอกนะ”

หลิ่นกวงจวินหัวเราะหยัน วางฝ่ามือที่ตำแหน่งหัวใจของซั่งชิงหัว เขากล่าวอย่างมีน้ำใจว่า “เช่นนั้นเจ้าว่า หากหัวใจของเจ้ากลายเป็น

น้ำแข็ง เขาจะตกใจจนผลีผลามไปชั่วขณะออกมาไหม”

ซั่งชิงหัวกล่าวตอบ “หากว่าเรื่องเช่นนี้อาศัยความ ‘ผลีผลามไปชั่ว

ขณะ’ ก็ฝ่าออกมาได้ เช่นนั้นข้าขอเสนอให้จวินซั่งท่านทดลอง ‘ผลีผลามไปชั่วขณะ’ เอง แล้วดูซิว่าจะฝ่าเข้าไป…”

คำพูดครึ่งหลังเขาไม่อาจพูดออกมา

ห]bjนกวงจวินแค่นเสียงเบาๆ ร่ายเวทน้ำแข็งเสียราวกับกำลังครวญเพลงอย่างมีความสุข ทั้งแฝงความอำมหิตอยู่ในที “โม่เป่ยเอ๋ย อาเล็กคาดไม่ถึงจริงๆ นะนี่เจ้ากลับมีสุนัขรับใช้ที่ภักดีถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ยอมทรยศ เจ้าสุนัขดีๆ ตัวนี้หากไม่อยู่แล้ว มิใช่น่าเสียดายหรอกหรือ”

บริเวณรอบๆ หัวใจเกิดอาการหนาวเยือก

ริมฝีปากซั่งชิงหัวเริ่มเป็นสีม่วง เขายกมือขึ้นกล่าว “จะ…จวินซั่ง”

หลิ่นกวงจวินกล่าวว่า “พูดมา”

ซั่งชิงหัวพูดต่อ “ทะ….ท่าน สะ สะ ใส่พลังเย็นเข้าหัวใจข้า ขะ ขะข้า สะ สะ ส่งเสียงไม่ออก สะ สะ…เสียงจะฟังแล้วไม่โหยหวนพอ ดะ ดะ เดี๋ยว ขะ ขะ เขาจะไม่ผลีผลามไปชั่วขณะอย่างที่ท่านต้องการนะ ขะ ขะ ข้า…แนะนำว่าท่านฟาดข้าดีกว่าข้าสัญญาว่าจะแหกปากให้โหยหวนสุดชีวิตเลย”

หลิ่นกวงจวินเอ่ย “อ้อ แต่ข้ามือหนักนะ หากว่าควบคุมไม่อยู่ ฟาดเจ้าตายเข้าจะทำอย่างไร”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “มะ มะ ไม่เป็นไร ขะ ขะ ข้ารับไหว ชะ ชะ ชินแล้วโดนหลานชายท่านฟาดอยู่เป็นประจำ…”

พูดยังไม่ทันขาดคำ ซั่งชิงหัวก็ได้รู้ซึ้งด้วยตัวเองทันทีว่า มือของหลิ่นกวงจวินนั้น “หนัก’ ขนาดไหน

เขาไม่ได้ใช้ปราณมาร เป็นการฟาดออกด้วยแรงกายล้วนๆ ซั่งชิงหัวได้ยินเสียงกระดูกซี่โครงแต่ละชิ้นของตัวเองหักอย่างชัดเจนทีเดียว หลังจากพ่นเลือดออกมาพรูดใหญ่ ก็ตามมาด้วยเสียงในปอดราวกับเสียงลมรั่ว ขณะที่ฟันเหมือนจะโยกไปเล็กน้อย ซั่งซิงหัวก็คิดในใจ เทียบกับเผ่ามารอื่นๆ รวมทั้งท่านอาของเขาแล้ว กลายเป็นว่าพ่อเจ้าประคุณโม่เป่ยจวินอ่อนโยนใจดีราวกับเป็นเทวดาตัวน้อยติดปีกเลยทีเดียว

ยิ่งถ่วงเวลา หลิ่นกวงจวินก็ยิ่งหงุดหงิดเสียจนใกล้จะคลั่งเหยียบหลังซั่งชิวหัวเอาไว้มั่น กระชากแขนอีกฝ่ายขึ้นมาข้างหนึ่ง ยิ้มเหี้ยมเกรียม “เจ้ามิใช่สัญญาว่าจะร้องจนสุดกำลัง เอาให้โหยหวนหรอกหรือ ไฉนปากถึงได้หนักปานนี้ จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ส่งเสียงสักแอะ”

ท่าทางนี้ทำให้ซั่งชิงหัวนึกไปถึงบางอย่างที่ไม่ดีเอามากๆ เขารีบถ่มเลือดที่ทะลักขึ้นเต็มปาก แล้วแหกปากร้องลั่นออกมาโดยไม่แสร้งฝืนแม้แต่น้อย

หลิ่นกวงจวินกล่าวว่า “อืม ไม่เลว เสียดายที่ยังโหยหวนไม่พอ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

ความเจ็บปวดอันน่าสยดสยองของเอ็นที่ฉีกขาดแผ่ลามจากหัวไหล่ไปทั่วร่าง ซั่งชิงหัวอ้าปากปลดปล่อยความหวาดผวาสุดขีดออกมา แต่กลับร้องไม่ออก

ทว่าความเจ็บปวดนี้มิได้ถึงขนาดเกินจะทานทนพริบตานั้นเอง แขนของเขาที่ถูกฉุดไปด้านหลังก็ตกลงมาเบาๆ

ชายเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มปลิวสะบัดอยู่ตรงหน้าเขา พายุหิมะพัดกระหน่ำ

โม่เป่ยจวินฉวยจังหวะทีเผลอฝ่าออกมาจากวงล้อมของไฟ ฟาดใส่ทรวงอกของหลิ่นกวงจวินที่หนึ่ง

หลิ่นกวงจวินรับฝ่ามือเข้าไปเต็มๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว อกยุบไปแถบหนึ่ง ปราณมารทั่วทั้งร่างราวกับถูกฟาดทะลวงเป็นโพรงยักษ์ ไหลทะลักออกมาสู่ภายนอก เขาลอบตื่นตระหนก พลังโจมตีของเจ้าเด็กนี่แตกต่างเป็นคนละเรื่องกับเมื่อก่อนเลยทีเดียว สุดท้ายก็ปล่อยให้เขายืดเวลาสำเร็จจนได้ ดูดซับพลังวัตรของตระกูลโม่เป่ยที่สั่งสมและถ่ายทอดต่อกันมาหลายชั่วคนได้หมดสิ้นแล้ว

ไม่เพียงแค่นั้น กระทั่งเพลิงเสวียนหยางก็ไม่กลัว ฝ่าออกมาเสียตรงๆ เลย

ถึงแม้เคียดแค้นและไม่เต็มใจ แต่น่ากลัวว่ายามนี้เขาคงไม่ใช่คู่ต่อกรของโม่เป่ยจวินแล้ว เลยได้แต่รีบใช้น้ำแข็งผนึกบาดแผล แล้วแปลงร่างเป็นลมดำสายหนึ่งพุ่งออกนอกปราสาทน้ำแข็งไปทันที

ซั่งชิงหัวนอนพังพาบหน้าคว่ำกับพื้น ผ่านไปครึ่งวันก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก ทั้งไม่มีใครเข้ามาช่วยพยุงเขา ได้แต่นึกอย่างรันทดว่า ยังโกรธอะไรอีกล่ะ จะอย่างไรก็ถูกตีเพื่อเขาจนเป็นแบบนี้แล้ว พยุงก็ไม่ช่วยพยุง จะไร้เหตุผลเกินไปหน่อยแล้ว

แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงดังตึง

ซั่งชิงหัวกัดฟันพลิกกายด้วยความยากลำบาก

โม่เป่ยจวินกลับล้มลงไปซะแล้ว ร่างสองร่างล้มคว่ำอยู่บนพื้นในท่วงท่าที่ต่างกันอย่างเงียบเชียบ แน่นิ่งราวกับศพ

เขาจึงค่อยกระจ่าง ดูท่าว่าโม่เป่ยจวินความจริงแล้วยังดูดซับพลังวัตรเจ็ดส่วนไม่เสร็จ ทั้งยังสะกดข่มปราณมารสายนั้นของหลิ่นกวงจวินไม่ได้ เมื่อครู่เขา ‘ผลีผลามไปชั่วขณะ’ จริงๆ และฝืนอย่างสุดกำลังจึงสามารถขู่หลินกวงจวินให้ถอยหลบไปได้ชั่วคราว บัดนี้โม่เป่ยจวินใช้แรงเฮือกสุดท้ายของเขาหมดสิ้น ทั้งยังถูกเพลิงเสวียนหยางเผาเข้า จนล้มแน่นิ่งไปแล้ว

ถึงแม้โม่เป่ยจวินจะนอนคว่ำกับพื้นกระทั่งนิ้วยังงอไม่ไหว ทว่ากลับพยายามถ่างตาจ้องเขาเขม็ง

ซั่งชิงหัวถูกจ้องเสียจนนอนคว่ำหน้าอย่างสงบต่อไปไม่ไหว ได้แต่เอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “เอ่อ ต้าหวาง อย่าดิhน นอนดีๆ ค่อยๆ ดูดซึมไปเถอะ พลังวัตรที่เจ้าศักดินาแต่ละรุ่นสั่งสมมามีตั้งมากมาย ไม่อาจดูดซึมได้ทีเดียวหมดหรอกนะ”

สายตานั้นก็ยังคงจ้องมาอย่างไม่ลดละ ทำเอาซั่งชิงหัวหวาดผวารู้สึกราวกับยืนอยู่ใต้สายฝนที่ตกลงมาเป็นเข็มแหลม เขาผ่อนลมหายใจอย่างระมัดระวัง ยันกายขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก สั่นไปทั้งตัวราวกับคนเป็นพาร์กินสัน

คราวนี้โม่เป่ยจวินนับว่ายอมฟังดีๆ ได้เสียที เขาระบายลมหายใจกล่าวว่า “เอ่อ ต้าหวาง อันที่จริงตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิดจะไปในเวลาเช่นนี้หรอก ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นช่วงสำคัญที่ท่านกำลังจะสืบทอดอำนาจนี่นาจริงๆ นะ เรื่องสำคัญปานนี้ ไยท่านไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้สักหน่อยเล่า”

โม่เป่ยจวินใช้สีหน้าบอกเขาว่า คุกเข่าซะ แล้วร้องไห้ขอร้องให้ข้ายกโทษให้เจ้า

ซั่งซิงหัวมุมปากกระตุก กล่าวต่อ “พูดกันตามจริงแล้ว ท่านก็ไม่ควรพาข้ามาหรอก ข้าจะไปทําอะไรได้ ปกติก็มีประโยชน์แค่ให้ท่านใช้ฟาดเล่นแก้ขัดเท่านั้นเอง ท่านดูข้าเมื่อกี้ซิ ถูกเขาฟาดเสียจนเป็นแบบนี้ ก็แค่ช่วยถ่วงเวลาให้ท่านได้หน่อยเดียวเท่านั้น อาเล็กของท่านถูกท่านโจมตีบาดเจ็บสาหัส ไม่น่าจะกล้ากลับมาใหม่แล้ว ท่านน่าจะใกล้ดูดซึมเสร็จแล้วกระมัง เช่นนั้น ข้าก็ไปก่อน…ล่ะนะ”

โม่เป่ยจวินเดิมที่มีหน้านุ่มนวลขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว แต่พอได้ฟังท้ายประโยคเข้า สายตาก็เย็นยะเยียบขึ้นมาทันที “ยังจะไป เจ้ากล้า!”

ถูกเขาตะคอกใส่หน้าอีกคำรบหนึ่ง ซั่งชิงหัวที่ยังเจ็บระบมไปทั่วทั้งตัวพลันโทสะพวยพุ่ง ตบพื้นตวาดลั่น “ทำไมจะไม่กล้า!”

ที่ตบพื้นไปฉาดนี้แน่นอนว่าไม่อาจข่มขวัญโม่เป่ยจวินได้ รังแต่จะทำให้แขนกับไหล่ของเขาเจ็บปวดขึ้นมาอีกระลอกด้วยซ้ำ ทำเอาเห็นดาวระยิบระยับ ถึงอย่างไรตอนนี้โม่เป่ยจวินก็ขยับตัวไม่ได้ ซั่งชิงหัวของขึ้น ชี้หน้าเขา “จะบอกให้รู้เอาไว้นะ ข้าทนเจ้ามานานแล้ว เจ้ามันเป็นไอ้คุณชายที่ถูกตามใจจนเหลิง ไอ้มารรุ่นสองนิสัยเสีย!”

ทำเช่นนี้กล่าวได้ว่าขวัญกล้าเทียมฟ้า โม่เป่ยจวินทำหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ความโกรธแค้นที่อัดอันมานานหลายปีของซั่งชิงหัวยามนี้ทรงพลังประหนึ่งสายรุ้งซัดไม่ยั้งราวกับเขื่อนทะลัก “เจ้าเห็นข้าเป็นคนนิสัยดีพูดง่ายพลังฝึกปรือต่ำต้อย จัดการได้ง่ายใช่ไหม เจ้าคิดว่าพ่อง…ข้า..เป็นแบบนี้… แบบนี้จริงๆ น่ะเรอะ

มองอะไร หา มีความเห็นจะเสนอ? มองหาพ่อง? งั้นก็เรียกพ่อซะสิ! มีแต่ข้าเท่านั้นแหละที่คอยตามใจเจ้า ลองเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นดูมั่งมั้ยล่ะ ปิงเกอเขาได้เอาเจ้าตายแน่ ไอ้เสิ่นชิงชิวตัวเดิมมันก็จะใช้อุบายจัดการเจ้าจนตายเหมือนกัน! ไม่มีใครมันจะชอบโดนซ้อมอยู่ได้ทุกวันหรอกนะ แล้วก็ไม่มีใครที่ถูกซ้อมทุกวันก็ยังทำหน้าระรื่นได้ทั้งวันหรอก! คนนะไม่ใช่หมา ต่อให้เป็นหมาที่โดนเจ้าถีบวันละสองทีทุกวันนานเข้ามันก็ต้องรู้จักที่จะเลิกตอแยเจ้าแล้ว”

โม่เป่ยจวินถามว่า “เจ้าอยากตาย”

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อานุภาพของประโยคนี้ถูกสลายไปเยอะมาก ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “ไม่อยาก ข้าไม่เพียงกล้าไป แต่ยังกล้าทำอย่างอื่นด้วย เจ้าเชื่อไหมล่ะ ที่เจ้าเคยทำกับข้าไว้เมื่อก่อน วันนี้เจ้ายอดเขาเช่นข้าจะขอเอาคืนมันตรงนี้แหละ”

โม่เป่ยจวินโมโหเดือด “เจ้า—!!!”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “เจ้าอะไร จะพูดว่าเจ้ากล้างั้นรึ ขอบอกไว้นะ ตอนนี้ข้าไม่กลัวอะไรแล้ว มาเลย!”

พูดจบก็ถกแขนเสื้อ ขยับหมัดไปมาอย่างกระเหี้ยนกระหือรืออยู่แถวๆ ใบหน้าที่โมโหจนเขียวคล้ำของโม่เป่ยจวิน แววตาคู่นั้นราวกับจะซัดมีดบินออกมา แต่ซั่งชิงหัวหากลัวไม่ เงื้อฝ่ามือเข้าใส่ใบหน้าของโม่เป่ยจวินเดี๋ยวนั้น

โม่เป่ยจวินเบนหน้าหลบโดยสัญชาตญาณ รู้สึกใบหน้าตึงวูบ

เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยคุ้นอย่างมาก แค่เจ็บๆ คันๆ แต่กลับมิได้รุนแรง

หนักหน่วงอย่างที่คิด

สองนิ้วของซั่งชิงหัวบีบแก้มข้างหนึ่งของเขาแล้วดึงออกสุดแรงเกิด ร้องว่า “เป็นอย่างไร เจ็บไหมเล่า!”

ทางหนึ่งดึงแก้มทางหนึ่งก็คิดว่า เชี่ย! นี่ไม่ใช่อย่างที่ตรูคิดอยากทำซะหน่อย ต่อยเขาสิวะ ฉวยโอกาสที่เขาขยับตัวไม่ได้ต่อยเขาเลย แค่ดึงๆ หน้าเขาแบบนี้ ดูยังไงก็ขาดทุน

แต่ทำไงได้ ก็มัน…

ยังไงเขาก็ต่อยใบหน้านี้ไม่ลง

โม่เป่ยจวินถูกดึงแก้มเสียจนพูดฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ก็ยังยืนยัน “เจ้าจบสิ้นแล้ว!”

ซั่งชิงหัวหัวเราะก๊าก “มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีดีมาก สถานการณ์เช่นนี้ก็ยังอุตส่าห์ข่มขู่ข้า ป๋าขอชื่นชม”

มืออีกข้างของเขาก็เข้ามาร่วมบีบแก้มอีกข้างของโม่เป่ยจวิน เดี่ยวดึงออกด้านข้าง เดี๋ยวบีบเข้าหากันจนย่นยู่ ภาพลักษณ์อันสูงส่งเย็นชาในอดีตของโม่เป่ยจวินถูกมืออันต่ำช้าคู่นี้ของเขาทำลายไปเป็นที่เรียบร้อย ซั่งชิงหัวยังกล่าวย้ำ “ยังไม่เจ็บหรือ เจ็บไม่เจ็บ?”

โม่เป่ยจวินหยิ่งทะนงไม่ยอมอ่อนข้อ แต่จนใจที่ของอย่างน้ำตานั้นทำงานตามคำสั่งของร่างกาย ใช่ว่ามีความหยิ่งทะนงก็จะกลั้นมันเอาไว้อยู่

ในที่สุดก็ถูกเขาบีบแก้มเสียจนหยาดน้ำใสๆ เอ่อขึ้นที่หางตา

“…เจ็บแล้วหรือ เจ็บก็ดีแล้ว” ซั่งชิงหัวคลายอุ้งมือมาร กล่าวว่า “ยามปกติที่เจ้าทุบตีข้า เจ็บกว่านี้เป็นสิบเท่า! ให้ข้าดึงเล่นบ้างจะเป็นไรไป สำออยซะ!”

โม่เป่ยจวินถูกคำว่า ‘สำออย’ ที่กล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม ทำเอาโกรธจนหน้าซีด บนแก้มมีรอยนิ้วมือเขียวๆ แดงๆ ปื้นใหญ่ เป็นภาพสุดจะสะเทือนขวัญจริงแท้

ความจริงนั้นซั่งชิงหัวเองก็กลัวมาก เมื่อครูที่ก่อคดีไปก็เพราะความสะใจชั่ววูบ หลังจากลงมือไปแล้วจึงค่อยกลัวว่าเดี๋ยวคงได้โดนจับส่งเข้าเมรุเผาแน่ ยิ่งตอนที่ใบหน้าของโม่เป่ยจวินกลับคืนสู่สภาพปกติ สีหน้านั้น ช่าง.ช่าง….เขาเห็นแล้วก็ผวาเฮือกรีบตบๆ เสื้อผ้าให้เรียบร้อย เตรียมออกวิ่งทันที หลังจากวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงโม่เป่ยจวินดังขึ้นจากเบื้องหลังว่า “หากยังต้องการขาอยู่ก็อย่าขยับ”

ซั่งชิงหัวหยุดฟังคำสั่งโดยอัตโนมัติ

เขาไม่กล้าหันกลับไป กล่าวว่า “ต้าหวาง ข้าไปจริงๆ แล้ว”

โม่เป่ยจวินกล่าวว่า “หุบปาก กลับมา”

ซั่งชิงหัวพูดโดยไม่สนใจว่าเขาจะฟังหรือไม่ “ถึงท่านจะโกรธอย่างไร ก็อย่าได้มาตามหาข้า ข้ากลับไปคราวนี้ ต่อให้ท่านเก่งแค่ไหนก็ไม่มีวันเจอแน่นอน ดังนั้นก็อย่าตามให้เปลืองแรงเปล่าเลย เท่านี้ละนะต้าหวาง ลาก่อน”

โม่เป่ยจวินแทบจะคำรามลั่น “กล้าไปดีนักก็อย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีกก็แล้วกัน!”

ซั่งชิงหัวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เดินไปได้สองก้าว เขาก็กล่าวเสริมอีกประโยคว่า “ได้พบท่าน ข้าดีใจมาก จริงๆ นะ ท่านหล่อกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย”

เวลานี้เขามีความสุขมากจริงๆ หน้าบานเป็นจานเชิงแบบเดียวกับตอนที่เขียนบรรยายตัวละครนี้ออกมาเป็นครั้งแรกไม่มีผิด

เขาดันมีความรู้สึกต่อตัวละครที่ตัวเองเขียนขึ้นมา กลับมาคิดดู มันก็น่าอายจริงๆ แต่อีกเดี๋ยวก็ต้องจากกันในไม่ช้า ความน่าอายก็เป็นเรื่องชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ที่ซั่งชิงหัวไม่เข้าใจคือ แล้วที่บอกว่า ‘ต้องจากกันในไม่ช้า’ แต่หลังจากที่ระบบมาประกาศเรื่อง ‘ไฟล์แนบสำหรับกลับสู่เมือง’ ครั้งนั้นก็เดือนกว่าแล้ว ทำไมเขาถึงยังอยู่ใน ‘เทพมารอหังการ’ อย่างว่างเปล่าไม่มีอะไรจะทำอยู่ล่ะ

แต่ละครั้งที่เขาจิ้มเปิดระบบ แล้วมองดูปุ่มสีเขียวกับแดงที่เขียนว่า [ตกลง] [คราวหน้าค่อยว่ากัน] เขาจะอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจากนั้นก็จะกดปุ่มทางขวา แล้วกดปิดหน้าต่างสนทนาไป

คราวหน้าแล้วคราวหน้าอีก คราวหน้ามากี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้

สำหรับเรื่องนี้ซั่งชิงหัวโทษว่าเป็นความผิดของโรคชอบเลื่อน โรคชอบเลื่อนนี่มันตัวดีเลย

ช่วงนี้เขายังไม่กล้ากลับชางฉยงชานเพราะไม่รู้ว่าโม่เป่ยจวินจะโกรธจนขึ้นอันติ้งเฟิงไปสกัดจับเขาหรือไม่ แต่เงินเก็บสะสมของเขาครึ่งหนึ่งเก็บไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งบนอันติ้งเฟิง อีกครึ่งเก็บไว้ที่พำนักแดนเหนือของโม่เป่ยจวิน ทำให้ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ แม้ซั่งชิงหัวจะดูเหมือนปลอดโปร่งเป็นอิสระ แต่ความจริงแล้วต้องบอกว่ากินอยู่อย่างอดๆ อยากๆ นอนกลางดินกินกลางทรายเสียมากกว่า หากมิใช่เพราะว่าพอจะมีพลังทิพย์ติดตัวอยู่นิดหน่อย ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนจรจัดทั่วไปเลย

หลังจากระเหเร่ร่อนมาได้หนึ่งเดือน ก็มีเหตุไม่คาดฝันให้ต้องไปเจอะเอาศิษย์อาจารย์คู่หนึ่งที่อยู่ระหว่างท่องเที่ยวชมนกชมไม้ไปทั่วหล้าอย่างอิสระเข้า

ตอนที่ซั่งชิงหัวจดจำออกว่าใครเป็นใคร เขาก็ต้องขยี้ตาตัวเองอย่างอดไม่อยู่ เขาต้องใช้เวลาประมาณครึ่งนาทีถึงค่อยมั่นใจว่าหนุ่มน้อยชุดเขียวที่แบกคันเบ็ดตกปลาและหิ้วข้องใส่ปลาไปด้วยแต่ก็ยังคงดูองอาจสง่างามคือลั่วปิงเหอ และใช้เวลาอีกครึ่งนาทีถึงค่อยมั่นใจว่าชายหนุ่มรูปหล่อผู้มีกลิ่นอายเซียนไปทั้งตัว ถึงจะหิ้วกล่องอาหารไปส่งให้ลั่วปิงเหออยู่ก็ยังคงเด็ดสุดใจขาดดิ้นก็คือเจ้ายอดเขาเสิ่น ท่านเสิ่นเซียนซือหรือเสิ่นชิงชิวนั่นเอง

ระหว่างที่พวกนายเล่นสนุกเพลิดเพลินกับชีวิตที่หวนคืนสู่ธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพรอยู่ที่นี่ ก็ทิ้งโม่เป่ยจวินไว้ที่ภพมาร ทำให้ฉันต้องไปกับเขาจนอยู่ในสภาพสะบักสะบอมสุดๆ!

แต่ซั่งชิงหัวนั้นถึงจะด่าในใจก็ส่วนด่า แต่ไม่ว่ายังไง พอมาเห็นสองคนนี้เข้าก็ดีใจมากอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาไม่ได้กินอิ่มท้องมาหลายวันแล้ว อย่าด่าเขาเลยนะที่เป็นผู้ฝึกวิชาเชียนประสาอะไรแต่กลับยังมัวนึกสนว่าจะได้กินอิ่มไหม คนที่ฟอรั่มรีวิวหนังสือด่าเขามาพอแล้ว เกิดเป็นคนแต่ดันไม่กินข้าว แล้วมันจะมีอะไรให้อภิรมย์ล่ะ แถมเขายังไม่ใช่พวกขู่สิงเฟิงเสียหน่อย (ยอดเขาบำเพ็ญทุกรกิริยา) ไม่สนใจจะขี้อะไรนั้นหรอกนะ

อยู่ๆ ถูกคนมาขัดจังหวะชีวิตชนบทอันแสนสุขสงบ แน่นอนว่าย่อมจะโดนลั่วปิงเหอมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ ถึงแม้จะเห็นแก่หน้าเสิ่นชิงชิวเลยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่หลังจากโอภาปราศรัยกันสองสามคำ ตอนเสิ่นชิงชิวบอกให้เขาเข้าไปนั่งในบ้านหน้าปิงเกอก็ทะมึนขึ้นมาอยู่ดี

พวกเขาสองคนสร้างกระท่อมไม้ไผ่หลังน้อยกลางป่าสวยน้ำใสเสียน่าอยู่ซั่งชิงหัวยิ่งนั่งก็ยิ่งรู้สึกว่าสองคนนี้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขจริงๆ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย กล่าวว่า “บ้านนี้ไม่เลวเลย”

เสิ่นชิงชิวโบกพัดด้ามจิ้วกล่าวว่า “นายก็ไม่คิดเล่าว่าใครสร้าง จะเลวได้ไง”

ซั่งชิงหัวกล่าวอย่างละอายว่า “ชีวิตของพวกคุณสองคนสุขสบายกว่าผมมากเลย ไม่ทราบว่าพอจะอาศัยใบบุญกวาซยงเสพสุขบ้างชั่วครู่ชั่วยามได้หรือไม่”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “แย่ตรงที่นายมาจังหวะไม่ดีเลยนี่สิ เรากำลังจะกินข้าวกันพอดีเลย”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “ที่ไหนกันๆ มาเร็วไม่สู้มาให้พอดีเวลา ผมว่าผมมาได้จังหวะดีเลยเชียวล่ะ ขอดูหน่อยเถอะว่าอาหารการกินของพวกคุณเป็นยังไง”

พูดจบก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปยังประตูห้องที่คาดว่าจะเป็นห้องครัว แล้วเลิกม่านขึ้น

ลั่วปิงเหอยามนี้สวมชุดสีดำเนื้อเบาสบายที่สะดวกต่อการเคลื่อนไหว

เขาถกแขนเสื้อขึ้นสูง สีหน้าตั้งอกตั้งใจ ไม่พูดไม่จา กำลัง…เอ่อ….นวดแป้ง

บนใบหน้าและที่ขนตามีผงแป้งสีขาวติดอยู่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความตั้งอกตั้งใจและเอาจริงนั้น ให้ความรู้สึกราวกับว่าสิ่งที่เขานวดกลับไปกลับมาในมือมิใช่ก้อนแป้ง หากแต่เป็นม้วนกระดาษบรรจุแผนการอันยิ่งใหญ่ที่จะรวบใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียว

ม่ายนะ—ม่ายยยยยยย

ซั่งชิงหัวใจสลาย

ปิงเกอพระเอกนิยายฮาเร็มผู้ห้าวหาญองอาจสยบไปทั่วหล้าที่เขาสร้างขึ้นมานั้น

กำลังนวดแป้ง!

ยืดเส้นบะหมี่!

หมี่แล้วก็หมี่ๆๆๆๆ (ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ)

ช่างเป็นความน่าหวาดสะพรึงสุดจะบรรยายจริงๆ

ซั่งชิงหัวถอยหลังกลับมาเงียบๆ เขานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะ ยื่นมือออกไปคิดจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มแก้เสียขวัญ แต่ถูกเสิ่นชิงชิวคว้ากลับไป “ของฉัน”

ซั่งชิงหัวยังหวาดผวาไม่หาย “บ้านคุณมีถ้วยชาอีกใบไหม ให้ผมใช้จะเป็นไรไป”

เสิ่นชิงชิวชี้ไปที่ห้องครัว “นายก็รู้ว่าไม่มีถ้วยอีกใบอยู่แล้ว ดังนั้นมันก็เป็นถ้วยของเขาด้วยเหมือนกัน”

“…”

“นายกล้าใช้ไหมล่ะ กล้าใช้ฉันก็เอาให้”

มือของซั่งชิงหัวเปลี่ยนจากคว้าเป็นผลัก “ท่านใช้เองเถอะขอรับ กระผมมันไม่มีวาสนาพอ”

ปิงเกอยังคงทำอาหารต่อ คนทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง

หลังจากฟังเขาถ่ายทอดเหตุการณ์พลิกผันที่ปราสาทน้ำแข็งของตระกูลโม่เป่ยจบ เสิ่นชิงชิวก็แสดงความกังขา “จริงรึ แค่นี้เองน่ะ?”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้ผมจะโกหกให้ได้อะไรขึ้นมา แล้วที่บอกว่า แค่นี้เอง มันคืออะไร เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับศักดิ์ศรีของผมนะ ผมก็ต้องทนอยู่ต่อไม่ไหวอยู่แล้ว”

“มันก็จริงของนาย” เสิ่นชิงชิวคิดๆ ก่อนจะกล่าวว่า “แต่นายดูไม่ใช่เป็นคนแบบนี้เลยนะนี่”

“คนแบบไหนกัน”

เสิ่นชิงชิวกล่าวหน้าระรื่น “ก็คนที่ใส่ใจเรื่องศักดิ์ศรีน่ะสิ”

ด้วยความมุ่งมั่น ความหนาของหนังหน้า และความแกร่งของพลังสวิตเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีไม่น่าจะโดนโม่เป่ยจวินซ้อมยกเดียวก็หนีแล้วหรอก ไม่ว่ายังไงก็ทนมาได้ตั้งหลายปี ไม่น่าจะเปลี่ยนมาเป็นคนบอบบางกระทบกระเทือนง่าย เสียใจราวกับสูญวิญญาณแบบนี้นี่นา

ซั่งชิงหัวกล่าวกระมิดกระเมี้ยน “กวาซยง ผมก็แค่ยอมสละศีลธรรมจรรยาบ้าง เพื่อขอโหวตขอทิป แล้วพอดีมาเป็นเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงเท่านั้น แต่คุณมาดูถูกดูหมิ่นผมแบบนี้ คุณทำไม่ถูกนะ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เหตุผลสองข้อที่นายยกมามันยังไม่มีน้ำหนักพอให้ฉันดูถูกดูหมิ่นนายอีกรึไง”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “โอย ใจดีกับผมสักนิด อ่อนโยนสักหน่อยจะได้ไหม นี่ กวาชยง คุณว่าตกลงผมควรจะกลับโลกปัจจุบันเมื่อไหร่ดี”

เดินชิงชิวกล่าวว่า “นายอยากกลับไปจริงน่ะ? ชักว่าว (ต่าเฟยจี) บ่อยนี่มันทำให้สายตาเสื่อมได้จริงๆ นะนี่ เลยมองปัญหาไม่ออกเสียแล้ว ตื่นซะทีเถอะนายก็แค่รอใครบางคนตามมาขอโทษนายแล้วจากนั้นก็พานายกลับไปซ้อมเบาๆ วันละสามเวลาต่อเท่านั้นเอง”

ยังเมาท์กันไม่จบ ก็ได้เวลาอาหาร ลั่วปิงเหอถือชามบะหมี่ออกมาสองใบ

เส้นบะหมี่สีขาวนวล น้ำซุปหอมเข้มข้น โรยต้นหอมเขียวซอยบาง เนื้อหมูเคี่ยวจนนุ่มได้ที่หั่นวางเรียงอย่างสวยงาม หน้าตาน่ากินสุดๆ ทว่าซั่งชิงหัวไม่อาจยื่นอุ้งมือไปขอส่วนบุญได้ ไม่มีความจำเป็นที่ปิงเกอจะต้องพูดออกมาอย่างชัดเจน แค่ใช้สายตาที่เหมือนจะไม่ตั้งใจมองมาปราดเดียว ซั่งชิงหัวก็รู้ทันทีว่าไม่มีส่วนแบ่งของเขา

เสิ่นชิงชิวถอนใจก่อนจะกล่าวต่อ “ถึงได้บอกไงล่ะว่านายมาจังหวะไม่ดีเอาเสียเลย”

ยังไงเสีย อาหารฝีมือปิงเกอก็ไม่ใช่ของที่ทุกคนจะคู่ควรได้กิน ซั่งชิงหัวไม่กล่าวอะไรอีก เพียงหลบไปนั่งที่มุมโต๊ะจ้องมองสองคนตรงหน้าที่แจกตะเกียบกินบะหมี่กันตาปริบๆ

ในที่สุด เสิ่นชิงชิวก็ทนดูต่อไปไม่ไหว กลั้นหัวเราะ คืบเนื้อชิ้นหนึ่งใส่ลงไปในชามของลั่วปิงเหอกล่าวแสดงความเมตตา “แล้วไปเถอะ หยุดแกล้งเขาได้แล้ว อาจารย์อาของเจ้าช่วงนี้น่าสงสารพอแล้ว อย่าแกล้งเขาอีกเลย”

ลั่วปิงเหอเอาเนื้อชิ้นนั้นเข้าปาก กล่าวโดยไม่เงยหน้าว่า “ในหม้อยังมีอีก”

ซั่งชิงหัวคว้าตะหลิวเดินลั๊ลลาออกไปทันที

เขาสูดบะหมี่น้ำตาคลอ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่า ในโลกใบนี้ สุดท้ายแล้วคนที่พึ่งพาได้มากที่สุดก็ยังคงเป็นเจวี่ยซื่อหวงกวาคนบ้านเดียวกันอยู่ดี

ได้กินบะหมี่อร่อยเหาะไร้เทียมทานฟรีมื้อหนึ่ง ซั่งชิงหัวก็ดีใจเป็นล้นพ้น ไม่คิดจะอยู่ค้างคืนแม้แต่น้อย

จะบ้าเหรอ เขาไม่ได้อยากแอบฟังเสียงปิงเกอซะหน่อย คุณภาพการนอนจะรับประกันได้หรือไม่ก็ประเด็นหนึ่งละ วันรุ่งขึ้นปิงเกอจะตัดหูสองข้างของเขาลงมาใส่บะหมี่หรือไม่ก็อีกประเด็นหนึ่ง

มองเสิ่นชิงชิวใช้ชีวิตราวกับเทพเซียนแล้วหันมามองตัวเองบ้างว่าใช้ชีวิตอย่างไร คนเรายิ่งเอามาเทียบกันยิ่งน่าโมโห ตลกร้ายไปหน่อยไหม เห็นๆ อยู่ว่าเขาเป็นนักเขียนเป็นคามิซามะ*ผู้สร้างโลกใบนี้ ช่วยดีต่อเขาหน่อยไม่ได้รึไงสนใจห่วงใยนักเขียนกันบ้าง! ปกป้องนักเขียนเป็นหน้าที่ของทุกคนนะ!

(*คามิซามะ คือ คำมาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่าเทพเจ้า)

ซั่งชิงหัวอาลัยอาวรณ์รสชาติแสนอร่อยของบะหมี่ชามแรกและชามเดียวที่ลูกชายทำให้กินพลางเดินใช้รากหญ้าแคะฟันไปตามทางสายน้อยในภูเขา

เดินๆ อยู่ ฝ่าเท้าก็ลื่นพรืด ข้างทางเป็นหุบเขา กระบี่ที่น่าสงสารเล่มนั้นของซั่งชิงหัวก็ไม่รู้เอาไปโยนทิ้งที่ไหนเสียนานแล้ว หากร่วงลงไปก็บินขึ้นมาไม่ได้แน่เขาก่นด่าตัวเอง

เดินยังไงของแกให้ลื่นได้ แกไม่ใช่นางเอกการ์ตูนน่ารักๆ ที่ไปไหนมาไหนก็พกสกิลสะดุดล้มบนทางเรียบติดตัวไปด้วยนะ

เขานั่งมองพื้น ก็ไม่มีเปลือกกล้วยหรือว่ารากไม้โผล่มาเสียหน่อย มีแต่แอ่งน้ำเล็กๆ หย่อมหนึ่ง

แต่แอ่งน้ำแอ่งนี้ จับตัวเป็นน้ำแข็ง ส่วนพงหญ้าต่ำเตี้ยรอบด้าน เริ่มมีน้ำค้างแข็งจับบางๆ

ซั่งชิงหัวทั้งกลิ้งทั้งคลานปราดไปยังผนังหินที่ใกล้ที่สุด เอาหลังยันกับผนังหินเพื่อให้รู้สึกปลอดภัยไว้ก่อน

เดิมทีเขานึกว่า ที่ตนเองเตะถ่วงไม่ยอมกลับไป รอให้โม่เป่ยจวินเป็นฝ่ายมาตามหาเขาเจอเองนับเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าที่สุด แต่ตอนที่ใครบางคนเดินออกมาจากหลังเถาวัลย์ระย้าย้อยตรงโขดหิน เขาถึงค่อยพบว่าความจริงมันยิ่งเลวร้ายกว่านั้นอีก

หลิ่นกวงจวินกล่าวว่า “โอ้โฮ ดูสิ ข้ามาเจอเอาใครเข้า”

ซั่งชิงหัวหัวเราะแห้งๆ “นั่นสิ ใครน้อ”

หลินกวงจวินตบกระหม่อมเขา กล่าวว่า “โม่เป่ยเขาเที่ยวตามหาเจ้าเสียจนจะพลิกแผ่นดินแดนเหนืออยู่แล้ว เจ้าก็หลบเก่งเหมือนกันนะ”

“จวินซั่งล้อเล่นแล้ว ข้าหลบที่ไหนกัน…”

“งั้นรึ ข้าเองก็ประหลาดใจมีอะไรให้ต้องหลบกัน คราวก่อนที่ปราสาทน้ำแข็ง เจ้าสร้างความดีความชอบเอาไว้ใหญ่หลวงถึงเพียงนั้น โม่เป่ยมีแต่จะตบรางวัลเจ้าสิไม่ว่า แล้วเจ้าจะต้องหนีมาจนถึงชนบทอันเปลี่ยวร้างให้ลำบากทำไม”

“ที่ไหนกันๆ” ซั่งชิงหัวโบกไม้โบกมือ “ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย คราวก่อนล้วนเป็นโม่เป่ยจวินอาศัยความสามารถของตัวเองทั้งนั้น…”

เขาบอกปัดไม่รับความดีความชอบก็เพราะกลัวว่าที่หลิ่นกวงจวินต้องถอยไปด้วยความพ่ายแพ้ที่ปราสาทน้ำแข็งคราวก่อน จะเอามาจดบัญชีกับตนเต็มๆ แต่พอได้ฟังประโยคนี้ หลิ่นกวงจวินกลับหน้าเปลี่ยนสีทันที กล่าวเสียงกระด้างว่า “ความหมายของเจ้าก็คือ ต่อให้ไม่มีสุนัขรับใช้จากชางฉยงซานที่กลับกลอกต่ำช้าไร้ยางอายเช่นเจ้าโผล่มาทำลายแผนการข้ากลางคัน อาศัยเจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นคนเดียวก็สามารถโค่นข้าได้หรือ?”

ยอมรับก็ผิด ปฏิเสธก็ผิด ซั่งชิงหัวโอดครวญ “จะเป็นไปได้อย่างไร ที่โม่เป่ยจวินเขาเอาชนะท่านได้ แค่อาศัยว่าลอบโจมตีเท่านั้นเองขอรับ”

หลิ่นกวงจวิน “นี่เจ้าประชดข้ารึ”

ซั่งชิงหัว “…”

พอมาคิดดู เออ ใช่ คนที่ลอบโจมตีก่อนคือหลิ่นกวงจวินนี่หว่า จะตบตูดม้า* เอาใจซะหน่อยดันไปตบถูกขาม้าให้ม้ามันดีดเอาซะนี่ จะพูดเอาใจเลยกลายเป็นพูดแทงใจซะแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ผิดอยู่วันยังค่ำ ซั่งชิงหัวตีหน้ายิ้มแหยประจบประแจงคนมาสิบกว่าปี เป็นครั้งแรกที่เจอะเอาตัวละครที่รับมือยากขนาดนี้

(ตบตูดม้า เป็นสำนวน หมายถึงประจบ)

เขาหุบปากทำหน้าเศร้า

หลินกวงจวินหัวเราะหยัน “เจ้าเด็กโม่เป่ยนั้นจะต้องคิดไม่ถึงเด็ดขาดว่า คนที่เขาทุ่มเทกำลังเที่ยวตามหาสุดชีวิตกลับมาถูกข้าเจอเข้าง่ายๆ เช่นนี้เอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องใช้ประโยชน์จากเจ้าเสียหน่อยแล้ว”

ซั่งชิงหัวรีบกล่าว “จวินซั่ง หากท่านคิดจะจับตัวข้าเพื่อเอาไปข่มขู่โม่เป่ยจวินเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยขอรับ ข้าจะบอกความจริงให้ก็ได้ว่าทำไมข้าต้องหนีมา ความจริงแล้วคราวก่อนข้าอดรนทนไม่ไหว ฉวยโอกาสที่เขายังขยับตัวไม่ได้…ทุบตีเขายกหนึ่ง…ท่านก็รู้จักนิสัยปีศาจหน้าตายอย่างเขาดีมีโอกาสเช่นนี้ใครจะไม่อยากทุบตีเขาสักตั้งใช่ไหมเล่า ทุบตีเสร็จก็ไม่รู้จะทำยังไง ข้ากลัวเขาจะเอาคืน ก็เลยหนี เขาเที่ยวตามหาข้าไปทั่ว ก็คงหมายจะจับ-hากลับไปทุบตีเอาคืนนั้นแหละ ตอนนี้ในสายตาเขาข้าไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างมากก็เอามาใช้เป็นกระสอบทรายให้ซ้อมมือกับเอาไปเป็นข้ารับใช้เท่านั้นเอง

หลิ่นกวงจวินเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างรำคาญว่า “เจ้าพูดมากมายเช่นนี้กับข้าทำไม ข้าดูเหมือนมารที่ทำเรื่องต่ำช้าพรรค์นั้น”

มันก็พูดยากนา ที่นายลอบโจมตีโม่เป่ยจวินมันก็ไม่ใช่เรื่องต่ำช้าหรอกรึ

ซั่งชิงหัวกล่าวอย่างซื่อสัตย์จริงใจว่า “ไม่เหมือนขอรับ”

หลิ่นกวงจวิน “เช่นนั้นข้าดูเหมือนมารที่มีน้ำอดน้ำทนปานนั้นหรือไม่”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “อันนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว เช่นนั้นจวินซั่งคิดจะใช้ประโยชน์จากข้าอย่างไรหรือขอรับ”

“ใช้อย่างไรน่ะรึ” หลิ่นกวงจวินหัวเราะหึๆ “ฆ่าเจ้าระบายโทสะไงเล่า แค่นี้ก็นึกไม่ออกรึไง”

“…” ซั่งชิงหัวเซ่อไปพักหนึ่งก่อนกล่าวว่า “อย่าเลย เสียของเปล่าๆ นาจวินซั่งจับข้าไปข่มขู่โม่เป่ยจวินก็ได้ ฆ่าเลยจะน่าเสียดายมากนะขอรับ”

หลิ่นกวงจวินกล่าวว่า “ ‘ตอนนี้ในสายตาเขาข้าไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างมากก็เอามาใช้เป็นกระสอบทรายให้ซ้อมมือกับเอาไปเป็นข้ารับใช้เท่านั้นเอง’ ประโยคนี้ใครเป็นคนพูดกันเล่า”

ซั่งชิงหัว “คนโบราณบอกไว้ว่า ความอ่อนน้อมถ่อนตนเป็นจริยธะ…”

คำว่าจริยธรรมอันดียังไม่ทันจะกล่าวให้จบพลันสะบัดมือโปรยออกไปทันที ตะโกนว่า “ดูนี่เสียก่อน เพลิงเสวียนหยาง!”

ลูกไฟนับไม่ถ้วนพุ่งวูบเข้ามาจากกลางอากาศ หลินกวงจวินตกตะลึงรีบเบี่ยงกายหลบทันที แต่ลูกไฟก็ร่วงตกลงพื้นแล้วดับวูบไปเดี๋ยวนั้น เห็นชัดว่ามิใช่เพลิงเสวียนหยางที่ลมพัดไม่ส่ายน้ำสาดไม่ดับ เจ้าซั่งชิงหัวมันหลอกเขาเท่านั้นเอง

หลิ่นกวงจวินเดือดดาลขึ้นมาในฉับพลัน แค้นใหม่แค้นเก่าทบกันเป็นทวีคูณ เลยดีดหยดน้ำค้างบนใบไม้ใกล้มือที่กำลังจะหยาดหยดลงมาให้กระเด็นไปใส่ร่างกายช่วงล่างของซั่งชิงหัว ซั่งชิงหัวรู้สึกแค่ว่าน่องข้างหนึ่งเย็นวาบกระสุนน้ำแข็งที่ก่อเกิดจากปราณมารลูกหนึ่งดีดทะลุผ่านขาเขาไปเป็นรู จะวิ่งก็วิ่งไม่ได้แล้ว เขาล้มตึงกับพื้นทันที

หลิ่นกวงจวินพุ่งกายเข้ามา ใช้เท้าเหยียบเบาๆ บนกระดูกสะบ้าของขาอีกข้างซั่งชิงหัวแล้วกล่าว “เจ้านี่มันเหมือนกับแมลงสาบโดยแท้ หลบหนีเก่งนัก ข้าจะกำจัดขาสองข้างของเจ้าเสีย ดูซิว่าเจ้าจะหนีอย่างไร”

ซั่งชิงหัวไม่เคยมีคุณธรรมจำพวกยอมหักไม่ยอมงออะไรนั้นอยู่แล้ว เขาแหกปากร้องอย่างขวัญหนีดีฝ่อ “ต้าหวาง—!!!”

เอ่ยถึงต้าหวาง ต้าหวางก็มาจริงๆ!

ร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มจู่ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตู้ม!

ปราณมารสองสายเข้าปะทะกัน หลิ่นกวงจวินกุมขาข้างที่กระดูกสะบ้าแตกละเอียดของตัวเอง ด่าปานคลุ้มคลั่ง “เจ้าเด็กนี่ จะต้องโผล่มาในเวลาเช่นนี้พอดีด้วยหรือ รออีกนิดก็ไม่ได้รึไง รอให้ข้าเหยียบต่ออีกหน่อยไม่ได้รึ!”

โม่เป่ยจวินถีบสะบ้าหัวเข่าอีกข้างหนึ่งของเขาแตก กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ไม่ได้”

หลิ่นกางจวินก็ใจเด็ดเหมือนกันหัวเข่าสองข้างแหลกเป็นจุณไปแล้วยังไม่ร้องครวญครางสักแอะ กลับด่าสาดเสียเทเสียราวกับคนเป็นฮิสทีเรีย “หน้าตาตายด้านเหมือนพ่อเจ้าจริงๆ เหมือนใครไม่เหมือนดันไปเหมือนเขา ไอ้ลูกเต่าซุกหัวอยู่ในกระดอง เขาแย่งของของข้า เจ้าก็แย่งข้าอีกคน ไม่ว่าอะไรล้วนแย่งไปจากข้า เขาชิงตายไปก่อนแล้ว ทำไมเจ้าไม่ตายๆ ตามไปซะ ไอ้… ”

โม่เป่ยจวินกล่าวว่า “ขืนด่าอีก ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนเขา”

ซั่งชิงหัวอ้าปากค้าง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าหลิ่นกวงจวินแค้นพี่ชายฝังลึกแต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะลึกล้ำขนาดเอามาด่ากราดอย่างไม่กลัวเสียมาดเช่นนี้

ท่ามกลางเสียงด่าอย่างเจ็บแค้นของหลิ่นกวงจวิน โม่เป่ยจวินหิ้วตัวเขาขึ้นมาแล้วจับเขาโยนลงไปในเหวเอาดื้อๆ ร่วงลงไปในก้นหุบเหวแบบนี้มนุษย์อาจจะตาย แต่อย่างไรมารก็ไม่ตายแน่ๆ ซั่งชิงหัวไม่คิดจะเตือนเขาว่าตัดหญ้าต้องถอนให้ถึงรากถึงโคนอย่างไรเสียนั้นก็คือท่านอาของเขาเอง อีกทั้งท่านพ่อของโม่เป่ยจวินก็ต้องเคยสั่งเสียเอาไว้ ไม่ว่าหลิ่นกวงจวินจะทำอย่างไร ก็ต้องยอมๆ ให้ผู้เป็นอาบ้าง อันที่จริง ซั่งชิงหัวไม่คิดจะไปเตือนอะไรอีกฝ่ายทั้งนั้น หากว่าสามารถปล่อยให้โม่เป่ยจวินลืมว่าตนอยู่ตรงนั้นด้วย ก็ยิ่งดีไปใหญ่

โม่เป่ยจวินเก็บสายตากลับมาจากก้นหุบเหว ตวาดว่า “หยุดนะ!”

ซั่งชิงหัวลากขาข้างที่ถูกยิงเป็นรูกำลังจะย่องหนีออกไปพอดี นึกไม่ถึงว่าจะถูกเขาตวาดหยุด เลยตัวแข็งทื่ออยู่กับที่เดี๋ยวนั้น

พวกโรคจิตลวนลามหญิงที่ถูกจับได้คาหนังคาเขายังไม่ดูใจฝ่อขนาดซั่งชิงหัวเลย ตอนได้ยินเสียงฝีเท้าโม่เป่ยจวินเดินเหยียบเศษน้ำแข็งเข้ามาเขาก็รีบยกมือขึ้นปิดหน้าทันที

วันนี้โม่เป่ยจวินดูเหมือนจะโมโหหนักเป็นพิเศษ น้ำเสียงไม่สูงส่งเย็นชาแม้แต่น้อย “เจ้าทำอะไรน่ะ”

ซั่งชิงหัวกล่าวแหยๆ “ท่านมิใช่บอกว่าอย่าได้มาให้ท่านเห็นหน้าอีกหรอกหรือ แต่มาเจอกันเข้าเสียก่อนแล้ว ข้าไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ เลยเอามือปิดหน้าไว้ก่อน”

โม่เป่ยจวินยกมือขึ้น ซั่งชิงหัวรีบเอามือกุมหัวตามสัญชาตญาณอันเคยชิน

“…”

โม่เป่ยจวินแกะมือทั้งสองข้างของเขาออกแล้วจับเหยียดตรงแนบลำตัว กล่าวอย่างเหลืออดว่า “หากข้าเห็นเจ้าทำแบบนี้อีก มือของเจ้าก็ไม่ต้องเก็บเอาไว้แล้ว”

ประโยคนี้เหมือนจะพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแฝงความเคียดแค้นอยู่หน่อยๆ ซั่งชิงหัวอยากเอามือกุมหัวอีกรอบอันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติ แต่เพื่อมือที่มีคุณานุปการใหญ่หลวงในการใช้เคาะคีย์บอร์ดคู่นี้ เลยต้องระงับใจไว้อย่างแรง

ในใจอึดอัดอย่างมากจนมือเริ่มสั่นเสียจนโม่เป่ยจวินกล่าวว่า “ข้าน่ากลัวปานนั้นเลยหรือ”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “ไม่เล้ยไม่เลย เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าเดี๋ยวต้าหวางจะต้องตีข้าสักสองตุบแน่ๆ เมื่อก่อนจะต่อยจะเตะก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่ตอนนี้ท่านสืบทอดตำแหน่งแล้ว พลังวัตรวันนี้สูงส่งกว่าในอดีตมากนัก ข้าเกรงว่าข้าจะรับไม่ไหวน่ะสิขอรับ”

โม่เป่ยจวินกล่าวว่า “หุบปาก ตามข้ามา”

ซั่งชิงหัวยอมเสี่ยงชีวิตแล้วเกาะติดผนังหินแน่นราวกับตุ๊กแก “ข้าไม่ไป ไม่ถูกสิ ข้าจะไป ข้าจะกลับบ้าน”

โม่เป่ยจวินกล่าวว่า “หากข้าให้เจ้าทุบตีข้ากลับคืนเจ้ายังจะไปหรือไม่”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “แทนที่จะอยู่ให้ท่านทุบตีวันละสามเวลา มิสู้…หะ..!”

ทุบตีกลับคืน?

ให้ตนทุบตีกลับคืนนะ

โม่เป่ยจวินจะยอมให้ตนทุบตีกลับคืน

โม่เป่ยจวินจะยอมให้ตนทุบตีกลับคืนเพื่อที่ตนจะได้ไม่ไปงั้นรึ

ซั่งชิงหัวช็อกสุดๆ เสียจนในสมองมีแถวตัวอักษรข้างบนวิ่งเรียงกันเป็นบันไดวนไม่รู้จบ

โม่เป่ยจวินเชิดคางขึ้น ยืนนิ่งไม่ขยับ แผ่รังสีเป็นข้อความว่า ‘เชิญทุบตีตามสบาย ข้าจะไม่ตีกลับ’ แต่ลอบชำเลืองมองปฏิกิริยาเขาด้วยหางตา

ผ่านไปครึ่งค่อนวันก็ยังไม่เห็นเขาลงมือเสียที โม่เป่ยจวินเหมือนจะดีใจขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ถึงแม้ยามดีใจจะดูเหมือนแค่เลิกคิ้วขึ้นมานิดเดียวจนแทบมองไม่เห็นก็ตาม

โม่เป่ยจวินกล่าวว่า “ไม่ลงมือหรือ หมดเวลา เจ้าอดตีแล้ว ไป”

เดี๋ยวสิ ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไม่ตี มีการจำกัดเวลาด้วย?

คิ้วของโม่เป่ยจวินเลิกขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นแววยินดีที่เก็บซ่อนไว้แล้วลากซั่งชิงหัวออกวิ่งทันที ซั่งชิงหัวร้องจ๊าก “โอ๊ยๆๆๆ เจ็บๆๆๆ ต้าหวาง ท่านดูข้าเสียก่อนสิ เห็นไหม ดูสิดู”

โม่เป่ยจวินก็หันมามองจริงๆ เสียด้วย จึงได้เห็นขาข้างหนึ่งของเขาที่กำลังเลือดอาบ

“…” เงียบไปสักพัก เขาก็คิดจะลองแบกซั่งชิงหัวพาดบ่าดู

ซั่งชิงหัวทำท่าเหมือนจะตายไปเดี๋ยวนั้น “ต้าหวางไว้ชีวิตด้วย ต้าหวางไว้ชีวิตด้วย ขืนท่านแบกข้าท่านี้ไปตลอดทาง ขาข้างนี้ของข้าคงได้พิการจริงๆ แล้ว”

โม่เป่ยจวินถามว่า “เช่นนั้นต้องทำอย่างไรเล่า”

ซั่งชิงหัวน้ำตาคลอหน่วย ลองกล่าวหยั่งเชิงว่า “หรือไม่…ก็หาหมอมาดูให้ข้าสักคนก่อน”

โม่เป่ยจวินทำเสียงจิ๊ หมุนกายออกเดินทันที

ลมเย็นเฉียบระลอกหนึ่งพัดผ่านไป ซั่งชิงหัวที่ถูกทิ้งให้อยู่ที่เดิมยืนงงเป็นไก่ตาแตก

นี่คือ… รังเกียจที่เขาเป็นตัวปัญหา?

สักพัก โม่เป่ยจวินก็กลับมา ทั้งยังลากกระบะเกวียนมาด้วยคันหนึ่ง ที่ไม่รู้ไปขโมยมาจากไหน ไก่ตาแตกจึงกลับมาเป็นไก่ปกติธรรมดาอีกครั้ง

ผู้นำหมายเลขสองของเผ่ามารผู้ยิ่งใหญ่ ผู้นำเผ่าน้ำแข็งของสกุลโม่เป่ยผู้สูงส่งเย็นชายอมลดศักดิ์ศรีลากเกวียนผุๆ ทั้งๆ ที่ขัดกับสไตล์เขาอย่างแรง ภาพนี้…สุดยอด

ซั่งชิงหัวหลุดขำพรืด

เขาเห็นเส้นเอ็นเขียวๆ ที่เต้นตุบๆ อยู่บนหน้าผากของโม่เป่ยจวิน ก็รีบร้องโอดโอย ร้องได้สองที โม่เป่ยจวินก็จับตัวเขาวางบนรถ

ถึงแม้จะเป็นเกวียนเก่าบุโรทั่ง นั่งแล้วง่อนแง่น ที่ไม่รู้ว่าแอบไปแกะออกมาจากม้าแก่ของชาวนาบ้านไหน ก่อนหน้านี้คงจะเอาไว้ขนของอย่างฟางข้าว ฟืนหรือถังเศษอาหารอะไรพวกนั้นแต่ซั่งชิงหัวกลับนั่งเชิดอย่างภูมิอกภูมิใจ โอ่อ่าผ่าเผยเป็นหนักหนา ใครไม่รู้มาเห็นเข้าคงนึกว่านี่เป็นขบวนแห่ของจอหงวนผู้ตรากตราขยันเล่าเรียนมาสิบกว่าปีกำลังนำขบวนปี่กลองแห่ไปรับเจ้าสาวที่ได้รับราชโองการโปรดเกล้าสมรสพระราชทานเป็นแน่

นับเป็นกงเกวียนกรรมเกวียนของแท้จริงๆ ครั้งแรกที่เขาเจอโม่เป่ยจวิน เขาก็ใช้เกวียนลากแบบนี้แหละ พาโม่เป่ยจวินที่หมดสติไปเปิดห้องพักแรม

มีบทกวีเป็นพยานด้วยนะเอ้อ

แม่น้ำฝั่งตะวันออกสามสิบปี แม่น้ำฝั่งตะวันตกสามสิบปี

เกวียนผลัดกันนั่ง ปีหน้าตาข้ามั่งก็แล้วกัน*

ฮ่าๆ

(คำกล่าวนี้ดัดแปลงจากคำพูดของซุนหงอคงตอนบุกขึ้นไปอาละวาดบนสวรรค์ โดยเปลี่ยนจากคำว่า

‘บัลลังก์ฮ่องเต้’ เป็น ‘เกวียน’ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะซุนหงอคงท้าพนันกับพระยูไล ว่าหากตนชนะพระ

ยูไลได้จะต้องเปลี่ยนให้ตนขึ้นไปนั่งบัลลังก์แทนเง็กเซียนฮ่องเต้ ส่วนสามสิบปีแม่น้ำตะวันออก สามสิบปี

แม่น้ำตะวันตก เป็นสำนวนหมายความว่า เรื่องราวต่างๆ นั้นพลิกผันไม่แน่นอน มีขึ้นมีลง)

ซั่งชิงหัวประกาศอย่างเพ้อๆ ราวกับลอยละล่องอยู่บนเมฆ “ข้าอยากกินบะหมี่”

บะหมี่ชามนั้นของปิงเกออร่อยมาก แต่มันน้อยเกินไป ลั่วปิงเหอเหลือให้เขาไม่เท่าไหร่เอง กินยังไม่สมใจอยากเลย

โม่เป่ยจวินกล่าวว่า “อือ”

ซั่งชิงหัวเน้นย้ำ “บะหมี่นะ”

โม่เป่ยจวินกล่าวตอบ “ได้”

ซั่งชิงหัวได้คืบจะเอาศอก “เจ้าทำนะ”

รถเข็นหยุดกึก โม่เป่ยจวินยืนนิ่งอยู่กับที่

ไอเย็นเฉียบอันไม่รู้ที่มาที่ไปพัดวูบเข้ามาซั่งชิงหัวผวาเฮือก หลับตาปี๋ทำหน้าเหยเก “ข้าทำ ข้าทำ แน่นอนว่าข้าเป็นคนทำ เมื่อกี้ปากข้ามันพล่อยไปเอง แหะ แหะ”

เฮ้อ ภาพฝันมักสวยงาม ความจริงช่างโหดร้าย

ผ่านไปครู่ใหญ่ เกวียนก็ค่อยๆ ขยับ โม่เป่ยจวินลากเกวียนอยู่ด้านหน้า กล่าวโดยไม่หันกลับมา “ข้าทำ”

……..

เขาว่าไงนะ เขาว่าเขาจะทำ? เขาเป็นใครกัน โม่เป่ยจวินนะ ทำอะไร…บะหมี่

โม่เป่ยจวินที่จะยอมให้เขาทุบตียอมทำบะหมี่ให้เขา วันนี้มันวันอะไรกันนี่ วันนี้ถูกหวยรางวัลใหญ่แล้ว!

ซั่งชิงหัวตัดสินใจแล้ว

เขาจะกลับไปทำอาชีพเก่า

เชียงเทียนต่าเฟยจี นามปากกานี้ จะออกสู่ยุทธจักรอีกครั้ง จะเอาให้สะเทือนเลื่อนลั่นเลย

แล้วเขียนอะไรดี ซั่งชิงหัวตบเข่าฉาด ได้ข่าวว่า ‘แค้นซุนซาน’ 81 เล่มจบของหลิ่วซูเหมียนฮวาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า อืม งั้นก็เขียนตามกระแสนิยมนี่แหละถึงแม้เขาจะเป็นแมนแท้อย่างที่สุดถึงที่สุด แต่มีคนอ่านก็มีตลาด มีตลาดเขาก็กล้าเขียนที่เซียงเทียนต่าเฟยจีเก่งกาจเป็นที่สุดคือจับกระแสตลาด อะไรดังก็เขียนเรื่องนั้น รับรองไม่มีทางพลาด

ก้าวแรกคือต้องพิถีพิถันตั้งชื่อเรื่องอย่างที่ฟังแล้วอยากอ่าน ตัวอย่างเช่น ‘บันทึกลับชิงจิ้งเฟิง’ ‘ศิษย์ข้าอย่าน่ารักขนาดนั้นจะได้ไหม’ ‘ซือจุนอ่อนหวานถึงเพียงนั้น’ อะไรแบบนี้ ค่อยๆ คิดก่อนภาษาไม่สวยเท่าหลิ่วซู่เหมียนฮวาไม่ใช่ปัญหา ที่เชี่ยงเทียนต่าเฟยจีขายแต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่สำนวนภาษาอยู่แล้ว อีกทั้งนักเขียนอย่างหลิ่วชูเหมียนฮวา ซานเซิ่งหมู่* (สามเจ้าแม่) อะไรนั่นยังชอบจับกลุ่มเล็กๆ ช่วยกันเขียน ท่านเฟยจีไม่ชอบ เขียนไปเขียนมาก็มีอยู่แต่เรื่องของเสิ่นชิงชิวกับลั่วปิงเหอสองคน โลกทัศน์คับแคบนัก ความจริงแล้ว ตามความเห็นของเขา น่าจะเอาให้โจ่งครึ่มกว่านี้ไปเลยก็ยังได้ ตัวอย่างเช่น ในเมื่อตั้งชื่อว่า ‘แค้นซุนซาน’ ทำไมจะต้องจำกัดอยู่แค่คู่เดียว หลิ่วซิงเกอหล่อเหลางดงามขนาดนี้ ไม่เอามาเขียนจะน่าเสียดายไปหน่อยไหม เยวี่ยชิงหยวนก็เป็นผู้ชายหน้าตาดีที่สุขุมสง่างามเหมือนกัน อาชีพการงานก็ประสบความสำเร็จแถมเป็นแฟมิลี่แมน ศิษย์น้องมู่ ศิษย์พี่เว่ย ไหนเลยจะไม่ใช่เทพบุตรในสายตาชาวโลก เขียนแนว NP มันไปเลย

ยังจะกลัวไม่มีคนอ่านอีก

สรุปแล้ว ขอแค่โจ๋งครึ่มพอ ลามกพอ(ขีดทิ้ง) ไร้ยางอายพอ(ขีดทิ้ง) ไม่ช้า เขาจะต้องกลายเป็นเจ้ายุทธจักรในวงการน้ำหมึกแน่นอน ต่อให้ไม่ทำสบู่แฮนด์เมดขาย ก็ร่ำรวยมีชื่อเสียงได้ 5555555

เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีนั่งกระดิกเท้า รถเข็นงอดแงดอยู่บนทางสายน้อยในภูเขาที่เป็นหลุมเป็นบ่อ พระอาทิตย์คล้อยต่ำ โม่เป่ยจวินลากรถให้ซั่งชิงหัวไปโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ใด

ถึงแม้จะมีจุดให้ด่ามากมาย อลเวงยุ่งเหยิง วุ่นวายสับสน ฝีมือการเขียนระดับประถม นักอ่านที่ซีเรียสหน่อยอาจจะทนไม่ไหว โยนหนังสือทิ้งแล้วด่า ‘เขียนห่าไรวะ’ แต่ท่านเซียงเทียนต่าเฟยจีก็เก่งกาจในการหาข้ออ้างให้ตนเองได้เสมอ เขาสามารถใช้คำว่า ‘ก็แค่’ ได้นับพัน มาปลอบใจตัวเอง ตัวอย่างเช่นก็แค่อ่านนิยายสักเรื่อง ก็เหมือนการใช้ชีวิตที่ต้องการแค่ความสนุกเบิกบานไง อย่าไปคร่ำเครียดขนาดนั้น

ก็แค่นิยายที่แต่งขึ้นมาเล่นๆ ทุกคนอย่าตั้งเป้าไว้สูง ใจกว้างกับฉันบ้าง!

ก็แค่นิยายฟินๆ ไร้สมองเล่มหนึ่ง ตื่นเถอะ คุณคิดว่าจะได้เจอกับอะไรเหรอ!

ก็แค่…

ก็แค่

เขาก็แค่ชอบเรื่องที่ตัวเองเขียนจริงๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version