Skip to content

Scumbag System 24

ตอนพิเศษ 3

เยวี่ยชิงหยวนกับเสิ่นชิงชิว

1

“เพล้ง” เสิ่นจิ่วเตะกระถางสีดำใบนั้นกระเด็น

เขากอดอกไม่กล่าววาจา เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าเป็นสืออู่(สิบห้า)หรือสือซื่อ(สิบสี่) ทำคอย่น พวกพี่น้องที่อยู่ด้านข้างใช้สายตายุยงไม่หยุด เด็กหนุ่มคนนั้นจึงรวบรวมความกล้า ยืดคอกล่าว “เสิ่นจิ่ว เจ้าอย่าได้วางอำนาจบาตรใหญ่เกินไป ถนนนี้มิใช่เจ้าซื้อไว้เสียหน่อย ไฉนไม่ยอมให้พวกเราอยู่ที่นี่บ้าง!”

ถนนสายนี้ กว้างขวางราบเรียบ ผู้คนขวักไขว่ หากจะขอทานที่นี่ย่อมเป็นทำเลชั้นเยี่ยม คนผ่านไปผ่านมาที่หยุดมุงดูเด็กกลุ่มนี้ทะเลาะกันก็มี แต่ส่วนใหญ่จะรีบเร่งเดินผ่านไป

เจ้าเด็กที่มาใหม่บังอาจมาท้าทายเขา เสิ่นจิ่วก้มหน้าเตรียมจะเก็บก้อนอิฐขึ้นมาให้เขาได้เห็นดีเสียหน่อย ปรากฏว่าเด็กหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินมาถึงตัวเขาพอดี ครั้นเห็นเขาถกแขนเสื้อก้มหน้า ก็รีบปรี่เข้ามาห้าม “เสี่ยวจิ่ว พวกเราไปที่อื่นกัน”

เสิ่นจิ่วกล่าว “ไม่ไป ข้าจะอยู่ที่นี่”

เด็กหนุ่มคนนั้นถือโอกาสฟ้อง “ชีเกอ เขารังแกข้า”

เยวี่ยชีกล่าวว่า “มิใช่รังแกนะสืออู่ เสี่ยวจิ่วแค่หยอกล้อเจ้าเล่น”

เสิ่นจิ่วกล่าวว่า “ผู้ใดเล่นกับเขา ข้าต้องการให้เขาไสหัวไป ที่นี่เป็นถิ่นของข้า ใครมาแย่งชิงกับข้า คนนั้นตาย”

เห็นเยวี่ยชีเข้ามาขวางหน้า สืออู่ก็ขวัญกล้าขึ้นมา ยืดคอตะโกนออกไป “ทุกครั้งที่มาถึงที่ใหม่ เป็นต้องทำกร่างยึดตำแหน่งที่ดีที่สุดไว้ตลอด ทุกคนเขาเหลืออดกับเจ้ากันทั้งนั้น! เจ้าอย่าได้คิดว่าเจ้าวิเศษวิโสจนทุกคนต้องกลัวเจ้านะ”

เยวี่ยชีกล่าวตำหนิ “สืออู่…”

ระหว่างที่ดิ้นขัดขืน เสิ่นจิ่วเตะเข้าที่น่องของเยวี่ยชีทีหนึ่ง “อยากต่อยก็ต่อยมาเลย ตัวเองไม่มีความสามารถเองก็โทษว่าที่ไม่ดี ไอ้หมาพันทาง ใครเป็นชีเกอของเจ้า เจ้าลองเรียกดูอีกทีซิ!”

“เจ้าซิไอ้หมาพันทาง! ข้าว่าไม่ช้าเจ้าจะต้องถูกขายทิ้งเป็นแน่ ขายเอาไปเป็นแมงดาอย่างไรเล่า!”

เยวี่ยชีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ไปหัดพูดจาเหลวไหลมาจากไหนกัน!” เขาดึงตัวเสิ่นจิ่วไปข้างถนนพลางกล่าวปลอบ “เอาน่า เจ้าเก่งที่สุดอยู่แล้ว ไม่ต้องเลือกที่ก็ยังเก่งที่สุด พวกเราย้ายไปถนนอื่นกันดีกว่า”

เสิ่นจิ่วกระทืบเท้าเขา “ไปให้พ้น เจ้ากลัวมันรึไง มาๆๆ มาเลย จะมาเดี่ยวหรือมากันทั้งฝูงข้าก็ไม่กลัว!”

เยวี่ยชีย่อมรู้ว่าเขาไม่กลัว หากปล่อยให้เสิ่นจิ่วกับพวกนั้นตีกันขึ้นมาจริงๆ เขาก็จะใช้วิธีลอบกันที่ร้ายกาจ ทั้งควักตา ทั้งโจมตีหว่างขา ถึงตอนนั้นผู้ที่เจ็บตัวร้องไห้ก็ยังเป็นคนอื่นอยู่ดี เขาฝืนทนเจ็บ กล่าวยิ้มๆว่า “กระทืบพอแล้วหรือไม่ พอแล้วก็อย่าได้กระทืบแล้ว ชีเกอจะพาเจ้าไปเล่นสนุก”

เสิ่นจิ่วกล่าวอย่างดุดันว่า “สนุกพระแสงอะไร พวกมันตายกันให้หมดถึงจะสนุก”

เยวี่ยชีมองเขา พลางโครงศีรษะอย่างจนใจ

มีชี(เจ็ด) มีจิ่ว(เก้า) แน่นอนว่าย่อมมีอี(หนึ่ง)ถึงลิ่ว(หก) เพียงแต่ว่าในบรรดาเด็กๆที่ได้มารุ่นแรก นับจากลิ่วขึ้นไปล้วนถูกขายทอดเปลี่ยนมือหรือไม่ก็ตายเสียตั้งแต่อายุยังน้อยไปก่อนแล้ว ที่สนิทสนมกันที่สุดจึงเหลือแค่พวกเขาสองคน

ตอนเสิ่นจิ่วยังเด็กกว่านี้ ตัวทั้งเล็กทั้งผอม เยวี่ยชีกอดศีรษะเขานั่งลงกับพื้น เบื้องหน้ากางกระดาษที่เขียนไว้ด้วย ‘อักษรเลือด’ แผ่นหนึ่งว่า สองพี่น้องพ่อแม่ตายจาก ตามหาญาติมาแต่แดนไกลทว่าประสบภัยเข้าลำบากยากแค้นไม่มีที่พึ่ง ระเหเร่ร่อนที่พักพิง ฯลฯ ตามที่กำหนดไว้ เยวี่ยชีควรจะต้องร้องไห้ใหญ่โต แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ร้องไห้ไม่ออก ดังนั้น ทุกครั้งหน้าที่นี้ล้วนตกเป็นของเสิ่นจิ่วที่เดิมทีควรจะต้องแล้งป่วยใกล้ตาย เขาตัวเล็ก หน้าตาดูไม่น่ารังเกียจ พอร้องไห้ฮือๆ คนผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าก็สงสารให้ทานด้วยความเมตตากันคนแล้วคนเล่า บอกว่าเป็นต้นไม้ที่เขย่าออกเงินมาได้ก็ไม่เกินความจริง

ต่อมาเมื่อเยวี่ยชีโตขึ้น ยิ่งมาก็ยิ่งไม่เต็มใจทำเรื่องพรรค์นี้ จึงถูกส่งไปดูต้นทางบ้าง เดินลาดตระเวนบ้าง เสิ่นจิ่วก็อยากตามไปด้วยแต่ไม่ได้รับอนุญาต เขาเลยเที่ยววางอำนาจบาตรใหญ่ตามถนนต่อ เกะกะระรานไปทั่ว

คนทั้งคู่กำลังจะเดินออกจากถนนที่คึกคักและพลุกพล่านที่สุด แต่แล้วจู่ๆก็แว่วเสียงฝีเท้าม้าถี่กระชั้นดังขึ้น

พ่อค้าแม่ค้าสองข้างทางพากันตกใจจนหน้าถอดสี ที่เข็นรถก็เข็น ที่วิ่งก็วิ่ง ราวกับเจอข้าศึกบุก เยวี่ยชีไม่เข้าใจว่าทำไม เสิ่นจิ่วเพิ่งจะลากเขาไปหลบข้างทาง ม้าสูงใหญ่ตัวหนึ่งก็ควบกุบๆมาตามถนนพอดี

บังเหียนม้าถึงกับสร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์เหลืองอร่ามวาววับจับตา แลดูจะหนักไม่น้อย บนหลังม้ามีคุณชายน้อยท่าทางเย่อหยิ่ง จิตใจฮึกเหิมนั่งอยู่ หน้าตาเขางดงาม ขนตายาวละเอียด ดวงตาดำขลับเป็นประกายเจิดจ้า เสื้อสีม่วงทิ้งชายผ้ายาวไปกับอานม้าทั้งสองด้าน เสื้อแขนธนูสอบจนค่อนข้างรัด มือขาวผ่องถือแส้สีดำเอาไว้อันหนึ่ง

เสิ่นจิ่วถูกประกายสีทองสะท้อนใส่จนต้องหรี่ตา ยื่นศีรษะออกไปอย่างอดใจไม่ไหว เยวี่ยชีรีบฉุดเขากลับมา แล้วเลี่ยงออกไปด้วยกัน

เดินมาได้ไม่ไกล จู่ๆก็ได้ยินเสียงหวีดร้องลั่น พี่น้องหลายคนวิ่งโผเข้าหาเยวี่ยชี ตกอกตกใจจนน้ำมูกน้ำตาไหล

เสิ่นจิ่วโมโหหนัก

เยวี่ยชีรีบกล่าวว่า “ร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้น”

เด็กคนหนึ่งร้องเสียงหลง “สืออู่หายไปแล้ว”

เยวี่ยชีชะงักฝีเท้าทันที “เขามิได้ตามมาด้วยหรือ”

เด็กคนนั้นร้องไห้โฮ “เมื่อกี้บนถนนใหญ่ชุลมุนมาก ข้ามองไม่ทัน…”

เยวี่ยชีกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบ ค่อยๆเล่า”

ที่แท้ คุณชายน้อยที่ขี่ม้าเมื่อครู่นำบ่าวเข้ามาในถนน พอหางตาเหลือบไปเห็นสืออู่กับพวกเข้า ก็ย่นจมูก “มาจากไหน”

มีบ่าวตอบ “คุณชายชิวขอรับ เป็นขอท่านที่ไม่ทราบว่ามาจากไหนกันขอรับ”

คุณชายน้อยกล่าวว่า “ตัวโสโครกเหล่านี้ยังเอาไว้ทำอะไร”

พวกบ่าวไม่ต้องให้ผู้เป็นนายชี้บอก ก็เดินเข้ามาไล่อย่างดุร้ายทันที

สืออู่อุตส่าห์ชิงพื้นที่จากเงื้อมมือของเสิ่นจิ่วมาได้อย่างยากเย็น จะยอมถูกไล่ไปง่ายๆได้อย่างไร ร้องตะโกนอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าถือสิทธิ์อะไรมาไล่ข้า…”

เขายังอยากจะพูดว่า ‘ถนนสายนี้ก็ไม่ใช่ของเจ้าเสียหน่อย’ อีกประโยคด้วยซ้ำ คุณชายน้อยคนนั้นยกมือขึ้น เงาสีดำตกลงมา ใบหน้าเขาพลันมีรอยแส้ฟาดเหวอะเพิ่มขึ้นมาสายหนึ่ง แส้ที่หวดมานี้ห่างจากลูกตาไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด

สืออู่ยังไม่ทันจะรู้สึกเจ็บ ก็ตกใจกลัวจนเซ่อไปแล้ว

คุณชายน้อยยิ้มกว้าง “ไม่ได้ถือสิทธิ์อะไรหรอก แต่อาศัยว่าถนนสายนี้บ้านข้าเป็นผู้ตัดเท่านั้นแหละ”

สืออู่ไม่รู้ว่าตกใจกลัวจนมึนหรือว่าเจ็บจนสลบไปแล้ว ล้มลมกับพื้นถนนเสียงดังตึง

เสิ่นจิ่วไม่รอฟังให้จบก็หัวเราะลั่น แต่ไม่ช้าเขาก็หัวเราะไม่ออก

เยวี่ยชีนับหัวแล้วพบว่ามีคนหายไปสองสามคน จึงเหลียวหน้ามากล่าวว่า “เจ้าไปก่อน เดี๋ยวข้าตามไป”

เสิ่นจิ่วมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “อย่าไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านเลย คนแซ่ชิวผู้นี้จะกล้าฆ่าพวกมันตายจริงรึ”

เยวี่ยชีส่ายหน้า “เจ้ากลับไปก่อน ข้าเป็นพี่ใหญ่สุด ไม่อาจไม่สนใจ”

เสิ่นจิ่วกล่าวต่อ “ไม่ถึงตายหรอกน่า อย่างมากก็ซ้อมยกหนึ่ง ตีให้ปางตายจะได้รู้จักจำอย่างไรเล่า”

เยวี่ยชีกล่าวว่า “กลับไปก่อนเถอะ”

เสิ่นจิ่วฉุดเขาไว้ไม่อยู่ ก็ร้องด่า “เจ้านี่มันเรื่องมากจริงๆ!” ด่าเสร็จก็ตามไปด้วยอยู่ดี

2

ชิวเจี่ยนหลัวรู้สึกว่าเสิ่นจิ่วน่าสนใจอย่างยิ่ง

ก็เหมือนกับการตีสุนัข เวลาท่านตีสุนัขสักตัว หัวมันจะตก หูมันจะลู่ หดตัวร้องเอ๋งๆ ถึงแม้จะไม่มีพิษมีภัยอะไรแต่ก็ไม่สนุก หากท่านเหยียบสุนัขตัวนี้ซิ มันจะคำรามเสียงต่ำอยู่ในลำคอ จ้องมองท่านด้วยดวงตาหวาดหวั่นทั้งยังไม่กล้าขัดขืน นี่ถึงจะสนุกกว่ามาก

เขาตบบ้องหูเสิ่นจิ่วทีหนึ่ง แน่นอนว่าเสิ่นจิ่วย่อมด่าบรรพบุรุษ 18 รุ่นของสกุลชิงในใจไปเรียบร้อย แต่ก็ยังยอมให้เขาเตะแต่โดยดี ทั้งยังยื่นหน้าไปให้เขาตบอย่างว่าง่าย

สนุกจริงๆ

ชิวเจี่ยนหลัวคิดพลางหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

เสิ่นจิ่วทนรับการทุบตีไปแล้วยกหนึ่ง เอามือกุมหัวหมอบอยู่ด้านข้างมองเขาหัวเราะตัวโยน

ตอนที่ชิวเจี่ยนหลัวซื้อเสิ่นจิ่วกลับมาใหม่ๆ ก็จับเขาไปขังไว้เสียหลายวันจนสกปรกมอมแมมไปทั้งตัว ครั้นเห็นเขาดูน่าขยะแขยงเต็มทนแล้ว เลยจับหิ้วราวกับหิ้วลูกแมวส่งให้บ่าวตัวใหญ่ล่ำสองสามคน ‘ขัดสีฉวีวรรณ’

ดังนั้น เสิ่นจิ่วจึงถูก ‘ทั้งขัดทั้งสี’ จริงๆจนหนังแทบจะหลุดไปชั้นหนึ่ง แล้วค่อยถูกส่งตัวกลับมาที่ห้องหนังสือ หลังจากขี้ไคลที่สะสมมานานปีบนร่างหลุดร่อนออกหมด ใบหน้าและแขนขาขาวผ่องที่ถูกขัดถูเต็มแรงมือจึงดูแดงระเรื่อ ส่วนผมที่เปียกโชกยังมีไอควันจากน้ำร้อนลอยฉุยออกมาอยู่เลย หลังแต่งตัวเรียบร้อยมายืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างก็ทำให้ดูแล้วน่าเมตตาพอควร

ชิวเจี่ยนหลัวเอียงคอมองดูอยู่เป็นนาน ในใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง ทั้งยังมีความชอบใจอยู่นิดหน่อย จากที่ตอนแรกอยากจะเข้าไปถีบสักโครมหนึ่งเลยระงับความคิดนั้นไป

เขาถามว่า “รู้หนังสือหรือไม่”

เสิ่นจิ่วตอบเสียงเบาว่า “รู้จักไม่กี่ตัวขอรับ”

ชิวเจี่ยนหลัวเอากระดาษขาวออกมา เคาะๆที่โต๊ะ “เขียนให้ดูซิ”

เสิ่นจิ่วจับพู่กันขนจิ้งจอกอย่างรีๆรอๆ ท่าทางจับพู่กันดูเหมือนจะพอเป็นอยู่บ้าง เขาซับหมึก ขบคิดอยู่เป็นครู่ก่อนจะเขียนคำว่า ‘七’ (เจ็ด) แล้วเว้นไปพักหนึ่ง ก็เขียนคำว่า ‘九’ (เก้า)

แม้จะลากพู่กันกลับทิศกลับทาง แต่กลับไม่เอียงไม่โย้ ตัวบรรจงถูกต้อง

ชิงเจี่ยนหลัวกล่าวถาม “เรียนมาจากไหน”

เสิ่นจิ่วตอบ “ดูที่คนเขาเขียนกัน”

เจ้าเด็กโสโครกไม่ได้ความคนนี้รู้จักแค่เขียนเลียนแบบ แต่กลับสามารถหลอกผู้อื่นได้เลย ชิวเจี่ยนหลัวนึกประหลาดใจอย่างมาก ดังนั้น จึงมีสีหน้าอ่อนโยนขึ้น ใช้น้ำเสียงเลียนแบบอาจารย์ในบ้านตัวเองมากล่าวชมเขาว่า “มีสติปัญญาอยู่บ้าง วันหน้าหากตั้งใจเรียนให้ดีไม่แน่ว่าอาจเดินบนหนทางที่ถูกต้องได้”

ชิวเจี่ยนหลัวแก่กว่าเสิ่นจิ่ว 4 ปี อายุ 16 ถูกพ่อแม่ตั้วความหวังไว้สูง ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีในคฤหาสน์หรู ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แก้วตาดวงใจหนึ่งเดียวในชีวิตก็คือไห่ถังผู้เป็นน้องสาว ไห่ถังยังเป็นแก้วตาดวงใจของสกุลชิวทั้งสกุลอีกเช่นกัน เวลาชิวเจี่ยนหลัวอยู่ต่อหน้าไห่ถัง จะเป็นพี่ชายที่แสนดีคนหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อก่อนเขาเฝ้าภาวนาให้น้องสาวอย่าได้แต่งงานออกเรือนไปชั่วชีวิต แต่หลังจากเสิ่นจิ่วเข้ามา เขาก็มีความคิดอื่น

ชิวไห่ถังชอบเสิ่นจิ่วมาก หากจับเสิ่นจิ่วมาสอนให้ดีเป็นเขยแต่งเข้าบ้านโดยไม่ต้องลงทุนอะไรก็ดูจะไม่เลว น้องสาวก็อยู่ข้างกาย เสิ่นจิ่วก็ยังอยู่ให้เขาไว้เล่นสนุกต่อไปได้ ขอเพียงว่านอนสอนง่าย ทุกฝ่ายก็จะอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว

หากน้องสาวแต่งให้แก่เจ้าเด็กน่ก็ไม่ต้องออกไปอยู่ห่างไกล เสื้อผ้าอาหารก็กินอยู่ในบ้าน ไม่ต่างอะไรกับไม่ได้ออกเรือนเลย ยกเว้นเรื่องที่จับให้คู่กับเสิ่นจิ่วจะเหมือนให้คางคกได้กินเนื้อห่านฟ้า ก็แทบจะมองไม่เห็นข้อเสียอะไรอื่นอีก

ชิวเจี่ยนหลัววางแผนไว้อย่างงดงาม มักจะกล่าวเตือนเสิ่นจิ่วอยู่ตลอดว่า

‘หากเจ้าทำให้ไห่ถังไม่มีความสุข ข้าจะไม่ละเว้นชีวิตน้อยๆของเจ้า’

‘ไม่มีไห่ถังเสียคน ข้าซ้อมเจ้าตายไปนานแล้ว’

‘เกิดเป็นคนต้องรู้คุณคน ตระกูลของพวกข้าช่วยให้เจ้าได้เปลี่ยนมาเป็นผู้เป็นคน ต่อให้เจ้าตอบแทนด้วยชีวิตก็นับว่าสมควร’

เสิ่นจิ่วยิ่งโตขึ้น ก็ยิ่งเข้าใจ กับคนๆนี้ไม่อาจต่อต้านขัดขืนเด็ดขาด เขาพูดอะไร ก็ต้องเออออไปตามนั้น ถึงแม้ฟังแล้วจะคลื่นเหียนอยู่ในใจ ก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ เช่นนี้จึงจะไม่โดนซ้อม

แต่ช่วงเวลาที่ตนมักจะหวนรำลึกถึงอยู่บ่อยๆ ก็คือตอนที่พบกับชิวเจี่ยนหลัวครั้งแรก และเป็นครั้งเดียวที่ทำเอาชิวเจี่ยนหลัวโกรธจนแทบเสียสติไปเลยทีเดียว

เยวี่ยชียืนกรานว่าต้องพาสืออู่กับพวกกลับไปให้ได้ มาถึงก็เกือบพุ่งเข้าใส่เกือกม้าของชิวเจี่ยนหลัวเลย ชั่วพริบตานั้น เสิ่นจิ่วลืมที่เยวี่ยชีเคยพร่ำเตือนเขาเสียสนิท ‘วิชาเซียน’ อย่างของพวกเขาที่แปรทองให้กลายเป็นคมดาบ เสียบเข้าไปถึงกระดูกม้านั้น ห้ามให้คนอื่นเห็นเด็ดขาด

ชิวเจี่ยนหลัวบังคับม้าให้หมุนเป็นวงกลมอยู่กันที่บนถนนนั้น แต่เจ้าม้ากลับดีดตัวขึ้นลงไม่หยุด

เสิ่นจิ่วแช่งชักในใจว่าขอให้เขาร่วงม้าลงมาคอหักตาย ทว่าทักษาในการขี่ม้าของเขากลับเป็นเยี่ยม ต่อให้ขาหน้าของม้าชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เขาก็ยังนั่งอยู่บนอานได้อย่างมั่นคง พลางตวาดลั่น “ใครทำ!”

“ใครทำ!”

แน่นอนว่าย่อมเป็นเสิ่นจิ่ว

แต่หลังจากนั้น ตอนที่ชิวเจี่ยนหลัวตามมาเอาเรื่องถึงที่ หากไม่ใช่เพราะสืออู่เป็นฝ่ายพูดออกมา ก็จะไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นการลงมือของเขา

หากมิใช่ได้พวกเขาไปช่วย สืออู่ก็จะต้องถูกเหยียบตายคากีบม้าของสกุลชิงไปแล้ว สืออู่เก็บชีวิตน้อยๆกลับมาได้ แต่กลับมาทรยศพวกเขา สืออู่สมควรถูกเหยียบให้ตาย เหยียบให้กลายเป็นเศษเนื้อแหลกเหลวให้คนนับพันรังเกียจ

ตอนนั้นเยวี่ยชีไม่น่าจะกลับไปช่วยสืออู่เลยจริงๆ หากต้องตายไปก็สมควรแล้ว

เสิ่นจิ่วอาศัยความคิดร้ายที่ไม่มีประโยชน์อะไรนี้เพื่อปลอบประโลมใจครั้งแล้วครั้งเล่าให้ผ่านคืนวันอันยากลำบากมาได้ รอใครบางคนกลับมาช่วยเขาจากทะเลทุกข์ตามที่สัญญาไว้

3

เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเหตุใดเยวี่ยชีจึงไม่กลับมาช่วยเขาเสียที เสิ่นจิ่วเคยครุ่นคิดไปร้อยแปด

เป็นได้ว่าตอนจะหนีออกไปดันถูกพบเข้า นายหน้าค้ามนุษย์เลยทุบตีจนขาหัก

เป็นได้ว่าระหว่างเดินทางไม่มีเสบียง ทั้งไม่ยอมขอทาน เลยอดตายไปแล้ว

เป็นได้ว่าสติปัญญาย่ำแย่เกินไป เลยไม่มีบรรพตเซียนแห่งไหนยอมรับเขา

ตนยังเคยคิดด้วยซ้ำว่าจะเดินทางไปสุดหล้าฟ้าเขียวเพื่อตามหากระดูกเขาอย่างไร หลังจากหาพบแล้ว จะใช้มือขุดหลุมฝังเขาอย่างไร อาจถึงขั้นต้องฝืนสุดชีวิตเพื่อหลั่งน้ำตาสักหยด แต่หากเขาโชคดียังมีชีวิตอยู่ ตนจะทำทุกหนทางเพื่อช่วยเขาออกมาจากขุมนรกเยี่ยงไร ถึงแม้ตัวเขาเองก็เพิ่งจะหนีรอดออกมาจากปากเหยี่ยวปากกามาตกอยู่ทะเลเพลิงเหมือนกันก็ตาม

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้

เขาเงื้อกระบี่ในมือขึ้นแล้วแทงลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือดสดๆสาดกระจาย ดูเป็นภาพที่สยดสยองยิ่งนัก เลือดสาดกระเซ็นมาใส่ดวงตา หากเขาเพียงแค่กะพริบตาเท่านั้นไม่มีปฏิกิริยาใดอื่นอีก กล่าวได้ว่าลงมือด้วยความสงบนิ่งและช่ำชอง

หลังจากอู๋เยี่ยนจื่อพาเขาออกมาจากบ้านสกุลชิว ที่เขาสอนให้กับ ‘ศิษย์’ ผู้นี้มากที่สุดก็คือฆ่าคนวางเพลิงอย่างไร ลักเล็กขโมยน้อยอย่างไร และจับปลาในน้ำขุ่น* อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ฉวยโอกาสตอนทีงานชุมนุมเซียนครั้งใหญ่ ปล้นศิษย์ผู้เก่งกาจหลงตนทั้งยังไร้เดียงสาน่าขันของสำนักชั้นจำเพื่อแย่งชิงถุงบรรจุสิ่งของ จากนั้นก็กำจัดซากศพของพวกเขาเสีย

(จับปลาในน้ำขุ่น หมายถึง ฉวยโอกาสที่สถานการณ์วุ่นวายหาผลประโยชน์)

ตอนที่เยวี่ยชีพบเขา แน่นอนว่าถูกสภาพจะคนก็ไม่ใช่คน จะผีก็ไม่ใช่ผี ของเขาทำเอาตะลึงลานไปเลยทีเดียว กระทั่งศพที่อยู่บนพื้นของศิษย์สองสามคนนั้นก็ไม่เหลียวมอง เดินเข้ามา 2 ก้าว

เสิ่นจิ่วสั่นไปทั้งตัว เงยหน้าขึ้นฉับพลัน

พอเยวี่ยชีมองเห็นหน้าเขาเต็มตา คนทั้งคู่ก็หน้าซีดเผือดในบัดดล

เสิ่นจิ่วกล่าวเสียงดุดันว่า “อย่าเข้ามานะ”

ปฏิกิริยาแรกของเขา กลับเป็นกระโดปราดขึ้นมาชิงเอาพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือจากร่างคนตายแล้วยิงขึ้นฟ้า

เยวี่ยชีตะลึงลานจนทำอะไรไม่ถูก เดินเข้าไปหาเขาพลางยื่นมือออกไป อ้าปากกำลังจะกล่าว

แต่แล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะประหลาดดังออกมาจากในป่า “ลูกศิษย์คนดี คนผู้นี้เป็นใครหรือ ถึงทำให้เจ้าตกใจจนมีสภาพเช่นนี้ เจ้าก็มีเวลาที่ตกใจกลัวด้วยหรือ”

เสิ่นจิ่วคลายมือ พลุในมือร่วงหล่นลงพื้นโดยไร้สุ้มเสียง เขาหมุนกายโดยฉับพลัน “อาจารย์ ข้ามิได้กลัวเขา เมื่อครู่ข้าพลั้งมือ เลยปล่อยให้เจ้าคนที่นอนอยู่บนพื้นปล่อยพลุสัญญาณขึ้นฟ้าโดยไม่ตั้งใจ อีกเดี๋ยวคงจะมีคนเข้ามาช่วยแน่”

เยวี่ยชีรู้สึกว่าสถานการณ์คับขันอย่างมาก รวมพลังทิพย์มาไว้ที่มืออย่างเงียบๆ

อู๋เยี่ยนจื่อแค่นเสียง “เมื่อครู่ข้าเห็นพลุนั่น ก็เดาว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เจ้ามือเท้าคล่องแคล่วมาตลอด คราวนี้เกิดจะเป็นอะไรขึ้นมาเล่า! พวกเขาอยากจะยิงพลุ ทำไมเจ้าไม่ตัดมือพวกเขาเสีย”

เสิ่นจิ่วก้มหน้า “เป็นความผิดของศิษย์เองขอรับ พวกเรารีบไปกันเถอะ หากพวกเฒ่าบัดซบจาก 4 สำนักใหญ่เหล่านั้นมาถึง อยากจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว”

เยวี่ยชีเข้าไปขวางหน้าพวกเขาไว้เดี๋ยวนั้น ชูกระบี่ในมือขึ้น มองเสิ่นจิ่วด้วยดวงตาที่ยังคงแดงก่ำ เสียงแหบแห้ว แต่กลับหนักแน่นอย่างน่าประหลาด “พวกเจ้าไปไม่ได้”

เสิ่นจิ่วถลึงตาใส่เขา

อู๋เยี่ยนจือมองประเมินเยวี่ยชีหัวจรดเท้ารอบหนึ่ง และมองประเมินกระบี่ที่เขาถืออยู่อีกรอบหนึ่ง ก่อนหัวเราะหยัน “ชางฉยงซาน และยังเป็นคนของฉยงติ่งเฟิงเสียด้วย กระบี่เสวียนซู่ เยวี่ยชิงหยวนหรือ”

เสิ่นจิ่วได้ยินก็ตกตะลึง รีบคะยั้นคะยออีกครั้ง “อาจารย์ ในเมื่อเป็นชางฉยงซาน ก็ไม่สามารถฆ่าได้ในเวลาอันสั้น มิสู้พวกเรารีบหนีกันก่อนเถอะ เกิดมีคนไล่ตามมาพวกเราจบเห่แน่!

อู๋เยี่ยนจื่อยิ้มเย็นยะเยียบ “ชางฉยงซานถึงแม้ยิ่งใหญ่มากด้วยบารมี ข้าก็ยังไม่ถึงขนาดต้องมากลัวชนรุ่นหลังคนหนึ่ง! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่รนหาที่ตายเองเช่นนี้!”

จนกระทั่งอู๋เยี่ยนจื่อประมือกับเยวี่ยชิงหยวน เสิ่นจิ่วก็พบว่า ที่ตนอุตส่าห์เป็นห่วงเยวี่ยชีไปเมื่อครู่ รวมทั้งพวกอุบายโง่เง่าที่พยายามจะงัดออกมาใช้เพื่อการนี้มันช่างน่าขันเสียนี่กระไร ตนรึกลัวอู๋เยี่ยนจื่อแทบตาย ในขณะที่เยวี่ยชีหรือเยวี่ยชิงหยวนประมือกับเขาโดยที่ไม่ต้องชักกระบี่ออกมาเสียด้วยซ้ำก็สู้ได้อย่างแคล่วคล่องไม่คณามือ

แต่จะบอกว่าวางใจได้ทั้งหมดก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะว่าเขารู้จักวิธีการต่อสู้และไพ่ตายรักษาชีวิตของอู๋เยี่ยนจื่อเป็นอย่างดี

อู๋เยี่ยนจื่อมี ‘ยันต์แสงดำสามานย์’ ปึกหนึ่ง เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เวลาที่อู๋เยี่ยนจื่อเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจะโยนยันต์นี้ออกไปจู่โจมคู่ต่อสู้ทีเผลอ แม้แต่ซิวซื่อผู้มีชื่อเสียงหลายคนก็หนีกระบวนท่าอันชั่วช้าสับปับนี้ไม่พ้น อย่าว่าแต่เยวี่ยชีที่มองดูก็รู้แล้วว่ามีประสบการณ์ต่อสู้มาน้อย ทำได้เพียงโต้กลับไปกลับมาอย่างเคร่งครัดตามกรอบเท่านั้น

ดังนั้น ตอนที่อู๋เยี่ยนจื่อโยนยันต์ดำปึกนั้นออกไปหนนี้ เสิ่นจิ่วก็แทงเขาเข้าที่หลังทันทีหนึ่งกระบี่

เสิ่นจิ่วคว้ามือเยวี่ยชีไว้แล้วฉุดให้วิ่งตะบึงหนีเอาชีวิตรอดไปด้วยกันทันที

หลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมายกหนึ่ง คนทั้งคู่ยังไม่หายแตกตื่นเสียขวัญ อาศัยเกาะต้นไม้ต้นเดียวกันหอบหายใจไม่หยุด

หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ เสิ่นจิ่วจึงเริ่มมองเยวี่ยชีอย่างพิจารณา

พลังฝึกปรือสูงส่ง กิริยาท่าทางสุขุม เครื่องแต่งกายไม่ธรรมดาสามัญ มีราศีของผู้ได้รับการอบรมมาอย่างดี มิได้ใกล้เคียงกับขุมนรกอย่างที่เขาจินตนาการไว้แม้แต่น้อย

นี่คือเยวี่ยชิงหยวน มิใช่เยวี่ยชี

เยวี่ยชิงหยวนมีสีหน้าพลุ่งพล่าน ใบหน้าแดงก่ำ กำลังทำท่าจะพูด แต่เสิ่นจิ่วกลับถามออกมาโต้งๆ “เจ้าเข้าชางฉยงซานหรือ”

เยวี่ยชิงหยวนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ สีหน้าพลุ่งพล่านเมื่อครู่ค่อยๆหม่นหมองลง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด

เสิ่นจิ่วกล่าวว่า “เจ้าเป็นหัวหน้าศิษย์ของฉยงติ่งเฟิงหรือ ไม่เลวนี่ แล้วทำไมไม่กลับมาช่วยข้า”

“ข้า…”

เสิ่นจิ่วรออยู่ครู่หนึ่ง กลับมิได้รับคำตอบ

เขาซัก “ทำไมไม่พูดต่อเล่า ข้ารอเจ้าอยู่นะ ในเมื่อรอมาได้หลายปี รออีกสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรหรอก”

เยวี่ยชิงหยวนไหนเลยจะกล่าวต่อได้

เสิ่นจิ่วยกมือขึ้นกอดอก

จนกระทั่งเยวี่ยชิงหยวนกล่าวออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาในที่สุด “ชีเกอต้องขอโทษเจ้าจริงๆ”

ความโกรธแล่นขึ้นสู่หัวใจเสิ่นจิ่วชนิดฟ้าถล่มดินทลาย ในปากและจมูกราวกับได้กลิ่นคาวเลือดที่เกิดจากโทสะเข้าจู่โจมหัวใจ

เมื่อก่อนเขาเป็นแค่หนูตัวหนึ่งที่ได้แต่กล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ เอามือกุมหัวรอรับการทุบตี ต่อมาก็เป็นแค่หนูตัวหนึ่งที่หนีหัวซุกหัวซุนอยู่ในท่อระบายน้ำอันมืดมน ใครๆก็ร้องตะโกนจะฆ่าจะฟัน ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็เป็นหนูอยู่ดี ซุกหัวซ่อนหาง ไม่เห็นแม้แต่แสงสว่าง ผ่านวันเวลาไปอย่างไรความหมาย ผลาญเวลาในชีวิตไปอย่างไร้ค่า ขณะที่เยวี่ยชิงหยวนนั้นเป็นหงสาที่เหินขึ้นไปเกาะกิ่งไม้สูง เป็นปลาตะเพียนที่ได้ลอดผ่านซุ้มประตูมังกร

เสิ่นจิ่วกล่าวว่า “ขอโทษๆๆ เมื่อก่อนเจ้าก็รู้จักแต่พูดว่าขอโทษอย่างนี้แหละ” จากนั้นจึงยิ้มเย็น กล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”

มีคนบางประเภทที่เลวมาตั้งแต่เป็นตัวอ่อนอยู่ในท้องแม่ เสิ่นจิ่วคิด เขาก็คือตัวอ่อนเลวๆที่แสนจะชั่วช้าประเภทนั้นนั่นเอง เพราะในชั่วพริบตานั้นเขาพลันตระหนักอย่างชัดเจนว่า

เขาขอเห็นเยวี่ยชีคนที่ตายอยู่มุมไหนก็ไม่รู้ เหลือแต่กระดูกอเนจอนาถไม่มีใครช่วยเก็บเสียยังดีกว่าจะต้องมาเจอเยวี่ยชิงหยวนที่งามสง่าน่าเกรงขาม อนาคตสุดจะประมาณผู้นี้

4

เสิ่นจิ่วมีของที่เกลียดและคนที่เกลียดอยู่มากมาย

คนๆหนึ่งไม่ว่าอะไรก็เกลียด เช่นนั้นจะบอกว่าเขามีนิสัยดีก็ย่อมเป็นเรื่องยาก ดีที่ตอนเขากลายเป็นเสิ่นชิงชิว เขารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรมันจึงจะไม่แสดงออกมานอกหน้า

ในชางฉยงซาน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนที่เขาเกลียดที่สุดก็คือหลิ่วชิงเกอ

หลิ่วชิงเกอประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย พรสวรรค์โดดเด่น พลังทิพย์แข็งแกร่ง วิชากระบี่น่าตื่นตระหนก เกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุข พ่อแม่ยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ในบรรดาคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้ ไม่ว่าจะหยิบประเด็นไหนขึ้นมา ก็เพียงพอจะให้เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กินไม่ได้นอนไม่หลับไป 3 วัน 3 คืนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าคุณสมบัติทั้งหมดนี้กลับรวมอยู่ในตัวคนๆเดียว

ในงานประลองประจำปีของ 12 ยอดเขาแห่งชางฉยงซาน คู่ต่อสู้ของเสิ่นชิงชิวก็คือหลิ่วชิงเกอ

ผลการประลองย่อมจะออกมา ‘แพ้’ อย่างไม่ต้องสงสัย

แพ้ให้กับว่าที่เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงในอนาคต มิใช่เรื่องน่าอับอายขายหน้าอะไร หรือหากจะพูดกันตามจริง นี่ถือเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าเสิ่นชิงชิวไม่ได้คิดเช่นนี้ ที่ตนมองเห็นมิใช่อาการตื่นตะลึงด้วยความชื่นชมของคนอื่นๆว่าตนสามารถต่อกรกับเขาได้นานถึงขนาดนี้ ที่ตนเห็นมีแต่ท่าทางยโสโอหังของหลิ่วชิงเกอขณะเอาปลายกระบี่เฉิงหลวนจ่อห่างจากคอหอยตนเพียงเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น

ชิงจิ้งเฟิงประโคมโอ่ตัวเองว่าเป็นยอดเขาแห่งวิญญูชน เสิ่นชิงชิวก็สวมบทบาทวิญญูชนเสียคล่องแคล่วได้ใจราวกับปลาได้น้ำ แต่หลิ่วชิงเกอมักจะมีปัญญาบีบคั้นให้เขาต้องโมโหโทโสอยู่เป็นประจำ กระทั่งจะสร้างภาพศิษย์ร่วมสำนักที่รักสามัคคีกันยังไม่คิดจะเปลืองเรี่ยวแรงไปสร้างด้วยซ้ำ

ประโยคที่เสิ่นชิงชิวมักจะพูดกับหลิ่วชิงเกอบ่อยที่สุดก็คือ ‘หลิ่วชิงเกอ ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องฆ่าเจ้าแน่’

ดรุณีวัยละอ่อนที่อุ้มผีผาอยู่ตกใจจนรีบเอาเสื้อคลุมไหล่ลวกๆ วิ่งเผ่นออกไปแต่แรกแล้ว

หลิ่วชิงเกอปรายตามองเขาแวบเดียว “อาศัยเจ้า?”

แค่ 3 พยางค์ เสิ่นชิงชิวกลับฟังออกถึงเจตนาร้ายอันไม่มีที่สิ้นสุดได้อย่างชัดเจน เขาตวัดข้อมือฉับพลัน

เยวี่ยชิงหยวนเห็นท่าไม่ดีก็รีบกดศอกเขาไว้เป็นการหยุดท่าที่กำลังจะชักกระบี่ของเขา แล้วหันไปเอ็ดว่า “ศิษย์น้องหลิ่ว! เจ้ากลับไปก่อน”

หลิ่วชิงเกอเองก็ดูเหมือนคร้านจะอยู่พัวพันเช่นกัน หัวเราะหยันทีหนึ่ง จากนั้นเงาร่างก็หายวับไปในพริบตา

2 คนที่เหลืออยู่ในห้องข้างของหอหน่วนหง คนหนึ่งเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย คนหนึ่งเรี่ยมเร้เรไรไม่มีที่ติ ช่างตัดกันอย่างสุดจะเปรียบ

เยวี่ยชิงหยวนฉุดเสิ่นชิงชิวให้ลุกขึ้นจากเตียง บันดาลโทสะอย่างยากจะปรากฏ “เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เช่นนี้คืออย่างไรหรือ”

เยวี่ยชิงหยวน “ศิษย์ระดับหัวหน้าสองคนของชางฉยงซานลงมือต่อยตีกันในหอเริงรมย์ มันฟังแล้วดีหรือ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด แล้วใครมันจะมารู้ว่าเป็นสำนักไหนนิกายไหน! ชางฉยงซานก็คือชางฉยงซาน กฎข้อไหนของชางฉยงซานกำหนดไว้หรือว่าห้ามไม่ให้ศิษย์ในสำนักมายังสถานที่นี้ ชางฉยงซานทั้งมิใช่วัดของหลวงจีนหรืออารมของนักพรต จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทั่วหล้าก็ยุ่งไป แต่จะมายุ่งเรื่องที่ข้ามาหาผู้หญิงไม่ได้ หากศิษย์พี่กลัวเสียหน้า เจ้าก็ไปควบคุมปากของหลิ่วชิงเกอให้ดี”

ชางฉยงซานไม่มีกฎข้อนี้เขียนไว้อย่างแจ่มแจ้งจริงๆ แต่ผู้ฝึกวิชาเซียน ควรจะเข้าใจถึงหลักการว่าด้วยการบ่มเพาะอุปนิสัยและจิตใจให้บริสุทธิ์ ควบคุมความประพฤติของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิงจิ้งเฟิงนั้น เจ้ายอดเขาและศิษย์ล้วนครองตนผ่องแผ้วมาโดยตลอด แต่สิ่งที่รู้กันเองโดยมิได้มีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรนี้กลับเป็นเหตุผลที่เสิ่นชิงชิวเอามาอ้างอย่างแยบคาย

เยวี่ยชิงหยวนถูกเขาทำเอาสะอึกจนพูดไม่ออก ได้แต่กล้ำกลืนโทสะ กล่าวอย่างอัดอั้นว่า “ข้าจะไม่พูดหรอก พวกศิษย์น้องหลิ่วก็จะไม่พูด จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้แน่นอน”

เสิ่นชิงชิวสวมรองเท้าพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขอบใจพวกเจ้าแล้ว”

เยวี่ยชิงหยวน “สตรีทำลายพลังฝึกปรือ”

เสิ่นชิงชิวหัวเราะหยัน “เจ้ไม่ได้ยินน้ำเสียงของศิษย์น้องหลิ่วที่กล่าว 3 พยางค์นั่นออกมาหรือ ‘อาศัยเจ้า?’ อาศัยข้าก็คู่ควรหรือ ทำลายหรือไม่ข้าก็เป็นได้แค่นี้แหละ”

เยวี่ยชิงหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ศิษย์น้องหลิ่วความจริงแล้วไม่ใช่คนเลว เขาไม่ได้เป็นแบบนี้กับเจ้าคนเดียว ไม่ว่ากับใครก็ล้วนเป็นเช่นนี้”

เสิ่นชิงชิวกล่าวเยาะ “ไม่ว่ากับใครก็ล้วนเป็นเช่นนี้หรือ ศิษย์พี่เจ้าสำนักอย่ามาหลอกข้าหน่อยเลย เขาเป็นเช่นนี้กับเจ้าด้วยหรือไร”

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างอดทน “หากเจ้าแสดงน้ำใจกับเขาสักนิด เขาก็จะตอบแทนเจ้ากลับคืนเป็น 2 เท่า”

เสิ่นชิงชิวตอบว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักรู้ใจผู้อื่นจริงๆ แต่เขาทำไมไม่เป็นฝ่ายแสดงน้ำใจต่อข้าก่อนบ้างล่ะ ทำไมถึงไม่เป็นฝ่ายเห็นอกเห็นใจข้าก่อนบ้าง ทำข้าถึงต้องเป็นฝ่ายยอมลงให้เขาก่อนด้วยเล่า”

พูดกันไม่รู้เรื่องขนาดนี้ เยวี่ยชิงหยวนก็พูดอะไรต่อไม่ออก แน่นอนว่าเขาไม่อาจพูดออกไปตรงๆได้ ว่าหากมิใช่เพราะหลังงานประลองประจำปี เจ้าคิดหาทุกวิธีทางที่จะลอบทำร้ายให้เขาต้องตกที่นั่งลำบาก วันนี้เจ้ากับหลิ่วชิงเกอก็คงจะไม่พบหน้าเป็นต้องโกรธเคืองกัน มองกันและกันด้วยความเกลียดชังเช่นนี้หรอก

เสิ่นชิงชิวสะบัดมือดึงเสื้อที่คลุมไหล่ให้เข้าที่ สอดซิวหย่าคืนลงฝัก เดินไป 2 ก้าวก็คิดอะไรขึ้นมาได้ หมุนกายมากล่าวอย่างกังขา “เจ้าไฉนรู้ว่าต้องมาหาข้าที่นี่ ใครมันเอาไปฟ้องเจ้าเล่า”

เยวี่ยชิงหยวน “ข้าไปที่ชิงจิ้งเฟิงแล้วไม่เห็นเจ้า กลับเห็นพวกศิษย์น้องแห่งไป่จั้นเฟิงกำลังเตรียมจะขึ้นไป”

“เตรียมขึ้นไปทำอะไร”

“…”

เสิ่นชิงชิวหัวเราะหยัน “เตรียมมารุมโจมตีข้า ใช่หรือไม่”

ถึงแม้ปกติแล้วเสิ่นชิงชิวมักจะมีเรื่องขัดแย้งกับไป่จั้นเฟิงเป็นประจำ แต่ข้อขัดแย้งคราวนี้เกิดขึ้นอย่างไม่มีความจำเป็นจริงๆ ศิษย์คนหนึ่งของไป่จั้นเฟิงเดินทางไปยังเมืองเล็กๆห่างไกลแห่งหนึ่งเพื่อปฏิบัติภารกิจ พอดีไปเห็นใบหน้าคุ้นตาของคนผู้หนึ่งเดินเข้าหอหน่วนหงอันเป็นหอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในที่นั้นเข้า ทุกคนในไป่จั้นเฟิงไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อยก็เหมือนกับหลิ่วชิงเกอ ไม่มีใครรู้สึกดีกับเสิ่นชิงชิว เห็นโอกาสเช่นนี้ไหนเลยจะปล่อยให้ผ่านไปจึงตามเข้าไปทันที กล่าวเยาะเย้ยถากถางว่าเสิ่นชิงชิวยามปกติเสแสร้งประพฤติตนสูงส่งบริสุทธิ์ กลับเข้าออกสถานที่พรรค์นี้ ช่างเป็นที่เสื่อมเสียแก่สำนักอย่างถึงที่สุดจริงๆ

พูดจาไม่เข้าหูสองสามคำ เสิ่นชิงชิวเลยทำร้ายเขาเสียเจ็บหนักสาหัส หลังจากศิษย์ผู้นี้กลับถึงไป่จั้นเฟิง ก็ไปเจอเอาหลิ่วชิงเกอเข้า หลังซักถามจนได้ความ หลิ่วชิงเกอก็ไฟโทสะพวยพุ่ง ท่องกระบี่ออกตามหาเขาเพื่อสะสางบัญชีทันที เตรียมจะเอาคืนแบบไม่ยั้งเลยทีเดียว หากมิใช่เยวี่ยชิงหยวนจับได้ว่าบรรดาศิษย์น้องไป่จั้นเฟิงเตรียมจะไปชิงจิ้งเฟิงเพื่อพังเรือนไผ่ของเสิ่นชิงชิวแล้วละก็ ยังไม่รู้เลยว่า เมืองเล็กๆแห่งนี้จะถูกพวกเขาทุบทลายจนมีสภาพเป็นอย่างไร

เห็นเยวี่ยชิงหยวนปิดปากไม่พูดไม่จา เสิ่นชิงชิวก็พอจะเดาออก ไป่จั้นเฟิงไหนเลยจะวางแฟนทำเรื่องดีๆ เขาเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าไปชิงจิ้งเฟิงทำไม ข้ามิใช่บอกไว้ว่าอย่ามาหาข้าหรอกหรือ”

เยวี่ยชิงหยวน “ก็อยากจะไปดูๆเจ้าหน่อยว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “รบกวนศิษย์พี่เยวี่ยต้องเป็นห่วง ข้าสบายดีมาก ถึงแม้จะเป็นที่รังเกียจของคนอื่น แต่ก็ดีตรงที่เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงไม่รังเกียจ”

เยวี่ยชิงหยวนเดินตามหลังเขา กล่าวว่า “หากว่าสบายดีจริงๆ ทำไมถึงไม่เคยค้างคืนที่ชิงจิ้งเฟิงเลยเล่า”

เสิ่นชิงชิวมองเขาด้วยแววตาเย็นยะเยือก

เขารู้ว่าเยวี่ยชิงหยวนจะต้องนึกว่าเขาอยู่ชิงจิ้งเฟิงแล้วถูกกีดกันเป็นหมาหัวเน่า

การคาดเดาของเยวี่ยชิงหยวนใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่คราวนี้เขาเดาผิดไปแล้วจริงๆ ถึงแม้เสิ่นชิงชิวจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของสหายร่วมรุ่น แต่ไม่ได้ถูกกีดกันจนถึงขนาดหาที่นอนในห้องรวมไม่ได้

เสิ่นชิงชิวเพียงแต่รังเกียจที่จะต้องไปนอนเบียดกับเพศเดียวกันก็เท่านั้น

ตอนนั้น ทุกครั้งหลังจากถูกชิงเจี่ยนหลัวซ้อม หรือไม่ก็มีลางสังหรณ์ขึ้นมาว่าเดี๋ยวจะต้องถูกซ้อมแน่ ตนก็มักจะแอบปีนไปนั่งตัวสั่นงันงกในห้องนอนชิวไห่ถัง ชิงเจี่ยนหลัวไม่ยอมให้น้องสาวได้รู้สึกด้านที่วิปริตคลุ้มคลั่งของเขา ที่นั่นจึงเป็นที่เดียวที่ตนจะสามารถเข้าไปหลบได้

เมื่อก่อนก็เคยมีหญิงสาวแบบนี้อยู่คนหนึ่งคอยเป็นพี่สาวให้พวกเขา แต่พอนางโตเป็นสาวก็ถูกขายให้ตาแก่หงำเหงอะคนหนึ่งเอาไปเป็นเมียใหม่แทนเมียเก่าที่ตายไป พอพวกเขาออกจากเมืองนั้นไปก็ไม่เคยพบนางอีกเลย

ชอบผู้หญิงหาใช่เรื่องน่าละอายสักนิด แต่การเอาผู้หญิงมาเป็นเกราะป้องกัน หดตัวอยู่ในอ้อมอกของพวกนางเพื่อหาความมั่นใจให้ตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก เสิ่นชิงชิวก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องน่าละอายอย่างที่สุด ดังนั้น ให้ตาย เขาก็ไม่มีวันเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาด โดยเฉพาะเยวี่ยชิงหยวน

เสิ่นชิงชิวตอบสบายๆไม่รีบไม่ร้อย “หากข้าบอกว่า ข้าอยู่ที่ชิงจิ้งเฟิงได้ไม่สบาย เจ้าจะทำอย่างไร ทำเหมือนตอนที่ชักนำข้าเข้าชิงจิ้งเฟิง คราวนี้ก็ดึงข้าเข้าฉยงติ่งเฟิงหรือ

เยวี่ยชิงหยวนคิดๆแล้วก็ตอบอย่างหนักแน่นว่า “หากเจ้าต้องการ”

เสิ่นชิงชิวแค่นเสียงตัดบทเขา “ข้าย่อมไม่ต้องการอยู่แล้ว ข้าต้องการเป็นหัวหน้าศิษย์ เจ้ายอมยกตำแหน่งนี้ให้ข้าหรือไม่เล่า เจ้ายอมให้ข้าเป็นเจ้าสำนักหรือไม่เล่า”

เขากล่าวด้วยเสียงเฉียบขาด “ใน 12 ยอดเขา ชิงจิ้งเฟิงอย่างน้อยก็อยู่อันดับสอง ข้ามิสู้นั่งรอตำแหน่งนี้ต่อไปไม่ดีกว่ารึ”

เยวี่ยชิงหยวนถอนใจ “เสี่ยวจิ่ว ทำไมเจ้าถึงเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย”

พอได้ฟังชื่อนี้ เสิ่นชิงชิวก็ตัวสั่นเทิ้ม หงุดหงิดสุดจะเปรียบ “อย่ามาเรียกข้าแบบนี้นะ!”

ในบรรดาศิษย์รุ่น ‘ชิง’ ด้วยกัน เสิ่นจิ่วคล่องแคล่วมีไหวพริบ เจ้ายอดเขาจึงโปรดปรานเขาค่อนข้างมาก ดังนั้นถึงแม้จะเข้าสำนักได้ไม่นาน อีกทั้งพื้นฐานก็ด้อยกว่าศิษย์คนอื่น แต่กลับถูกกำหนดตัวให้เป็นผู้สืบทอดคนต่อไป หลังจากเจ้ายอดเขาตั้งชื่อให้กับหัวหน้าศิษย์ ชื่อเดิมก่อนหน้าก็ไม่เอามาใช้อีก

เมื่อก่อนชิงเจี่ยนหลัวบังคับให้เขาหัดอ่านหัดเขียนหนังสือ เสิ่นจิ่วรังเกียจเป็นที่สุดเพราะเขาไม่อยากเรียน ตอนนี้กลับได้อาศัยสติปัญญาและความรู้ที่ได้เรียนได้ท่องมาเลยฉลาดกว่าคนอื่น ได้รับความโปรดปรานจากเจ้ายอดเขา แต่ที่น่าขันกว่าก็คือ ใต้หล้านี้มีชื่อตั้งมากตั้งมาย เจ้ายอดเขาดันเอาคำว่า ‘ชิว’ ที่เป็นอักษรตัวเดียวกับสกุลชิงมาตั้งชื่อให้เขา

แต่จะน่าขันอย่างไร เจ็บแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไร เสิ่นชิงชิวก็ไม่มีทางไม่ใช้มัน ชื่อนี้จะเป็นตัวแทนของชีวิตใหม่อันสดใสโชติช่วงนับจากนี้ไปของเขา

เสิ่นชิงชิวปรับความรู้สึก แล้วกล่าวยิ้มๆ “ชื่อนี้ข้าได้ยินแล้วมีน้ำโห ลืมมันไปนานแล้ว ศิษย์พี่ก็ช่วยกรุณาลืมมันไปเสียด้วย”

เยวี่ยชิงหยวน “งั้นหากข้าเรียกเจ้าเช่นนี้ และเจ้าตอบรับขึ้นมา ก็หมายความว่าไม่โมโหใช่ไหม”

“…” เสิ่นชิงชิวยิ้มเย็น “เป็นไปไม่ได้แน่นอน เยวี่ยชิงหยวน ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง อย่าให้ข้าได้ยินชื่อนี้อีก”

5

ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็โมโหจนอดรนทนต่อไปไม่ไหว บุกไปถึงฉยงติ่งเฟิง

ฉยงติ่งเฟิ่งนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเสิ่นชิงชิวพยายามจะไปเหยียบให้น้อยที่สุด ส่วนเยวี่ยชิงหยวน เขาก็พยายามจะเจอหน้าให้น้อยที่สุดเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ งานประลองของ 12 ยอดเขาแต่ละปี จึงเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยหน่ายสำหรับเขามาก

12 ยอดเขาของชางฉยงซานกำหนดลำดับขั้นไว้ตายตัว ลำดับขั้นไม่เกี่ยวกับความเก่งกาจของแต่ละยอดเขา แต่ดูจากลำดับเวลาก่อนหลังว่าในบรรดาเจ้ายอดเขารุ่นแรกๆ ผู้บุกเบิกชางฉยงซานนั้น ผู้ใดสร้างชื่อเสียงขึ้นมาก่อน เจ้ายอดเขารุ่นต่อๆมา ก็จะเรียกขานกันและกันตามลำดับขั้น หาใช่ตามลำดับว่าใครเข้าสำนักก่อนหลัง ดังนั้น ต่อให้เขาเข้าสำนักช้ากว่าหลิ่วชิงเกอมาก แต่ชิงจิ้งเฟิงเป็นยอดเขาอันดับสอง เป็นรองจากฉยงติ่งเฟิง ขณะที่ไป่จั้งเฟิ่งอยู่ลำดับเจ็ด หลิ่วชิงเกอจึงจำต้องกัดฟันเรียกเขาว่า ‘ศิษย์พี่’ อย่างไม่อาจเลี่ยง

แต่ขณะเดียวกัน เพราะการลำดับขั้นเช่นนี้ ทุกครั้งศิษย์ของฉยงติ่งเฟิงกับชิงจิ้งเฟิงเลยต้องตั้งแถวติดกัน หัวหน้าศิษย์ก็ไม่อาจไม่ยืนด้วยกัน

หากเวลาอื่นเยวี่ยชิงหยวนหาตัวเขาไม่เจอ ก็จะฉวยโอกาสนี้ถามสารทุกข์สุขดิบเขาไม่หยุด ตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ อย่างการฝึกฌาน จนถึงเรื่องเล็กอย่างการกินอยู่ พล่ามไปเรื่อย

ถึงแม้เสิ่นชิงชิวจะรำคาญเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้โง่เง่าถึงขนาดสร้างความลำบากใจให้กับหัวหน้าศิษย์ของเจ้าสำนักต่อหน้าธารกำนัล เยวี่ยชิงหยวนถาม 20 ประโยค เขาตอบหนึ่งประโยค ห่างเหินแต่ไม่เสียมารยาท ในใจกลับทบควนคาถาที่หัดท่องเมื่อคืน หรือคำนวณแผนการอื่นๆไปด้วย

นี่เป็นฉากชวนหัวที่สุดประจำงานประลองแต่ละปี คนทั้งสองอาจไม่รู้ แต่สำหรับศิษย์ส่วนใหญ่แล้ว ก่อนหน้าที่งานประลองจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ การได้มองหัวหน้าศิษย์สองคนนี้ ที่คนหนึ่งทำตัวผิดปกติไม่สนใจจะรักษาความสงบคอยพูดพึมพำ ส่วนอีกคนไม่ยอมหันไปแล สายตามองตรงไปข้างหน้าไม่วอกแวก ขณะที่ปากคอยอือออไปเรื่อยอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นับเป็นความบันเทิงเพียงหนึ่งเดียวในระหว่างการกล่าวปาฐกถาแสนจะยืดยาวและน่าเบื่อของเจ้ายอดเขา

ดังนั้นการที่เสิ่นชิงชิวเป็นฝ่ายไปที่ฉยงติ่งเฟิงเสียเอง ไม่เพียงเยวี่ยชิงหยวนจะประหลาดใจระคนยินดี บรรดาศิษย์เกือบจะทุกคนในที่นั้นล้วนอยากจะตีฆ้องร้องป่าวเรียกใครๆมาดูกันเป็นแถว

เสิ่นชิงชิวกลับไม่พูดอะไรมาก เขาไม่ชอบใจที่มีคนมาเหมาเอาว่าจะมีละครลิงให้ดู พอขออนุญาตไปฝึกบำเพ็ญเพียรในถ้ำหลิงซีได้ ก็เดินจากไปทันที

ถ้ำหลิงซีเปี่ยมไปด้วยปราณทิพย์ และตัดขาดจากโลกภายนอก เสิ่นชิงชิวเดินทะลุเข้าไปข้างใน หน้าตายิ่งมายิ่งบึ้งตึง

วันเวลาอันสูญเปล่าระหว่างที่อยู่ในกำมือของชิวเจี่ยนหลัวและอู่เยี่ยนจื่อ มีผลกระทบอย่างที่กล่าวได้ว่าไม่ใช่น้อยๆ

ในบรรดาเจ้ายอดเขารุ่นใหม่ เยวี่ยชิงหยวนย่อมถึงระดับจินตานได้ก่อนใคร ฉีชิงชีกับหลิ่วชิงเกอแทบจะฝ่าทะลวงเลื่อนขั้นได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน แม้แต่ซั่งชิงหัวแห่งอันติ้งเฟิงที่ไม่ได้เรื่องได้ราวก็สามารถบรรลุระดับจินตานได้ทันก่อนขึ้นรับตำแหน่งอย่างฉิวเฉียด

ยิ่งเสิ่นชิงชิวร้อนใจก็ยิ่งย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน กระวนกระวายเหมือนกับกลืนระเบิดลงไปนับร้อยๆชั่ง แผดเผ่ในอกในสมองจนร้อนรน ไฟโทสะเดือดพล่านทุกวัน สภาพเช่นนี้ของเขาไม่ว่าใครก็ย่อมไม่กล้าไปกวนโมโห แต่ไม่กล้ากวนโมโห ไม่ได้หมายความว่าเสิ่นชิงชิวจะยอมปล่อยผ่านไป

เห็นๆอยู่ว่าให้วิชาบำเพ็ญฌานเบื้องต้นผิดๆแก่ลั่วปิงเหอไป เขาน่าจะเลือดออกทวารทั้งเจ็ด ร่างระเบิดตายไปเสียนานแล้ว เหตุไฉนไม่เพียงไม่มีอาการ มิหนำซ้ำระดับฝีมือเขายังเพิ่มขึ้นอย่างคงเส้นคงวาอีกด้วย

อุตส่าห์บอกหนิงอิงอิงเสียหลายครั้งหลายหนแล้วว่าให้อยู่ห่างๆ ห้ามไม่ให้มั่วสุมกับลั่วปิงเหอ ทำไมถึงยังเห็นพวกเขากระซิบกระซาบกันต่อหน้าต่อตาอยู่ได้ทุกวัน

เสิ่นชิงชิวระแววสงสัยไปหมดทุกอย่าง มักจะคิดว่ามีคนแอบซุบซิบนินทาลับหลังเรื่องที่เขาเข้าสู่ระดับจินตานช้า ไม่เห็นด้วยที่เขาได้ตำแหน่งเจ้ายอดเขา คิดจะแทงตนข้างหลังเพื่อดำรงตำแหน่งแทน

ปิดด่านฝึกวิชาในภ้ำหลิงซีคราวนี้ หากไม่อาจฝ่าทะลวงเลื่อนขั้นได้ละก็…

เสิ่นชิงชิวอยู่บนแท่นหิน ยังคงคิดฟุ้งซ่านไม่หยุดจนหลั่งเหงื่อเย็นๆออกมา ลมหายใจติดขัด ตาลายเห็นดาวระยิบระยับตรงหน้า พลันรู้สึกว่าพลังทิพย์ขุมหนึ่งพลุ่งพล่านปั่นป่วนอยู่ในชีพจร

นี่หาใช่เรื่องเล็กน้อย เขาใจสั่น รีบนั่งตัวตรง พยายามจะระงับสติอารมณ์อย่างเต็มที่ แต่แล้วก็มีคนเข้ามาใกล้จากทางด้านหลัง

เสิ่นชิงชิวขนลุกซู่ ชูชิวหย่าขึ้นโดยพลัน ชักกระบี่ออกมาครึ่งฝัก ถามเสียงแข็งกระด้างว่า “ผู้ใด!”

มือข้างหนึ่งกดไหล่เขาเบาๆ

เยวี่ยชิงหยวน “ข้าเอง”

เสิ่นชิงชิว “…”

เยวี่ยชิงหยวนถ่ายพลังทิพย์ให้เขาอย่างต่อเนื่อง สยบกระแสปราณทิพย์ที่ปั่นป่วนให้สงบลง กล่าวว่า “เป็นความผิดของข้าเอง ศิษย์น้องกำลังใจคอไม่สงบ กลับมาทำให้เจ้าตกใจ”

เสิ่นชิงชิวเพิ่งจะถูกความคิดฟุ้งซ่านของตนเองทำให้เกิดอาการตกใจกลัว ด้วยเพราะเหตุนี้จึงยิ่งไม่อยากฟังคนอื่นเปิดโปง กล่าวอย่างโมโหว่า “ผู้ใดตกใจกัน! ศิษย์พี่เจ้าสำนักมิใช่ว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเข้าถ้ำหลิงซีมาปิดด่านฝึกวิชาหรอกหรือ พอข้าเข้ามา ก็ถึงกับต้องตามมาแย่งชิงที่กับข้าด้วย!?”

เยวี่ยชิงหยวน “ข้ามิใช่ไม่เคยเข้ามา เมื่อก่อนก็เคยเข้า”

เสิ่นชิงชิวจับต้นชนปลายไม่ถูก “ผู้ใดสนว่าเจ้าเคยเข้ามาหรือไม่”

เยวี่ยชิงหยวนถอนใจ “ศิษย์น้อง เจ้าพูดให้น้อยลงสักคำสองคำ ตั้งอกตั้งใจปรับลมปราณให้คงที่จะได้หรือไม่?”

เทียนบนแท่นศิลาอันแห้งผากส่องแสงวับแวมสลัวๆ เสิ่นชิงชิวเดิมทีอยากต่อล้อต่อเถียง แต่พอเห็นภาพโดยรวมภายใจคูหาถ้ำที่เขาเลือกก็ต้องตกตะลึง หลุดปากไปว่า “ที่นี่เคยมีคนฆ่ากันตายมาก่อนหรือ”

บนผนังถ้ำล้วนเต็มไปด้วยรอยมีดฟันขวามจาม ดูราวกับแผลเป็นพาดตัดกันชั้นแล้วชั้นเล่าบนหน้าคน ดูสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

เยวี่ยชิงหยวนกล่าวตอบมาจากด้านหลัง “ไม่มีหรอก ในถ้ำหลิงซีไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้กัน”

นอกจากรอยกระบี่แล้ว ยังมีรอยเลือดสีแดงคล้ำเป็นปื้นอีกด้วย

บางแห่งดูเหมือนเอากระบี่แทงเข้าร่างจนเลือดสาดกระจาย บางแห่งดูเหมือนมีคนเคยเอาหน้าผากโขกกับผนังหินเพื่อร้องขออะไรบางอย่าง มีร่องรอยการโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เสิ่นชิงชิวมองรอยเลือดสองสามแห่งที่เกือบจะกลายเป็นสีดำอยู่แล้ว “เช่นนั้น…ก็มีคนตายอยู่ในนี้หรือ”

ตอนที่พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน มักจะเป็นเยวี่ยชิงหยวนที่คอยพูดจาไม่หยุดปาก ไม่เคยมีสถานการณ์ที่เยวี่ยชิงหยวนไม่พูดไม่จามาก่อนเลย เสิ่นชิงชิวไม่ชินอย่างมาก อยู่ๆก็ขนลุกเกรียว “…เยวี่ยชิงหยวน”

เยวี่ยชิงหยวน “ข้าอยู่นี่…”

เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “อยู่แล้วทำไมถึงไม่ส่งเสียงสักแอะ”

เยวี่ยชิงหยวน “มิใช่ว่าพอข้าเปิดปาก ศิษย์น้องก็จะรำคาญหรอกหรือ”

เสิ่นชิงชิวหัวเราะเฮอะๆ “ใช่แล้ว เจ้ามันน่ารำคาญ ที่แท้เจ้าก็รู้ตัวนี่!”

แต่อย่างไรเขาก็ไม่อยากอยู่เงียบๆ ในที่มืดสลัวเช่นนี้ จึงได้แต่คุยเรื่องนี้ต่ออย่างฝืนใจเต็มที “ได้ยินว่าบางครั้งถ้ำหลิงซีเอาไว้ใช้ขังคนที่ธาตุไฟเข้าแทรก หลงเข้าสู่เส้นทางสายมาร เจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นสถานการณ์แบบนี้”

เนิ่นนาน เยวี่ยชิงหยวนเพียงทำเสียงอืมเบาๆ ปิดปากเงียบไม่ออกความเห็น

เสิ่นชิงชิวถามไม่ได้ความ จ้องผนังถ้ำอยู่ครู่หนึ่งก็ลงความเห็นว่า “ดูท่าว่าคนๆนี้อยากออกไปให้ได้จริงๆ ดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่นายมากกว่าจะตายไป”

หากเลือดเหล่านี้เป็นเลือดของคนๆเดียวกัน ไม่ตายก็ร่อแร่แน่นอน

อยู่ เสิ่นชิงชิวก็รู้สึกว่ามือของเยวี่ยชิงหยวนที่ทาบกับไหล่ตนดูจะเคลื่อนไหวผิดไปจากปกติ เขาถามอย่างระแวง “เป็นอะไรไป”

ผ่านไปครู่ใหญ่ เยวี่ยชิงหยวนจึงค่อยกล่าวว่า “ไม่มีอะไร”

เสิ่นชิงชิวหุบปาก

เขามองไม่เห็นสีหน้าของเยวี่ยชิงหยวนที่อยู่ด้านหลัง แต่มือที่ส่งถ่ายพลังทิพย์ให้เขานั้น กลับเหมือนจะสั่นเบาๆ

6

ตอนเสิ่นชิงชิวฟื้นขึ้นมา ค่อยรู้สึกว่าบาดแผลบนร่างเย็นสบายขึ้นมาบ้าง ความปวดแสบปวดร้อนอันแสนทรมานระดับมีชีวิตอยู่มิสู้ตายก่อนหน้านี้บรรเทาลงไปไม่น้อย

เขาฝืนลืมตาขึ้นมาอย่างลำบากก็เห็นว่าเงาร่างของใครบางคนนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ก้มหน้าตรวจดูอาการของเขา

ชายเสื้อสีดำแผ่สยายอยู่บนแท่นศิลาสีขาว คลุมทับกระบี่ยาวเก่าคร่ำคร่าไม่สะดุดตาเล่มหนึ่ง มีขวดยาว่างเปล่าสองสามขวดล้มกลิ้งอยู่

กระบี่คือเสวียนซู่ คนผู้นั้นย่อมเป็นเยวี่ยชิงหยวน ใบหน้ายังคงหล่อเหลาอ่อนโยน แต่ซีดขาวกว่าปกติค่อนข้างมาก ทั้งดูอิดโรย เวลาเช่นนี้ ก็มีแต่เยวี่ยชิงหยวนที่ยังมาดูเขา

เสิ่นชิงชิวเอ่ยคำด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ้าเข้ามาได้อย่างไร”

ลั่วปิงเหอไม่ต้องการให้เขาสุขสบาย แล้วยอมให้เยวี่ยชิงหยวนเข้าคุกน้ำมาช่วยรั้งลมหายใจได้อย่างไร

เยวี่ยชิงหยวนเห็นเขายังพูดได้ก็โล่งอก กุมมือเขาไว้พลางกล่าวเสียงต่ำ “ไม่ต้องพูดแล้ว รวบรวมปราณตั้งสมาธิ”

เขาอยากถ่ายพลังทิพย์ให้เสิ่นชิงชิว บาดแผลจะได้หายเร็วขึ้น คราวนี้เสิ่นชิงชิวมิได้สะบัดหนีเขาอีก เพราะในใจกำลังคิดว่า จริงซิ อย่างน้อยๆก็เป็นถึงเจ้าสำนักคนหนึ่ง ลั่วปิงเหอกับประมุขเฒ่าวังฮ่วนฮวาต่อให้มีท่าทีแข็งกร้าวอย่างไร ฉากหน้าก็ต้องให้เกียรติเขา 3 ส่วน

แต่คงยุ่งยากไม่น้อยกว่าจะเข้ามาได้

พลังทิพย์แล่นผ่านปากแผล ตรงบริเวณที่เนื้อหนังแหว่งวิ่นปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกเข็มเหล็กจิ้มถี่ๆ

เสิ่นชิงชิวกัดฟันแน่น แค้นจนต้องหัวเราะออกมา “ไอ้หมาพันทางลั่วปิงเหอ เหลี่ยมคูของมันกลับไม่น้อยเลยจริงๆ”

ได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเข้ากระดูกดำเช่นนี้ เยวี่ยชิงหยวนก็ถอนใจอีกคำรบหนึ่ง

ความจริงแล้วเยวี่ยชิงหยวนไม่ใช่คนชอบทอดถอนใจ แต่เสิ่นชิงชิวก็มักจะก่อปัญหาให้เขานั่งไม่ติดได้เสมอ

เขากล่าวอย่างอ่อนแรง “…ศิษย์น้อง เรื่องมาถึงป่านนี้…เจ้าทำไมถึงยังไม่ทบทวนความผิดของตัวเองสักนิดเล่า”

ต่อให้ทุบตีจนฟันหักต้องกลืนเลือดลงท้อง เสิ่นชิงชิวก็ไม่มีวันยอมรับผิดเด็ดขาด โดยเฉพาะต่อหน้าเยวี่ยชิงหยวน ยิ่งอย่าหมายว่าเขาจะยอมรับ

เสิ่นชิงชิวกล่าวด้วยความชิงชังว่า “ข้ามีความผิดอะไร ศิษย์พี่เจ้าสำนักช่วยบอกข้ามาที ลั่วปิงเหอมิใช่ไอ้หมาพันทางแล้วจะเป็นอะไร คอยดูไปเถอะ มันไม่พอใจแค่จัดการข้าคนเดียวหรอก วันหน้าหากโลกของผู้ฝึกวิชาเซียนเกิดความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นมาละก็ ความผิดอย่างเดียวของข้าก็คือ ไม่ได้เอากระบี่ฆ่ามันให้ตายเสียแต่แรก”

เยวี่ยชิงหยวนส่ายหน้า ราวกับคาดไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเจอคำตอบแบบนี้จึงไม่คิดจะโน้มน้าวตักเตือนเขาอีก เรื่องถึงขั้นนี้ไม่ว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว

เขาถามขึ้นอย่างปุบปับว่า “ศิษย์น้องหลิ่วเป็นเจ้าฆ่าจริงๆหรือ”

เสิ่นชิงชิวไม่คิดจะพูดอะไรเพื่อเอาใจเขาเลยสักนิด

แต่ยังคงเหลือบมองสีหน้าเยวี่ยชิงหยวนแวบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่

เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และแล้วก็ชักมือที่เยวี่ยชิงหยวนกุมอยู่กลับมาโดยพลัน ยันกายลุกขึ้นนั่งบนพื้น

เยวี่ยชิงหยวน “เจ้ามักจะบอกว่ามีสักวันที่เจ้าจะต้องฆ่าเขา แต่ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าจะฆ่าเขาจริงๆ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวเสียงเย็นชา “ตอนนี้เจ้ามิใช่คิดไปแล้วหรอกหรือ ฆ่าก็ฆ่าไปแล้ว ศิษย์พี่เจ้าสำนักมาตำหนิผู้แซ่เสิ่นเอาตอนนี้ ไม่รู้นึกว่าสายไปหน่อยหรือ หรือว่าท่านคิดจะจัดการข้าเพื่อสำนักเล่า”

เยวี่ยชิงหยวน “ข้าไม่มีสิทธิ์ไปกล่าวหาเจ้าหรอก”

สีหน้าและแววตาของเขาสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด สงบเสียจนเสิ่นชิงชิวพาลโกรธขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร!?”

“ศิษย์น้องเคยคิดหรือไม่ว่า หากเจ้าไม่ได้กระทำต่อลั่วปิงเหอเช่นนั้นแต่แรก ทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”

เสิ่นชิงชิวหัวเราะลั่นอย่างอดไม่อยู่

“ศิษย์พี่เจ้าสำนักทำไมถึงพูดอะไรน่าขันเช่นนี้ เรื่องมันเกิดไปแล้วก็คือเกิดไปแล้ว ต่อให้ข้า ‘เคยคิด’ เป็นพันตลบหมื่นตลบ ก็ไม่มีคำว่า ‘ถ้าหากมิได้ทำเช่นนั้นเสียแต่แรก’ หรอก อย่างไรก็ไม่มีโอกาสที่จะแก้ไขกลับคืนมาแล้ว!”

เยวี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าคำพูดของตนเป็นการปักมีดเข้าไปที่ทรวงอกเขา ตอนแรกก็นึกสะใจยิ่งนัก แต่พอเห็นเขาตกตะลึงจนทรุดลงไปนั่งแปะกับพื้น มองตนอย่างโง่งม ความสงบเยือกเย็นและองอาจสง่างามจึงมลายสิ้นไม่มีเหลือ ดูแก่ลงไปหลายปีในชั่วพริบตา ทันใดนั้นความรู้สึกอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่งก็แล่นขึ้นสู่หัวใจของเสิ่นชิงชิว

อาจจะเป็นความสงสารเห็นใจ

เจ้าสำนักเยวี่ยแห่งชางฉยงซานผู้สุขุมตลอดศก ต่อให้ภูเขาไท่ซานถล่มลงมาตรงหน้าก็ไม่เคยแสดงอาการหวั่นไหว ขณะนี้ดูจนตรอกถึงปานนี้ อ่อนแอถึงปานนี้ ช่างน่าสงสารเห็นใจอยู่บ้างจริงๆ

ความรู้สึกสงสารเห็นใจที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ ได้คลายปมบางอย่างที่อยู่ในใจเสิ่นชิงชิวมาตลอดหลายปีออกไป

จู่ๆเข้าก็คิดอย่างอิ่มเอมว่า เยวี่ยชิงหยวนทำดีและรักษาสัจจะกับเขาอย่างถึงที่สุดแล้ว

ต่อให้ในใจรู้สึกผิดอย่างไร ก็ชดเชยให้จนหมดสิ้นไปนานแล้ว

เสิ่นชิงชิวกล่าว “เจ้าไปเถอะ ขอบอกว่า ต่อให้ได้โอกาสใหม่อีกครั้ง ผลก็จะยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ดี ข้ามันจิตใจชั่วร้าย เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท วันนี้ลั่วปิงเหอต้องการให้ข้าไม่ได้ตายดี ทั้งหมดก็เป็นเพราะข้าก่อกรรมของข้าเอง”

เยวี่ยชิงหยวน “ตอนนี้ในใจของเจ้า ยังรู้สึกแค้นอยู่หรือไม่”

เสิ่นชิงชิวหัวร่อฮ่าๆ “ข้าน่ะ ต้องการจะเห็นผู้อื่นไม่มีความสุข ตัวข้าถึงจะมีความสุข ท่านจะว่าอย่างไรเล่า”

เยวี่ยชิงหยวนประคองเสวียนซู่ด้วยสองมือส่งให้เขา “หากว่ายังแค้นก็ชักเสวียนซู่ออกมาเอาชีวิตข้าไปเถิด”

เสิ่นชิงชิวกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าสำนักเยวี่ย ฆ่าเจ้าที่นี่น่ะรึ เจ้ารังเกียจว่าลั่วปิงเหอยังตั้งข้อหาข้าไม่พอหรือไร จะว่าไป เจ้านึกว่าเจ้าเป็นใครกัน ฆ่าเจ้าแล้วข้าก็หายแค้นเลยหรือ ข้ามันเกินจะเยียวยาแล้ว ไม่ว่าอะไรข้าก็แค้นไปหมด อย่าตำหนิผู้แซ่เสิ่นที่เสียมารยาทหัวเราะขันเจ้าเลย เจ้าสำนักเยวี่ยนึกว่าตนเองเป็นยาดีหรือไร ออกจะหลงตัวเองไปหน่อยแล้ว!”

เขาพูดจาเยาะเย้ยถากถางอย่างโจ่งแจ้งถึงขนาดนี้ แต่เยวี่ยชิงหยวนทำราวกับฟังไม่เข้าใจ ไม่ยอมปล่อยมี ทั้งยังรวบรวมความกล้าร้องออกมาว่า “เสี่ยวจิ่ว ข้า…”

เสิ่นชิงชิวตวาด “อย่ามาเรียกข้าแบบนี้นะ!”

มือที่ชูกระบี่ของเยวี่ยชิงหยวนค่อยๆตกลง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยกมือขึ้นมากุมมือใหม่ เพื่อถ่ายพลังทิพย์รักษาอาการบาดเจ็บให้เขาอย่างต่อเนื่อง

ราวกับความกล้าหาญถูกตีเตลิดหายไปแล้ว ครู่ต่อมา เยวี่ยชิงหยวนก็ไม่เอ่ยปากกล่าววาจาอีกเลย

สุดท้าย เสิ่นชิงชิวจึงกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าสำนักที่หยิบยื่นน้ำใจ เจ้าไปให้พ้นๆซะทีเถอะ ภายหน้าอย่าได้โผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีก”

เยวี่ยชิงหยวนเอาเสวียนซู่แขวนไว้ที่เอวใหม่อีกครั้ง ค่อยๆเดินออกไปดังที่เขาต้องการ

หากหนีรอดจากหายนะได้ ก็จงหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะหนีได้เถอะเจ้าสำนักเยวี่ย

นับจากนี้ไป ก็อย่ามาเกี่ยวข้องอะไรกับคนอย่างเสิ่นชิงชิวอีกเลย

7

เสิ่นชิงชิวใช้ตาที่เหลืออยู่ข้างเดียวจับจ้องประตูทางเข้าห้องใต้ดินเขม็ง ไม่รู้ว่าจ้องมาแล้วกี่วัน ในที่สุดลั่วปิงเหอก็มา

ต่อให้เป็นห้องใต้ดินที่อับชื้นและมืดสลัว ลั่วปิงเหอก็ยังหล่อเหลาสะอาดเอี่ยม ไร้ซึ่งฝุ่นละออง เขาเหยียบย่างไปตามคราบเลือดสีคล้ำฝังแน่นบนพื้น พลางกล่าวเสียงดังด้วยท่าทางยินดี

“เจ้าสำนักเยวี่ยไปตามนัดจริงๆ ต้องขอบคุณจดหมายเลือดอันโศกเศร้าสุดจะทนของซือจุนแล้ว หาไม่แล้ว ศิษย์คงไม่สามารถจัดการอย่างรวบรัดง่ายดายขนาดนี้แน่ เดิมทีคิดจะเอาศพของเจ้าสำนักเยวี่ยมาให้ซือจุนดูสักหน่อย จนใจที่ธนูบนร่างมีพิษประหลาด พอศิษย์เข้าไปใกล้ แตะเบาๆทีหนึ่ง เจ้าสำนักเยวี่ยก็…เฮ้อ ได้แต่เอากระบี่กลับมาเล่มหนึ่ง ขอมอบให้ซือจุนไว้ดูเป็นที่ระลึกก็แล้วกัน”

ลั่วปิงเหอโกหกเขา

ลั่วปิงเหอเป็นจอมลวงโลกที่พูดจาหน้าไหว้หลังหลอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่รู้สึกละอาย ถ้อยคำลวงโลกของเขามันช่างมากมายเกินไปแล้ว ดังนั้นคราวนี้เขาก็คงเล่นลูกไม้มาตบตาผู้คนอีกตามเคย

ลั่วปิงเหอนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งไว้ด้านข้าง นี่คือเก้าอี้ที่เขาเอาไว้นั่งมองเสิ่นชิงชิวแหกปากร้องโหยหวนโดยเฉพาะ เขาเป่าน้ำชาในถ้วยที่ยังร้อนกรุ่นออกความเห็นว่า “กระบี่ดีคู่กับผู้กล้า เสวียนซู่เป็นกระบี่ชั้นเยี่ยม ก็นับว่าเหมาะกับเจ้าสำนักเยวี่ยยิ่งนัก ทว่าในกระบี่เล่มนี้ ยังมีสิ่งที่

วิเศษพิสดารยิ่งกว่าอยู่ด้วย พลังฝึกปรือของเจ้าสำนักเยวี่ยช่างทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ซือจุนพักผ่อนในบั้นปลายของชีวิตอยู่ที่นี่ หากว่างจัดไม่มีอะไรทำ จะลองศึกษาพิจารณากระบี่เล่มนี้ดูเล่นๆก็ได้ มันน่าสนใจมากเลยนะ”

เสิ่นชิงชิวไม่เข้าใจ

คราวสุดท้ายที่พวกเขาสองคนพบกันในคุกน้ำของวังฮ่วนฮวา เขาพยายามจะพูดจาโหดร้ายทั้งเยาะเย้อถากถางอย่างเต็มที่เพื่อไล่เยวี่ยชิงหยวนไป ซึ่งเยวี่ยชิงหยวนก็ไปแล้วนี่ เสิ่นชิงชิวคิดว่าเขาคงไม่มาตามนัดของจดหมายเลือดนั่นหรอก คนธรรมดาที่มีความคิดย่อมไม่มีทางเดินเข้าสู่กับดักอันโจ่งแจ้งเปิดเผยแบบนี้แน่

ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

ไม่ได้มาไม่ใช่หรือ

ลั่วปิงเหอออกจะพอใจต่อผลที่เกิดขึ้น ยิ้มหน้าระรื่น “อ้อ จริงซิ จดหมายเลือดฉบับนั้นของซือจุนถึงแม้น่าประทับใจมาก แต่เขียนผ่านๆแบบขอไปทีอยู่สักหน่อย ที่เขียนส่งเดชให้ศิษย์ก็เพราะความเจ็บปวดทรมานที่ได้รับ เรื่องนี้ศิษย์พอจะเข้าใจอยู่ ดังนั้น เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าจึงแนบของอย่างอื่นอีกสองชิ้นไปด้วยเป็นพิเศษ”

เสิ่นชิงชิวเข้าใจแล้ว ‘ของอย่างอื่น’ ก็คือขา 2 ข้างที่เคยอยู่บนร่างตนนั่นเอง

ช่างน่าขันเกินไปแล้ว

ในอดีตที่เฝ้าหวังทั้งวันทั้งคืนอยากให้มา กลับไม่มา แต่ยามที่ไม่คิดว่าเขาจะมา กลับดันมา

มุมปากเสิ่นชิงชิวหยักยิ้มเย็นชา “หึๆ เยวี่ยชิงหยวนหนอ เยวี่ยชิงหยวน”

อารมณ์ของลั่วปิงเหอตอนแรกก็ยังสำราญดีอยู่ แต่พอเห็นเขายิ้มประหลาดก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เขาถามเสียงเบา “เจ้ายิ้มทำไม”

เสิ่นชิงชิวไม่สนใจเขา ยังคงยิ้มหยัน

ลั่วปิงเหอเก็บสีหน้าลำพอง กล่าวเสียงเข้ม “เสิ่นชิงชิว เจ้าคงมิได้คิดว่าแสร้งเป็นบ้าต่อหน้าข้าจะมีประโยชน์กระมัง”

เสิ่นชิงชิวพูดเน้นทีละคำ “ลั่วปิงเหอ เจ้าเป็นหมาพันทาง เจ้ารู้หรือไม่”

รอบด้านตกอยู่ในความเงียบกริบ

ลั่วปิงเหอจ้องมองเขา เสิ่นชิงชิวก็จ้องกลับตาเขม็ง

แต่แล้ว จู่ๆ ลั่วปิงเหอก็ยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง มือขวาจับเข้าที่ไหล่ซ้ายของเสิ่นชิงชิวแล้วบีบ

เสียงร้องโหยหวนแสบแก้วหูช่างชวนเขย่าขวัญเสียนี่กระไร

ตรงปากแผลที่แขนซ้ายของเสิ่นชิงชิวฉีกขาดเลือดพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ เขาแหกปากร้องไปพร้องๆกับที่ยังหัวเราะลั่น ลมหายใจสะดุดเป็นห้วงๆ “ลั่วปิงเหอ ฮ่าๆๆๆ ลั่วปิงเหอเจ้า…”

สำหรับลั่วปิงเหอแล้ว การทรมานเสิ่นชิงชิวเป็นเรื่องเบิกบานใจอย่างยิ่ง เสียงร้องโหยหวนของเสิ่นชิงชิวทำให้เขาตัวเบาราวกับเป็นเซียน ทว่าคราวนี้ไม่รู้อย่างไร ลั่วปิงเหอกลับมิได้มีความสะใจเช่นนั้นนัก

ในอกเขาพลันหอบหายใจอย่างรุนแรง เขาถีบเสิ่นชิงชิวจนหน้าหงานแล้วกลิ้วไปกับพื้นหลายตลบ เลือดนองไปทั่ว

ตอนนั้นลั่วปิงเหอก็ฉีกขาทั้ง 2 ข้างของเขาออกไปลักษณะนี้เช่นกัน ฉีกราวกับฉีกขาแมลง หลังจากเจ็บจนเหมือนตกนรกแล้ว ความรู้สึกนี้ก็เหมือนไม่ใช่ความจริงอีกต่อไป

แต่เสิ่นชิงชิวกลับกล่าวได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เสียงดังฟังชัดกว่าเดิมว่า “ลั่วปิงเหอ เจ้ามีวันนี้ ล้วนเป็นเพราะข้าประทานให้ เหตุใดจึงไม่สำนึกบุญคุณข้า แต่กลับเนรคุณเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็เป็นหมาพันทางที่ไม่รู้จักบุญคุณคนจริงๆนั่นแหละ ฮ่าๆๆๆ”

แต่หลังจากระเบิดโทสะไปชั่วประเดี๋ยวเดียว ลั่วปิงเหอก็ใจเย็นลงหัวเราะอย่างชั่วร้าย กล่าวเสียงเบาหวิวว่า “อยากตายหรือ ไหนเลยจะมีเรื่องง่ายดายเช่นนั้น ซือจุน ชีวิตนี้ท่านทำเรื่องชั่วร้ายไว้มากมาย ไม่ว่ากับคนที่มีความแค้นหรือไม่มีความแค้นท่านก็ทำร้ายเขา ขนาดจะตายไม่ตายแหละก็ยังทำร้ายเจ้าสำนักอีกผู้หนึ่งได้ ท่านไม่ตายให้ช้าลงหน่อยเพื่อลองลิ้มรสความทรมานทั้งหมดที่ทุกคนได้รับดูบ้างสักครั้ง แล้วจะชดเชยให้พวกเขาอย่างไรเล่า”

เขาโบกมือทีหนึ่ง ปาซากของเสวียนซู่ที่หักลงพื้น

ได้ยินเสียงนี้ คอของเสิ่นชิงชิวก็ราวกับถูกมีดคมไร้รูปปาด เสียงหัวเราะหยุดกึก

ท่ามกลางผมเผ้ายุ่งสยาย ใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบเลือด สองตากลับเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิงสีขาวในยามราตรี เขาคืบคลานอย่างยากลำบากไปยังซากกระบี่หัก

ไม่เหลืออะไรเลย

ยกเว้นเพียงแค่กระบี่เล่มหนึ่งเท่านั้น

ตนเป็นผู้ทำให้ลั่วปิงเหอเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ แล้วผลลัพธ์ของตนใครเป็นผู้ก่อล่ะ

เยวี่ยชิงหยวนไม่ควรจะมีจุดจบเช่นนี้เลย

เพื่อที่จะไปตามนัดเก่าที่สายไปสิบกว่าปี เพื่อบรรลุคำมั่นสัญญาที่ไม่มีประโยชน์ข้อหนึ่ง

กระบี่หักคนม้วย

มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้

เลือดไหลเป็นทาง แต่ขณะจะไหลมารวมกันก็เบนออกจากกันไปเสียแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version