Skip to content

Scumbag System 23

ตอนพิเศษ 2

บันทึกประสบการณ์เมื่อครั้งปราบภูตสาวพราวเสน่ห์กับพี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่

เรื่องนี้ เกิดขึ้นระหว่างที่อาจารย์เสิ่นถีบลั่วปิงเหอลงไปเก็บเลเวลอยู่ในห้วงอเวจี

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ข้ายังรู้สึกว่าเจ้าอย่าตามมาด้วยจะดีกว่า จริงๆนะ”

หลิ่วชิงเกอทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงเดินต่อ

เขาเดินหน้าเชิด ยโสโอหังไม่เห็นหัวใคร พู่ห้อยกระบี่เฉิงหลวนแกว่งเบาๆอยู่ด้านหลัง คล้ายดั่งว่าที่เดินอยู่ไม่ใช่ทางสายน้อยบนภูเขาที่ดารดาษไปด้วยพรรณไม้ดอกไม้สูงๆต่ำๆ และเถาวัลย์ห้อยระย้า หากแต่เป็นลานฝึกซ้อมของไป๋จั้นเฟิงอันร้อนระอุกลางแดดจ้า

เสิ่นชิงชิวเดือนด้วยความหวังดีจากใจ “ศิษย์น้อง อย่าฝืนตัวเองไปเลย”

หลิ่วชิงเกอตัดบทเขา “จะกลับไปหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ฟันก๊วนนี้เสร็จ เอ๊ย…ไม่ใช่ จัดการเม่ยเยา(ภูตยวนเสน่ห์) ตรงนี้เสร็จ เดี๋ยวข้าก็กลับแล้ว”

หลิ่วชิงเกอกล่าวต่อ “คราวก่อนเจ้าก็พูดแบบนี้”

เสิ่นชิงชิว “อ้อ”

หลิ่วชิงเกอกล่าวว่า “แล้วเจ้าก็หายหัวไปเลยหนึ่งเดือน”

เสิ่นชิงชิวตอบ “ศิษย์พี่ไม่ตายอยู่ข้างนอกหรอกน่า เวลาพิษไร้ยาถอนใกล้จะกำเริบขึ้นมา มีครั้งไหนที่ข้าไม่กลับชางฉยงซานไปหาพวกเจ้ากัน ไม่จำเป็นต้องลำบากศิษย์น้องไล่ตามมาเลย…”

หลิ่วชิงเกอลงเสียงหนัก “ข้าไม่ได้ตาม เป็นคำสั่งของศิษย์พี่เจ้าสำนัก”

ใช่ๆๆ เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างทุกข์ระทม “ศิษย์พี่เจ้าสำนักช่างเป็นคนดีจริงๆ…”

เว้นระยะไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ความจริงศิษย์พี่เองก็หวังดีต่อเจ้านะ คนในเมืองที่ตีนเขาเล่ากันว่า เม่ยเยาชอบบุรุษหน้าตาหล่อเหลาองอาจฮึกเหิมเป็นที่สุด ศิษย์น้องหลิ่วจะขอตามมาให้จงได้ เกรงว่าจะต้องถูกพวกนางจ้องตาเป็นมันเอานา”

หลิ่วชิงเกอแค่นเสียงทีหนึ่ง ขณะกำลังจะกล่าวตอบ จู่ๆเสียงขับขานหวานหยดย้อยก็ดังก้องกังวานไปทั่วหุบเขา

เพลงนี้ดังวนอยู่ 3 รอบ เปี่ยมไปด้วยเจตนายั่วเย้าที่บอกกล่าวได้ไม่หมดไม่สิ้น ทำให้ผู้ฟังรู้สึกราวกับมีขนนกสะกิดเข้าที่หัวใจ

คนทั้งสองลัดเลาไปตามทางสายน้อยจนมาถึงปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง

ท่ามกลางดอกไม้ใบหญ้ารอบด้าน จู่ๆก็ปรากฏสาวใช้ต้องน้อยเจ็ดแปดคนวิ่งถลันออกมา แต่ละคนหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก มวยผมสองแกละ แลดูอ่อนเยาว์ แล้วก็ยังอ่อนเยาว์อยู่จริงๆด้วย ช่างไม่รู้เลยว่าควรจะต้องเก็บงำปราณภูตบนร่างเสียบ้าง เอ่ยถามเสียงใสว่า “ผู้มาเป็นใคร”

เห็นหนูน้อยโลลิมาขวางทาง เสิ่นชิงชิวก็กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเองว่า “ที่นี่คือ…”

เขาไม่ทันจะกล่าวทักทายให้จบประโยค หลิ่วชิงเกอก็ยื่นมือไปด้านหลัง ชักเฉิงหลวนออกมาแล้วสองชุ่น ปราณกระบี่ฟาดกราดแค่ทีเดียว ดินหินหน้าปากถ้ำก็กระจุยไปแล้วเกือบครึ่ง สาวใช้ตัวน้อยเจ็ดแปดตนกรีดร้องระงม ถอยหนีกลับเข้าดงดอกไม้ไปทันที

สิ่งมีชีวิตเช่นเม่ยเยานี้ ด้วยความได้เปรียบของเผ่าพันธุ์และหน้าตาอันงดงามที่ชวนให้ผู้คนรักและเอ็นดู ตลอดชีวิตยากนักจะเจอใครมาทำโหดร้ายไส่ อีกทั้งภูตสองสามตนนี้ยังเยาว์วัยเห็นโลกมาน้อยนัก จึงร้องไห้โฮออกมาเดี๋ยวนั้น

4 ทิศ 8 ทาง ล้วนเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้กระจองงอแงและเสียงสะอึกสะอื้นของบรรดาเด็กผู้หญิง

เสิ่นชิงชิวนวดๆใบหู กล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้าช่างไม่รู้จักรักหยดถนอมบุปผาเอาเสียเลย”

หลิ่วชิงเกอตอบอย่างรำคาญ “ภูตผีปีศาจทำไมจะต้องไปสงสาร จะปราบก็รีบปราบ ปราบเสร็จจะได้กลับ!” 2 ประโยคสั้นๆนี้ เปี่ยมพลังก้องกังวาน รวบรัดชัดเจน เที่ยงตรงและเที่ยงธรรม!

แต่แล้ว ในถ้ำก็มีคนกล่าวว่า “เซียนซือทั้ง 2 ท่านช่างโหดร้ายนัก สาวใช้ของหนูเจียไปล่วงเกินท่านเข้าตรงไหนหรือ ถึงต้องทำพวกนางตกอกตกใจเสียจนมีสภาพเช่นนี้”

ในกระแสเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน หญิงสาวร่างอ้อนแอ้นอรชรในชุดสีเขียวเข้มเดินนวยนาดออกมา ปากถ้ำมีแสงแดดส่องสว่าง จึงเห็นได้ว่านางมีผิวพรรณขาวละเอียด รูปโฉมงามเย้ายวน ยามยกมือวาดเท้ามีเสน่ห์บางอย่างที่กัดกร่อนเข้าไปถึงกระดูก

เหล่าเม่ยเยาตัวน้อยๆที่ถูกหลิ่วชิงเกอทำให้ตกใจกล่าวฟ้องทั้งน้ำตา “เม่ยอินฮูหยิน ซิวซื่อผู้นี้ช่างน่ากลัวนัก! เขารังแกพวกข้า!”

เม่ยอินฮูหยินผู้นี้ ในเมื่อเป็นเผ่าพันธุ์เม่ยเยา อีกทั้งสวยหยาดเยิ้มระดับขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงงามในแดนดิน ดังนั้น ย่อมต้องมีอะไรกับลั่วปิงเหอเช่นกันตามระเบียบของนิยายฮาเร็ม

โดยปกติแล้ว สำหรับผู้หญิงที่เคยผ่านมือลั่วปิงเหอนั้น เสิ่นชิงชิวรู้เป็นอย่างดีว่า ต้องหนีให้ไกลไว้ก่อน อย่าได้คิดไปหาเรื่องกับพวกนางเด็ดขาด แต่คราวนี้ที่เขากัดฟันรวบรวมความกล้ามาหาเรื่องยุ่งให้ตัวเองนั้น มีอยู่ 2 เหตุผลคือ

ข้อ 1 ก็เพราะลูกชายคนเดียวของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าที่อยู่เชิงเขาถูกล่อลวงไป ทำเอาคนเป็นพ่อแม่ร้องไห้จนน่าเวทนา

ข้อ 2 เม่ยอินฮูหยินมักมากในกามจนเป็นนิสัย นอกจากลั่วปิงเหอแล้ว ยังมีสามีทั้งโดยชอบธรรมและชู้รักอีกนับไม่ถ้วน! นางมีอะไรกับลั่วปิงเหอเสร็จแล้วก็แยกย้าย เป็นแค่ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนเท่านั้น ทั้งไม่ได้ถูกรับเข้าฮาเร็มแต่อย่างใด ที่เหล่านักอ่านชอบก็คือการ NTR แบบครั้งเดียวจบกับคนหลากหลายเช่นนี้นี่แหละ

ดังนั้นพูดกันจริงๆแล้ว เม่ยอินฮูหยินจึงไม่ถือว่าเป็นเมียของลั่วปิงเหอ

หลิ่วชิงเกอเห็นชัดว่าไม่สนใจจะสนทนากับเพศตรงข้าม ระเบิดประตูถ้ำของชาวบ้านเสร็จก็มองเมินไปทางอื่นโดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “แค่กๆ ศิษย์น้องของข้าเขาไม่ชินกับการที่มีคนแปลกหน้ามาอยู่ใกล้ๆน่ะ”

เม่ยอินฮูหยินมองเสิ่นชิงชิวอย่างเศร้าสร้อย “สาวใช้ของหนูเจียอายุยังน้อย ไม่รู้ประสีประสา ไปล่วงเกินเซียนซือเข้า ทางข้าก็ต้องขออภัยด้วย แต่ที่แห่งนี้เพิ่งจะซ่อมแซมใหม่ได้ไม่นาน เซียนซือทั้งสองท่านให้เกียรติมาเยือน ก็มาพังจนกลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว”

ไม่ต้องมามองฉัน มองไปทางไอ้คนที่มันอยู่ทางนั้นโน่น มันเป็นคนทำ!

นั่นนะเป็นมือรื้อถอนหาประลับของชางฉยงซานเลยล่ะ นี่แหละ ถึงบอก ฝึกรื้อถอนบ้านให้ไปไป่จั้นเฟิง!

เสิ่นชิงชิวยึดถือหลัการมารยาทนำหน้าการทหารเสมอมา จึงโบกพัดด้ามจิ้วกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “ที่สร้างความเสียหายให้กับเคหาสน์ถ้ำของฮูหยิน หาใช่เจตนา แต่เพราะได้รับการไหว้วานจากสามีภรรยาสกุลหวงที่เชิงเขา ยังหวังฮูหยินปล่อยคุณชายหวงกลับคืน”

เม่ยอินฮูหยินกล่าวว่า “เอ๋ คุณชายหวงหรือ คุณชายสกุลหวงที่หนูเจียเคยพบ ถ้าไม่ได้มี 10 คน อย่างน้อยๆก็ 8 คน ไม่ทราบว่าเซียนซือหมายถึงคุณชายหวงคนไหนหรือเจ้าคะ”

หลิ่วชิงเกอยิ้มเย็น “งั้นก็ปล่อยออกมาให้หมดเลยก็แล้วกัน!”

เม่ยอินฮูหยินทำทีเป็นลำบากใจ “มิใช่ว่าหนูเจียไม่ยอมปล่อยเขาไป แต่หากเขาขอรั้งอยู่เอง ไม่ยอมกลับ หนูเจียก็หมดปัญญาจะทำอย่างไรได้”

หลิ่วชิงเกอทำเสียงจิ๊ทีหนึ่ง

เสิ่นชิงชิวเองก็ไม่อยากถูกพาออกนอกทะเลต่อ กล่าวว่า “ไม่ว่าจะกรณีไหน ขอฮูหยินโปรดปล่อยคนออกมาก็แล้วกัน ที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง”

เม่ยอินฮูหยินกล่าวอย่างอ่อนหวานว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเชิญเซียนซือทั้งสองท่านตามหนูเจียมา”

นางหมุนกายเข้าไปด้านในถ้ำ แล้วเดินนวยนาดนำหน้าไป

เสิ่นชิงชิวเดินตามหลังโดยทิ้งระยะห่างจากนางสองสามก้าว กดเสียงต่ำให้ได้ยินกันเฉพาะสองคนว่า “ในเมื่อนางไม่คิดจะปล่อยคน ก็คงไม่คิดจะปล่อยพวกเราไปเช่นกัน”

หลิ่วชิงเกอกล่าวตอบ “ยังจะกลัวนางหรือ”

ข้าศึกมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินอุด แทนที่จะแตกหักซึ่งหน้า มิสู้ค่อยๆ หาทางรับมือไปทีละก้าวดีกว่า

คนทั้งสองเดินตามเจ้าถิ่นเข้าไปยังคูหาถ้ำกว้างใหญ่ที่ปูลาดด้วยพรมถักจากหญ้าหอมไว้เต็มห้อง สาวใช้รูปร่างอวบอัดเย้ายวน 12 นางยืนตั้งแถวเรียงรายอยู่สองฟาก มือถือพัดถวนซ่าน* พูดคุยหัวเราะกันคิกคัก

(พัดถวนซ่าน คือ พัดทรงกลม)

เม่ยอินฮูหยินนำพวกเยามานั่งข้างโต๊ะหิน กล่าวว่า “ส่งบ่าวไปเชิญคุณชายหวงมาแล้ว ระหว่างที่รอ เซียนซือทั้งสองมิสู้ร่วมดื่มกับหนูเจียสักจอกเป็นอย่างไร”

เสิ่นชิงชิวรู้ว่านางกำลังเล่นลูกไม้อยู่ ก็ไม่ได้นึกกลัวแม้แต่น้อย กล่าวยิ้มๆว่า “รบกวนแล้ว”

เม่ยอินฮูหยินรินสุราให้พวกเขาอย่างเอาอกเอาใจ ชม้ายชายตาหยาดเยิ้มให้หลิ่วชิงเกอที่เอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับแบกความแค้นใหญ่หลวงเอาไว้ ยิ่งยั่วก็ยิ่งโจ๋งครึ้มขึ้นเรื่อยๆ

หลิ่วชิงเกอที่ยึดถือเม่ยอินฮูหยินเป็นคนตายมาตลอด กลอกตามองบนจนตาแทบจะพลิก แต่เสิ่นชิงชิงกลับดี๊ด๊าอยู่ในใจ

ผู้ที่เม่ยอินฮูหยินชื่นชอบมาตลอดก็คือหนุ่มน้อยหน้าขาวใสแบบหลิ่วชิงเกอและลั่วปิงเหอนี่แหละ หลิ่วชิงเกอถูกนางต้องตาเข้าให้แล้ว ยังจะหนีพ้นเงื้อมมือมารรึ

เห็นเป็นชายหนุ่มหน้าสวย ผิวขาวราวหิมะ นางมีลูกไม้อะไรก็งัดออกมาใช้จนหมด เป็นตายก็จะต้องขอจับให้อยู่หมัด เอาตัวมาเสพสุข (…..) ให้สมใจจงได้ซินะ

อีกสักเดี๋ยวสีหน้าของหลิ่วชิงเกอจะต้องน่าดูชมแน่ ทำยังไงดี รู้สึกตั้งตารอนิดๆ บาปก๊ำ บาปกรรม

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ นั่งได้ไม่ทันไร เม่ยอินฮูหยินก็ใช้แขนเสื้อปิดปากถามหลิ่วชิงเกออย่างเอียงอายว่า “ไม่ทราบเซียนซือท่านนี้ มีคู่ซวงซิวอยู่หรือไม่”

ตรงไปตรงมาดีจริง

แต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าจะมนุษย์หรือว่าปีศาจ ไม่เคยมีใครกล้าถามคำถามนี้กับหลิ่วชิงเกอมาก่อนเลย ราวกับอัสนีบาตสายหนึ่งผ่าเข้าที่หัวกบาล ผ่านไปสักพัก เขาเหมือนสงสัยว่าตัวเองคงจะฟังผิดไป หัวคิ้วกับมุมปากกระตุก สายตาว่างเปล่า หันมามองเสิ่นชิงชิวโดยไม่รู้ตัว

เสิ่นชิงชิวเห็นสีหน้าเหลือเชื่อปรากฏบนใบหน้าหลิ่วชิงเกอเป็นครั้งแตก ภูเขาน้ำแข็งพันปีพังครืนเสียแล้ว ในใจของศิษย์ผู้พี่ก็หัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งราวกับทะเลบ้า แต่ภายนอกยังคงสงบนิ่ง กลั้นหัวเราะเสียจนมือที่โบกพัดสั่นระริก พยายามฝืนปิดบังอาการกระตุกบนใบหน้าและมุมปากสุดชีวิต กล่าวด้วยสีหน้านิ่งขรึมว่า “…ไม่มีหรอก เขาไม่มี”

เม่ยอินฮูหยินไม่เข้าใจ “เหตุใดถึงไม่มีเล่า หน้าตาหล่อเหลาปานนี้ เหตุใดจึงไม่มีผู้ฝึกวิชาเซียนที่เป็นสตรีมาตกหลุมรัก หนูเจียไม่เชื่อหรอก”

เสิ่นชิงชิวทำหน้าเห็นพ้อง “อืม ข้าเองก็ประหลาดใจมากเหมือนกัน”

ไม่อย่างนั้น ปริศนาไร้คำตอบ 10 ประการของชางฉยงซานข้อแรกจะเป็น ‘พี่หลิ่ว X ตายด้านไหม’ หรือ

หลิ่วชิงเกอสูดลมหายใจด้วยอาการฮึดฮัด กล่าวเสียงเย็นยะเยียบ “ทำไมคนถึงยังไม่ออกมาอีก”

เม่ยอินฮูหยินตอบว่า “เซียนซือโปรดใจเย็นๆ บางทีคุณชายหวงอาจจะไม่ยอมออกมา หากรู้สึกเบื่อ มิสู้ให้หนูเจียเล่นอะไรเล็กๆน้อยๆคลายเบื่อให้ทั้งสองท่านดีหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวตอบรับอย่างยินดี ได้ยินนางกล่าวอีกว่า “หนูเจียนั้นไม่ว่าอย่างอื่นอะไรล้วนทำไม่เป็น แต่ตลอดมานี้ ทำนายทายทักเรื่องสายลมจันทรา* กลับนับว่าแม่นยำอยู่ เซียนซือท่านไหนสนใจอยากให้ข้าทำนายให้สักครั้งไหมเจ้าคะ”

(สายลมจันทรา หมายถึง เรื่องโรแมนติก รักๆใคร่ๆ)

เสิ่นชิงชิวเบือนหน้ามากล่าวว่า “ศิษย์น้องสนใจหรือไม่”

หลิ่วชิงเกอกล่าวเสียงกระด้าง “ไม่สนใจ!”

เสิ่นชิงชิวแบมือ “เขาไม่สนใจ ข้าก็คงต้องลองเองแล้ว”

ในนิยายดั้งเดิม ความสามารถในการทำนายเรื่องหนี้รัก เรื่องเนื้อคู่ อะไรพวกนี้ของเม่ยอินฮูหยินนั้น เรียกได้ว่าแม่น 100% เลยทีเดียว

นางบอกว่าลั่วปิงเหอจะมีเมีย 613 คน ก็ไม่มีทางที่จะมี 612 คนเป็นอันขาด นางบอกว่าเมียคนหนึ่งของลั่วปิงเหอชอบท่าขี่(เซ็นเซอร์) เช่นนั้นก็จะไม่มีทางเก่งกาจในท่าเสียบ(เซ็นเซอร์) แน่นอน!

เสิ่นชิงชิวที่ยังไร้คู่ไม่รู้อนาคตไหนเลยจะไม่อยากดูหมอ

เม่ยอินฮูหยินยิ้มหวาน พลิกข้อมือขาวผุดผาดทีหนึ่ง ดอกไม้ตูมบอบบางน่ารักดอกหนึ่งพลันปรากฏขึ้น นางยื่นดอกไม้ส่งให้ตรงหน้าเสิ่นชิงชิว “เชิญเซียนซือหายใจรดเจ้าค่ะ”

เสิ่นชิงชิวรู้ว่านี่คือวิธีการทำนายของนาง เขาก้มหน้าเล็กน้อย พ่นลมหายใจรดดอกไม้เบาๆทีหนึ่ง

ตอนที่เม่ยอินฮูหยินชักมือกลับ ดอกไม้ที่ยังหุบสนิทอยู่เมื่อครู่ ก็ค่อยๆบานออก นางคีบก้านดอกไม้ขึ้นมาตรงหน้า คงรอยยิ้มมุมปากเอาไว้ มองดูใจกลางดอกไม้แวบหนึ่ง สีหน้าก็มีอันแข็งค้าง

หลิ่วชิงเกอเดิมทีนั่งตัวตรงแหน็ว เวลานี้โน้มกายเข้ามาเล็กน้อย เหมือนว่าอยากฟังด้วย

เสิ่นชิงชิวแตะพัดด้ามจิ้วกับไหล่เขา กล่าวเตือนความจำว่า “ศิษย์น้องไม่สนใจนี่นา”

หลิ่วชิงเกอกลับไปนั่งตัวตรงแหน็วต่อทันที

เม่ยอินฮูหยินมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งดีสีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึม

นางกล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “เซียนซือ ด้ายแดงในอดีตที่ผ่านมาของท่าน หนูเจียศึกษาได้ไม่ถึงแก่น ออกจะ…ไม่แม่นยำอยู่บ้าง ดูตอนแรก เหมือนจะต้องอยู่คนเดียว แต่พอดูให้ละเอียดอีกที เหมือนจะมีด้ายแดงปรากฏรางๆ”

นางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ด้ายแดงเส้นนี้ขาดอย่าง…น่าเสียดายเหลือเกินแล้ว”

เสิ่นจิ่วเป็นคนที่เคยมีคู่หมั้น แต่เสิ่นหยวนเป็นหมาหงอยโสดสนิท ด้าย 2 เส้นนี้สลับกันวุ่น ดูได้ไม่แม่นยำก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา

เสิ่นชิงชิวทำหน้าเข้าอกเข้าใน “เรื่องในอดีต ไม่จำเป็นต้องดูก็ได้ ฮูหยินทำนายเรื่องในอนาคตเลยดีกว่า”

เขาอยากรู้จริงๆ ว่าอยู่ทางนี้จะหาแฟนได้ไหม ไม่ต้องเป็นสาวสวยหยาดเยิ้ม และเอาแค่ไม่พิลึกคนก็พอแล้ว!

นึกไม่ถึงว่า สีหน้าของเม่ยอินฮูหยินยิ่งดูประหลาดขึ้นไปอีก เหมือนลำบากใจที่จะกล่าว

สีหน้าเช่นนี้ทำให้เสิ่นชิงชิวสะอึกในใจ

หรือผลจะออกมาว่าเขาต้องขึ้นคานไปทั้งชาติ!?

ในที่สุด เม่ยอินฮูหยินก็พูดออกมาเสียที นางกล่าวอึกๆอักๆว่า “เอ่อ…อีกฝ่าย…จะอายุน้อยกว่าท่าน ศักดิ์ฐานะ หรืออาจจะหมายถึงประสบการณ์ สู้ท่านไม่ได้”

ผู้หยิ.ที่อายุและประสบการณ์มากกว่าเขา จนกระทั่งถึงตอนนี้ ที่เสิ่นชิงชิวเคยเห็นก็แค่นักพรตหญิงอาวุโสสองสามคนของอารามเทียนอีเท่านั้น จริงๆแล้วก็ไม่ถูกรสนิยมของเขาเท่าไหร่ ในบรรดาผู้ฝึกวิชาเซียนทั้งหมดทอดตาดูแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คน ดังนั้น 2 ประเด็นนี้ที่เม่ยอินฮูหยินกล่าวมาก็เข้าเค้าอย่างมาก เข้าเค้าเสียจนไม่มีประโยชน์ไปเลย

เม่ยอินฮูหยินกล่าวต่อว่า “ตอนแรกพบกัน ไม่ค่อยปลาบปลื้มนัก หรือไม่ก็นึกชังน้ำหน้าอยู่ แต่เป็นเพราะจุดพลิกผันที่สำคัญมากบางประการ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง”

ข้อนี้เหมือนจะมีเหตุมีผลอยู่นิดหน่อย เสิ่นชิงชิวอดใจเต้นไม่ได้ หลิ่วชิงเกอเอนกายเข้ามาใกล้อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว คราวนี้เสิ่นชิงชิวไม่ยอมเสียเวลาไปล้อเลียนเขา เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

เม่ยอินฮูหยินขมวดคิ้วเรียวงาม กล่าวต่อว่า “คนผู้นี้ปกติแล้วจะคอยติดตามอยู่ข้างกายท่านตลอดเวลา พวกท่านเคยช่วยชีวิตกันและกัน”

ฟังมาถึงตรงนี้ เสิ่นชิงชิวสับสนอีกครั้ง

ทำไมถึงได้รู้สึกว่าน้องสาวที่จะมีคุณสมบัติตามนี้ไม่น่าจะมีอยู่เลยสักคนเลยล่ะ

หนิงอิงอิง? หลิ่วหมิงเยียน?

ไม่ต้องเอามาคิดเลย ฮาเร็มของลั่วปิงเหอนี่ตัดออกไปได้เลย

ฉีชิงชี?

จริงอยู่ที่คุณสมบัติของนางก็ด้อยกว่าตนอยู่นิดหน่อย แรกพบหน้า…แรกพบหน้า สถานการณ์เป็นอย่างไรก็ลืมไปหมดแล้ว ‘ปกติแล้วคอยติดตามอยู่ข้างกาย’ ข้อนี่ไม่เข้าอย่างแรง

เสิ่นชิงชิวก็อยากไปเซียนซูเฟิงเพื่อ ‘คอยติดตามอยู่ข้างกาย’ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ได้แค่คิด ไม่กล้าทำ ยิ่งไม่อาจหาญทำเรื่องทำนองลอบมองอะไรพรรค์นั้นเด็ดขาด

สรุปแล้ว เสิ่นชิงชิวนึกภาพตนกับฉีชิงชีไปเดทกันไม่ออกเลยจริงๆ นึกภาพไล่ตีกันยังจะง่ายกว่า

หลิ่วชิงเกอกลับเอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างนึกไม่ถึง “ยังมีอีกไหม”

เสิ่นชิงชิวตะลึงไปครู่หนึ่งจึงค่อยพบว่า เมื่อกี้หลิ่วชิงเกอยังแอบฟังอยู่ด้านข้างอยู่เลย ตอนนี้เขากลับชะโงกหน้ามานั่งฟังเสียชิดทีเดียว

พี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่สนใจเรื่องซุบซิบนินทาตั้งแต่เมื่อไหร่นี่

เม่ยอินฮูหยินกล่าวต่อ “บุคคลผู้มีวาสนากับเซียนซือ น้อยนักจะใส่ใจผู้อื่น แต่หากใส่ใจใครสักคนขึ้นมา จะทุ่มเทหมดทั้งใจ”

หลิ่วชิงเกอขบคิด แต่แล้วกลับถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หน้าตาเป็นอย่างไร”

เสิ่นชิงชิวมองเขาด้วยอาการใบ้รับประทาน

ฉันยังไม่ถามเลย นายจะถามทำไมเนี่ย

แถมยังจู่โจมประเด็นสำคัญเสียด้วย

เม่ยอินฮูหยินตอบอย่างมั่นใจว่า “คนงามอันดับหนึ่ง เป็นเอกในแดนดิน”

หลิ่วชิงเกอซักไซ้ไล่เลียงราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน “พลังทิพย์ล่ะ พรสวรรค์ล่ะ”

พรสวรรค์โดดเด่น พลังทิพย์แข็งแกร่ง ศักดิ์ฐานะยิ่งใหญ่ สายเลือดสูงส่ง”

หลิ่วชิงเกอส่ายหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “เมื่อครู่เจ้าพูดว่า คนผู้นี้…อยู่กับเขาตลอดรึ”

เม่ยอินฮูหยินพยักหน้า “บางทีอาจมีช่วงที่ต้องแยกจากกันช่วงสั้นๆ แต่ว่าไม่ช้าก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่ นอกจากนี้ ทุกครั้งล้วนเป็นทางนั้นที่เป็นฝ่ายไล่ตาม”

หลิ่วชิงเกอหางตากระตุกไม่หยุด เขากดลงไปแรงๆ เหมือนกับได้รับความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวง หรือถ้าจะใช้คำที่เหมาะกว่านี้หน่อย ก็ต้องบอกว่า ช็อคไปเรียบร้อยแล้ว

เม่ยอินฮูหยินกล่าวเสริมมาอีกประโยคอันเป็นกระบวนท่าปลิดชีวิต นางหันมาทางเสิ่นชิงชิว ถอนใจกล่าวว่า “หนูเจียจะอิจฉานัก เซียนซือท่านรู้หรือไม่ คนผู้นี้รักท่านอย่างลึกซึ้งจริงๆ”

หลิ่วชิงเกอคอแข็งทื่อ หันไปทางเสิ่นชิงชิว เผยให้เห็นสีหน้าอันซับซ้อนที่ไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้ ที่แน่ๆคือไม่ได้ดีใจ ไม่ได้โกรธ แต่เหมือนกำลังทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างสงสัย “ศิษย์น้องเจ้าเป็นอะไรไป”

หลิ่วชิงเกอเค้นคำออกมาอย่างยากลำบากว่า “…ไม่แม่น”

เสิ่นชิงชิว “หืม”

หลิ่วชิงเกอเงยหน้าขึ้นทันที ฟันธงหนักแน่น “นางทำนายไม่แม่น!”

เม่ยอินฮูหยินกล่าวอย่างไม่ยอมรับ “ทำไมถึงได้กล่าวอย่างมั่นใจปานนี้ว่าหนูเจียทำนายไม่แม่นเล่าเจ้าคะ”

แต่ว่ากันตามจริง เสิ่นชิงชิวเองก็คิดว่าไม่แม่นเช่นกัน

อยู่กับเขาตลอดเวลา อายุน้อยกว่า ทั้งงดงาม ทั้งสูงศักดิ์ แถมยังคอยวิ่งไล่ตาม ทำเอากลิ่นพวกพระเอกบ้านๆในนิยายของเว็บจงเตี่ยนที่ทั้งจนทั้งไม่หล่อแถมยังชอบฝันเฟื่องงี้ลอยมาเลยทีเดียว ตัวละครพวกนั้นมันยังไม่ฝันเฟื่องกันประเจิดประเจ้อ ไม่น้ำเน่าแบบนี้เลยนะ ข้างตัวเขาไม่เห็นจะมีสาวสวยผิวขาวสูงศักดิ์ที่ตรงตามเงื่อนไขที่ว่านี่สักกะคนเดียว ต่อให้มี ก็เป็นสมาชิกในฮาเร็มของลั่วปิงเหอทั้งนั้น เฮ้อ…

หลิ่วชิงเกอกล่าวเฉียบขาด “เหลวไหลไร้สาระ รักอย่างลึกซึ้งอะไรกัน! ไม่มีเสียหน่อย!”

วิชาฝีมือที่ตนเองเชี่ยวชาญถูกกังขา เม่ยอินฮูหยินก็นึกโกรธขึ้นมาแล้วเช่นกัน “เจ้าเองก็ไม่ใช่เนื้อคู่เขาเสียหน่อย จะมาบอกว่าไม่แม่นได้อย่างไร”

เดี๋ยวๆ คุณชายหวงยังไม่มาเลยนะ อย่าเพิ่งมาขัดแย้งกันด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้ไหม อีกอย่าง คนที่เป็นเจ้าของเรื่องน่ะ ไม่ใช่ฉันหรอกรึ

หลิ่วชิงเกอขัดหูขัดตามาแต่แรกแล้ว พออีกฝ่ายชักสีหน้า ก็ระเบิดโทสะขึ้นมาทันที ฟาดออกไปฝ่ามือหนึ่งเดี๋ยวนั้น จนโต๊ะหินแตกออกเป็น 2 เสี่ยงขนาดเท่ากันพอดีเป๊ะ เฉิงหลวนตอบรับด้วยการออกจากฝัก ปราณกระบี่คมกริบราวกับมีด

เม่ยอินฮูหยินเดือดดาลเป็นการใหญ่ ตบมือออกคำสั่ง “ออกมาให้หมด!”

เดี๋ยวก่อนซิ ทำไมถึงตีกันขึ้นมาแล้วล่ะ เดือดขึ้นมาเพราะอะไร! ฉันยังจับประเด็นไม่ได้เลยนะ…

การห้ามปราณของเสิ่นชิงชิวย่อมไม่มีใครสนใจ ไม่ช้าเม่ยอินฮูหยินกับสาวใช้เม่ยเยาหลายสอบตนก็เข้ามาล้อมพวกเขาไว้ ปรับสีหน้าท่าทางเข้าสู้สถานการณ์ศึกอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางพลังทิพย์เกลื่อนกล่น เฉิงหลวนฉวัดเฉวียนไปมา เม่ยอินฮูหยินเป่าปากเสียงแหลมสูงทีหนึ่ง

เฮ้ย! ไม่ต้องเร็วขนาดนี้ก็ได้ ฉันยังไม่ได้เตรียมใจให้พร้อมเลยนะ

พอได้ฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย สาวใช้เม่ยเยาทั้งหมดก็ระเบิดเสื้อผ้าบนร่างออกหมดเกลี้ยง!

ขาวจั๊วะ…ขาวจั๊วะ…มีแต่ผิวขาวจั๊วะเนืองนองเป็นทะเลเนื้อขาวๆให้เห็นเต็มตาไปหมด

ถึงแม้เสิ่นชิงชิวจะรู้ว่าไพ่ตายที่เม่ยเยาพวกนี้ชอบปล่อยออกมามากที่สุดคือระเบิดเสื้อผ้าเต้นระบำมารกันเป็นหมู่ แต่ไม่ได้หมายความว่า พอภาพสุดช็อคแบบนี้ปรากฏให้เห็นตรงหน้า เขาจะสามารถทนรับผลกระทบทางสายตาระดับนี้ไหว

เขาหลับตาโดยไม่รู้ตัว ผงะถอยไป 2 ก้าวจนแผ่นหลังไปชนเอาหลิ่วชิงเกอเข้า

พวกเม่ยเยาส่งเสียงเซ็งแซ่ไม่หยุด จนเกิดเสียงสะท้อนก้องไปทั่วถ้ำ หากเป็นผู้ชายปกติธรรมดาทั่วไป จะต้องถูกทำให้เคลิ้มจนเสียสติสัมปชัญญะ ทิ้งกระบี่ยอมจำนน กระโจนเข้าดงพิศวาสไปแต่โดยดีแล้ว

แต่เสิ่นชิงชิวกลับตกใจที่พบว่า หลิ่วชิงเกอเหมือนมองไม่เห็น ยังคงทำหน้าไร้อารมณ์ ฟันกราดทีเดียวเลือดสาดเป็นแถบ เข่นฆ่าอย่างสะใจ!

ร่างเปลือยเปล่าของบรรดาเม่ยเยากลับคืนสู่รูปกายที่แท้จริงทันที แขนขาทั้งสี่เกาะอยู่กับพื้น ปลายเล็บแหลมจิกฝังลงในกรวดหินแน่น สูดน้ำลายซู้ดซ้าด พากันโผเข้ามาล้อมคนทั้งสองไว้ตรงกลาง แต่ถูกพลังทิพย์ฟาดกระเด็นออกไปอีกรอบ

เสิ่นชิงชิวก็ตั้งใจอยากจะสู้ให้เต็มที่เช่นกัน ไม่ได้โกหกเลยนะ เพียงมองตรงๆไม่ไหวก็เท่านั้นเอง!

คนที่ดูหนังแผ่นมาอย่างโชกโชนแบบเขา ให้มาเห็นคลื่นเนื้อขาวๆที่มีชีวิตเช่นนี้ เลยควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ หลิ่วชิงเกอทำยังไงถึงได้ไม่หวั่นไหวสักนิดนะ

ใบหน้างดงามราวบุปผาของเม่ยอินฮูหยินซีดเผือด นึกไม่ถึงว่าขนาดขนเอาลูกน้องทั้งหมดที่มีของนางมาแล้ว ยังไม่อาจทำให้สองคนนี้เคลิบเคลิ้มขาดสติได้เลย นางจึงยกชายกระโปรงวิ่งจ้ำอ้าวหนีไปทันที

เสิ่นชิงชิวคิดไล่ตามไปโดยสัญชาตญาณ แต่พอคิดอีกที วัตถุประสงค์ครั้งนี้ก็คือมาช่วยลูกชายของสกุลหวง และไหนจะผู้ชายคนอื่นๆที่ถูกเม่ยเยาขังไว้เป็นสัตว์เลี้ยงอีก จึงกล่าวกับหลิ่วชิงเกอว่า “ที่เหลือไม่ต้องไปตีแล้ว ยังไงพวกนางก็ก่อเรื่องอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ช่วยคนสำคัญกว่า”

หลิ่วชิงเกอกลับกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าห้ามไปเชื่อเด็ดขาดนะ”

เสิ่นชิงชิวจับต้นชนปลายไม่ถูก “หา”

หลิ่วชิงเกอกล่าวย้ำ “เมื่อครู่ไงเล่า! ที่นางทำนายมั่วซั่วน่ะ!”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ไม่ต้องตื่นเต้นไป ข้าย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว”

พี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่ดูจะผิดไปจากปกติมาก เสิ่นชิงชิวแอบชำเลืองมองเขาอย่างอดรนทนไม่ไหว ยังไม่ทันจะชำเลืองครั้งที่ 2 ก็ถูกหลิ่วชิงเกอจับได้ ฝ่ายหลังตวาดทันควัน “ห้ามมองข้า!”

ยิ่งเขาพูดแบบนี้ เสิ่นชิงชิวก็ยิ่งอยากมองเข้าไปใหญ่ เมื่อพินิจดูจึงพบว่า ไม่รู้เป็นเพราะถูกยั่วโมโหหรืออย่างไร จากหางตาถึงแก้มของหลิ่วชิงเกอเลยมีสีแดงระเรื่อปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่งจางๆ สายตาที่เมื่อก่อนสงบนิ่งจนเกือบจะเข้าขั้นเย็นยาเหมือน้ำแข็งในทะเลสาบได้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นคลื่นปั่นป่วนระริกไหวอยู่ในดวงตา

เสิ่นชิงชิวจ้องมองเขาเขม็ง ยื่นมือไปจับชีพจรเขาหมับ

พอแตะโดนข้อมือหลิ่วชิงเกอ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าอุณหภูมิที่ผิวหนังเขาสูงมาก จับชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นชิงชิวก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “อืม ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าบอกศิษย์พี่มาตามตรงเถอะ เจ้าเคยซวงซิวกับใครหรือไม่”

หลิ่วชิงเกอกล่าวว่า “…เจ้าถามทำไม”

เสิ่นชิงชิวกล่าวตอบ “ก็แค่ถามๆดู รู้ว่าซวงซิวต้องทำอย่างไรใช่ไหม”

หลิ่วชิงเกอกอบหายใจ กัดฟันกรอด “เสิ่น…ชิง…ชิว”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ก็ได้ งั้นข้าเปลี่ยนคำถาม ศิษย์น้องหลิ่ว ตอนนี้เจ้า…รู้สึกอย่างไร”

อดทนจนกว่าจะลงจากเขาไหวไหมนี่…

หลิ่วชิงเกอกล่าว “รู้สึกไม่ดี”

ก็ต้องไม่ดีอยู่แล้วล่ะ

ต่อให้เป็นพี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่ หากโดนยามอมเมาที่ติดตัวเม่ยเยามาแต่กำเนิด หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ยาปลุกกำหนัด ก็ย่อมจะรู้สึก…ไม่ดีเอามากๆอยูแล้ว!

เสิ่นชิงชิวตัดสินใจเดี๋ยวนั้น ก่อนกล่าว “ศิษย์น้องหลิ่วเติมน้ำมัน*! ศิษย์พี่มีธุระของตัวล่วงหน้าไปก่อนนะ”

(เติมน้ำมัน หรือ เจียโหยว เป็นศัพท์สมัยใหม่ในการกล่าวให้กำลังใจ เพื่อสื่อถึงเวลารถน้ำมันหมดก็เติมน้ำมันเพื่อให้ไปต่อได้ ตรงกับสำนวนไทยคือ ‘สู้ๆ’)

หลิ่วชิงเกอคว้าคอเสื้อด้านหลังเขาไว้ทันที กล่าวเสียงเข้มว่า “เติมน้ำมันอะไร!? มีธุระอะไร!?”

เสิ่นชิงชิวเหลียวหน้ากลับมามอง ก็มีอันต้องตกใจจนสะดุ้งโหยง

หากเมื่อครู่บอกว่าใบหน้าของหลิ่วชิงเกอมีเสี้ยวเมฆแดงฉาบคลุม ตอนนี้ก็คือไฟลุกท่วมเมฆแล้วนั่นเอง หน้าดำหน้าแดงเสียจนทำให้คนตกใจตายได้เลยทีเดียว

เขารีบกล่าวว่า “อย่าวู่วาม ศิษย์น้องหลิ่ว เย็นไว้! เจ้านั่งสมาธิอยู่ในนี้ไปนะ ศิษย์พี่จะไปช่วยพวกคุณชายหวงออกมาก่อน แล้วค่อยกลับมาหาเจ้า วางใจเถอะ ระหว่างนี้ข้าจะไม่กลับเข้ามาแน่ เจ้าอยากทำอะไรก็ได้ รับรองว่าไม่มีบุคคลที่สองรู้แน่”

เขาพูดจบตั้งท่าจะออกวิ่งทันที มือข้างหนึ่งของหลิ่วชิงเกอบีบไหล่เขาไว้แน่นราวกับกรงเล็บเหล็ก “เจ้าหนีอะไร!”

ไข่แม่มึง! ยังจะตื้ออยู่อีก!

ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้ายอดเขาหลิ่ว พี่ชายสุดที่รัก ที่ฉันต้องชิ่งไปก่อนก็เพื่อให้เวลากับพื้นที่สำหรับนายได้จัดการตัวเองนะ อย่าบอกนะว่าที่ฉันบอกใบ้ขนาดนี้นายก็ยังไม่เข้าใจ!

ใช้ชีวิตสูญเปล่ามาตั้งหลายปี ผนึกจินตานไว้ที่สมองรึไง

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ศิษย์พี่รั้งอยู่นี่ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

หลิ่วชิงเกอยิ้มเย็น “เจ้าอยู่ให้ข้าทุบตีสักยกหนึ่ง ให้ข้าได้ระบายโทสะก็มีประโยชน์แล้ว”

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทุบตีใครสักยกก็จบนะ เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้าทำไมถึงได้ขี้โมโหเช่นนี้ อย่าปล่อยให้พิษเสน่หาควบคุมสติของเจ้าซิ”

ใบหน้าหล่อเหลาของหลิ่วชิงเกอเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด เหมือนอัดอั้นเต็มทนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร คว้าตัวเสิ่นชิงชิวไว้อย่างมึนงง แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ

เสิ่นชิงชิวเห็นท่าทางเขาน่าสงสารนัก คิดในใจว่าไป่จั้นเฟิงเป็นพวกหัวรุนแรงรู้จักแต่ต่อยตีฆ่าฟันทั้งปีทั้งชาติ ทุกคนลุ่มหลงวิชาการต่อสู้ หลิ่วชิงเกอโตมาท่ามกลางประเพณีฝังหัวเหล่านี้ เรื่องพรรค์อย่างว่าคงจะอ่อนหัดจริงๆ แม้แต่ใช้มือช่วยทำยังไงก็ยังไม่รู้ เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจไปชั่วครู่หนึ่ง

พูดถึงปลอบโยนคน เสิ่นชิงชิวแน่นอนว่าเชี่ยวชาญ แม้ในยามคับขันก็ไม่ตื่นตระหนก “ศิษย์น้องหลิ่ว มาๆ เจ้ายังจำได้หรือไม่ เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร”

ในนิยายดั้งเดิมย่อมไม่ได้ใส่รายละเอียดเอาไว้ว่าลิ่วล้อพลีชีพสองคนนี้เกิดความขัดแย้งกันได้อย่างไร

เสิ่นชิงชิวชวนคุยโน่นนี่ก็เพียงเพื่อเบนความสนใจของเขาเท่านั้นเอง

หากเป็นเวลาปกติ หลิ่วชิงเกอคงจะไม่ว่าง่ายขนาดนี้ แต่ตอนนี้ถูกเขาดึงไว้ แม้จะมึนงงก็ยังฝืนคุมสติได้อยู่ เดินพลางกล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “จำได้ งานชุมนุมใหญ่ทดสอบกระบี่ของ 12 ยอดเขา ข้าอัดเจ้าไปยกหนึ่ง!”

เสิ่นชิงชิว “…”

ที่แท้ไม่ต่อยตีไม่รู้จักกันซินะ

หรือว่าเป็นเพราะตอนนั้นหลิ่วชิงเกอเคยอัดเขา อีกทั้งอักแล้วสะใจ เมื่อกี้เลยบอกว่าให้ตนอยู่เพื่อให้เขาทุบตีสักยกเพื่อระบายความโกรธซิท่า

เสิ่นชิงชิวทำเสียงอ้อ ฉุดเขาเข้าไปด้านในลึกสุดของถ้ำ ถามอีกว่า “เช่นนั้น ต่อมาข้าสู้กลับหรือไม่”

หลิ่วชิงเกอตัวร้อนจัด แต่ยังไม่ลืมแค่นเสียงเฮอะคำหนึ่งอย่างถือดี “จะเป็นไปได้อย่างไร”

ดีมาก

เสิ่นชิงชิววางมือบนไหล่เขาแล้วตบเบาๆ “งั้นวันนี้ ศิษย์พี่ก็ขอเอาคืนจากศิษย์น้องหลิ่วละนะ”

หลังจากนั้น…

เขาก็ถีบหลิ่วชิงเกอลงไปในสระอาบน้ำที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบของเม่ยอินฮูหยิน

น้ำกระฉอกบานออกมาสูงกว่าครึ่งจั้ง ถึงแม้เสิ่นชิงชิวจะยกพันขึ้นมาบังหน้าอย่างรู้แกว ก็ยังถูกน้ำเย็นเฉียบกระเซ็นมาโดนศีรษะอยู่ดี อุณหภูมิแบบนี้ให้หลิ่วชิงเกอลงไปแช่สักพักรับรองหายเป็นปลิดทิ้ง เขาคุกเข่าลงกับพื้นข้างสระ ยังคงถือพันปิดบังใบหน้าไว้ ก่อนถามอย่างสงวนท่าที “ศิษย์น้องหลิ่ว ตอนนี้ล่ะ เจ้ารู้สึกอย่างไร”

สักพักก็ยังไม่มีเสียงตอบ หลังจากหลิ่วชิงเกอจมลงไป แม้แต่ฟองอากาสก็ไม่มีผุดขึ้นมา เสิ่นชิงชิวนึกในใจว่า เอ๊ะ หรือหลิ่วชิงเกอจะว่ายน้ำไม่เป็น ไม่น่านะ หรือว่าเขาตัวร้อนจนสลบไปแล้ว ไม่ได้จับหลิ่วชิงเกอฆ่าหมกในถ้ำหลิงซี แต่กลับพามาจมน้ำตายเอาที่นี่งั้นรึ

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองอาจจะฆ่าคนตายเข้าแล้ว เสิ่นชิงชิวจึงรีบเข้าไปใกล้ทันที “ศิษย์น้องหลิ่ว? ศิษย์น้องหลิ่ว!”

ผิวน้ำมีกลีบกุหลาบลอยอยู่เต็ม เขามองใต้น้ำได้ไม่ชัดนัก จึงได้แต่เข้าไปใกล้ๆอีกหน่อย ทันใดนั้น ขาก็ตึงวูบ มือข้างหนึ่งกระชากเขาลงไปในสระบุปผาดังตูม!

อยู่ๆก็ตกน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว น้ำเย็นเฉียบไหลทะลักเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง เสิ่นชิงชิวหน้าเขียวอื๋อ เขาเกาะขอบสระไว้ได้อย่างยากลำบาก พอหันหน้ากลับมา หลิ่วชิงเกอที่ตัวเปียกโชกลอยตัวอยู่ด้านหลังเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก บนผมยังมีกลีบกุหลาบติดอยู่สองสามกลีบ

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกนา ศิษย์พี่ให้เจ้าลงน้ำก็เพื่อถอนพิษมอมเมาให้เจ้า ทำไมถึงได้รับการตอบแทนเบบนี้เล่า”

หลิ่วชิงเกอกล่าวว่า “เจ้ามิใช่ถามว่าข้ารู้สึกอย่างไรหรอกหรือ ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไร ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นแหละ”

ความคิดแจ่มชัด มีพลังตีโต้กลับ ดูท่าคงจะไม่เป็นไรแล้วล่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version