Skip to content

Scumbag System 25

ตอนพิเศษ 4

โคลงกิ่งไผ่

จู๋จือหลางรู้มานานแล้วว่าตนมันเป็นสัตว์ประหลาดน่ารังเกียจ

ถึงแม้จะอยู่ในแดนใต้ที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด มันก็ยังเป็นตัวประหลาดในสัตว์ประหลาดอยู่ดี

ตอนนั้นมันไม่ได้ชื่อว่าจู๋จือหลาง มันไม่มีชื่อด้วยซ้ำ ว่ากันโดยทั่วไป พอเห็นครึ่งคนครึ่งงูเลื้อยอยู่กับพื้น ก็ไม่มีใครว่างพอจะไปตั้งชื่อให้มันแล้ว หรือต่อให้มีเวลาว่างมากพอ ชาวเผ่ามารแดนใต้ก็อยากจะประเคนสองเท้าใส่มัน หรือไม่ก็จับหางมันมัด หรือศึกษาดูว่าไอ้ตัวนี้มีจุดเจ็ดชุ่น*หรือไม่ ตีแล้วจะตายหรือไม่

(คนจีนมีความเชื่อว่า ตีงูต้องตีที่เจ็ดชุ่น หมายถึง ตำแหน่งที่อยู่เลยหัวไป 7 นิ้ว แล้วถึงจะสยบมันได้ ซึ่งอุปมาถึงการจะทำสิ่งใด ต้องจับจุดสำคัญให้ได้ จึงจะสำเร็จ)

กิจวัตรประจำวันของมันเรียบง่ายมาก เลื้อย หาน้ำกิน เลื้อย หาอาหาร เลื้อย กัดและสู้กับเผ่ามารที่มีร่างเป็นสัตว์ตัวอื่นๆ

ถึงแม้ท่วงท่าจะไม่สวยงาม แต่พอสู้กันขึ้นมา ก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย มิหนำซ้ำ ลำตัวมันยังนุ่มหยุ่นปราดเปรียว รูปร่างภายนอกอันน่ารังเกียจของมันก็มักจะทำให้ศัตรูเสียสมาธิระหว่างต่อสู้กันอยู่บ่อยครั้ง

ดังนั้น เจ้าสิ่งที่ทั้งอัปลักษณ์ทั้งรับมือยากนี้ จึงไม่เป็นที่ต้อนรับในแดนใต้เท่าใดนัก

แม้กระทั่งเทียนหลางจวิน เชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งมีการศึกษา ตอนที่เห็นมันครั้งแรก ยังต้องมองมันอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า “อัปลักษณ์”

เหล่าขุนพลเกราะดำที่ยืนทำหน้าเฉยชาอยู่ด้านหลังย่อมไม่พูดอะไรต่อเติม

เทียนหลางจวินกล่าวย้ำอย่างไม่รู้กำลังบ่นกับใคร “อัปลักษณ์เหลือเกิน”

ประโยคนี้เน้นย้ำด้วยน้ำเสียงหนักหน่วงเกินไปแล้ว มันทำตัวห่อ

กระนั้น กลับรู้สึกว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ของเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งท่านนี้เหมือจจะไม่มีความรู้สึกรังเกียจแฝงอยู่ในนั้นเลย มันเคยเห็นสายตารังเกียจเดียดฉันท์มานักต่อนัก หาได้เหมือนอย่างสายตาของท่านผู้นี้ไม่

เทียนหลางจวินยอบกายลงมานั่งชันเข่าข้างหนึ่งด้วยท่าทางสง่างาม จ้องมองมันแล้วถามว่า “เจ้าจำแม่เจ้าได้หรือไม่”

มันส่ายหัว

เทียนหลางจวินกล่าวต่อ “อ้อ ก็ดี หากข้ามีแม่แบบนี้บ้าง เกรงว่าคงอยากให้ตัวเองจำไม่ได้เหมือนกัน”

มันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แน่นอนว่า ต่อให้รู้ มันก็ไม่มีปัญญาจะพูดออกไป ได้แต่ส่งเสียงฟ่อๆเท่านั้น

เทียนหลางจวินหัวเราะ กล่าวว่า “ทว่า บางเรื่องยังสมควรต้องบอกเจ้า แม่ของเจ้าตายแล้ว ข้าเป็นพี่ชายของนาง ข้าทำตามที่นางขอไว้ก่อนตาย แวะมาดูๆเจ้าหน่อย”

เผ่ามารนั้นเย็นชานัก ขนาดการตายของผู้ที่มีสายเลือดใกล้ชิด ยังสามารถพูดสั้นๆประโยคเดียวด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ

มันไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ค่อยๆผงกหัวอย่างเชื่องช้าตามนิสัย

เทียนหลางจวินเหมือนจะหมดสนุก กล่าวเนือยๆว่า “เอาล่ะ คำขอก่อนตายของนางข้าก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดนี้คือลูกน้องในสังกัดของเจ้า จากนี้ไป พื้นที่แถบนี้ตกเป็นของเจ้าแล้ว”

‘ลูกน้อง’ ที่เขาชี้ ก็คือขุนพลเกราะดำทะมึนหลายร้อยตนที่ติดตามอยู่ด้านหลังเขานั่นเอง สิ่งเหล่านี้แม้จะไม่มีจิตใจ ไม่อาจนึกคิด แต่ก็ดีตรงที่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ไม่รู้จักเหนื่อย และไม่รู้จักล้มเลิก สามารถกลายเป็นกองกำลังอันกล้าแกร่งที่มีอานุภาพทำลายล้างได้ทุกสิ่ง แต่กลับถูกนำมาส่งมอบให้สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งงูตามใจชอบเช่นนี้เสียแล้ว

เขาลุกขึ้นยืน ตบๆฝุ่นที่ชายเสื้อซึ่งไม่ได้มีอยู่เสียหน่อยแล้วหมุนกายจากไป ไม่รู้อะไรมาดลใจ มันกระดืบตามไปอย่างรีๆรอๆ

เทียนหลางจวินเหลียวหน้ากลับมา ถามอย่างฉงนว่า “เจ้าตามข้ามาทำไม”

ชายร่างงูไม่กล้าขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า

เทียนหลางจวินเห็นดังนั้นก็ออกเดินต่อ

มันก็เริ่มเลื้อยอย่างเชื่องช้าตามหลังไปอีก

เทียนหลางจวินชะงักเท้า ถามอย่างแปลกใจ “เจ้าฟังที่ข้าพูดไม่เข้าใจหรือ”

เป็นเช่นนี้อยู่สองสามครั้ง เทียนหลางจวินเลยเลิกยุ่งกับมันเสียเลย เอามือไพล่หลังแล้วออกเดินต่อโดยไม่สนใจใดๆอีก

ชายร่างงู ก็ ‘ติดตาม’ เขาไปอย่างงุ่มง่าม

เทียนหลางจวินมีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา สายเลือดสูงส่ง ตำแหน่งมิใช่จะเป็นกันได้ง่ายๆ แน่นอนว่าย่อมมีศัตรูไม่น้อย ตลอดทางที่ติดตามเขามา มีพวกเศษสวะเข้ามาก่อเรื่องกวนใจนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าเทียนหลางจวินไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยเหลือ แต่มันกลับเอาตัวเข้าสู้อย่างไม่คิดชีวิต อุทิศกำลังรบอันน้อยนิดของตนให้อย่างเต็มที่

หลายครั้งเข้า เทียนหลางจวินก็ไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็นมันได้อีกต่อไป

เขามองชายร่างงูตรงหน้าที่ได้แผลเหวอะหวะไปทั้งตัว ออกความเห็นว่า ก็ยังอัปลักษณ์อยู่ดี”

ชายร่างงูหดร่างอย่างเสียใจ

เทียนหลางจวินหัวเราะอีกครั้ง “ดื้อด้านเสียด้วย นี่ไม่ค่อยจะน่ารักเท่าไหร่หรอกนะ”

ตามมาตลอดทางเสียนานขนาดนี้ สารพัดความยากลำบากและอุปสรรคนานัปการมันก็ไม่เคยยอมถอย แต่พอเจอความเห็นที่หาความนุ่มนวลไม่ได้นี้เข้า มันกลับเกิดความคิดอยากจะหมุนตัววิ่งหนี ไม่ซิ ต้องบอกว่าเลื้อยหนีไปเดี๋ยวนั้นต่างหาก

นึกไม่ถึงว่า ครู่ต่อมาเทียนหลางจวินใช้มือเปล่าลูบกระหม่อม ‘เขา’ ก่อนจะถอนใจกล่าวว่า “ทั้งอัปลักษณ์ทั้งดื้อด้าน ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว”

ไออุ่นๆ เย็นๆ แปลกประหลาดขุมหนึ่งแล่นไปตามอวัยวะแขนขาทั้ง 4 และกระดูกกระเดี้ยวทั่วร่างกาย

แต่มันมีแขนขาทั้ง 4 เสียที่ไหน

ทว่าไม่นานนัก ชายร่างงูก็พบว่า ร่างเดิมที่พิกลพิการของมันมีแขนขาซึ่งสมบูรณ์ครบถ้วนงอกออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แล้ว นิ้วมือทั้งสิบที่เมื่อก่อนเคยมองว่าช่างเป็นสิ่งประณีตงดงามแต่ไม่มีวันจะได้มา บัดนี้งอกอยู่บนมือที่เพิ่งได้มาใหม่ของ ‘เขา’ แล้ว

นี่คือร่างของมาณพน้อยผู้หนึ่ง อายุน่าจะราว 15-16 ผิวกายขาวสะอาดสะอ้าน รูปร่างสูงโปร่ง แข็งแรงสมบูรณ์ทุกประการ

เทียวหลางจวินเอามือออก ดวงตาดำขลับสะท้อนเงาร่างขาวผ่อง

เทียนหลางจวินเอามือเท้าคาง กล่าวว่า “ข้าว่าเช่นนี้ค่อยดูดีขึ้นมานิด เจ้ามีความเห็นอะไรหรือไม่”

เขาอ้าปาก อยากกล่าววาจา ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีร่างเป็นคนกับเขาบ้าง แต่ปากและลิ้นกลับไม่ฟังคำสั่งเสียนี่ พออ้าปากก็เปล่งเสียงอึกอักออกมาคำหนึ่ง ของเหลวอุ่นๆชิงกันขึ้นมาเอ่ออยู่ที่กระบอกตา

……………………………….

ถึงแม้จู๋จือหลางจะเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่า สิ่งที่จวินซั่งทำย่อมถูกต้องเสมอ แต่เขากลับลอบคิดในใจว่าสมองของจวินซั่งคงจะทำงานไม่ดีเท่าไหร่กระมัง

หลังจากได้รับอนุญาตเป็นนัยๆ ให้ติดตามอยู่ข้างกายเทียนหลางจวินได้ ผ่านไปเป็นนาย จู๋จือหลางก็ยังไม่มีชื่ออยู่ดี

เทียนหลางจวินสั่งการเรียกใช้ใครไม่บ่อยนัก ทั้งไม่มีความจำเป็นจะต้องเรียกเขาด้วยชื่อ ดังนั้นจึงอยู่กันไปแบเลอะเลือนเช่นนั้นมาหลายเดือน

อยู่มาวันหนึ่ง เทียนหลางจวินคิดจะไปหาหนังสือรวมบทกวีของภพมนุษย์เล่มหนึ่ง แต่รื้อค้นตามตู้ตามหีบจนแทบจะยกเทคว่ำแล้วก็ยังหาไม่เจอ จำต้องตามใครสักคนมาช่วย เลยนึกขึ้นมาได้ว่าที่มุมหนึ่งในห้องหนังสือยังมีหลานชายที่เหมือนอากาศธาตุของเขาอยู่คนหนึ่ง

แต่หลังจากส่งเสียง “นี่” กลับคิดไม่ออกว่าต้องเรียกเขาว่าอะไร เทียนหลางจวินนิ่วหน้าคิด ถามว่า “ข้าไม่เคยถามชื่อเจ้ามาก่อนใช่หรือไม่”

เขาตอบตามตรงว่า “จวินซั่ง บ่าวไม่มีชื่อขอรับ”

เทียนหลางจวินฉงน “ไฉนจึงไม่มีชื่อ ช่างประหลาดนัก เช่นนั้นข้าควรจะเรียกเจ้าอย่างไรดี”

เขาตอบว่า “จวินซั่งอยากเรียกอย่างไรก็เรียกเช่นนั้นขอรับ” พูดจบก็เดินไปยังหน้าชั้นวางหนังสือ หยิบเอารวมบทกวีที่เทียนหลางจวินอ่านจบแล้วยัดไว้ในชั้นส่งๆ ออกมาประคองส่งให้เขาด้วยสองมือ

เทียนหลางจวินพอใจมาก รับหนังสือรวมบทกวีไปพลางกล่าว “ไม่มีชื่อก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตั้งสักชื่อก็แล้วกัน” เขาก้มหน้าพลิกหนังสือเลือกคำที่เหมาะๆ กล่าวออกมาโดยไม่คิดอะไรว่า “เช่นนั้นก็ชื่อจู๋จือจวิน*เถอะ”

(จู๋จือ แปลว่า กิ่งไผ่ จวินเป็นคำต่อท้ายเรียกผู้มีศักดิ์สูง)

จู๋จือหลางตามีมองไปเห็นโคลงบทหนึ่งในหน้าหนังสือเข้า

หลิวเขียวครามริมธานน้ำเอื่อยไหล

ยินยอดชายครวญเพลงเสนาะหู

บูรพาแดดใสปัจฉิมฝนพรู

ฟ้าหรุบหรู่กลับยังฉ่ำฤทัย

โคลงกิ่งไผ่นี่นา (จู๋จือฉือ*) เขาส่ายหน้า

(จู๋จือฉือ แปลว่า โคลงกิ่งไผ่ เป็นเพลงพื้นบ้านชนิดหนึง ถ้อยคำเรียบง่าย มักใช้ภาษาถิ่น กฏเกณฑ์ในการใช้ฉันทลักษณ์ไม่เข้มงวด จึงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง)

เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ไม่ชอบหรือ” จากนั้นส่งหนังสือให้ “เลือกมากขนาดนี้ เช่นนั้นเจ้าก็เลือกเอาเองสักชื่อเถอะ”

เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กล่าวว่า “จวินซั่ง มีแต่ชนชั้นสูงถึงจะใช้ชื่อที่มีคำว่าจวินได้ขอรับ”

เทียนหลางจวินกล่าวว่า “อายุยังน้อย กลับช่างจุกจิกหยุมหยิมนัก เอาเถอะ เช่นนั้นก็ชื่อจู๋จือหลางแล้วกัน”

เขาทำอะไรมักไม่ใส่ใจ ให้ชีวิตเขาอย่างไม่ใส่ใจ ตั้งชื่อให้เขาอย่างไม่ใส่ใจ ให้ชื่อ ‘จู๋จือหลาง’ ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ณ ที่นี้เวลานี้ ก็ยังไม่เก็บมาใส่ใจ

แต่ต่อให้ไม่อินังขังขอบสักแค่ไหน ทำราวกับเด็กเล่นขายของสักแค่ไหน ชาตินี้ทั้งชาติเขาก็จะบุกน้ำลุยไฟเพื่อเทียนหลางจวิน ต่อให้ต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต

แต่หารู้ไม่ว่า เทียนหลางจวินเองก็นึกสงสัย หลานชายผู้นี้คงจะเป็นงูมานานหลายปีเกินไป ถึงได้โง่งมอยู่บ้าง

ไม่ยอมเรียกลุก กลับจะขอเรียกแต่จวินซั่ง ไม่ยอมไปเป็นเจ้าศักดินาปกครองแดนใต้ที่แสนจะสบายและมีอิสระ กลับจะขอตามมาวิ่งเต้นทำงานจิปาถะให้ ตั้งชื่อดีๆเพราะๆสมยศศักดิ์ให้ก็ไม่เอา กลับจะขอลดชั้นลงมาขั้นหนึ่ง

ออกจะโง่งมอยู่บ้างจริงๆ แต่สมองไม่ดีเป็นเรื่องที่ติดตัวไปทั้งชาติ ทั้งเป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้ เช่นนั้นก็ตามใจเขาเถอะ

………………………..

เทียนหลางจวินชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์

คงเพราะรู้สึกว่าเผ่ามารเป็นพวกที่เย็นชาน่าเบื่อ แต่กับมนุษย์ซึ่งต่างเผ่าพันธุ์กับเขานั้น เขามีความกระตือรือร้นจนเกือบจะเข้าขั้นพันลึกพิสดาร ทั้งยังจินตนาการไว้อย่างสวยงามจนเรียกได้ว่าออกจะเกินจริงด้วยซ้ำ

เมื่อใดก็ตามที่ออกไปข้างนอก ที่ๆไปบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นพื้นที่ชายแดน เมื่อผ่านป้ายปักเขตแดนมาแล้ว แวะแบบชั่วครู่ชั่วยามคือแวะจิบสุรา ฟังคนเล่านิทาน แวะแบบนานหน่อย ก็คือเดินทางท่องเที่ยวสักปีครึ่งปีถือเป็นเรื่องปกติ

เทียนหลางจวินคงจะไม่ชอบถูกติดสอยห้อยตาม ขุนพลเกราะดำหลายร้อยหลายพันนายจึงมักจะถูกส่งตัวไปยังที่ต่างๆเป็นประจำ แต่จู๋จือหลางนั้น 1 ไม่เซ้าซี้ไม่พูดมา 2 ไม่ห้ามโน่นห้ามนี่ เพียงคอยติดตามอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ อยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง บางครั้งคอยช่วยจ่ายเงิน คอยรับใช้โน่นนี่ อีกทั้งยังรู้อกรู้ใจเป็นอันดี เทียนหลางจวินเลยไม่รังเกียจเขา

แม้แต่เวลานัดพบกับแม่นางซู คนทั้งคู่ก็ไม่ถือสาที่เขาติดตามมาด้วย เป็นอันรู้กันโดยไม่ต้องบอกกล่าว พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ถือว่าจู๋จือหลางคืองูที่ไม่เข้าใจภาษารักของคน ต่างคนต่างอยู่ ทำเป็นมองไม่เห็นไป

มีเพียงครั้งเดียวที่เทียนหลางจวินไล่จู๋จือหลางออกไป มิหนำซ้ำยังใช้คำว่า ‘ไสหัวไป’ ด้วย นั่นถือเป็นคำที่หยาบที่สุดที่เคยออกจากปากจวินซั่งผู้ชื่นชอบความสุภาพและมีมารยาทเลยทีเดียว

นั่นคือที่บรรพตน้ำค้างขาว

……………………………….

ตอนเทียนหลางจวินกับซูซีเหยียนเจอกันครั้งแรกนั้น สถานการณ์เป็นอย่างไร จู๋จือหลางไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เพราะว่าตอนนั้นเขาต้องไปยืนเข้าแถวซื้อผลงานเล่มใหม่ของกวีคนดังตามคำขอของเทียนหลางจวิน

ตอนแรกเขามิได้แปลกใจอะไรนัก แต่นับจากนั้นมา เทียนหลางจวินก็มีท่าทีเช่นนี้อยู่พักใหญ่

ตอนเขาทำหน้าที่เป็นงูโดยสาร เทียนหลางจวินกล่าวอยู่บนหัวเขาว่า

“ข้าอ่านจากในหนังสือบทละครงิ้ว หญิงสาวของภพมนุษย์ล้วนอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับสายน้ำ ช่างเอากอกเอาใจ เก่งกาจสามารถ ยังหลงเข้าใจว่าแม่นางทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ข้าถูกหลอกเสียแฃ้ว จู๋จือหลางเอ๋ย พวกบทละครงิ้วน่ะ อ่านมากไม่ได้นะ”

คราวต่อมา จวินซั่งที่ลืมคำพูดของตัวเองที่ว่า ‘พวกบทละครงิ้วน่ะ อ่านมากไม่ได้นะ’ ไปเรียบร้อย ขณะกำลังอ่านอย่างออกรสก็พูดว่า

“ท่าทางของข้าดูเหมือนคนที่ทำอะไรไม่เป็นหรือไม่ เหมือนคนยากจนที่ไม่มีแม้กระทั่งค่าเดินทางกลับบ้านหรือไม่”

ขณะนั้นจู๋จือหลางกำลังซักชุดให้เขา เทียนหลางจวินยอบกายลงมาอย่างสง่างาม ยังคงกล่าวว่า

“จู๋จือหลาง หน้าตาข้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่หล่อหรอกหรือ ปกติแล้วพอสาวๆได้เห็นคนหน้าตาเช่นข้า ไม่ควรจะหลงใหลลอบมีใจให้ทันทีหรอกหรือ”

จู๋จือหลางสะบัดผ้าที่บิดแห้งแล้วขึ้นราวไม้ไผ่ ขานรับอย่างนอบน้อมพลางแอบคิดว่า เมื่อก่อนเขาก็เคยอ่านบทละครงิ้วสารพัดด้วยกันกับจวินซั่งมาไม่น้อย คนอื่นจะเป็นอย่างไรเขาไม่รู้ แต่จวินซั่งที่เป็นเช่นนี้ กลับดูเหมือนสาวน้อยวัย 16 ในหนังสือบทละครที่อยากมีความรักเลยเทียว

ดังนั้นเขาจึงอดสงสังไม่ได้

ในจินตนาการของจู๋จือหลาง หญิงสาวที่เดินทางตามลำพังเข้าๆออกๆเมืองอันไกลผู้ไกลคนที่มีแต่ปีศาจคอยก่อเรื่อง และขณะกำลังฟาดฟันปีศาจ ก็บอกให้จวินซั่งไปดีดฉินร้องเพลงไกลๆ พอฟาดฟันปีศาจเสร็จยังเอาเงิน 3 ตำลึงโยนให้บอกว่าเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน หญิงสาวเช่นนี้หากไม่ใช่เอวหนาบ่ากว้างดูหยาบกร้าน ก็ต้องดวงตาดุดันเป็นแน่

จนกระทั่งได้เห็นตัวการร้ายที่ทำให้เทียนหลางจวินต้องพิจารณาตัวเอง และมาคอยเคี่ยวกรำเขาอยู่หลายวัน จู๋จือหลางกลับพบว่า นางหาได้เป็นอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้ไม่

……………………………….

เทียนหลางจวินชอบท่องเที่ยงในภพมนุษย์ เที่ยวภพมนุษย์ต้องใช้จ่ายเงิน แต่เขาไม่เคยจำว่าต้องพกเงินติดตัวด้วย จู๋จือหลางจึงได้แต่ช่วยเขาจดจำ แต่การใช้เงินของเทียนหลางจวินไม่เคยรู้จักคำว่า ‘บันยะบันยัง’ นึกคึกขึ้นมาก็ถลุงทีเดียวเป็นพันๆตำลึงทอง

จู๋จือหลางจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่ เงินทองไหลออกราวกับสายน้ำเช่นนี้ ต่อให้แบกภูเขาทองทะเลเงินติดตัวมาด้วยก็ยากจะรับมือไหว ในที่สุดก็มีวันที่ถังแตกให้ต้องอับอายขายหน้าจนได้

ขณะที่ลูกค้าต่างถิ่นสองคนกำลังยืนทำท่าประดักประเดิดอยู่บนถนน หญิงสาวสวมชุดดำร่างสูงโปร่งสะพายกระบี่ไว้บนหลังผู้หนึ่งก็เดินผ่านไป

เทียนหลางจวินกล่าวว่า “หยุดก่อน”

ยามที่เดินเฉียดผ่านไป หญิงสาวนางนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากผุดรอยยิ้มขันจางๆ แล้วหยุดยืนให้จริงเสียด้วย

เทียนหลางจวินกล่าวต่อ “พบเห็นความไม่เป็นธรรม มิใช่สมควรจะชักดาบเข้าช่วยเหลือหรอกหรือ”

อีกฝ่ายตอบ “ชักดาบเข้าช่วยเหลือยังสามารถทำได้ แต่ควักกระเป๋าช่วยคงต้องขอปฏิเสธ คราวก่อนที่ให้ท่านยืมเงิน 3 ตำลึงเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน ยังมิได้ใช้คืนให้ข้าเลย”

เทียนหลางจวินถามว่า “มีเรื่องเช่นนั้นหรือ 3 ตำลึงเองนะ เอาเถิดขอเพียงเจ้าให้ข้ายืมเงินอีก 3 ตำลึง ข้าขายตัวให้เจ้า 3 วันเลย”

นางปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ดูท่านแล้วมือหิ้วของหนักไม่ได้ ไหล่แบกหามไม่ไหว ท่าทางทำงานไม่เป็น ซื้อท่านมามีประโยชน์อะไร”

จู๋จือหลางมองดูอยู่เป็นนาน กล่าวตรงๆว่า “จวินซั่ง ท่านผู้นี้…คงจะรังเกียจที่ท่านแพงไปขอรับ”

 

เทียนหลางจวินถูกคนเมินเสียแล้ว ไม่เป็นไร บางครั้งสาวใช้กับองครักษ์ประจำตัวก็แอบเมินหน้าหนีเขาอยู่บ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาร่ายโคลงออกมาอย่างเปี่ยมอารมณ์และน้ำเสียงเต็มพลัง แต่ไม่น่าจะถึงขนาดราคาลดลงมาเหลือ 3 ตำลึงก็ยังถูกเมินซิ

เทียนหลางจวินกล่าว “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงก็ได้ แม้กระทั่งหน้าตาข้าก็ยังไม่คุ้มราคา 3 ตำลึงหรอกหรือ”

อีกฝ่ายอึ้งไป มองดูหน้าเขาอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวยิ้มๆ “อืม พอคุ้มราคาอยู่จริงๆนั่นแหละ” นางกล่าวแฝงรอยยิ้มพลางสะบัดมือโยนเงินให้ 1 ตำลึงทอง

นับจากนั้นเป็นต้นมา ค่าใช้จ่ายของเทียนหลางจวินยามอยู่ในภพมนุษย์ก็เหมือนมหาอุทกภัยที่จ้องซัดโถมประตูเขื่อน ทำตามอำเภอใจอย่างน่าละอายเสียจนสุดจะทนดูไหว เขาหาเศรษฐีเป็นที่พึ่งได้แล้ว ขอเพียงจู๋จือหลางแบะก้นถุงใส่เงินที่โบ๋เบ๋ว่างเปล่าให้ดูด้วยสีหน้าเก้อกระดาก เขาก็จะวิ่งไปเคาะประตูบ้านของที่พึ่งท่านนั้นทันทีด้วยสีหน้าได้อกได้ใจ

จู๋จือหลางรู้สึกว่ามีตรงไหนสักแห่งไม่ปกติ เหมือนมีอะไรบางอย่างกลับตาลปัตรกัน

ทำไมซูซีเหยียนถึงได้เหมือนคุณชายผู้ร่ำรวยมีฐานะในหนังสือบทละครงิ้ว

ทำไมเทียนหลางจวินถึงได้เหมือนหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมและหนีออกจากบ้านมาอย่างไม่ประสีประสาต่อเรื่องราวใดๆในโลก

แล้วทำไมตนถึงได้เหมือนสาวใช้ประจำตัวผู้รอบคอบที่ทำงานจุกจิกและคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายคุณหนูอย่างนั้นเล่า

จู๋จือหลางได้ลองเตือนจวินซั่งถึงตำแหน่งที่ดูกลับตาลปัตรเช่นนี้ เพื่อที่จะได้กอบกู้ศักดิ์ศรีของตนเองในฐานะที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของเผ่ามาร แต่เทียนหลางจวินกลับมีความสุขกับความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งเลี้ยงดู อีกฝ่ายถูกเลี้ยงดูแบบนี้ ความกระตือรือร้นที่เมื่อก่อนเขามีให้กับมนุษย์ทั้งมวลโดยไม่ลืมหูลืมตา มาบัดนี้ทุ่มเทจนหมดสิ้นไปที่คนๆเดียว

ซูซีเหยียนเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึกแต่ก็วิเศษยอดเยี่ยมจนไม่อาจหาคำใดมาเปรียบได้

บางครั้ง นางจะพาพวกเขาไปเสาะหาของวิเศษหายาก ไปยังสถานที่สนุกน่าสนใจสารพัดแห่ง อย่างเช่น หนังสือต้องห้ามที่จู๋จือหลางไม่ว่าอย่างไรก็รวบรวมหามาได้ไม่ครบ เห็ดหลิงจือมหัศจรรย์ที่งอกอยู่ในถ้ำลับแห่งหนึ่ง ทะเลสาบน้ำค้างที่ใสแจ๋วราวแก้วผลึก นางคณิกาผู้มีฝีมือดีดผีผาเป็นเลิศแต่ไม่เป็นที่รู้จัก ยามหายหน้าไป 10 วัน ครึ่งเดือนก็ไม่เห็นร่องรอย ไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่เจอ

ไม่พูดพร่ำ ไม่ลุ่มหลง ไม่คิดถึง มีเป้าหมายของตัวเอง ไม่เข้ามามีส่วนร่วม

เพราะมีสายเลือดเผ่างูอยู่ครึ่งหนึ่ง จู๋จือหลางจึงมีสัญชาตญาณตามธรรมชาติของสัตว์ เขารู้สึกอยู่รางๆว่าการเข้ามาของคนผู้นี้เป็นเรื่องอันตรายมาก

ไม่อ้อนแอ้นยวนใจตามแบบพิมพ์นิยมของหญิงสาวเผ่ามาร หากแต่มุ่งมั่น ไม่วอกแวก ดูสุภาพมีมารยาท แต่ก็เพียง ‘ดูสุภาพ’ เท่านั้น จู๋จือหลางไม่กล้าพูดว่าหากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ตนจะสามารถเอาชนะนางได้หรือไม่

ภายใต้เปลือกนอกอันสุภาพคือความหยิ่งทะนงและเฉยชา ในหัวใจอันทะเยอทะยานซุกซ่อนแผนการเอาไว้ ในฐานะที่เป็นผู้มีอำนาจอันดับสองในวังฮ่วนฮวา นางจึงมีอำนาจสั่งการคนนับพัน และโลกของผู้ฝึกวิชาเซียนซึ่งมีวังฮ่วนฮวาและสำนักใหญ่อื่นๆอีกรวม 4 สำนักเป็นผู้นำนั้น ก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเผ่ามารมาแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน สำหรับพวกเขาแล้ว ซูซีเหยียนก็คือบุคคลอันตรายอย่างแท้จริง

จู๋จือหลางนำข่าวที่สืบได้ไปบอกเทียนหลางจวิน ทว่าเทียนหลางจวินหาได้สนใจสักนิดไม่

หากเขาหมกมุ่นกับสิ่งใดขึ้นมาก็จะทุ่มสุดตัวอย่างลืมเป็นลืมตาย หาใช่เพราะไม่รู้เส้นสนกลใน แต่เป็นเพราะไม่เคยนึกระแวงต่างหาก

ราคาที่ต้องจ่ายออกไปเพราะ ‘ไม่ระแวง’ ก็คือถูกสะกดไว้ใต้บรรพตน้ำค้างขาวโดยไม่เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดเวลาสิบกว่าปี ไม่มีโอกาสจะได้เงยหน้าอ้าปากอีกเลย

…………………………..

“ข้าอยากฆ่าคน”

ในสิบกว่าปีที่ผ่านมา เทียนหลางจวินจะกล่าวย้ำประโยคนี้มากที่สุด ทั้งที่เมื่อก่อน สิ่งที่เทียนหลางจวินชอบมากที่สุดก็คือคน เขาเลยไม่เคยฆ่าคน

เพราะไม่มีปราณมารอันแข็งแกร่งมาค้ำจุณการแปลงร่างคนของเขา จู๋จือหลางจึงคืนร่างกลับเป็นคนครึ่งงูอีกครั้ง ทุกครั้งที่เห็นเขาเลื้อยไปเลื้อยมาตามพื้นอย่างลำบาก เทียนหลางจวินจะสะบัดเสียงใส่เขา ‘ไสหัวไป’

จู๋จือหลางก็จะกระดืบร่างออกไปเงียบๆ เสาะหาสถานที่ด้านนอกที่แสงเดือนแสงตะวันส่องมาไม่ถึง ฝึกเลื้อยของเขาไป ด้วยความที่ไม่ได้เลื้อยมาหลายปี

จวินซั่งกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายอย่างสุดจะจินตนาการ แต่สักนิดจู๋จือหลางก็ไม่เคยนึกโกรธหรือน้อยใจแต่อย่างใด

ความหมายของคำว่า ‘ไสหัวไป’ ของเทียนหลางจวินก็คือบอกให้เขาไสหัวกลับไปภพมาร ไสหัวกลับไปแดนใต้ ไสหัวกลับบ้านเก่าของเขา ไสหัวไปที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมาคอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเทียนหลางจวินอีก

เทียนหลางจวินไม่อาจทนให้คนอื่นมาเห็นเขาในสภาพจนตรอกและตกอับ สภาพที่จะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่อาจเช่นนี้ เขาเกิดมาก็เป็นองค์ชายรัชทายาทผู้สูงส่งที่สุดของเผ่ามาร ไม่เคยต้องเจอความทุกข์ยากลำบาก มักจะดูภูมิฐานและสบายอยู่ตลอดเวลา ปฏิเสธทุกอย่างที่รสนิยมต่ำอันอาจจะมาทำลายภาพลักษณ์ของเขาได้ แล้วไหนจะนิสัยรักสะอาดหยิบโหย่งของเขาอีกเล่า เขาไม่ชอบอะไรที่ไม่น่าดู แต่ความจริงแล้ว เขาในตอนนี้ไม่น่าดูยิ่งกว่าใครทั้งหมดด้วยซ้ำ

ถูกล่ามด้วยโซ่เหล็ก 72 เส้นในสภาพที่เลือดอาบไปทั้งตัว ภายใต้ผนึกอาคม 49 ชั้น ทำได้แค่มองสังขารตัวเองค่อยๆเน่าเปื่อยลงไปทุกวัน ทว่าสติสัมปชัญญะยังคงแจ่มชัดอย่างสุดจะเปรียบ แม้กระทั่งอยากจะสลบให้มันหมดเรื่องหมดราวไปก็ทำไม่ได้

ผู้ฝึกวิชาเซียนเหล่านั้นฆ่าเขาไม่ได้ ก็เลยพยายามทรมานเขาทั้งเป็นทุกวิถีทาง สภาพครึ่งคนครึ่งงูในเวลานี้ของจู๋จือหลางเกรงว่าคงจะน่ามองกว่าเทียนหลางจวินในสภาพแบบนี้อยู่หน่อยด้วยซ้ำ

หลังจากคืนร่างเดิม จู๋จือหลางก็พูดไม่ได้อีก เทียนหลางจวินเลยเริ่มพูดกับตัวเอง ทุกๆวัน เขาจะใช้เวลาเกือบครึ่งกล่าวบทสนทนาและร้องเพลงในหนังสือละครงิ้วซ้ำไปซ้ำมา บางคราวเทียนหลางจวินกำลังร้องเพลงอยู่ ก็หยุดชะงักกะทันหันราวกับลำคอถูกปาด จู๋จือหลางรู้ดี นี่จะต้องเป็นเพลงงิ้วสักเรื่องที่ซูซีเหยียนเคยพาพวกเขาไปดู

แต่หลังจากหยุดชะงักไปครู่ใหญ่ เทียนหลางจวินก็จะแหกปากร้องต่อโดยใช้เสียงสูงขึ้นไปอีก ท่วงทำนาองอันไพเราะเพราะพริ้งถูกดึงจนยืดยานอยู่ในหุบเขาเปลี่ยวร้างไร้ผู้คนและในลำคออันแหบแห้ง ยืดยานและเศร้าสร้อย

จู๋จือหลางพูดไม่ได้ ไม่อาจบอกให้เขา ‘อย่าร้องเลย’ ไม่อาจยกมือขึ้นปิดหู จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงนี้ จึงเข้าใจแล้วว่า ‘สิ้นไร้ซึ่งกำลัง’ มันเป็นอย่างไร

ในเมื่อเจ็บปวดใจ ในเมื่อทุกข์ทรมานแล้วจะฝืนตัวเองไปไย

สิ่งที่เขาทำได้ มีเพียงคาบไบไม้ตักน้ำจากทะเลสาบน้ำค้างทีละนิดๆมาล้างบาดแผลที่ไม่มีวันหายบนร่างของเทียนหลางจวินด้วยความมุ่งมั่นวันแล้วันเล่า

ในสิบกว่าปีนี้ พวกเขาไม่เคยรู้ถึงการมีตัวตนของลั่วปิงเหอเลย ซูซีเหยียนมิได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมามีอำนาจอย่างที่คาดการณ์ หากแต่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้ไปอยู่แห่งหนไหน กระทั่งในช่วงเวลาอันยาวนานหลังจากพานพบแสงสว่างอีกครั้ง พวกเขาก็ยังไม่รู้

ด้วยเหตุนี้ตอนที่จู๋จือหลางได้เห็นใบหน้านั้นเป็นครั้งแรกที่แดนใต้ เขาตกตะลึงเสียจนลืมทำธุระสำคัญของตนที่ได้รับมอบหมายมา หลังจากสู้กันยกหนึ่ง เขาก็ตรงดิ่งกลับไปรายงานเทียนหลางจวินทันที

ดังนั้นจึงเกิดการปะทะกันขึ้นในสุสานศักดิ์สิทธิ์

พอคายเสิ่นชิงชิวออกจากปากมาวางกับพื้นเรียบร้อย เทียนหลางจวินจ้องมองจู๋จือหลางที่กำลังตั้งอกตั้งใจใช้พัดพัดเตาที่ย่างหินภูเขาไฟอยู่

“เจ้าว่าเขาเหมือนข้าหรือเหมือนนางกันแน่”

‘เขา’ กับ ‘นาง’ นี้ จู๋จือหลางรู้ดีว่าหมายถึงผู้ใด เขาตอบว่า “จวินซั่งมิใช่เคยบอกไว้แล้วหรือขอรับ ‘เหมือนแม่เขา’ ”

เทียนหลางจวินส่ายหน้า กล่าวยิ้มๆว่า “ท่าทางที่แกล้งทำเป็นเย็นชานั่นน่ะ…”

ความจริงพวกเขาทราบดีว่า ความอาลัยอาวรณ์และโหยหาต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ และไหนจะนิสัยดื้อรั้นเด็ดขาด ให้ตายก็ไม่ยอมเหลียวหลังของลั่วปิงเหอนั้นเหมือนเทียนหลางจวินเสียมากกว่า

เทียนหลางจวินเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง มองเสิ่นชิงชิวที่หลับตาอยู่ ถอนใจกล่าวว่า “แต่เขากลับโชคดีกว่าข้ามาก”

นับว่าโชคดีแท้ ผู้ที่ลั่วปิงเหอถึงตายก็ไม่ยอมปล่อยมือนี้ไปเป็นคนเช่นเสิ่นชิงชิว อย่างน้อยเสิ่นชิงชิวจะไม่มีทางระดมผู้ฝึกวิชาเซียนทั่วหล้ามาจองจำลั่วปิงเหอไว้ใต้ชางฉยงซานเป็นแน่

กอปรกับในโลกนี้ ผู้ที่ไม่เคยใช้สายตารังเกียจขยะแขยงมามองหน้าตาอันอัปลักษณ์ของจู๋จือหลางยังมีเพียงแค่สองคน คนหนึ่งคือเทียนหลางจวิน อีกคนก็คือเสิ่นชิงชิว

เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ว่าอย่างไร เจ้าอยากแย่งชิงความโชคดีนี้มาหรือไม่”

จ้องมองอยู่เป็นนานจึงค่อยเข้าใจความหมายของเทียนหลางจวิน จู๋จือหลางหน้าแดงแจ๋ “จวินซั่ง!”

เทียนหลางจวินกล่าวเสริม “แย่งเลยๆ เจ้าเป็นเผ่ามารนะ ยังจะมาพิถีพิถันเรื่องมากอะไรอีก มิหนำซ้ำยังเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องเท่านั้นเอง กลัวอะไร เจ้าศักดินารุ่นก่อนของสกุลโม่เป่ยยังแย่งภรรยาน้องชายแท้ๆของตัวเองมาอย่างโอ่อ่าผ่าเผยเลย”

จู๋จือหลางกล่าวว่า “ข้าไม่เคยมีความคิดแบบนั้น”

เทียนหลางจวินกล่าวอย่างประหลาดใจ “เช่นนั้นทำไมเจ้าต้องหน้าแดง”

จู๋จือหลางกล่าวอย่างอดทน “จวินซั่ง…หากท่านใช้ข้าไปรวบรวมหนังสือพรรค์นั้นให้น้อยลง หรือไม่ก็อย่ามาเรียกให้ข้าไปดูด้วยกัน หรือไม่ก็อย่ามาอ่านออกเสียงบังคับให้ข้าฟังซ้ำไปซ้ำมา บ่าวของท่านก็ย่อมจะไม่หน้าแดงหรอกขอรับ”

เรื่องพวกนี้นี่แหละที่ทำให้เขามักจะได้ยินเสียงสะท้อนแปลกประหลาดอยู่ในหู และไม่กล้ามองเสิ่นเซียนซือตรงๆ โดยไม่มีพิรุธในใจได้

เขารู้ดีว่าเหตุใดเทียนหลางจวินถึงชอบหยอกล้อให้เขาได้อายเช่นนี้ เบื้องหลังการหยอกล้อนั้น ยังมีเจตนาที่จะหยั่งเชิงและยุยงอยู่ด้วย

นับจากวันนั้นที่ได้ออกมาจากบรรพตน้ำค้างขาว เทียนหลางจวินไม่มีความคิดที่จะใช้ร่างนี้นานนัก ทั้งไม่ได้ครุ่นคิดแผนการสำหรับวันข้างหน้าด้วยซ้ำ

แต่พอได้พบตัวเสิ่นชิงชิว เทียนหลางจวินก็เกิดความรู้สึกเหมือนจะโล่งอกอยู่ในที เขาคิดว่า ‘ในที่สุดหลานชายโง่งมคนนี้ก็มีผู้รับช่วงต่อแล้ว’

สมองทึ่มๆของจู๋จือหลางได้แต่หมุนเพื่อผู้อื่น ไม่เคยคิดอ่านเพื่อตัวเอง หากสามารถเปลี่ยนคนให้เขาติดตาม หลังจากเทียนหลางจวินทำตัวเองจนตายจากไปแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องถึงกับอยู่อย่างเคว้งคว้างในโลกใบนี้ เขารู้สึกว่าเสิ่นชิงชิวดูจะเป็นผู้นำที่ไม่เลวนัก ไม่ว่าความนับที่อยู่ในคำ ‘ผู้นำ’ จะเป็นอะไรก็ตาม

ด้วยความวางใจอันน่าพิศวงนี้ เทียนหลางจวินเลยยิ่งถลุงปราณมารอย่างเต็มที่ การผุกร่อนของร่างกายนับวันมีแต่จะเร็วขึ้น…เร็วขึ้น แขน นิ้วและอะไรต่อมิอะไรคอยจะหลุดร่วงลงมาอยู่เป็นประจำ จนจู๋จือหลางร้อนใจแทบหัวหมุนเพื่อหาวิธีกอบกู้ร่างให้เขา

คราวนี้เขาลองใช้เข็มกับด้ายมาเย็บแขนติดเข้าไป เทียนหลางจวินปล่อยให้เขาจับแขนแล้วเอาเข็มแทงเข้าแทงออก “สัญชาตญาณของเจ้ามักจะแม่นยำมาตลอด

จู๋จือหลางรับคำ เทียนหลางจวินกล่าวต่อ “เจ้าว่าข้ากับลั่วปิงเหอใครจะแพ้ใครจะชนะ”

เขากล่าวช้าๆ หลังจากเงียบกันอยู่นาน “เจ้าไม่พูดข้าก็รู้ ข้าแพ้แน่”

จู๋จือหลางเอาปากกัดด้ายให้ขาด แล้วขมวดปม

เทียนหลางจวินเอ่ยทีเล่นทีจริงว่า “หลังจากนี้ไปเจ้ามิสู้ติดตามเจ้ายอดเขาเสิ่นเถอะ เขาสามารถคุ้มครองลั่วปิงเหอได้ ก็สามารถคุ้มครองเจ้าได้อีกคนเช่นกัน”

จู๋จือหลางกล่าวว่า “นอนเถอะขอรับ จวินซั่ง”

เทียนหลางจวินยังคงพูดเหลวไหล “ค่ำนี้เจ้ามิใช้ต้องไปที่กระโจมของเจ้ายอดเขาเสิ่นเพื่อถอนไยไหมอารมณ์หรอกหรือ วันนี้เจ้าก็ได้ยินที่ข้าถามเขาแล้วว่าเคยซวงซิวกับลั่วปิงเหอหรือไม่ เขาทำท่าแบบนั้น มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่เคย ชิงลงมือก่อนย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”

จู๋จือหลางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน โน้มตัวลงไปถอดรองเท้าเขา กลับคว้าได้แต่อากาศวืด

เทียนหลางจวินงอขาขึ้น เอาเท้าเหยียบบนหนังสัตว์ ถามเป็นจริงเป็นจังว่า “ข้าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถโจมตีมโนธรรมของเจ้า ให้เจ้าหมดหวังในตัวข้า จนยอมจากไปด้วยความเศร้าเสียใจได้”

จู๋จือหลางกล่าวว่า “ท่านดูงิ้วและอ่านหนังสือบทละครมากเกินไปแล้ว มุกนี้มันเก่าไปเสียแล้วขอรับ มโนธรรมของบ่าวไม่ว่าอย่างไรท่านก็ไม่มีทางโจมตีได้สำเร็จแน่นอน ดังนั้นก็นอนเสียเถอะขอรับ จวินซั่ง”

เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ข้าไม่อยากนอนเร็วขนาดนี้นี่ เจ้ารีบไปที่กระโจมของเจ้ายอดเขาเสิ่นเร็วเข้า เดี๋ยวข้าจะตามไปดูพวกเจ้า”

จู๋จือหลางกล่าวอย่างหมดปัญญา “จวินซั่ง ท่านนี่ช่างเอาแต่ใจตัวเองจริงๆ ชอบก่อความวุ่นวายสุ่มสี่สุ่มห้า คิดอะไรเปะปะ ดีแต่ออกความคิดไม่เข้าท่า”

เทียนหลางจวินเอ่ยตอบ “ตลอดหลายมีมานี้ข้าก็เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้มาตลอดอยู่แล้วมิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นก็ทิ้งข้าไปเสียเลยดีไหมเล่า”

จวินซั่งวันนี้ดูราวกับคนเมา ความสามารถในการทำให้ผู้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเพิ่มพูนขึ้นมา 10 เท่า จู๋จือหลางโคลงศีรษะ ยื่นมือออกไปคว้าอยู่ห้าหกครั้งกว่าจะได้รองเท้าเขามาในที่สุด แล้วจับถอดออกกล่าวย้ำว่า “นอนเถอะขอรับ จวินซั่ง”

เทียนหลางจวินถูกเขาจับกดตัวให้ลงนอนกับตั่ง บังคับห่มผ้าให้ กล่าววิพากษ์วิจารณ์ว่า “เจ้านี่ยิ่งนับวันยิ่งทำตัวเหมือนแม่นมเข้าไปทุกทีแล้ว”

เขาเอ่ยต่อพลางถอนใจ “เจ้านึกว่าทั้งหมดนี้ลุงล้อเจ้าเล่นหรือ เจ้าทั้งไม่ห้ามให้ลุงหยุดมือ ทั้งไม่หาทางถอยให้กับตนเอง จู๋จือหลาง เจ้าเป็นเสียเช่นนี้ ภายภาคหน้าจะทำอย่างไร”

………………………….

ทำอย่างไรก็เกลียดมนุษย์ไม่ลงจริงๆนะนี่” เทียนหลางจวินกล่าวเช่นนี้ต่อเสิ่นชิงชิว

พอได้ฟังประโยคนี้ ในใจของจู๋จือหลางก็รู้สึกยินดีกับเขาจริงๆ

ในที่สุดจวินซั่งก็ยอมรับแล้วว่าความคิดที่แท้จริงของเขานั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองแล้ว

ท่ามกลางเศษซากหินที่ตกลงมา เทียนหลางจวินกล่าวพึมพำว่า “เฮ้อ จู๋จือหลาง สภาพเช่นนี้ของเจ้า ดูอย่างไรก็ไม่ดีเอาเสียเลย”

ไม่เห็นต้องมาบ่นเลย มันคิด มันยังมีแรงอยู่อีกนิดหน่อยพอจะต้านทานได้ มันจะไม่ยอมให้จวินซั่งตายไปพร้อมกับมันเด็ดขาด เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลหรอก ว่าตายพร้อมกับมันจะไม่น่าดู

หลังจากเสียงกัมปนาทเลื่อนลั่น เทือกเขาฝังกระดูกก็ระเบิดกลายเป็นฝุ่นฟุ้ง งูยักษ์ตัวหนึ่งร่วงลงสู่ใจกลางแม่น้ำลั่วที่ทอประกายสีเงินระยิบระยับ

ความจริงเสิ่นชิงชิวไม่ทันได้ฟังคำพูดของเทียนหลางจวินให้จบ หลังจากนั้นยังมีอีกประโยคหนึ่งที่กล่าวด้วยเสียงแผ่วต่ำ มีเพียงจู๋จือหลางเท่านั้นที่ได้ยิน

เขากล่าวว่า “กระนั้น การจะรักใครสักคนหนึ่ง ทำไมมันถึงได้ยากลำบากปานนี้หนอ”

จู๋จือหลางในเวลานั้นยิ้มไม่ออกแล้ว พูดก็พูดไม่ได้ ได้แต่ทำท่าครุ่นคิด แลบลิ้นแพร่บๆจนหน้าเทียนหลางจวินเต็มไปด้วยน้ำลายงู

มันคิดว่า ยากลำบากจริงๆนั่นแหละ

ถึงกระนั้น สั่งให้หัวใจหยุดรักกลับยากยิ่งกว่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version