Skip to content

Scumbag System 22

ตอนพิเศษ 1

ศึกสะท้านภพระหว่างปิงเม่ยกับปิงเกอ

จุดลงจอดแห่งแรกหลังจาก ‘ถูกผู้คนไล่ตี’ ออกมาจากชางฉยงซาน แน่นอนว่าต้องเป็นกองบัญชาการใหญ่ของลั่วปิงเหอที่แดนเหนือของเผ่ามาร

ตอนเสิ่นชิงชิวถูก ‘กักขัง’ ครั้งก่อน ก็เคยอยู่ที่ตำหนักใต้ดินแห่งนี้มาระยะหนึ่ง ตอนนั้นด้านนอกเรือนไผ่ซึ่งจำลองของจริงมาทุกกระเบียดนิ้วคือสวนไผ่กะหยอมกะแหยมที่ขนาดพรวดดินใส่ปุ๋ยสารพัด ยังทำท่าจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ กลับมาเยือนถิ่นเดิมคราวนี้ ไม่รู้ว่าพวกลูกน้องเผ่ามารแสนขยันกลุ่มนั้นของลั่วปิงเหอใช้วิธีการอะไร กลับปลูกไผ่ออกมาได้เขียวครึ้มเป็นขนัด ได้ยินเสียงใบไผ่เสียดสีกันแกรกกราก

สิบกว่าวันแรกที่มาถึง ลั่วปิงเหอเกาะติดเขาหนึบทุกวัน แกะยังไงก็แกะไม่ออก แต่สองสามวันหลังมานี่กลับเริ่มเก็บไม้เก็บมือ เกรงอกเกรงใจขึ้นมา บอกว่าชาวเผ่ามารแดนเหนือกับแดนใต้หมู่นี้มีเรื่องขัดแย้งกันไม่หยุด มีธุระต้องจัดการมากมาย ช่วงเวลาที่โฉบไปเฉี่ยวมาตรงหน้าเสิ่นชิงชิวจึงลดน้อยลงไปมาก

แน่นอนว่าที่เป็นเรื่องโกหก เสิ่นชิงชิวคิดว่าจะต้องเป็นเพราะเรื่องที่ก่อนหน้านี้ตนบอกปัดคำขอของลั่วปิงเหอที่จะมาขอนอนร่วมเตียงด้วย จึงได้ไปทำร้ายแก้วดวงใจที่แสนจะเปราะบางของแม่นางลั่วเข้า [โบกมือบ๊ายบาย]

แหมก็นะ เขาก็แค่ปฏิเสธไว้ก่อนตามความเคยชินเท่านั้นเอง นี่ถ้าลั่วปิงเหอรบเร้าต่ออีกสักหน่อยเขาก็คงโอเคไปแล้ว!

ใครจะไปนึกว่าแค่โบกมือปัดนิดเดียว ลั่วปิงเหอก็วิ่งแจ้นออกไปนอกห้องทันที รู้เลยว่าคงไปหาที่สักแห่งนั่งซุกมุมเพาะเห็ด*อยู่เป็นแน่

(ซุกมุมเพาะเห็ด หมายถึง นั่งซุกมุมห่อเหี่ยว)

เสิ่นชิงชิวเดาว่า สองสามวันนี้เขาคงจะหลบหน้าอยู่ตำหนักชั้นใจ จึงตัดสินใจว่างั้นเราเป็นฝ่ายไปง้อเขาเองก็แล้วกัน

ตำหนักชั้นในนั้น นอกจากลั่วปิงเหอแล้วไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป แต่แน่นอนว่า ‘ไม่ว่าผู้ใด’ นั้น ย่อมไม่รวมเสิ่นชิงชิว

ลั่วปิงเหอเคยบอกไว้ว่า ตำหนักใต้ดินแห่งนี้เขาหลับตาเดินเล่นได้ตามสบาย จะไปไหนก็ได้ทั้งนั้น คำสั่งถูกถ่ายทอดลงไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีใครหน้าไหนกล้ามาห้ามเขา

เสิ่นชิงชิวแทรกตัวเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่ไม่เห็นลั่วปิงเหอ จึงเที่ยวเดินดูห้องส่วนตัวของเขาที่เมื่อก่อนเก็บเป็นความลับเสียละเอียดลออทั้งด้านนอกด้านใจ

ขณะที่เขากำลังจะเตรียมสำรวจให้ทั่วทุกซอกทุกมุมนั่นเอง จู่ๆประตูศิลาก็เปิดออกกว้าง ร่างๆหนึ่งเซถลันเข้ามา

เสิ่นชิงชิวแววตาเย็นยะเยียบ แต่พอมองเห็นได้ถนัดตาก็ร้องเสียงหลง “ลั่วปิงเหอหรือ”

ลั่วปิงเหอเหมือนจะคาดไม่ถึงว่าตำหนักชั้นใจกลับยังมีใครอื่นอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง

รูม่านตาที่ดูเลื่อนลอยของเขาจู่ๆ ก็หดเล็กลง แต่เมื่อดวงตาดำขลับสะท้อนภาพใบหน้าของเสิ่นชิงชิวเต็มๆ รังสีสังหารที่ฉาบอยู่ทั่วหน้าในตอนแรก ก็แปรเปลี่ยนเป็นความตะลึงลานในชั่วพริบตา

เสิ่นชิงชิวกลับไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเหล่านี้เลย ในยามนี้ที่เขาเห็นมีแต่ลั่วปิงเหอที่เลือดอาบไปทั้งตัว

ลั่วปิงเหอเดินได้สองสามก้าวก็เข่าอ่อนยวบ

เสิ่นชิงชิวโผเข้าไปรับตัวลั่วปิงเหอที่ล้มพุ่งมาข้างหน้าไว้ในอ้อมแขนได้ทันการพอดี แล้วพลิกมือช้อนหลังที่โชกไปด้วยเลือดของอีกฝ่ายไว้โดยอัตโนมัติ “เกิดอะไรขึ้น ใครทำ”

ลั่วปิงเหอถึงกับมีวันที่ถูกทำร้ายถึงถิ่นของตัวเองจนกลายเป็นเช่นนี้ด้วย โอเค ความจริงแล้วนี่ก็ไม่นับว่าเป็น Bug อะไร พระเอกนิยายฮาเร็มเป็นเกย์ไปแล้ว ยังจะมีพล็อตอะไรพอให้เอามาอ้างเป็น Bug ได้อีกล่ะ

ลูกกระเดือกลั่วปิงเหอขยับขึ้นลง ขบฟันกรอดราวกับจะเอาให้แตกกันไปข้าง เค้นเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “…ไป!”

“ไปหรือ” ความหมายคือ…ต้องการให้เขาหนีไปหรือ

เสิ่นชิงชิวรีบกล่าว “ได้ งั้นพวกเราไป” ว่าพลางก็เอื้อมมือไปช้อนเอวลั่วปิงเหอขึ้น

ใครเลยจะไปนึกว่าลั่วปิงเหอกลับเม้มปากแน่น ผลักเขาออกมาอย่างแรง

นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นชิงชิวถูกเขาผลักไส จึงตะลึงไปเดี๋ยวนั้น คิดในใจว่าเจ้าเด็กนี่มันต้องการจะให้เขาไปคนเดียวก่อนรึไง

กลัวจะทำให้เขาเดือดร้อนหรือ

ดูท่าจะมีแต่คำอธิบายแบบนี้เท่านั้น เขาจึงเอ็ดทันที “อย่าดื้อ เหวยซือจะพาเจ้ากลับสำนักชางฉยงซาน”

เส้นเอ็นเขียวๆบนหน้าผากลั่วปิงเหอขึ้นปูดโปน กล่าวเสียงเข้ม “ไม่ไป!”

เสิ่นชิงชิวเข้าใจว่าเขากำลังงอนอีกเช่นเคย “ในเวลาแบบนี้ ยังจะมัวมาดื้อด้านทำงอนอะไรอีก ไปอาศัยหลบทางนั้นก่อน” ว่าพลางทาบฝ่ามือเข้ากับแผ่นหลังเขาไปด้วย ใบหน้าของลั่วปิงเหอแข็งทื่อทันทีทันใด

พลังทิพย์อันอบอุ่นขุมหนึ่งส่งถ่ายมาทางแผ่นหลังเข้าสู่กายเขาระรอกแล้วระลอกเล่าไม่หยุด

ส่งพลังไปได้ครู่หนึ่ง เสิ่นชิงชิวก็รู้สึกว่าน่าจะพอใช้ได้แล้ว จึงชักมือกลับมา ดึงซิวหย่าออกจากฝัก หิ้วตัวลั่วปิงเหอขึ้นมาได้ก็เหาะออกไปทันที

ซิวหย่าเป็นกระบี่ที่ถือกำเนิดจากยอดวั่นเจี้ยนเฟิง ไม่ว่าจะเวลาไหนเมื่อขี่ซิวหย่าเข้าเขตอาคมที่มีไว้ป้องกันการบุกรุกทางอากาศของชางฉยงซานก็จะไม่ทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ดังนั้นเสิ่นชิงชิวจึงสามารถพาคนกลับมาที่ชิงจิ้งเฟิงโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็นได้

แต่ถึงจะรอดพ้นสายตาของยอดเขาอื่น แต่กลับไม่อาจรอดพ้นสายตาของศิษย์บนยอดเขาตัวเอง ตอนที่เขาลับๆล่อๆลากตัวลั่วปิงเหอมาถึงเรือนไผ่ ในเรือนก็มีคนอยู่ก่อนแล้ว

หมิงฟานกำลังถือไม้กวาดทำความสะอาดห้องพลางคุยจ้อไม่หยุดปากอยู่กับหนิงอิงอิง โดยที่ฝ่ายหญิงกำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เล็กๆ ถกแขนเสื้อขึ้น เขย่งปลายเท้าเอาแส้ปัดฝุ่นปัดชั้นบนสุดของชั้นหนังสือ

เสิ่นชิงชิวถีบประตูเข้ามา ทั้งคู่ตกใจจนสะดุ้งโหยง ครั้นพอดูให้ชัดอีกทีก็ร้องออกมาทันทีว่า “ซือ——”

เสิ่นชิงชิวทำท่ารูดซิปปาก คนทั้งคู่ก็ส่งเสียงไม่ออกทันที

เสิ่นชิงชิวกดเสียงต่ำ “เอะอะอะไร  พวกเจ้าคิดจะชักนำไป่จั้นเฟิงโขยงนั้นเข้ามาหรือ”

หากรู้ว่าเขากลับมา หลิ่วชิงเกอจะต้องมาหาแน่ ทันทีที่เขามา สภาพของลั่วปิงเหอในตอนนี้ไหนเลยจะปิดบังเอาไว้ได้อีก

พึงรู้ว่า ทุกครั้งที่เห็นลั่วปิงเหอ กลุ่มคนที่กระเหี้ยนกระหือรือจะเข้ามารุมอัดเขามากที่สุด ก็คือกลุ่มผู้ก่อการร้ายโขยงนั้นของไป่จั้นเฟิงนั่นเอง ลั่วปิงเหอเกรงใจตน เลยไม่กล้าลงมือกับพวกเขา ทุกครั้งจึงกลายเป็นเป้ามีชีวิตให้คนไล่ตี ต่อให้ตีไม่ตาย ก็ยุ่งยากเอาการอยู่

ดวงตารูปเม็ดอัลมอนด์ของหนิงอิงอิงเบิกกว้าง ยกสองมือขึ้นปิดปาก พยักหน้าถี่ๆราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือก ครั้นมองดูอีกทีเห็นลั่วปิงเหอในสภาพเลือดอาบไปทั้งตัวก็เอามือออกจากปาก สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ “ซือจุน อาลั่วเขาเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”

ลั่วปิงเหอกวาดตามองหมิงฟานแวบหนึ่ง ความไม่อยากจะเชื่อและความเกลียดชังผุดวาบขึ้นในดวงตา สายตาเช่นนั้นเย็นยะเยียบจับเข้าไปถึงกระดูก

หมิงฟานกำไม้กวาดแน่นโดยไม่รู้ตัว หดคอหดไหล่ แทบจะล้มลงไปกับพื้น

เสิ่นชิงชิวกลับมองไม่เห็นรายละเอียดหยุมหยิมเหล่านี้ พยุงลั่วปิงเหอนั่งลงข้างเตียง “เขาได้รับบาดเจ็บ พวกเจ้าออกไปก่อน หีบยาที่เชียนเฉ่าเฟิงส่งมายังอยู่ที่เดิมกระมัง”

หนิงอิงอิงกล่าวว่า “ของในเรือนไผ่ไม่มีการโยกย้าย ยังอยู่ที่เดิมทั้งหมดเจ้าค่ะ ซือจุนต้องการให้พวกศิษย์ช่วยหรือไม่เจ้าคะ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ไม่ต้อง เหวยซือจัดการเองคนเดียวได้”

พอไล่ศิษย์ทั้งคู่ออกไปแล้ว เสิ่นชิงชิวก็จับตัวลั่วปิงเหอนั่งดีๆ เอาหมอนหนุ่นหลังให้เขา แล้วจึงค่อยย่อกายลงถอดรองเท้าให้

ลั่วปิงเหอปิดปากเงียบไม่พูดไม่จามาตลอด พอเสิ่นชิงชิวก้มหน้า สายตาที่จับอยู่ตรงหลังคอขาวๆของเขาพลันเรืองประกายลึกลับอย่างบอกไม่ถูก ก่อนเปลี่ยนไปเป็นหวาดระแวงและดุดันเย็นชาอยู่ในที

เสิ่นชิงชิวนึกว่าเขาบาดเจ็บที่ร่างกายทำให้หมดแรงจะพูด เห็นหน้าผากเขาเหงื่อผุดพราว จึงเอาผ้านุ่มชุบน้ำสะอาดมาเช็ดหน้าให้เขา สาละวนเลือกยาขวดนั้นตลับนี้จากในหีบที่มู่ชิงฟางจัดมาให้ จากนั้นก็หันกลับมาคลายสาบเสื้อลั่วปิงเหอออก

ลั่วปิงเหอคว้ามือเขาหมับ

เรี่ยงแรงมหาศาลที่บีบข้อมือทำเอาเสิ่นชิงชิวนิ่วหน้า ทั้งไม่อาจใช้มืออีกข้างตบหัวเขา จึงลดเสียงต่ำกล่าวว่า “อย่าเอาแต่ใจ ข้าจะดูแผลให้เจ้า”

ลั่วปิงเหอยังไม่ยอมปล่อยมือ

เพราะเหลืออดอยู่นานแล้ว คราวนี้เสิ่นชิงชิวเลยเอายาเม็ดสารพัดสีในมือซ้ายยัดใส่ปากเขาพรวดเดียวหมดทั้งกำมือ!

เม็ดยาน้อยใหญ่หลายสิบเม็ดอัดแน่นเต็มปาก ลั่วปิงเหอหน้าดำทะมึน ในที่สุดก็ยอมปล่อยมือ

เสิ่นชิงชิวฉวยจังหวะนี้ฉีกเสื้อเขาขาดดังแคว่ก พอเห็นเต็มๆสองตา กลับไม่กล้าทำอะไรมาก ได้แต่ใช้ผ้าเช็ดคราบเลือดอย่างเบามือ

ปราณมารเป็นสายๆ แผ่ออกมาจากเนื้อหนังที่ถลอกยับเยิน ดูไม่เหมือนบาดแผลทั่วไป ไม่เช่นนั้นแล้ว ด้วยความสามารถในการเยียวยาตัวเองของลั่วปิงเหอ ก็คงจะหายดีเหมือนใหม่เสียนานแล้ว

เสิ่นชิงชิวทำความสะอาดแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง พลางกล่าวว่า “สองสามวันนี้เจ้าไปไหนมากันแน่ ไปสู้กับใครมาถึงได้มีสภาพเช่นนี้”

จนแล้วจนรอดลั่วปิงเหอก็ยังไม่ยอมพูด

เสิ่นชิงชิวเช็ดหน้าอกเขาเสร็จก็ทำตามอย่างที่มู่ชิงฟางเคยสอนไว้ จับข้อมือเขาเพื่อตรวจชีพจร หากอาการไม่ดีจริงๆ ก็คงต้องไปเชิญมู่ชิงฟางมาดูให้อีกที

ตรวจๆชีพจรไป เขาก็มองมือกับแผ่นอกของลั่วปิงเหอให้ชัดๆอีกครั้ง

ความรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกคืบคลานเข้ามาในหัวใจ

เขาเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล

มันเหมือนกับ…มีอะไรบางอย่างหายไป

แต่พอมองสภาพลั่วปิงเหอที่ริมฝีผากซีดขาว แววตาเย็นชา เขาก็ไม่อาจมัวมาขบคิดอะไรอยู่อีก นั่งลงข้างเตียง แล้วถ่ายพลังทิพย์ให้เขาต่อ

พอพลังทิพย์ค่อยๆหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของลั่วปิงเหอ เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่า กล้ามเนื้อที่เครียดเกร็งของเขาก็ค่อยๆผ่อนคลายลง จึงแอบถอนใจด้วยความโล่งอก แล้วยื่นมือออกไปหมายจะรวบตัวลั่วปิงเหอเข้ามากอด

ลั่วปิงเหอดิ้นหนีอีกครั้ง

เสิ่นชิงชิวที่ถูกผลักออกไปอีกเป็นครั้งที่ 2 โยนผ้าในมือขวาทิ้ง กล่าวอย่างจนใจว่า “เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

ความหวาดระแวงและตั้งป้อมระวังภัยในดวงตาลั่วปิงเหอทำให้เสิ่นชิงชิวแอบกลอกตามองบน ดุเข้าให้ “ป่านนี้แล้วยังจะมาดื้อรั้นเจ้าอารมณ์อะไรอยู่อีก เพียงเพราะ 2 วันก่อนไม่ยอมให้เจ้านอนด้วย ถึงกับโกรธมาจนกระทั่งวันนี้เชียวหรือ”

ได้ฟังดังนั้น มุมปากของลั่วปิงเหอคล้ายกับจะกระตุก

เสิ่นชิงชิวเปลี่ยนมาใช้มือแตะๆหน้าผากเขาอย่างฮึดฮัด กล่าวเสียงต่ำว่า “มีไข้เล็กน้อย เจ้า…เวียนหัวหรือไม่”

แต่แล้ว เสียงหนิงอิงอิงก็ดังมาจากด้านนอก “อาจารย์อาหลิ่ว ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ ตอนนี้ซือจุนไม่สะดวกรับแขกเจ้าค่ะ!”

ปกติหนิงอิงอิงพูดจาเบาๆน้ำเสียงนุ่มนวล งุ้งงิ้งมุ้งมิ้งจนบางครั้งถ้าไม่เข้าไปใกล้ๆจะได้ยินไม่ถนัด แต่จู่ๆก็ตะโกนเสียดังลั่นเช่นนี้ เห็นชัดว่าต้องการจะส่งข่าวให้เสิ่นชิงชิวที่อยู่ในห้องรู้ตัว เขากระโดดผึงลงจากเตียงทันที เพิ่งจะปลดม่านลงมา ประตูเรือนไผ่ก็ถูกผลักให้เปิดออกเสียงดังปัง

หลิ่วชิงเกอสะพายกระบี่ไว้ที่หลัง ถลันมาถึงด้านใจห้องภายใน 3 ก้าว

เสิ่นชิงชิวเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง หมุนกายกลับมายักคิ้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องหลิ่วสบายดีหรือ”

หลิ่วชิงเกอตีแสกหน้าเขาโดยไม่รีรอ “ชางฉยงซานมีกฎ ลั่วปิงเหอเข้ามาไม่ได้”

เสิ่นชิงชิวถาม “ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินว่ามีกฎข้อนี้มาก่อนเลย”

หลิ่วชิงเกอกล่าวว่า “เพิ่งจะตั้งขึ้นมา”

หมิงฟานโผล่หัวเข้ามาสอดปาก “ใช้แล้วขอรับซือจุน ตอนนี้ชางฉยงซานมีกฎข้อนี้อยู่จริงๆ เพียงแต่อาจารย์ลุงเจ้าสำนักยังไม่ทันได้เอาไปสลักบนผนังศิลาที่จารึกกฎของสำนักเท่านั้นเองขอรับ ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น…”

เสิ่นชิงชิวด่า “เจ้าหุบปากไปเลย”

อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ ต้องเป็นนายนั่นแหละ ที่ไปเรียกหลิ่วชิงเกอมา!!!

เจ้าเด็กคนนี้ปลื้มไป่จั้นเฟิงมานานแล้ว ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อะไรเป็นต้องเจ๋อไปรายงานหลิ่วชิงเกอไว้ก่อน กลายเป็นสปายประจำชิงจิ้งเฟิงไปเรียบร้อย!

ในบรรดาคนหนุ่ม หายากนักที่จะไม่ปลื้มไป่จั้นเฟิง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้อยู่ แต่ถึงขั้นเห็นขี้ดีกว่าใส้ นิดหน่อยฟ้องแหลกนี่ จะหน้าด้านเกินไปแล้ว!

ไว้จัดการกับนายทีหลัง!

หมิงฟานพอถูกด่าเข้าหน่อยก็หน้าจ๋อย ถอยออกไปอย่างห่อเหี่ยว

หนิงอิงอิงยืนอยู่หน้าประตูอย่างหงุดหงิด ยังแค้นไม่หาย จึงกระทืบเท้าเขาอย่างแรง พึมพำด่าว่าเขาทำเสียเรื่อง

พอคนทั้งสองถอยออกไป หลิ่วชิงเกอก็เลิกม่านเตียงขึ้นทันที

ลั่วปิงเหอกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง แววอำมหิตฉายชัด ดูคล้ายเสือดาวหนุ่มได้รับบาดเจ็บ กำลังจ้องมองหลิ่วชิงเกอด้วยแววตาแฝงรังสีสังหารเข้มข้น นัยน์ตาทั้งเย็นยะเยียบราวกับดาบน้ำแข็ก ทั้งร้อนแรงราวกับไฟ กักพลังโจมตีขุมหนึ่งไว้ในมือ พร้อมจะจู่โจมออกไปได้ทุกขณะ

เสิ่นชิงชิวรีบเข้าไปแทรกกลาง ขาข้างหนึ่งเหยียบที่นอนขวางหน้าลั่วปิงเหอไว้ “ศิษย์น้องหลิ่วอย่าทำอย่างนี้เลย”

หลิ่วชิงเกอถามอย่างสงสัย “เขาได้รับบาดเจ็บหรือ”

เสิ่นชิงชิวอยากจะคารวะเขาจริงๆ ถอนใจกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บ ข้าก็ไม่พาเขากลับมาหรอก ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าก็ทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้าง อย่าไล่เขาไปเลยนะ”

หลิ่วชิงเกอถาม “ได้รับบาดเจ็บแล้วทำไมไม่อยู่ที่ภพมาร”

ก็เพราะอยู่ภพมารไง ถึงได้รับบาดเจ็บ!

เสิ่นชิงชิว “เกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ…”

หลิ่วชิงเกอถามว่า “ภูตผีปีศาจพวกนั้นมันก่อกบฏหรือ”

“เอ่อ…” เสิ่นชิงชิวมองลั่วปิงเหอด้วยหางตา ไม่รู้ว่าการเอาเรื่องภายในของเผ่ามารมาพูดจะเหมาะสมหรือไม่ ตอบอ้อมแอ้มว่า “คงงั้นกระมัง”

หลิ่วชิงเกอกล่าว “ปัญหาเละเทะของตัวเองก็ต้องเก็บกวาดเอาเอง ผู้ที่ชางฉยงซานหนุนหลังคือเจ้า แต่มิใช่เขา”

ลั่วปิงเหอจู่ๆ ก็หัวเราะหยันออกมาทีหนึ่ง ทำเอากระเทือนแผลที่หน้าอก ต้องกัดฟันข่มความเจ็บปวด

ได้ยินเสียงเขาต้องทนทรมาร เสิ่นชิงชิวก็นึกโมโหขึ้นมาเดี๋ยวนั้น กล่าวเสียงขรึมว่า “ศิษย์น้องหลิ่วอย่าลืมเสียเล่า ที่นี่คือชิงจิ้งเฟิงนะ ชิงจิ้งเฟิงจะให้ใครอยู่ไม่อยู่ ย่อมต้องเป็นเจ้ายอดเขาที่ตัดสินใจซิ!”

หลิ่วชิงเกอแค้นใจที่เถียงไม่ขึ้น สีหน้าเย็นยะเยียบ “เจ้าก็เข้าข้างมันเข้าไปเถอะ!”

พอซัดประโยคนี้จบก็ปึงปังออกไปนอกห้องทันที ยังไม่ทันจะผ่านไป 2 วิ เสียงปึงปังนั้นก็ถอยกลับมา ขว้างของอย่างหนึ่งใส่อ้อมแขนเสิ่นชิงชิว

เสิ่นชิงชิวรับไว้ได้ก่อนเอามาดู กลับเป็นพัดด้ามจิ้วของเขาเล่มนั้นนั่นเอง

ระหว่างการสู้รบชุลมุนที่แม่น้ำลั่วคราวก่อน พัดด้ามจิ้วเล่มนี้ไม่รู้ว่าตกหล่นไปเสียที่ไหน ทุกครั้งล้วนเป็นหลิ่วชิงเกอที่คอยเก็บไว้ให้ เห็นชัดว่า เขามีวาสนากับพัดเล่มนี้จริงๆ งั้นก็มอบให้เขาไปเลยแล้วกัน!

เขากระแอมทีหนึ่ง กล่าวอย่างสุภาพว่า “ทุกครั้งล้วนลำบากศิษย์น้องหลิ่วแล้ว”

หลิ่วชิงเกอสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที

เสียงลั่วปิงเหอดังขึ้นจากด้านหลังเสิ่นชิงชิว ฟังดูแหบแห้งอยู่บ้าง “…หลิ่วชิงเกอหรือ”

เสียงนี้เป็นการถามด้วยความไม่แน่ใจ

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ไม่ต้องไปสนใจหรอก เขาก็เป็นของเขาอย่างนี้ เอะอะเอ็ดตะโรไปอย่างนั้นเอง เอ็ดตะโรเสร็จแล้วก็ไป”

ลั่วปิงเหอหรี่ตา สีหน้าค่อยๆปรากฏแววครุ่นคิด

เสิ่นชิงชิวเอาพัดด้ามจิ้ววางลงบนโต๊ะ กล่าวปลอบใจว่า “ไม่ต้องกลัว วันนี้เหวยซือพูดกับเขาไปแล้ว ช่วงนี้เขาคงไม่มาสร้างความลำบากให้เจ้าอีกหรอก หากศิษย์ไป่จั้นเฟิงมารุมตีเจ้าอีก เจ้าก็สู้กลับบ้าง อย่าเอาให้ถึงตายก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปยอมให้เขา ทั้งยังถือเป็นการรักษาหน้าให้ชิงจิ้งเฟิงด้วย”

ลั่วปิงเหอยิ่งฟัง แววระยิบระยับที่วูบไหวในดวงตาก็ยิ่งดูประหลาด

เขาเรียกเหมือนลองหยั่งเชิง “…ซือจุน?”

เสิ่นชิงชิวหันไป “หืม”

สีหน้าและน้ำเสียงอ่อนโยนเอาอกเอาใจเกินร้อย ชนิดขออะไรก็ให้หมด

ลั่วปิงเหอเก็บงำแววตา เหยียดมุมปากนิดๆ “ไม่มีอะไร แค่…อยากเรียกดู”

เจ้าเด็กคนนี้มีเรื่องไม่มีเรื่องก็ชอบเรียกซือจุนไม่ขาดปากอยู่แล้ว เสิ่นชิงชิวไม่ใช่เพิ่งจะมารู้วันแรก จึงลูบศีรษะเขา “นอนเถอะ ทางเผ่ามารมีเรื่องอะไร ไว้รักษาอาการบาดเจ็บให้หายก่อนค่อยว่ากัน”

ลั่วปิงเหอพยักหน้าน้อยๆแทบสังเกตไม่เห็น

เห็นดังนั้น เสิ่นชิงชิวก็โน้มตัวไปเอาหมอนที่อยู่ด้านหลังเขาออก แล้วพยุงให้เขานอน ก่อนจะนอน ก็แกะสายรัดผมออกให้ก่อนอย่างระมัดระวังจะได้ไม่เจ็บศีรษะเวลานอน

ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ เสิ่นชิงชิวจึงค่อยเป่าตะเกียงให้ดับ ถอดเสื้อนอกของตัวเองแล้วขึ้นเตียงไปด้วย

เขากอดลั่วปิงเหอไว้ กล่าวว่า “เจ้าหลับเถอะ เหวยซือจะปรับลมปราณให้”

กอดก็กอดแล้ว นอนก็นอนแล้ว อาการแง่งอนก่อนหน้าน่าจะหายได้เสียทีนะ

เสิ่นชิงชิวหลับตา ปรับลมปราณทั่วร่างกายให้อยู่ในสภาพนิ่งที่สุดแล้วถ่ายพลังเข้าชะล้างชีพจรทิพย์ของลั่วปิงเหอด้วยความอ่อนโยนราวกับธานน้ำใสยามสนธยา

ท่ามกลางความมืด ดวงตาใสแจ๋วสุกสกาวคู่หนึ่งทอแสงเย็นยะเยียบค้างอยู่เป็นเวลานอน จับจ้องเสิ่นชิงชิวที่กำลังหลับตาโดยไม่ย้ายสายตาไปทางอื่นเลย

ผมยาวของเสิ่นชิงชิวคลี่สยายอยู่ตามแขนและซอกนิ้วของเขา

ลั่วปิงเหอคว้าขึ้นมาปอยหนึ่ง ค่อยๆกำแน่นเข้า ทำปากหมุบหมิบทวนชื้อนี้ซ้ำๆโดยไร้สุ้มเสียง

เสิ่นชิงชิว

เสิ่นชิงชิว

มุมปากเขาพลันยกโค้งขึ้นเป็นลักษณาการประหลาด

รอยยิ้มบนใบหน้าของ ‘ลั่วปิงเหอ’ ขยายกว้างอย่างเงียบๆ

เขาเหมือนกับค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว แสงไฟในดวงตาลุกเรือง แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นเกือบๆจะใกล้เคียงกับแววอำมหิตเลยทีเดียว

คืนนี้ ห้วงฝันของเสิ่นชิงชิวยาวนานและสับสน

เช้าวันต่อมา ผู้ที่ลืมตาก่อนเป็นคนแรกคือลั่วปิงเหอ

ดวงหน้าขาวจัดของเขากลับมามีสีเลือดขึ้นบ้างแล้ว ดูดีกว่าคืนวานมาก กลับเป็นเสิ่นชิงชิวเสียอีก ที่ก่อนจะเข้านอนเมื่อคืนยังกระโดดโลดเต้นได้อยู่เลย เช้านี้ตื่นมายังคงกอดเขาไว้ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น และดูจะเพลียๆอยู่บ้าง

เสิ่นชิงชิวส่งถายพลังทิพย์ให้เขาทั้งคืนจริงๆ จนกระทั่งง่วงหลับไปแล้วก็ยังไม่หยุด

ขนตาลั่วปิงเหอค่อยๆขยับ จับจ้องอีกฝ่ายด้วยแววตาซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง ยื่นมือไปขยับแขนเสิ่นชิงชิวออก

พอขยับ เลยทำให้เสิ่นชิงชิวสะดุ้งตื่น ลั่วปิงเหอฉวยโอกาสนี้ลุกขึ้นนั่งแล้วลงจากเตียง

เสิ่นชิงชิวนึกแปลกใจ เมื่อก่อน ถีบให้ลงจากเตียงยังไงก็ไม่ยอมลง เช้านี้กลับสำนึกได้ ลุกเองแล้วรึ

เขาเอามือคีบดั้งจมูก นิ่วหน้ากล่าวว่า “เช้าปานนี้ลุกขึ้นมาทำไม ทำอาหารหรือ วันนี้อย่าทำเลย”

เขาเห็นลั่วปิงเหอสวมเพียงเสื้อตัวกลางเนื้อบาง คอเสื้อแบะอ้า ถึงแม้บาดแผลที่พาดตัดกันทั่วร่างกายท่อนบนจะหายแล้ว แต่ก็ยังเหลือรอยจางๆอยู่บ้าง คิดว่าภายในวันนี้ก็คงจะหายเกลี้ยงเป็นปกติ ทว่าแผ่นอกเนียนเรียบเปิดรับลมอยู่เกือบครึ่ง เสื้อนอกที่สวมมาเมื่อคืนเอามาใส่ไม่ได้แล้ว เขาจึงกล่าวเตือนความจำให้ว่า “เสื้อผ้าเจ้าเมื่อก่อนนี้ยังเก็บไว้ในห้องข้าง พวกอิงอิงไม่ได้ย้ายไปไว้ไหน”

ลั่วปิงเหอเดินอ้อมฉากกั้นลมไปที่ห้องข้าง

โลกใบน้อยๆปรากฏขึ้นตรงหน้าในฉับพลัน เครื่องเรือนทุกชิ้นไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ ตู้ เตียง ที่ทำจากไผ่เขียวล้วนสะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่น ตรงหัวเตียงยังมีโต๊ะเตี้ยอีกตัวหนึ่ง จัดวางตำราม้วนไว้อย่างเป็นระเบียบ พู่กันต่างสีเรียงตามขนาดสั้นยาว เขาเปิดตู้ เสื้อขาววางพับซ่อนกันอย่างเรียบร้อย ด้านบนยังแขวนหยกพกเนื้อดีเรียงรายสารพัดแบบ

ระหว่างที่ลั่วปิงเหออยู่ในห้องข้าง เสิ่นชิงชิวก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างเกียจคร้าน เขามองหาว่าถอดรองเท้ายาวไว้ที่ไหนพลางคลึงขบับไปด้วย

เมื่อคืนช่างเป็นการนอนที่เลวร้ายเอามากๆ และไม่สบอารมณ์ที่สุด

เขาฝันทั้งคืน! ฝันๆๆ

กระทั้งอดีตอันมืดมนอย่างตอนไปปราบมารถลกหนังที่เมืองซวงหูอันแสนจะอับอายขายขี้หน้าก็ยังฝันถึง! แถมยังฝันซ้อนฝันเข้าไปอีก!

งานชุมนุมเซียนครั้งใหญ่ เมืองจินหลัน เมืองฮวาเยวี่ย สุสานศักดิ์สิทธิ์ อะไรต่อมิอะไรล้วนเวียนวนกันเข้ามาราวกับโคมม้าหมุน ทั้งถูกตี กระอักเลือด หญ้างอกบนตัว…

อัดกันอยู่ในฝันหนึ่งคืนจนสมองแทบจะระเบิด!

สาเหตุแน่นอนว่าเป็นเพราะหลับไปทั้งๆกำลังถ่ายทอดพลังทิพย์ให้ลั่วปิงเหอนั่นเอง พอสติสัมปชัญญะลั่วปิงเหอไม่นิ่ง คนที่อยู่ใกล้เลยได้รับผลกระทบตามไปด้วย

เวลานี้ ลั่วปิงเหอเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เดินออกมาจากห้องข้าง เสิ่นชิงชิวยังหารองเท้าไม่เจอเลยเลิกหา กวักมือเรียกลั่วปิงเหอมาที่ข้างเตียง ฉุดเขาลงมา

แต่ฉุดแล้วไม่ขยับ

ลั่วปิงเหอเลิกคิ้ว “จะทำอะไร”

เสิ่นชิงชิวเอาสายรัดผมและหวีอันหนึ่งออกมาจากใต้หมอน ย้อนถาม “เจ้าว่าทำอะไรล่ะ”

ลั่วปิงเหอจึงนั่งลงตรงหน้าเขาแต่โดยดี กวาดตามองไปรอบๆเรือนไผ่

เสิ่นชิงชิวหวีผมให้เขาพลางถามเรื่อยเปื่อยว่า “มองอะไรอยู่”

แววตาลั่วปิงเหอยังคงคมปลาบและเย็นชา แต่น้ำเสียงกลับนุ่มนวลขึ้น “หลายปีมานี้ทุกครั้งที่กลับมาชิงจิ้งเฟิง ล้วนมาแบบรีบร้อนตลอด ไม่เคยดูให้ดีเลย”

เสิ่นชิงชิวใช้ปากคาดสายรัดผม แอบถักเปียเส้นเล็กๆให้เขาด้วยอารมณ์อยากแกล้งเล็กน้อย “หลายวันนี้เจ้าก็ดูให้พอเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปไป่จั้นเฟิงเสียหน่อย ไปบอกหลิ่วชิงเกอให้ควบคุมดูแลพวกเขาดีๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลที่ศิษย์ชิงจิ้งเฟิงจะต้องมาถูกไป่จั้นเฟิงไล่ตี”

ลั่วปิงเหอชะงักไปครู่หนึ่ง ค่อยๆหันหน้ากลับมาคลี่ยิ้มให้เขา ส่งเสียงเรียกซะหวานจ๋อย “ซือจุน”

“หืม”

“ซือจุน”

“อืม”

เขาเรียกราวกับว่าไม่เคยทดลองเรียกด้วยวิธีใหม่เอี่ยมแบบนี้มาก่อน เรียกติดๆกันหลายที ล้วนได้รับการขานตอบกลับมาทุกครั้ง ยิ่งเรียกก็ยิ่งติดใจ จนเสิ่นชิงชิวอดรนทนไม่ไหว เอาพัดด้ามจิ้วตบท้ายทอยเขาเบาๆทีหนึ่ง “เรียกอะไรนักหนา เรียกครั้งเดียวก็พอแล้ว จะพูดอะไรก็พูดให้มันดีๆ”

ลั่วปิงเหอถูกตบท้ายทอยเข้าไปทีหนึ่งก็หน้าดำทะมึน รีบปรับสีหน้าให้เป็นดังเดิม ก่อนหันมาหัวเราะอย่างเดาเจตนาไม่ออก เขากลอกตาไปด้านหนึ่ง “เมื่อคืนซือจุนหลับไม่สบายหรือ”

กอดเจ้าอยู่ ยังจะนอนได้สบายอีกรึไง

เสิ่นชิงชิวกล่าวเสียงเรียบว่า “ฝันเรื่องเก่าเก็บเยาะแยะมากมายเท่านั้นแหละ”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “มิสู้คราวหน้าเป็นข้ากอดซือจุนนอนบ้างดีหรือไม่”

คำพูดพรรค์นี้เขากล่าวออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว

เสิ่นชิงชิวทำผมให้เขาเสร็จแล้ว ตบศีรษะเบาๆก่อนจะผลักเขาลงจากเตียง “ชิ่วๆไปซะ”

เสิ่นชิงชิวไปเยี่ยมไป่จั้นเฟิงตามที่พูดไว้จริงๆ

เขาไปทางนั้นกล่าวได้ว่าไปอย่างคนกันเอง เทียบขอเยี่ยมเยียนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ พอดื่มโจ๊กที่หมิงฟานนำมาให้ จัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็นวยนาดออกไปทันที

ลั่วปิงเหอถูกเขากำชับให้อยู่ในเรือนไผ่ “รอเหวยซือกลับมาดีๆ” แต่มีหรือที่เขาจะยอมอยู่รอ ‘ดีๆ’

พอผลักประตูเปิดออก ก็เห็นเงาร่างอ้อนแอ้นสีส้มร่างหนึ่งกระโดดเข้ามา ลั่วปิงเหอเพ่งมอง จากนั้นก็ยิ้มแย้มหน้าตาสดใส “อิงอิง”

นึกไม่ถึงว่า หนิงอิงอิงจะยืนตัวสั่น หน้าถอดสี “อาลั่ว เจ้าเป็นอะไรไป สมองได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ทำไมเจ้าเรียกข้าแบบนี้ล่ะ อิงอิงอะไรกัน น่ากลัวจัง”

ลั่วปิงเหอ “…”

“ไยเจ้าไม่เรียกข้าว่าศิษย์พี่หนิงแล้วล่ะ”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “…ศิษย์พี่หนิง”

น้ำเสียงที่เรียก ‘ศิษย์พี่’ นี้ เรียกออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเลยทีเดียว

หนิงอิงอิงกลับระบายลมหายใจ ตบอกตนเองอย่างโล่งอก กล่าวสั่งสอนว่า “ต้องแบบนี้ซิ จู่ๆก็มาเรียกกันแบบนี้ไหนเลยจะเหมือนตัวเจ้า ถึงแม้ซือจุนเอ็นดูเจ้า แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับลำดับผู้อาวุโสอยู่เสมอ แบบนี้จึงจะสมกับเป็นศิษย์ชิงจิ้งเฟิงและไม่บิดเบือนคำสอนของซือจุน”

ลั่วปิงเหอฟังจนเส้นเอ็นเขียวๆบนหน้าผากขึ้นปูดโปน หมดสิ้นความอดทน ตัดบทนางว่า “ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”

หนิงอิงอิงทำหน้าเข้าอกเข้าใจทันที

นางโบกมือทีหนึ่ง เอาแส้ปัดฝุ่นและไม้กวาดยัดใส่มือลั่วปิงเหออย่างรู้ใจ

นางกลาวว่า “ศิษย์พี่รู้ เอ้า”

ลั่วปิงเหอ “…”

หนิงอิงอิงกล่าวจากใจจริงว่า “อาลั่วเจ้าอย่าได้ถือสาไปเลย เรือนไผ่ของซือจุน เจ้ามักจะยืนกรานขอทำความสะอาดเองคนเดียวมาตลอด เรื่องนี้ข้ารู้ แต่เจ้ากับซือจุนไม่อยู่หลายวันขนาดนี้ ข้ากับศิษย์พี่ก็ได้แต่ทำแทนให้ไปก่อน ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นก็มอบคืนให้เจ้าเถอะ ศิษย์พี่จะไม่แย่งชิงกับเจ้าแน่นอน จุดนี้ศิษย์พี่ยังพอจะเข้าใจอยู่”

“…”

เข้าใจกะผีอะไรล่ะ!

ลั่วปิงเหอหมุนกายไปยังเซียนซูเฟิง

ศิษย์ของเซียนซูเฟิงมักจะต้อนรับเขาเป็นอย่างดีมาตลอด แต่ก็นะ ที่ไหนก็ต้อนรับด้วยดีเหมือนกันหมดนั่นแหละ

เมื่อก่อน เรื่องราวจุกจิกหยุมหยิมทั้งหลาย เสิ่นชิงชิวมักใช้ลั่วปิงเหอไปจัดการ ชาวเซียนซูเฟิงจึงเห็นหน้าค่าตาเขาบ่อย เดี๋ยวก็มาส่งจดหมาย เดี๋ยวก็ส่งเทียบเชิญ เดี๋ยวก็มาเชิญคน เดี๋ยวก็มาขอยืมข้าวของ

ศิษย์ชายของยอดเขาอื่นๆ เวลามา ส่วนใหญ่ชอบมาทำลับๆล่อๆ ชะโงกซ้ายแลขวา หวังจะมองเข้าไปเห็นห้องหอจนไปถึงห้องอาบน้ำของเหล่าเทพธิดา แน่นอนว่าอย่างหลังนี้ ยังไม่ทันจะได้เห็น ก็ถูกเหล่าเทพธิดาใช้กระบี่ฟันตาย (ห่า)ก่อน มีแต่ลั่วปิงเหอที่เวลาไปยอดเขาไหนล้วนวางตัวด้วยความนอบน้อม รักษาระยะห่างอย่างเข้มงวด จึงทำให้เขาได้รับการชื่นชมจากชาวเซียนซูเฟิงอย่างสูง ด้วยเหตุนี้เบื้องต่ำยันเบื้องสูงของเซียนซูเฟิงจึงปล่อยให้เขาไปรอในอารามชั้นในอย่างเป็นอันรู้กัน

หลิ่วหมิงเยียนใช้ผ้าโปร่งปิดหน้าเช่นเคย ค้อมกายคารวะเขาอย่างมีมารยาท กล่าวทักทายว่า “ศิษย์พี่ลั่ว”

ลั่วปิงเหอยังไม่ทันได้พูดจา หลิ่วหมิงเยียนก็เป็นฝ่ายถามเขาขึ้นก่อน “ศิษย์พี่ลั่วได้รับคำสั่งจากอาจารย์ลุงเสิ่นให้มาพบซือจุนหรือเจ้าคะ โปรดรอตรงนี้สักครู่ ข้าไปจัดที่ทางให้สหายพรตจากอารามเทียนอี 3 ท่านนี้แล้วจะกลับมาเจ้าค่ะ”

สหายพรต 3 ท่านที่นางกล่าวถึง ก็คือนักพรตหญิงคนงาม 3 อนงค์นั่นเอง

เรือนร่างอรชรแน่งน้อยในชุดจีวรสีฟ้าอ่อนกำลังมะรุมมะตุ้มหลิ่วหมิงเยียนอยู่พอดี สายตาวาววับ 3 คู่จับจ้องลั่วปิงเหอเขม็ง เดี๋ยวก็กระซิบกระซาบกัน เดี๋ยวก็กระทืบเท้ากันด้วยอาการแง่งอน แก้มแดงระเรื่อ ดูราวกับดอกไม้สีฟ้าสดใส 3 ดอกกำลังรบเร้าพัวพันดอกบัวบริสุทธิ์ชูช่อเด่นต้านลมอยู่ พลางหัวเราะกันคิกคัก หยิกๆทึ้งๆ ยกโขยงกันออกไป

ลั่วปิงเหอจึงรอหลิ่วหมิงเยียนกลับมาอย่างอดทนอยู่ตรงนั้น

ยืนได้สักพักก็พลันพบว่าใต้กองตำราที่วางระเกะระกะมีมุมของหนังสือเล่มหนึ่งโผล่ออกมา ดูเหมือนจะซุกไว้อย่างรีบร้อน

หลิ่วหมิงเยียนกลับมีของที่ต้องแอบซ่อนกับเขาด้วย

ลั่วปิงเหอถือโอกาสดึงหนังสือเล่มเล็กที่ซุกไว้ออกมา กวาดตามองผ่านๆรอบหนึ่ง รู้สึกว่าภาพวาดบนหน้าปกวาดได้ฉวัดเฉวียนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะชื่อหนังสือ 3 คำนั่นยิ่งฉวัดเฉวียนหนักเขาไปอีก เขาขมวดคิ้ว มองเห็นชื่อนักเขียนที่ลงลายมือเอาไว้ว่า ‘หลิ่วซู่เหมียนฮวา*’ ก็ยิ้มน้อยๆ พลิกเปิดอ่าน

(หลิ่วซู่เหมียนฮวา เป็นการเอาสำนวน เหมียนฮวาซู่หลิ่ว จากนิยายเรื่องจินผิงเหมย(บุปผาในกุณฑีทอง) มาพลิกแพลง มีความหมายว่า การไปเที่ยวเริงรมย์ แต่หากแปลตามตัวอักษรอาจแปลได้ว่า บุปผานิทราแซ่หลิ่ว หรือบุปผานิทราในดงหลิวก็ได้)

……………………

……………………

……………………

ตอนที่เสิ่นชิงชิวกลับมาจากจิบชาสังสรรค์ที่ไป่จั้นเฟิง ลั่วปิงเหอกลับมารอเขาที่ห้องเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่เข้าประตูมา ก็รู้สึกว่ามีสายตาร้อนแรงราวกับพระเพลิงคู่หนึ่งยิงพุ่งเข้ามาจังๆ

เสิ่นชิงชิว “…”

=o= ทำไมอยู่ๆ ถึงเกิดความรู้สึกไม่กล้าปิดประตูขึ้นมาล่ะเนี่ย!

ลั่วปิงเหอกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ยิ้มน้อยๆ “เป็นอะไรไป ทำไมซือจุนถึงไม่เข้ามาเล่าขอรับ”

น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลระคนตัดพ้ออยู่ในที แต่แววตากลับเป็นคนละเรื่อง

เขากำลังมองเสิ่นชิงชิวด้วยสายตาที่ทำราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน มองขึ้นๆลงๆอย่างประเมินเที่ยวหนึ่ง เหมือนต้องการใช้สายตาถลกหนังของเขาออก

เสิ่นชิงชิวผู้นี้หน้าตาดียิ่ง ไหล่ไม่กว้างไม่ล่ำ เอวเล็กสอบ แข้งขายาวภายใต้เครื่องแบบของชิงจิ้งเฟิงซึ่งเป็นชุดสีเขียวสวมทับกันเป็นชั้นๆ แลดูโดดเด่น สง่างามไม่เบา

ใช่ มันคือความสง่างาม

เสิ่นชิงชิวเอื้อมมือไปข้างหลัวเพื่อปิดประตูเรือนไผ่ ยังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ๆเขาในรัศมีห้าหกก้าว เพียงรู้สึกว่าถูกฉุดทีหนึ่ง จากนั้นก็ล้มไปอยู่ในอ้อมกอดของลั่วปิงเหอเลย เอวถูกรัดไว้แน่น

ลั่วปิงเหอไล้มือไปที่ข้างเอวเขาแล้วเค้นคลึงไม่หยุด

มืออ่ะ มือ ขอบใจ! มือ! มือนาย!

เสิ่นชิงชิวพลิกมือไปยึดมืออยู่ไม่สุกของอีกฝ่ายไว้ พอฝ่ายนั้นออกแรงบิดทีหนึ่ง ไม่รู้ทำอีท่าไหน เสิ่นชิงชิวก็ถูกจับไปนั่งคล่อมอยู่บนตักของลั่วปิงเหอเรียบร้อยแล้ว โดนกักตัวไว้ไม่อาจกระดิกกระเดี้ย

ครู่ต่อมา มือของลั่วปิงเหอที่ไล้ลำคอเขาอยู่ก็รั้งคอเขาลงมา จากนั้นริมฝีปากของเสิ่นชิงชิวก็ถูกงับอีกครั้ง

ไม่กล้าขยับ เชี่ยเอ้ย! ท่านี้ ไม่กล้าขยับตัวจริงๆ

อันที่จริงทั้งคู่ก็เคยกระทำยิ่งกว่านี้มาแล้ว แต่คราวก่อนด้วยสถานการณ์ที่เป็นข้อยกเว้น อีกทั้งกำลังเผชิญหน้ากับหายนะครั้งใหญ่ ไม่มีเวลามาขัดเขินหรือสำรวมท่าทีอะไรได้ ส่วนตอนอยู่ภพมารก่อนหน้านี้เกือบครึ่งเดือน ลั่วปิงเหอเคลียคลอกับเขาตลอดเวลาก็จริง แต่ไม่รู้เพราะเขินอายหรือว่าอย่างไร จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำอะไรล้ำเส้นแต่อย่างใด

แต่เวลานี้ สถานที่นี้ สถานการณ์มันไม่เหมือนกัน

ตะวันยังไม่ทันตกดินเลยนะ มาทำรุ่มร่ามเอาตอนกลางวันแสกๆ จะดีรึ

หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้มันกลัดมันทนไม่ไหวแล้ว

เสิ่นชิงชิวไม่ชินต่อการกอดรัดกับใครอย่างแนบแน่นขนาดนี้ทั้งๆยังมีสติ แต่กับตุ๊กตากระเบื้องที่แตะทีเดียวก็แตกเช่นลั่วปิงเหอ เขาย่อมไม่อาจผลักไสได้อีก จึงตอบรับเขาด้วยการเผยอริมฝีปากเล็กน้อย

จะว่าไปก็แปลก ร่างกายของเสิ่นชิงชิวที่เขาใช้มานานปานนี้ เขากลับรู้สึกว่า จากหัวจรดเท้า ไม่ว่าจะส่วนไหนล้วนเย็นชาตายด้าน ไม่มีส่วนไหนที่ไม่อาจแตะโดน จิ้มตรงไหนก็ไม่จักจี้ เหมือนกับไม่มีส่วนที่อ่อนไหวต่อการสัมผัส แต่ตอนนี้ พอถูกลั่วปิงเหอเค้นคลึง เดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบา ก็รู้สึกจักจี้จนแทบทนไม่ไหว

ทำไมถึงได้ช่ำชองขนาดนี้ ทำไม!?

เห็นๆอยู่ว่าเป็นหนุ่มเวอร์จิ้นไม่ใช่หรือ แล้วนี่อะไร!

ครั้งเดียวก็เก่งเลยโดยไม่ต้องมีใครสอน? มันยังไงกัน!

แบบนี้ยุติธรรมหรือ ฉันจะร้องเรียน ฉันจะร้องตะโกน

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ทำไม!

ลั่วปิงเหอกัดริมฝีปากเขาเดี๋ยวเบาเดี๋ยวแรง ปลายลิ้นก่อกวนอยู่ในโพรงปากเขา เสิ่นชิงชิวหายใจตามไม่ทัน แต่พอเบี่ยงศีรษะออกไปหอบหายใจได้หน่อยเดียวก็ถูกจับกลับมาจุมพิตลึกล้ำยิ่งขึ้นไปอีก เขาแทบขาดอากาศหายใจ เอาแต่นิ่วหน้าหลับตาเลยมองไม่เห็นแววตาประสงค์ร้ายที่ลุกวาบขึ้นในดวงตาของลั่วปิงเหอ

นั่งอยู่บนตักแบบนี้ไม่มั่นคงเท่าไหร่ เขายื่นมือไปยึดคอเสื้อลั่วปิงเหอไว้ตามสัญชาตญาณ แต่พอจะยึด ที่แตะถูกกลับไม่ใช่คอเสื้อหากแต่เป็นผิวเปล่าเปลือยที่แผงอก

ช่างเป็นผิวที่เรียบลื่น ละมุนมือสุดๆ

ชั่วพริบตานั้นเอง ในหัวของเสิ่นชิงชิวก็สว่างวาบ

เขาปล่อยพลังจากฝ่ามือฟาดเข้าไปที่หัวใจของ ‘ลั่วปิงเหอ’

‘ลั่วปิงเหอ’ รับพลังทิพย์อันรุนแรงสายนี้เข้าไปเต็มๆ แต่หาได้สะดุ้งสะเทือนสักนิดไม่ หัวเราะหยัน มือข้างหนึ่งบีบข้อมือข้างขวาของเสิ่นชิงชิว มืออีกข้างยังคงกดคอด้านหลังของเขาไว้ แล้วพลิกกายกอดเขาจนล้มกลิ้งไปบนเตียงด้วยกันอย่างช่ำชอง ก่อนก้มหน้ามองลงมา ยิ้มจนตาหยี “ทำไมเล่าขอรับ ซือจุนมิใช่รักข้ามากหรอกหรือ ทำไมถึงไม่ยอมโอนอ่อนให้ข้าเล่า”

รักพ่องซิ!

เสิ่นชิงชิวตวาด “ไปให้พ้น!”

ปากของ ‘ลั่วปิงเหอ’ จากเดิมที่อ้อยอิ่งพัวพันกลายเป็นกัดทึ้ง

เสิ่นชิงชิวพลันรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ซึมออกมาในปากทันที เขาใช้มือซ้ายร่ายคาถาเรียกซิวหย่าที่วางอยู่บนโต๊ะเข้ามา

ลั่วปิงเหอชะงักไปเล็กน้อย

เสิ่นชิงชิวจึงฉวยโอกาสนี้ชันขาขึ้น ถีบเข้าไปที่แผ่นอกเขา แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้นข้อเท้ากลับตึงวูบ พอหันไปมอง ก็พบว่ามือข้างหนึ่งของลั่วปิงเหอกำลังยึดข้อเท้าเขาไว้แล้วกระชากกลับโดยพลัน เอาตัวเขากลับไปอยู่ใต้ร่างอีกครั้ง

ลั่วปิงเหอตรึงร่างเสิ่นชิงชิวให้นอนดีๆ แล้วยึดน่องของเขาไว้ก่อนจะงอพับขึ้นไปกดไว้กับหน้าอก

การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้หมดจดรวบรัดในกระบวนท่าเดียว

เสิ่นชิงชิวถามเสียงกระด้าง “เขาเล่า”

‘ลั่วปิงเหอ’ เอียงคอกล่าว “ท่านถามถึงใครรึ หากถามถึงข้า ก็มิใช่อยู่ตรงนี้หรอกหรือ”

เสิ่นชิงชิวระบายลมหายใจอย่างโล่งอกทันที ถามว่า “เจ้ามาถึงนี้ได้อย่างไร”

‘ลั่วปิงเหอ’ เล่นผมเขา “เปรียบกันแล้ว ข้ากลับอยากรู้มากกว่าว่าซือจุนรู้ได้อย่างไร”

ไข่แม่มึง! ฝ่ามือกับแผ่นอกของลั่วปิงเหอมีรอยแผลจากกระบี่น่ะซิ ตอนนั้นฉันนี่แหละทำเองกับมือ!

เสิ่นชิงชิวถามว่า “เจ้าอยากรู้จริงๆน่ะรึ”

‘ลั่วปิงเหอ’ ลดตัวต่ำลงมาเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงเย็นยะเยียบระคนยั่วเย้าอยู่ในที “ไม่บอกก็ช่างเถอะ พวกเรายังมีเวลาอีกมาก ค่อยๆค้นหาไปก็ได้”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ลองหันไปดูซิ”

มุมปากที่ยกโค้งอยู่ของลั่วปิงเหอพลันแข็งทื่อ ตื่นตัวขึ้นมาทันที หันกลับไปอย่างระแวดระวัง

ท่ามกลางแสงสว่างวับๆแวมๆ ใบหน้าที่เหมือนกับเขาไม่มีผิดเพี้ยนโผล่เข้ามาเสียใกล้

ผู้มาสีหน้าเย็นยะเยียบเข้าไปถึงกระดูก ประหนึ่งน้ำแข็งประดุจหิมะ ส่วนแววตากลับลุกเรืองแดงฉานราวกับไฟปีศาจ

ในเรือนไผ่ คนสองคนที่รูปร่างเหมือนกันราวกับคนๆเดียวกัน ใบหน้าราวกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน

ยกเว้นคนหนึ่งสวมชุดขาว คนหนึ่งสวมชุดดำ ก็ไม่มีตรงไหนแตกต่างกันเลย

ที่เอวของลั่วปิงเหอชุดดำสะพายกระบี่ไว้เล่มหนึ่ง ใช้ยันต์ผนึกไว้อย่างแน่นหนาชั้นแล้วชั้นเล่า

กระบี่ซินหมัวที่องอาจในครั้งอดีต กลับถูกห่อหนาเปอะเสียจนอัปลักษณ์ดูไม่ได้ ปราณมารแม้แต่สายเดียวไม่อาจเล็ดลอดออกมา

เขาตวาดด้วยเสียงแหบแห้ง “ลงมาเดี๋ยวนี้!”

ที่ตามหลังเสียงตวาดอันกราดเกรี้ยวมาคือการฟาดจู่โจม

ลั่วปิงเหอชุดขาวที่นั่งอยู่ระหว่างขาสองข้างของเสิ่นชิงชิวก็ตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันกลางอากาศเสียงดังสนั่น ฝุ่นฟุ้งกระจาย

เขาดูเหมือนจะเซ็งจัด กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เร็วกว่านี้ไม่มา ช้ากว่านี้ไม่มา ดันจะต้องมาเวลาแบบนี้…”

ยังไม่ทันพูดจบ เสิ่นชิงชิวก็งอนิ้วชี้และนิ้วกลาง กระบี่ซิวหย่าที่แทงพลาดเลยไปปักเข้าที่ผนังเมื่อครู่สั่นเบาๆ ก่อนจะเหินเข้ามาอยู่ในมือเขาโดยพลัน พอเสิ่นชิงชิวจับกระบี่ได้มั่นก็ตวัดฟันออกไปเดี๋ยวนั้น

ถูกโจมตีจากสองทาง ในที่สุด ‘ลั่วปิงเหอ’ ก็ไม่สามารถอยู่ในท่าหยอกเย้าต่อไปได้อีก เขาพลิกกายลงจากเตียง ตอนจะจากไปยังอุตส่าห์ไม่ลืมหยิกเอวเสิ่นชิงชิวทีหนึ่ง แล้วพลิ้วกายไปยังอีกฟากของเรือนไผ่ แกล้งพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ซือจุนลงมือหนักไม่เบา สักนิดก็ไม่สงสารศิษย์เลยหรือ”

ไสหัวไปหาแม่แกเลย!

ใครเป็นซือจุนแก หา!

หมอนี่ก็คือ ‘ลั่วปิงเหอ’ พระเอกตัวออริจินอลของนิยายฮาเร็ม ‘เทพมารอหังการ’ แห่งเว็บจงเตี่ยนนั่นเอง ก่อนหน้านี้ตอนระบบเปิดใช้งานการลงโทษ เคยออกมาครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มที่นักอ่านล้วนเทิดทูนบูชาราวกับเทพเจ้า ใครๆล้วนเรียกด้วยความยกย่องว่า ปิงเกอ!

เสิ่นชิงชิวคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหมอนี่ไม่เพียงปรากฏตัวในช่วงกระบวนการลงโทษได้ แต่ยังสามารถใช้ร่างจริงมาปรากฏตัวที่โลกนี้ด้วย ดูๆแล้ว อันสิ่งที่เรียกว่าการลงโทษของระบบนั้น ไม่ใช่แค่การจำลองบุคลิกมาใช้ แต่เป็นการไปดึงเอาตัวปิงเกอฉบับออริจินอลจากโลกคู่ขนานมาเองเลยทีเดียว

ถึงแม้เขาจะรู้สึกตงิดๆ มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าเหมือนจะมีตรงไหนสักแห่งไม่ถูกต้อง แต่สาวน้อยแซ่ลั่วก็มักจะเดี๋ยวแง่งอนเดี๋ยวออดอ้อนเป็นประจำอยู่แล้ว อีกทั้งอารามเป็นห่วง เลยมัวแต่รักษาอาการบาดเจ็บให้เขา เสิ่นชิงชิวจึงไม่ทันได้พิจารณาให้ถี่ถ้วน

ลั่วปิงเหอตัวจริง ที่มือกับที่อกจะมีแผลจากกระบี่ที่เขาเป็นคนฝากเอาไว้ด้วยตัวเองอยู่ ของพรรค์นี้ถูกเจ้าเด็กนี่ยึดถือราวกับเป็นของล้ำค่าไม่ยอมรักษาให้หาย แล้วเขาจะลูบเจอ ‘ผิวพรรณเรียบลื่นละมุน’ ได้อย่างไร

สรุปแล้ว เป็นเพราะต่างก็ยังไม่คุ้นเคยกับร่างกายของกันและกันดีพอ จึงฉุกคิดขึ้นมาได้สายไปหน่อย แต่ยังดีที่ยั้งม้าไว้ที่หน้าผาได้ทัน อันตรายเอามากๆ เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกียรติยศศักดิ์ศรีที่เฝ้าถนอมมานานปี (……………….) เกือบรักษาไม่อยู่ซะแล้ว

เช่นนั้นตอนอยู่ในตำหนักใต้ดินเมื่อวาน ที่เขาพูดว่า ‘ไป’ ก็เป็นอันเข้าใจแล้ว ความหมายของคำนี้ ไม่ใช่บอกให้เขา ‘รีบหนี่ไป ข้าไม่อยากเป็นภาระให้ท่าน’ หากแต่เป็น ‘คนสารเลวสมควรตายเช่นเจ้ารีบไสหัวออกไปให้ข้าเสียโดยดี!’

ลั่วปิงเหอชุดดำที่สะพายกระบี่ไว้ข้างเอวโผเข้ามาทันที กล่าวอย่างร้อนใจว่า “ซือจุน ไอ้หมาพันทางตัวนั้นมันทำอะไรท่านหรือไม่”

เฮ้ย ไปด่าเขาไอ้หมาพันทาง ไม่เท่ากับด่าตัวเองหรอกรึ…

แขวะก็ส่วนแขวะ พอเห็นใบหน้าลั่วปิงเหอเต็มไปด้วยความร้อนใจคว้าตนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เสิ่นชิงชิวก็พอใจเป็นอันมาก ต้องแบบนี้ซิ ถึงจะถูก!

เขากระแอมให้คอโล่ง ตรวจดูให้แน่ใจว่าเสื้อผ้ายังอยู่ดีเรียบร้อย สารรูปไม่เยิน จึงค่อยกล่าวว่า “เหวยซือไม่เป็นไร”

แต่แล้วอยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานนี้ ‘ลั่วปิงเหอ’ บาดเจ็บ มีแต่แผลเหวอหวะไปทั้งตัว เลยห่วงว่าร่างนี้ก็น่าจะเจ็บเนื้อเจ็บตัวมาด้วยเช่นกัน จึงรีบถามว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง”

ลั่วปิงเหอพยักหน้า “หายดีแล้ว”

เสิ่นชิงชิวคว้าแขนเขาขึ้นมาพลิกๆดู พอเห็นที่ฝ่ามือมีรอยแผลเป็นสีขาวอยู่รอยหนึ่ง บอกว่าจางไม่จาง บอกว่าลึกไม่ลึก ก็รู้สึกเหมือนถูกสะกิดเข้าที่หัวใจ “ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สองวันนี้เจ้าไปอยู่ไหนมา ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

ลั่วปิงเหอส่ายหน้า “ศิษย์ไม่รู้ สองวันก่อน ศิษย์ปิดด่านฝึกวิชาอยู่ในตำหนักใต้ดิน อยู่ซากกระบี่ซินหมัวที่เหลืออยู่ก็เปล่งแสงสีม่วงออกมาแล้ว คะ…คนผู้นี้ก็ปรากฏตัวออกมา ในมือยังถือกระบี่ซินหมัวอีกเล่มเอาไว้ด้วย ข้าประมือกับเขา เผลอนิดเดียว…ก็พลัดเข้าไปในช่องว่างที่กระบี่ซินหมัวเปิดไว้ หลางจากนั้นช่องว่างก็ปิดลง ข้าทันแค่แย่งเอากระบี่เขาไว้ได้ พอกลับมาอีกที ก็ไม่เห็นซือจุนแล้ว จึงได้แต่มาตามหาที่ชางฉยงซานนี่แหละขอรับ”

สรุปแล้วสองวันที่ผ่านมานี้ ลั่วปิงเหอเข้าไปอยู่ใน ‘เทพมารอหังการ’ ฉบับดั้งเดิมมาหรือ

นึกไม่ถึงว่าความสามมารถในการผ่ามิติของกระบี่ซินหมัวจะมีอานุภาพถึงเพียงนี้ แม้แต่ทางเข้าของมิติคู่ขนานก็สามารถผ่าได้

นี่ไม่ใช่เรื่องที่เอาคำว่ามี Bug มาอธิบายได้แล้ว

เกยะที่มึนงงสับสนจากเว็บจจ.(จิ้นเจียง)คนหนึ่ง อยู่ๆพลัดเข้าไปในฮาเร็มที่เต็มไปด้วยสาวงามสามพันของเว็บจงเตี่ยน เด็กคนนี้คงตกใจกลัวแย่แล้ว ขณะที่เสิ่นชิงชิวเกิดความเอ็นดูสงสารขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ (…..) จู่ๆก็ได้ยินเสียงเย็นยะเยียบดังขึ้น “ขอโทษที ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ อย่าทำเป็นไม่สนใจกันซิ”

ลั่วปิงเหอตัวออริจินอลชินกับการเป็นศูนย์รวมแห่งความสนใจของคนทั้งโลก พอเห็นอาจารย์ศิษย์คู่นี้เจอหน้ากันก็โผเข้าหากันทันที กระหนุงกระหนิงกันจนน่าขนลุก ทำราวกับไม่มีเขาอยู่ตรงนี้ด้วย ก็หงุดหงิดขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก ลอบส่งกำลังไปที่ใต้เท้า เหยียบหินปูพื้นแตกไปหลายแผ่นโดยไม่มีเสียง

ลั่วปิงเหอเอาตัวเข้าไปขวางหน้าเสิ่นชิงชิวไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “เมื่อกี้เจ้ากำลังทำอะไร”

‘ลั่วปิงเหอ’ กล่าวเรียบเรื่อย “เล่นสนุกนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

เสิ่นชิงชิวช็อคไปแล้ว

เล่นใคร

เล่นฉันเหรอ

ปิงเกอ นายมัน…ไม่ว่าใครก็เอาหมดเลยเรอะ!?

จะหญิงหรือชายไม่เกี่ยง จะเนื้อหมูหรือเนื้อปลาก็ไม่สน ส่งถึงปากก็กินโลด?

หรือว่าพอมาทางนี้แล้วสาวๆที่เคยอยู่ในฮาเร็มกลับไม่เหลือเลยสักคน เลยกลัดมัน?

ปิงเกอเดาะลิ้นอย่างขัดใจ “ใครใช้ให้เจ้ามันใช้การไม่ได้ขนาดนี้เล่า ผู้หญิงสักคนก็ไม่มี”

เจอบรรทัดฐานของคำว่า ‘ใช้การไม่ได้’ แบบนี้ ทำเอาเสิ่นชิงชิวไปไม่เป็นเลยทีเดียว

แต่ความสนใจของลั่วปิงเหอไม่ได้อยู่ที่ประเด็นนี้ เขาโกรธเสียจนลูกตาแทบจะหลั่งออกมาเป็นเลือด กล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าบังอาจลบหลู่ซือจุนเช่นนี้…”

ดวงตาของ ‘ลั่วปิงเหอ’ อีกคนหนึ่งก็แดงฉานขึ้นมาอย่างฉับพลันเช่นกัน สบตากับเขาแล้วหัวเราะหยัน “ข้าคงไม่ได้เพียงแค่ลบหลู่เขาเท่านั้นหรอกกระมัง ดูท่าทางที่ไม่เอาไหนเช่นนี้ของเจ้าแล้ว ในฐานะที่เป็น ‘ลั่วปิงเหอ’ แต่กลับทำตัวน่าอับอายแบบนี้ คลุกคลีอยู่กับคนสารเลวเสิ่นชิงชิงทั้งวัน…”

เขาไม่ทันพูดให้จบ ลั่วปิงเหอก็ระเบิดลงแล้ว

ภายในเรือนไผ่ถูกปราณดำปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ทันใดนั้น จู่ๆก็มีแสงสีขาวทะลุลงมาจากด้านบน ที่แท้ทั้งสองฝ่ายต่างซัดพลังเข้าใส่กัน หลังคาเรือนไผ่เลยโดนลูกหลงระเบิดเป็นรูโหว่เบ้อเร่อ

ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าเขาพลันดำทะมึนเสียยิ่งกว่าปราณมารที่ฟาดออกไปอีก

เสิ่นชิงชิวก็มีสีหน้าแทบจะไม่ต่างกัน

ไข่แม่มึง! เดี๋ยวตอนเรียกอันติ้งเฟิงมาซ่อมจะบอกเขายังไงล่ะนี่

ลั่วปิงเหอไม่อยากสร้างความเสียหายให้เรือนไผ่ จึงกระโดดออกไปนอกประตู ตะโกนว่า “ออกมา”

ลั่วปิงเหอตัวออริจินอลเพียงแค่นเสียง “ดีเลย ห้องเล็กๆ สับปะรังเคนี่ไม่พอมือพอเท้าข้าหรอก”

เงาหนึ่งขาว เงาหนึ่งดำ หายวับไปจากสายตาในชั่วอึดใจ

เสิ่นชิงชิวกำลังคิดอยู่เลยว่าหากเรียกคนของไป่จั้นเฟิงเข้ามา พอพวกเขาเห็นลั่วปิงเหอสองคนก็จะปรี่เข้าไปตีให้ตายโดยไม่แยกแยะหรือไม่

เวลานี้เอง หมิงฟานกับหนิงอิงอิงก็นำศิษย์โขยงหนึ่งพรวดเข้ามา ดูท่าว่าเมื่อกี้คงกำลังทบทวนบทเรียนตอนเย็นกันอยู่ พอได้ยินเสียงผิดปกติ ก็รีบรุดมายังจุดเกิดเหตุ บ้างก็ยังกอดฉิน บ้างยังถือตำราในมืออยู่เลย

เสิ่นชิงชิวกล่าวทันที “หยุดอยู่กับที่ห้ามขยับ!”

ศิษย์ทุกคนรีบยืนตัวตรงแหน็วเดี๋ยวนั้น

หมิงฟานเอ่ยถามว่า “ซือจุนทางนี้เกิดเรื่อง…”

เสิ่นชิงชิวตัดบทเขาฉับ “ตั้งแถว”

บรรดาศิษย์ชิงจิ้งเฟิงตั้งแถวตามคำสั่งทันทีอันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติ

เสิ่นชิงชิงกล่าวต่อ “ลงไปวิ่งรอบชิงจิ้งเฟิง 30 รอบ!”

หากไล่พวกเขาไปตรงๆ เจ้าเด็กพวกนี้คงไม่ยินยอม จะต้องขอรั้งอยู่ช่วย(เพิ่มความยุ่งยาก)แน่ๆ สู้ไล่ไปก่อนเลยดีกว่า

พอเจอคำสั่งโดยตรงเช่นนี้ ศิษย์ทุกคนก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ซือจุนสั่งให้วิ่ง เช่นนั้นก็วิ่งเถอะ หนุ่มน้อยสาวน้อยในชุดสีเขียวชักแถวกันวิ่งลงไปจากชิงจิ้งเฟิงราวกับขบวนรถไฟ

เสิ่นชิงชิวเห็นว่าไล่พวกเขาไปได้แล้วก็ถอนหายใจ กลับหลังหันกระโดดตามเข้าไปในป่าไผ่หลังเขาอีกคน

ลั่วปิงเหอตัวออริจินอลนั้นสามารถควบคุมกระบี่ซินหมัวได้โดยสมบูรณ์ แต่ลั่วปิงเหอที่เขาเลี้ยงมา กลับความคิดไม่นิ่งพอ หรือพูดอีกอย่างก็คือคิดฟุ้งซ่านมากเกินไป จึงถูกโจมตีและโดนกระบี่แว้งกัดได้โดยง่าย และคงเพราะเหตุนี้เลยไม่กล้าบุ่มบ่ามเอากระบี่ซินหมัวออกมาใช้ จึงเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าไปโดยปริยาย และน่าจะเพราะเหตุนี้เช่นกัน เขาจึงเอายันต์ผนึกกระบี่ซินหมัวไว้เสียเลย มีดัชนีทองคำแต่ไม่กล้าเอาออกมาใช้ก็เหมือนถือชามทองคำแล้วเอาออกมาขอท่านไม่ได้นั่นแหละ ดังนั้นพอไม่ได้ชักกระบี่ออกจากฝัก ดูไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับสู้มือเปล่าเลย

แต่อานุภาพทำลายล้างของมือเปล่าก็แข็งแกร่งยิ่งนัก

พื้นดินถูกฟาดแบะออกไปหลายสิบแนว ต้นไผ่ล้มระเนระนาด ใบไม้ปลิวว่อน ทำเอานกที่ทำรังอยู่บนต้นไม้ตกอกตกใจบินกันเตลิดเปิดเปิง ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ชิงจิ้งเฟิงจะต้องถูกปอกจนกลายเป็นเขาหัวโล้นแน่

เสิ่นชิงชิวมองหาช่องว่าง แล้วสั่งการซิวหย่าให้พุ่งเข้าใส่ตัวออริจินอลทันที

แสงสีเงินวาบผ่านสายตา ‘ลั่วปิงเหอ’ เบนหน้าหลบโดยพลันพร้อมกับดีดนิ้วผลักตัวกระบี่ออกไป แล้วเอียงคอกล่าวว่า “เห็นๆอยู่ว่าพวกเราเป็นคนคนเดียวกัน ซือจุนไฉนช่วยเขาแต่ทำร้ายข้าเล่า”

ผีซิถึงจะเป็นคนคนเดียวกับนาย!

ลั่วปิงเหอที่เขากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาคนนี้ หลังจากถูกเสิ่นชิงชิวเข้าไปป่วนเนื้อเรื่อง กลายเป็นสาวน้อยประสาทแดกจนถูกระบบย้ายไปอยู่หมวดนิยายรักของเว็บจจ. เรียกสั้นๆว่า ปิงเม่ย(น้องสาวปิง) ไม่ใช่คนคนเดียวกับพระเอกนิยายสายฮาเร็มที่มีราศีของอันธพาลตั้งแต่หัวจรดเท้าในสมองเต็มไปด้วยความคิดลามก เพิ่มเลเวลด้วยการสู้กับพวกศัตรูและตัวประกอบไร้สมองอย่างแกซะหน่อย

เสิ่นชิงชิวหุบปากไม่ตอบคำ แค่สบตากับลั่วปิงเหอก็เข้าไปโจมตีตัวออริจินอลพร้อมเพรียงกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ

ความจริงระหว่างสองคนนี้ พละกำลังไม่ทิ้งห่างจากกันเท่าไหร่ บาดแผลบนร่าง ‘ลั่วปิงเหอตัวออริจินอล’ ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นฝีมือของลั่วปิงเหอนั่นเอง และเมื่อมีเสิ่นชิงชิวเพิ่มมาอีกคน ตาชั่งจึงค่อยๆเอนเอียงอย่างเห็นได้ชัด

ท่ามกลางรังสีกระบี่ขาวพร่างประหนึ่งมังกรทะยาน พลังทิพย์กับปราณมารสลับกันยิงอย่างสอดประสานกลมกลืนชนิดไร้ช่องโหว่ ‘ลั่วปิงเหอ’ หลบหลีกการโจมตีไปได้อย่างฉิวเฉียดสองสามระลอก เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เหมือนจะโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่ได้ออกอาการจนเกินไป เพียงเม้มปากแน่นเท่านั้น

แต่แล้ว เขาก็กล่าวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “ฝีมือเขาย่ำแย่ปานนี้ มีดีที่ตรงไหนกัน”

อยู่ดีๆก็กล่าวประโยคนี้ออกมา ทำเอาเสิ่นชิงชิวมือกระตุกทีหนึ่ง

อดทนไว้ สู้ต่อ

นึกไม่ถึงว่า ปิงเกอยังคงไม่เจียมตัว “ซือจุน ท่านก็ได้ประจักษ์ความสามารถของข้ามาแล้วนี้ อย่างไรเสียก็เป็นคนคนเดียวกัน มิสู้ไปกับข้าดีกว่า ข้าจะต้องทำให้ท่านมีความสุขได้มากกว่าเขาแน่นอน”

เสิ่นชิงชิว “หุบปาก!”

ลั่วปิงเหอกล่าวงึมงำ “…ได้ประจักษ์มาแล้วหรือ”

เสิ่นชิงชิว “คิดแต่เรื่องสู้ซิ”

ลั่วปิงเหอกล่าวต่อ “ทำไมถึงบอกว่าได้ประจักษ์มาแล้ว ทำไมถึงบอกว่าจะทำให้มีความสุขได้มากกว่าข้าล่ะ”

‘ลั่วปิงเหอ’ ตอบอย่างชวนให้คิดลึกว่า “หรือความจริงแล้วซือจุนชอบเป็นฝ่ายถูกทำให้เจ็บ ต่อให้เป็นเช่นนี้ ศิษย์ก็รับประกันว่าสามารถทำให้ท่านพออกพอใจได้”

ใบหน้าของลั่วปิงเหอบิดเบี้ยวเหยเกขึ้นมาในชั่วพริบตา ทำท่าจะเอามือไปวางบนกระบี่ซินหมัวโดยไม่รู้ตัว

เสิ่นชิงชิวรีบตะโกน “อย่าชักออกมานะ!”

ลั่วปิงเหอจึงค่อยได้สติกลับคืนมา ละมือทันที ทว่าสีแดงในดวงตากลับยิ่งเจิดจ้าขึ้น ลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นเช่นกัน เขากัดฟันกรอด เป็นฝ่ายเปิดเข้าไปชิงโจมตีระยะประชิดก่อน

นี่เป็นการปะทะกันแบบเพชรตัดเพชร พละกำลังของคนทั้งคู่มีพอกัน สไตล์การต่อสู้ก็เหมือนกัน ได้ผลลัพธ์ออกมาก็เหมือนกันอีก เสิ่นชิงชิวได้ยินเสียงดังกร๊อบ

ลั่วปิงเหอทั้งสอง คนหนึ่งมือซ้ายหัก คนหนึ่งแขนขวาหัก แขนห้อยต่องแต่งกันทั้งคู่ แม้แต่ปฏิกิริยาที่ตามมายังเหมือนกันอีก มือหักก็ใช้ขาเตะ ดังนั้น เสียงกร็อบเลยดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ที่หักรอบนี้ก็คือขา

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “พอได้แล้ว!”

เล่นแบบนี้ คือกะเอาให้ตายตกไปตามกันใช่ไหม

‘ลั่วปิงเหอ’ อยู่ๆก็สีหน้าอ่อนโยนขึ้น หันมากล่าวกับเสิ่นชิงชิวว่า “ซือจุน ท่านตำหนิที่ครั้งก่อนข้าทำท่านเจ็บหรือ”

ลั่วปิงเหออีกคนเบิกตากว้าง “ซือจุน ท่านเคยเจอเขามาก่อนหรือ”

หากเอาตอนที่อยู่ในระบบมานับว่าเป็นการเจอหน้า ก็ถือว่าใช่แหละ เสิ่นชิงชิวไม่อยากตอบแบบไม่จริงใจ เลยกล่าวว่า “เจอโดยบังเอิญก็แค่นั้น”

ปิงเกอหาช่องโหว่เจอก็ไม่ละเว้น กล่าวตัดพ้อว่า “คราวก่อนเป็นข้าไม่ดีเอง ศิษย์สำนึกผิดแล้ว แต่เมื่อครู่ซือจุนก็มิใช่มีความสุขหรอกหรือ เป็นศิษย์ด้วยกันทั้งคู่ ทำไมท่านถึงทำกับศิษย์เช่นนี้ได้ลงคอเล่า”

ตอแหล! ไอ้ตอแหล! ตอแหลเข้าไป! สมกับเป็นปิงเกอไอ้มนุษย์สองหน้าปากหวานก้นเปรี้ยว พูดจายิ้มแย้มแต่ในใจถือมีดเตรียมเชือดจริงๆ!

พระเอกสายดาร์กแห่งเว็บจงเตี่ยนเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือโดยแท้ เขาจงใจพูดเพื่อก่อกวนสมาธิของลั่วปิงเหอนั่นเอง เสิ่นชิงชิวไหนเลยจะปล่อยให้เขาสมดังใจ ด่าอย่างเต็มปากเต็มคำและตรงประเด็นออกไปว่า “สักนิดก็ไม่มีความสุข!”

พอได้ระบายออกไป เขาก็รู้สึกอ่อนปวกเปียกและร้อนวาบอย่างรุนแรงขึ้นมาจากท้องน้อยทันที

เพิกเฉยก็ไม่ได้ สะกดข่มก็ไม่อยู่ เหมือนกับมีพันหมื่นมดแมลง ดิ้นกันยึกยือยุ่บยั่บอยู่ในร่างกายเขา

มุมปากของ ‘ลั่วปิงเหอ’ ยกโค้งขึ้น กล่าวอย่างพออกพอใจ ทว่าดูหลอนอยู่ในที “ยังจะทำเป็นปากไม่ตรงกับใจอยู่อีกหรือ”

โลหิตมารฟ้า

ลืมไปได้อย่างไร ขอเพียงเป็นลั่วปิงเหอ ล้วนสามารถควบคุมสั่งการกู่โลหิตในกายเขาได้ทั้งคู่

ลั่วปิงเหอทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งปลุกกระตุ้นกู่โลหิต อีกคนหนึ่งสะกดข่มกู่โลหิต ชัดเจนว่าผลที่เกิดขึ้นจากการประลองกำลังครั้งนี้ก็คือ อาการชาและร้อนวูบวาบเป็นระลอกๆ แล่นปราดจากส่วนท้องไปทั่วทั้งร่างกายแม้กระทั่งปลายนิ้ว เสิ่นชิงชิวหอบหายใจสองสามเฮือก สายตาเริ่มเบลอ มือที่กุมกระบี่เริ่มจับไม่ค่อยจะอยู่

พอลั่วปิงเหอเผลอ กระบี่ซินหมัวที่ห้อยอยู่ข้างเอวก็ถูกแย่งชิงไปเดี๋ยวนั้น

ตัวออริจินอลยิ้มอย่างลำพอง แฝงไว้ด้วยความกระหายเลือดอยู่ในที กำด้ามกระบี่ไว้ในมือมั่น ขณะที่เขากำลังจะชักกระบี่ออกมานั่นเอง จู่ๆเสิ่นชิงชิวก็กล่าวเสียงเย็นยะเยียบ “อย่ารีบหลงระเริงเร็วไปนัก ดูบนหัวเจ้าเสียก่อน”

เหนือศีรษะของพวกเขา 3 คนในขณะนี้ มีเพียงใบไผ่เสียดสีกันดังแกรงกราก พอลมพัดก็แกว่งไกวไปตามแรงลม ‘ลั่วปิงเหอ’ ไม่จำเป็นต้องเงยหน้า ก็รู้ได้เลยว่าด้านบนหาได้มีอะไรที่จะมาเป็นภัยคุกคามไม่ เขายิ้มบางๆ “อุบายหลอกเด็กเช่นนี้ ซือจุนนำมาใช้หยอกล้อศิษย์ ออกจะดูถูกกันเกินไปแล้ว”

ไม่มองเหรอ

ได้ รนหาที่เองนะ!

มือซ้ายของเสิ่นชิงชิวอยู่ในท่าร่ายคาถา ดีดนิ้วเสียงดังฟังชัดทีหนึ่งแล้วจ้องเขม็ง

‘ลั่วปิงเหอ’ กำลังนึกหาคำพูด ใบไม้ใบหนึ่งก็บินกรีดผ่านหน้าเขาไป

รอยยิ้มเขาพลันแข็งค้าง

หยาดเลือดเล็กบางสายหนึ่ง ค่อยๆไหลลงมาตามร่องแก้มเขา

ใบไผ่รอบด้านยิ่งโปรยปรายลงมามากขึ้น ใบไม้เขียวๆปลิวคว้างอย่างรวดเร็ว แต่ละใบพุ่งตรงเข้าหาเขาราวกับมีดอันเย็นยะเยียบที่มาพร้อมกับลมบูรพา

วิชาปลิดใบไม้ปลิวบุปผาฉบับแก่นแท้ พันใบไม้หมื่นบุปผา!

‘ลั่วปิงเหอ’ โบกมือทีหนึ่งซัดพลังใส่มีดใบไม้ที่มุ่งโจมตีตน ป่าไผ่ทั้งป่าล้วนมีแต่ใบไม้บินที่ไล่ตามล่าเอาชีวิตเขาประหนึ่งเทพธิดาโปรยบุปผา ใบไม้ที่มองดูอ่อนนุ่ม แต่หากโดนเข้าจะมีอานุภาพบาดลึกถึงกระดูก เพียงแค่ใบสองใบก็ยังพอจะหลบเลี่ยงได้ ทว่าไบไม้นับพันที่ตีโอบเข้ามาแบบครอบฟ้าคลุมดิน ต่อให้เก่งแค่ไหนก็สามารถทำให้คนมือเท้าเป็นระวิงจนสับสนไปพักหนึ่ง กอปรกับเมื่อครู่พวกเขาสองคนเพิ่งจะสู้กันอย่างบ้าดีเดือดจนมือหักขาหักไปอย่างละข้างทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก

เสิ่นชิงชิวกำลังจะพุ่งตัวเข้าไปก็เห็นเงาร่างสีดำชิงขึ้นนำหน้า มือข้างเดียวที่ยังดีอยู่ฟาดเข้าไปที่ตำแหน่งหัวใจของ ‘ลั่วปิงเหอ’ อย่างถนัดถนี่

เมื่อมองใบหน้าที่คุ้นตาอย่างถึงที่สุดทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ พริบตานั้นเสิ่นชิงชิวกับรู้สึกสงสาร

‘ลั่วปิงเหอ’ ถอยผงะไปสองก้าว ลูกกระเดือกขยับ คล้ายกับจะกลืนเลือดลงท้องไปคำหนึ่ง เขาหัวเราะหยัน “ช่างรู้ใจกันจริงๆไม่เลวนี่”

ถึงแม่จะเป็นคำถากถาง แต่มือข้างเดียวที่ยังดีอยู่ของเขาก็กำเป็นหมัดแน่น เส้นเอ็นเขียวๆบนหลังมือเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่

หลังจากโตเป็นผู้ใหญ่มา ไม่เคยมีใครไล่ต้อนเขาให้จนมุมได้ถึงขั้นนี้มาก่อน

สภาพที่เป็นเบี้ยล่างเช่นนี้ มันทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่เคยถูกคนเยาะเย้ยและเหยียบย่ำสารพัดในอดีต

ตอนที่โดนน้ำชาร้อยๆราดหัว ห้องเก็บฟืนที่ลมลอดเข้ามาได้ทุกด้าน การกระหน่ำทุบตีด้วยมือเท้าและคำพูดหยามหยันอันไม่จบไม่สิ้น การคุกเข่าตั้งแต่บ่ายภายใต้แสงแดดแผดเผายันกลางดึกและไม่เคยได้กินอิ่มท้อง

วันเวลาเหล่านั้น เกี่ยวกันกับใบหน้าที่เห็นอยู่ตรงนี้อย่างสางไม่ออก

แต่ตอนนี้ เจ้าของใบหน้ากลับยืนอยู่ข้างกายคนผู้นั้นที่เหมือนกับเขาทุกประการ พยุงแขนข้างที่หักข้างนั้นให้เขา ไม่กล้าแต่แต่ก็ไม่กล้าปล่อยราวกับว่าตนเองก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย ทั้งยังนิ่วหน้ากล่าวว่า “ทำไมต้องปะทะกับเขารุนแรงขนาดนั้น รู้ทั้งรู้ว่าแขนหักก็ยังซัดออกไปอีก คราวหน้าห้ามทำอะไรซี้ซั้วแบบนี้อีกนะ”

ถึงแม้ฟังแล้วจะเป็นการตำหนิ แต่น้ำเสียงที่ใช้มีทั้งโกรธทั้งร้อนใจรวมทั้งความสงสารแฝงไว้ด้วยเช่นกัน

ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหนก็ฟังออก

ลมหนาวพัดลอดป่าไผ่ ใบไม้ขยับไหวซู่ซ่า ใบไผ่ร่วงโรยโปรยปราย

ไม่ยอม

ไม่ยุติธรรม

ภายที่คนทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน กลับบาดนัยน์ตาเขาถึงเพียงนี้ บาดเสียจนเจ็บตา กระบอกตาร้อนผ่าว

เห็นๆอยู่ว่าเป็น ‘ลั่วปิงเหอ’ เหมือนกัน แต่ทำไม ที่คนผู้นั้นเจอกลับเป็นเสิ่นชิงชิวที่เป็นแบบนี้ ส่วนคนที่ตนเจอกลับจิตใจคับแคบ ไร้ยางอาย อิจฉาริษยาจนเป็นนิจสิน

ทำไม!

เสื้อผ้าข้างของก็ได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างดี ห้องข้างสะอาดเอี่ยมและเป็นระเบียบเรียบร้อย พูดจาเสียงเบา แสนจะเวทนาสงสาร แสนจะเอาอกเอาใจ

ทั้งๆที่ทำไปก็เพื่อแค่ลบหลู่ ทั้งๆที่ตนชิงชังความสัมพันธ์ที่ชวนให้คนสะอิดสะเอียนอย่างเช่นความสัมพันธ์ของคนคู่นี้

กระนั้น เขากลับหลุดปากบอกเสิ่นชิงชิวไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ไปกับข้า”

ลั่วปิงเหอได้ยิน 3 คำนี้ ก็ยิ้มหยัน “เจ้าว่าอะไรนะ หืม”

กระดูกนิ้วเขาลั่นกราว ดูท่าจะเกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว

ถึงแม้เสิ่นชิงชิวจะเห็นด้วยกับการลงดาบซ้ำให้ตาย ลงดาบซ้ำจงเจริญ แต่ว่า…จะปล่อยให้ลั่วปิงเหอฆ่า ‘ลั่วปิงเหอ’ ก็ใช่ที่

ส่วนจะให้เขาไปลงมือฆ่าเสียเองน่ะหรือ ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ อีกอย่าง ไม่รู้ว่ากฎเหล็ก ‘ร่างทองคำของพระเอกไม่มีวันบุบสลาย’ จะมีผลบังคับใช้กับปิงเกอฉบับออริจินอลด้วยรึเปล่า

เสิ่นชิงชิวใช้สองนิ้วกดไหล่เขาไว้ ไม่ให้เขาเคลื่อนไหวโดยพลการ ขณะกำลังนึกปวดหัวว่าควรจะทำอย่างไรดี ‘ลั่วปิงเหอ’ กลับเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน

เขาตบยันต์ที่ผนึกกระบี่ซินหมัวให้หลุดออก ไอสีม่วงคล้ำพวยพุ่งออกมาทันที ระหว่างที่คนทั้งคู่เตรียมระวังเต็มที่ ตัวออริจินอลก็กรีดผ่าที่ว่างกลางอากศจนเกิดเป็นรอยแยกสายหนึ่ง แล้วกระโดดเข้าไปในนั้น

ชั่วขณะที่เหลียวหน้ากลับมา เขากัดริมฝีปากอย่างแรง

ไม่ยอม

ต่อมารอยแยกก็หายวับไปพร้อมกับร่างนั้น

นี่คือ…ไปแล้ว?

ปิงเกอ…จากไปง่ายๆแบบนี้เนี่ยนะ!?

เสิ่นชิงชิวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆได้สติกลับคืนมา “กลับไปเอาซากกระบี่ซินหมัวที่เหลืออยู่มาทำลายให้หมด ของนี้ไม่อาจปล่อยให้หลงเหลืออยู่อีก”

ไอ้เจ้า Bug นี่มันชักจะเอาใหญ่เกินไปแล้ว ขืนปล่อยไว้ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไรขึ้นอีก

ลั่วปิงเหอพยักหน้าเงียบๆ ถึงแม้เขาไม่ต้องการให้ใครมาช่วยพยุง เสิ่นชิงชิวก็ยังให้เขาเอนพิงร่างตนต่อไป

พวกเขาเดินไปได้สองสามก้าว ลั่วปิงเหอก็ถามอย่างกลัดกลุ้ม “ซือจุน ฝีมือข้าแย่มากจริงๆหรือขอรับ”

“…”

ว่ากันตามตรงก็ แย่…นั่นแหละ

แย่จริงๆ ไม่ใช่แค่กอดจูบลูบคลำเท่านั้นนะ จะถอดจะกลิ้ง ก็ด้อยกว่าไม่ใช่แค่เลเวลเดียว

ส่วนเรื่องการสอดใส่นั้น อันนี้ไม่มีอะไรให้เอามาเปรียบ แต่วิเคราะห์จากสไตล์ ก็น่าจะ…ไม่ผ่าน

แน่นอนว่าเสิ่นชิงชิวย่อมไม่พูดออกมา กล่าวแบบอ้อมๆว่า “ก็ไม่หรอก”

สีหน้ากลัดกลุ้มของลั่วปิงเหอสาหัสยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

เสิ่นชิงชิวจึงกล่าวปลอบใจอีกฝ่ายว่า “ก็เจ้าไม่มีประสบการณ์มาก่อนนี่”

ความช่ำชองของปิงเกอนั้น เป็นเพราะตะลุยศึกมาอย่างโชกโชน ผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ล้วนฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

ลั่วปิงเหอก้มหน้าคอตก ดูท่าแล้ว คงกำลังครุ่นคิดอยากจะหาที่ไปนั่งซุกมุมเพาะเห็ดตรงไหนสักแห่งอีกแล้ว

เสิ่นชิงชิวทนดูสภาพเช่นนี้ของเขาไม่ได้เป็นที่สุด เลยกล่าวปลอบว่า “เหวยซือจะรักษามือกับขาให้เจ้าเสียก่อน จากนั้นพวกเราค่อย…หารือกันอีกที เช่นนี้เป็นอย่างไร”

ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้นทันควัน “จริงๆนะขอรับ!”

เสิ่นชิงชิวรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงตบศีรษะเขากล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไปรักษาก่อน”

ลั่วปิงเหอพยักหน้า เสียงกร๊อบดังขึ้นสองทีก็ดึงมือกับเท้ากลับเข้าที่เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

เขายืดกายตรงทันที ใช้มือทั้งสองข้างที่กลับมาดีเหมือนเดิมประคองแขนทั้งสองข้างของเสิ่นชิงชิว สองแก้มแดงระเรื่อ สองตาเป็นประกายระยิบระยับ “รักษาเสร็จแล้ว! ซือจุน…เรื่องหารือกันละขอรับ”

…………………………………

บนหลังคาเรือนไผ่มีรูเบ้อเริ่ม

เสียงลมโกรกเข้ามาดังซู่ๆ

เสิ่นชิงชิวนอนหงาย ลั่วปิงเหอนอนทาบทับอยู่ข้างบน จูบๆเลียๆไปตามคอเขาเหมือนลูกหมาตัวหนึ่งแล้วไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆ

เขานอนดูรูโหว่บนหลังคาที่ไม่รู้ว่าลั่วปิงเหอคนไหนเป็นคนฟาดทะลุ จนสุดปัญญาจะทำเป็นมองไม่เห็นได้จริงๆ จึงเอ่ยว่า “…หรือไม่พวกเราก็ย้ายไปหาที่ไหม่กัน”

ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างดื้อดึงว่า “ไม่เอา”

ลงเขาไปเปิดห้องอะไรยังไง ก็คงดีกว่าที่นี่แหละ

เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันจะเอ่ยวาจา ลั่วปิงเหอก็กล่าวต่อว่า “ไม่ย้าย ที่นี่แหละ เรือนไผ่นี่แหละ”

ประโยคนี้กล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด บางทีสำหรับเขาแล้ว เรือนไผ่คงเป็นสถานที่พิเศษมากจริงๆ

เสิ่นชิงชิวยอมจำนน ถอดเสื้อออกอย่างรู้งาน ตอนนี้เขาก็นับว่ามีประสบการณ์มาแล้วนิดหน่อย หากรอให้ลั่วปิงเหอมาถอด กลัวว่าถอดเสร็จคงเอากลับมาใช้ใหม่ไม่ได้แล้ว สู้ถอดเองให้เรียบร้อยดีกว่า

เสียงสวบสาบของเสื้อนอก เสื้อตัวกลาง สายคาดเอวร่วงลงพื้นทีละชิ้น…ทีละชิ้น สีเขียวกับสีดำกองซ้อนทับกัน

เผชิญหน้ากันในสภาพ ‘เปิดเผยจริงใจ’ แบบนี้ แถมมีลมคอยโกรกพัดผ่าน

เสิ่นชิงชิวรู้สึกค่อนข้างหนาว ทั้งกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

ลั่วปิงเหอกลับหาได้รู้สึกเหมือนกันแม้แต่น้อยไม่

เขานักคุกเข่าอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเสิ่นชิงชิว ขยับลูกกระเดือกขึ้นๆลงๆ สายตาดูเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด

ครั้งก่อนในเทือกเขาฝังกระดูก ถึงแม้จะมึนๆงงๆ จำอะไรได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่พอเห็นสภาพที่นองไปด้วยเลือดหลังจากนั้น เขาก็รู้ว่าตนเองทำได้ย่ำแย่มากแค่ไหน กอปรกับเมื่อครู่เพิ่งจะถูกโจมตีอย่างรุนแรงไปครั้งหนึ่ง เลยตั้งใจจะทำผลงานให้ออกมาดี แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร

เสิ่นชิงชิวเห็นเขาละล้าละลังจนดูน่าสงสาร ก็ถอนใจดังเฮ้อ เป็นฝ่ายยื่นมือออกไปแกะสายคาดเอวให้เขาเสียเอง

เห็นแก้มขาวผ่องของลั่วปิงเหอแดงซ่านขึ้นมาเดี๋ยวนั้น เลยยกมือขึ้นเกาคางของลั่วปิงเหออย่างอดใจไม่อยู่ รู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่เวลาทำเรื่องแบบนี้มันช่างน่ารักเสียจริง

แต่พอแกะสายคาดเอวเสร็จ ลดสายตาต่ำลงมา ก็เห็นบางสิ่งบางอย่างโงหัวขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ความคิดที่บอกว่าน่ารักเมื่อตะกี้ปลิวหายไปกับสายลมในพริบตา

“…”

เชี่ย ไซส์ขนาดนี้เนี่ยนะ!

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้!”

ลั่วปิงเหอราวกับถูกฟ้าผ่า “ซือจุน ไหนบอกว่า…”

ความหมายของคำว่า ‘ไม่ได้’ ก็คือ ไม่เตรียมการแบบนี้ไม่ได้ ไม่งั้นถึงตายแน่!

คราวที่แล้วเขารอดชีวิตมาได้ยังไงนี่ ถูกของแบบนี้เสียบเข้าไปในร่างกลับยังไม่ตาย

เอาไว้ ไม่ตายหรอก!

เสิ่นชิงชิวอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก็ให้ข้อสรุปกับตัวเอง แล้วกล่าวว่า “เหวยซือ…จะใช้มือช่วยเจ้าสักครั้งก่อนก็แล้วกัน”

ยังไงให้เขาลดขนาดมันลงไปสักนิดก่อน!

แม่นางอู๋จื่อ(นิ้วทั้งห้า) ของเสิ่นชิงชิวนั้นไม่เคยบริการใครมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จริงๆ เขาแตะๆดุ้นเนื้อแดงเข้มที่เกือบจะเป็นสีม่วง เห็นเส้นเอ็นพาดตัดกันอยู่ทั่ว ส่วนปลายของดุ้นเนื้อดูช่างใหญ่โตผิดปกติ เขาหักใจเด็ดขาด คว้าหมับในที่สุด

ลั่วปิงเหอร้องเจ็บ สีหน้าเขาแฝงแววตัดพ้ออยู่บ้าง

เสิ่นชิงชิวสะกดจิตตัวเองไม่หยุด กำมือไม่แน่นไม่หลวม เริ่มขยับช้าๆ

ยิ่งขยับขึ้นลงก็ยิ่งหวาดสะพรึง

ไม่ว่าจากขนาด ความแข็งแกร่ง หรือว่าอุณหภูมิ นี่มันเป็นอวัยวะที่สิ่งมีชีวิตใดพึงจะมีรึ

บอกว่าเป็นอาวุธสังหารก็ยังได้!

ยกเว้นตอนแรกที่เสิ่นชิงชิวไม่ได้กะน้ำหนักมือให้พอดีเลยทำให้เขารู้สึกเจ็บแล้ว

ลั่วปิงเหอก็ถูกปรนนิบัติจนออกอาการเคลิบเคลิ้มอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่จ้องมองเสิ่นชิงชิวเริ่มหรี่ปรือน้อยๆ ประกายในดวงตาหยาดระริก ลมหายใจไม่คงที่เท่าไรนัก

เสิ่นชิงชิวสีหน้าไม่แสดงความรู้สึก แต่ตั้งอกตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ รูดไปก็เริ่มเมื่อยมือ แต่เจ้าสิ่งที่ก่อกรรมทำเข็ญดุ้นนี้ นอกจากตรงส่วนหัวที่บานคล้ายดอกเห็ดจะเริ่มมีของเหลวสีขาวขุ่นซึมออกมาเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าจะปลดปล่อยออกมาแต่อย่างใด ไม่ยอมยุบ ไม่ยอมยิง มีแต่จะยิ่งขยายและแข็งตัวยิ่งขึ้น

เสิ่นชิงชิวต่อให้สงบนิ่งยังไง สีหน้าก็เริ่มเหยเกขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่แล้ว

ลั่วปิงเหอลอบมองสีหน้าของเขามาตลอด เวลานี้เอง จู่ๆก็กล่าวขึ้นอย่างเกรงใจว่า “ซือจุน ไม่เช่นนั้นก็ท่านทำ”

หา? เสิ่นชิงชิวสงสัยว่าตัวเองคงฟังผิดไป

ลั่วปิงเหอจะยอมให้เขาอยู่บนรึ

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ข้ากลัวจะทำให้ซือจุนเจ็บ มิสู้ให้ซือจุนทำดีกว่า”

เขาพูดอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก สีหน้าจริงใจ ว่าแล้วก็ทำท่าจะลงไปนอนเดี๋ยวนั้น

เสิ่นชิงชิวรีบห้าม “ไม่ ยังคงเป็นเจ้านั่นแหละทำ”

จะให้เขาทำ แต่เขาก็ไม่เคยมีประสบการณ์ทำเรื่องพรรค์นี้มาก่อนเหมือนกันนะ หากไม่ระวัง ทำจนลั่วปิงเหอเลือดตกยางออกเข้า ต่อให้รู้ว่าลั่วปิงเหอก็จะยังคงมีความสุขอยู่ดี กลางคืนเขาคงนอนตาไม่หลับแน่

ถึงอย่างไร วันข้างหน้าก็ยังมีโอกาสกลับมาอยู่บนได้ สู้เอาใจเขาอีกรอบก็ไม่เสียหาย ให้เขาได้ลิ้มรสหวานอร่อยไปก่อนแล้วกัน

แต่ยังไงก็ไม่ใช่เป็นเพราะรู้สึกซึ้งใจจนยอมทิ้งสิทธิ์ฝ่ายรุกแน่นอน [โบกมือบ๊ายบาย]

เสิ่นชิงชิวตบๆศีรษะเขาเหมือนจะให้กำลังใจ จากนั้นตัวเองก็พลิกตัวหันหลัง นอนคว่ำหน้ากับหมอน

เขาเอาศอกยันที่นอนไว้ กระดูกสะบักสูงเด่น เอวบางคอดเป็นเส้นอ่อนช้อยงดงามน่าตื่นตาตื่นใจ แทบจะส่งก้นให้ถึงด้านหน้าลำตัวของลั่วปิงเหอเลยทีเดียว

ขณะที่หนังหน้าแก่ๆของเสิ่นชิงชิวกำลังร้อนผ่าวด้วยความอาย แต่แล้วก็ถูกลั่วปิงเหอคว้าเอวแล้วจับพลิกให้หันหน้ากลับมาใหม่กะทันหัน

เขากล่าวอย่างจนใจ “เจ้าจะเอายังไงอีก”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุน ขอเป็นข้างหน้า…”

อยากจะขึ้นร่างฉันแบบเผชิญหน้ากันน่ะรึ!?

เสิ่นชิงชิวหน้าดำทะมึน “ได้คืบอย่าเอาศอกซิ” ว่าพลางทำท่าจะกลับไปนอนคว่ำอีกรอบ ในใจบ่นพึมพำ

เจ้าเด็กคนนี้มันเรื่องเยอะจริงๆ ยอมให้นายเป็นคนทำก็บุญแล้วนะ

ใครเลยจะรู้ว่า ลั่วปิงเหอกลับจับตัวเขาพลิกหงายอีกครั้งยังกับพลิกขนมเจียนปิ่ง* ทำหน้าราวกับจะร้องไห้ “ซือจุน ท่านทำเช่นนี้เพราะไม่อยากมองหน้าข้าหรือ”

(เจียนปิ่ง คือ เครปสไตส์จีน)

หน้าผากเขาเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพราว ปลายจมูกแดงระเรื่อ ในดวงตาเหมือนกับจะมีน้ำตาเอ่อออกมาก็ไม่ปาน

เสิ่นชิงชิวไม่นึกสงสัยแม้แต่น้อย หากยังปฏิเสธเขาอีก ลั่วปิงเหอจะต้องร้องไห้โฮออกมาเดี๋ยวนี้แน่

พอนึกภาพเช่นนี้ออกมา เสิ่นชิงชิวก็ทั้งอ่อนใจและใจอ่อน ปากกล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ไม่ใช่นะ”

ลั่วปิงเหอน้ำตาทะลักออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับใจสลายว่า “เช่นนั้นทำไมทุกครั้งท่านต้องหันหลังให้ข้าด้วยล่ะ”

คิดมากเกินไปแล้ว…ไปเอานิสัยขี้น้อยใจขนาดนี้มาจากไหนกันนี่!

…ช่างเถอะ ไม่ต้องไปสนว่าจะอายจะเอยอะไรแล้ว ลั่วปิงเหอจะได้ไม่คิดมาก เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างขอไปทีว่า “ได้ๆ ข้างหน้าก็ข้างหน้า เก็บน้ำตากลับไปซะ ทำแบบนี้ดูเหมือนอะไรนี่”

ซึ่งความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่า น้ำตาของลั่วปิงเหอไม่มีราคาค่างวดอะไรเลยจริงๆ สั่งให้ไหลก็ไหล สั่งให้เก็บก็เก็บ ส่งเสียง “ฮื่อ” คำหนึ่งแล้วยื่นหน้าเข้ามา มือก็ลูบไล้ไปตามผิวกายเสิ่นชิงชิว

เสิ่นชิงชิวเอวเล็กบาง สองขาเปลือยเปล่าทั้งตรงและเพรียวยาว ด้วยความที่คนทั้งคู่อยู่ในท่าหันหน้าเข้าหากันจึงจำต้องนอนซ้อนทับกันอยู่ เมื่อทอดสายตามองลงไป เลยเห็นภาพระหว่างขาทั้งสองอย่างชัดเจน รวมถึงร่องลึกสายหนึ่งที่อยู่ระหว่างก้นกลมๆสองข้างด้วย

ลั่วปิงเหอมือสั่นน้อยๆ ลูบไปตามต้นขาด้านในอันเรียบลื่น

เสิ่นชิงชิวหดตัวหลบโดยสัญชาตญาณ

ลั่วปิงเหอเหมือนกลัวว่าเขาจะนึกเสียใจทีหลัง กดต้นขาเขาไว้ข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็สอดนิ้วเข้าไป

บนนิ้วเหมือนจะฉาบด้วยไขอะไรสักอย่างที่นุ่มลื่น จึงเข้าไปได้อย่างไม่ลำบากนัก เมื่อเข้าไปแล้วก็ถูกผนังเนื้อด้านในโอบรัดไว้อย่างรวดเร็ว

นิ้วที่ปราดเปรียวนิ้วหนึ่งมาอยู่ภายในร่างกายอันคับแน่น ความรู้สึกตอดรัดพัวพันช่างเป็นความรู้สึกที่ประหลาดล้ำยิ่งนัก

เสิ่นชิงชิวรู้สึกถึงอาการสั่นระริกแล่นจากก้นกบไต่ขึ้นมาตามร่างกาย หนังศีรษะชาวาบเป็นระลอกจนไม่อาจมัวมาครุ่นคิดได้อีกว่าลั่วปิงเหอไปเอาอุปกรณ์ช่วยมาจากไหนถึงเตรียมพร้อมได้ขนาดนี้

ลั่วปิงเหอสะกดกลั้นลมหายใจ จดจ่ออยู่กับการขยับนิ้ว ตอนที่ส่งนิ้วที่สามเข้าไปนั้น เสิ่นชิงชิวรู้สึกราวกับร่างกายจะฉีกขาด เขาหอบหายใจ จับแขนลั่วปิงเหอไว้แน่น กัดฟันกล่าวว่า “…ช้าหน่อย”

ลั่วปิงเหอเหมือนกับเด็กที่กำลังหัดเดินเตาะแตะคนหนึ่ง ผ่อนจังหวะช้าลงมาจริงๆ เดินตามที่เสิ่นชิงชิวชี้แนะทีละก้าว ลองกดลึงดู ตอนที่เขาแตะโดนผนังด้านในอันอ่อนนุ่มจุดหนึ่ง เสิ่นชิงชิวก็สั่นสะท้าน ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานปานนั้นแล้ว จึงข่มความอายแล้วเอ่ย “…อืม ตรงนั้น…ก็ได้…”

แล้วทำไมยังต้องให้เขามาสอนคนอื่นว่าต้อง ‘ทำ’ ตัวเขาเองอย่างไรด้วยล่ะนี่

มีความเป็นอาจารย์ได้ถึงขั้นนี้ เสิ่นชิงชิวอยากจุดเทียนไว้อาลัยให้ตัวเองไปทั้งชางฉยงซานนัก

ลั่วปิงเหอค่อยๆขยายช่องทางให้เขาพลางสังเกตสีหน้าเสิ่นชิงชิวไปด้วย ขอบตาแดงก่ำ ริมฝีปากที่เม้มสนิทเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา คิ้วที่เดี๋ยวก็ขมวดมุ่นเดี๋ยวก็คลาย การเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ เหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาของลั่วปิงเหอหมดทั้งสิ้น ความรู้สึกที่เหมือนไม่มีที่ให้หลบซ่อนทำให้เสิ่นชิงชิวยิ่งรู้สึกอับอายเหลือจะกล่าว ขณะจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างเก้อกระดากนั้น หากขาเขาก็เหลือบไปเห็นจุดที่ผิดปกติแห่งหนึ่ง

ตรงตำแหน่งใกล้หัวใจบนร่างลั่วปิงเหอ มีแผลเป็นแนวขวางที่ดูน่ากลัวรอยหนึ่งอยู่

นั่นคือรอยแผลที่ตนเคยแทงเขาไปหนึ่งกระบี่ตอนผลักลั่วปิงเหอลงไปในห้วงอเวจี

ตนไม่เคยมีความคิดจะทำร้ายลั่วปิงเหอเลยจริงๆ แต่ก็มักจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น

ระหว่างที่เสิ่นชิงชิวมัวใจลอยไปกับภาพที่เห็นตรงหน้า และยื่นมือออกไปสัมผัสรอยแผลโดยไม่รู้ตัว จังหวะนี้เอง ลั่วปิงเหอก็ปฏิบัติงานในขั้นเตรียมการเสร็จเรียบร้อยพอดี

พอชักนิ้วออก ช่องทางด้านหลังก็หุบสนิททันทีพร้อมกับที่ทรวงอกอันร้อนผ่าวของลั่วปิงเหอทาบทับลงมา

ส่วนหัวอันใหญ่โตและร้อนจัดจ่อเข้ากับปากทางอันอ่อนนุ่มฉ่ำชื้น

เสิ่นชิงชิวโอบรอบคอลั่วปิงเหอไว้แน่น สูดลมหายใจเข้าลึกราวกับเตรียมจะไปตาย รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกเจ้าสิ่งนั้นฉีกทึ้งทีละนิดๆ

ก็ยังเจ็บมากอยู่ดี ทางเข้าเล็กเกินไป มันเลยบวมจนเจ็บ

ถึงแม้จะมีสิ่งช่วยหล่อลื่อนที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไปน แต่เส้นผ่าศูนย์กลางของผู้บุกรุกกลับใหญ่โตเกินไป ความเจ็บปวดที่ร่างกายท่อนล่างมีแต่จะเพิ่มขึ้น เสิ่นชิงชิวจึงยิ้งกอดรัดลั่วปิงเหอแน่นเข้าไปอย่างอดไม่อยู่ สองขาถูไถข้างเอวของลั่วปิงเหอโดยไม่รู้ตัว คำพูดของลั่วปิงเหอก้องอยู่ในหู

“ซือจุน เช่นนี้ได้หรือไม่”

ในน้ำเสียงของลั่วปิงเหอแฝงไว้ด้วยความพยายามข่มกลั้นอย่างเต็มเปี่ยมที่จะไม่ผลีผลามบุกเข้าไปให้หมดในทีเดียว

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างปากไม่ตรงกับใจว่า “…ได้”

พอได้รับการอนุมัติ มือของลั่วปิงเหอที่กอดเอวเขาอยู่ก็บีบแรงขึ้นมาเล็กน้อย รุกคืบเข้าไปอย่างได้ใจ

ช่องทางภายในถูกบดเบียด รอบวงของปากทางเข้าถูกขยายจนขึงตึง ร่างกายท่อนล่างราวกับมิใช่ของตัวเองอีกต่อไป

ลั่วปิงเหอถอยออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็สอดเข้าไปอีกกว่าครึ่งค่อน เข้าๆออกๆอยู่เช่นนี้ ทำให้เกิดเป็นเสียงราวกับน้ำแตกกระเซ็น

ความทรมานที่ได้รับทำให้เสิ่นชิงชิวทั้งเจ็บทั้งเสียวจนแทบอยากจะเอาหัวไปโขกผนัง น้ำตาไหลออกมาเป็นสายโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่ลั่วปิงเหอเอียงหน้าเข้าไปหมานจะจูบเขาจึงเห็นสีหน้าเจ็บปวดจนเหมือนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ของเสิ่นชิงชิวเข้า ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เกิดเป็นความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวง น้ำตาร่วงเผาะตามเขาไปด้วย

หยดน้ำตาตกกระทบแก้มเสิ่นชิงชิวทำเขาพูดไม่ออก

นายจะร้องไห้ทำบ้าอะไร!

ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงเครือ “ข้าขอโทษ…ข้าก็ยังทำซือจุนเจ็บอยู่ดี…”

“…”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ศิษย์มันโง่เกินไป…”

คนสองคนน้ำตาตกใส่กัน นี่มันเป็นสถานการณ์บ้าอะไรวะนี่!

เสิ่นชิงชิวข่มความรู้สึกไม่สบายตัวส่วนล่าง จุมพิตแก้มกับดวงตาเขาเพื่อซับน้ำตาให้ “ไม่เป็นไร ก็ไม่เจ็บมากนักหรอก ไม่ว่าใครก็ต้องมีช่วงเวลาที่ยังไม่เก่งกันทั้งนั้น เจ้าทำต่อเถอะ”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างทดท้อ “ข้าออกมาก่อนดีกว่า”

ไรวะ! ล้อเล่นรึไง จะมาเลิกแล้วกันไปแบบนี้เนี่ยนะ แล้วต่อไปพวกเราก็จะต้องมีปมในใจ ไม่กลัวไอ้นั่นจะฝ่อรึไง!

เจ็บทีเดียวให้มันจบๆไปดีกว่า มาถึงป่านนี้แล้ว อย่างน้อยๆ ก็ให้มีสักคนได้ฟินเถอะ

เสิ่นชิงชิวตัดสินใจเดี๋ยวนั้น ลุกขึ้นนั่งฉับพลันแล้วพลิกเอาลั่วปิงเหอไปอยู่ด้านล่าง เรี่ยวแรงที่เก็บสะสมมาครึ่งค่อนวัน มีอันต้องเอามาใช้ตรงนี้จนหมดสิ้น เสิ่นชิงชิวจึงไม่มีแรงเหลือจะพยุงขาทั้งสองข้างได้อีก ทิ้งกันลงไปกินเจ้าสิ่งนั้นของลั่วปิงเหอเข้าเต็มๆ และลึกจนสุด ส่วนหัวเหมือนกับจะแตะโดนกระเพาะนั่นเลยทีเดียว ความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหันถูกเขากลืนลงไปหมดสิ้น

ครั้งก่อนลั่วปิงเหอไม่ได้หลั่ง เลยเอามานับไม่ได้ว่าเสียความบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ คราวนี้อย่างน้อยๆ ต้องช่วยให้เขาเสียความบริสุทธิ์ให้ได้!

พอคิดเช่นนี้ เขาก็อาศัยเกาะหน้าท้องของลั่วปิงเหอ ฝืนนั่งให้ตรงขึ้นมาอีกนิด ทันใดนั้น เจ้าสิ่งที่อยู่ในร่างเขาก็แตะโดนเข้ากับบางตำแหน่ง ความรู้สึกเสียวซ่านพลันระเบิดขึ้นที่ท้องน้อยแล้วแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง

เสิ่นชิงชิวไม่ทันตั้งตัว เอวอ่อนยวบ ล้มคว่ำไปข้างหน้า

ลั่วปิงเหอเพิ่งจะยันตัวลุกขึ้นนั่งพอดี จึงรับเขาเข้าไปกอดเต็มๆ

ลั่วปิงเหอประสารทสัมผัสเฉียบคม รีบซักว่า “ซือจุน หรือว่าโดนตรงนั้นเข้าเลยไม่เจ็บขอรับ?”

ไม่ใช่แค่ไม่เจ็บ ออกจะ…ฟินเลยล่ะ

ท่าในตอนนี้คือ เสิ่นชิงชิวนั่งกางขากว้างอยู่บนตัวลั่วปิงเหอ หันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ร่างกายท่อนล่างฝังแนบเข้าด้วยกัน

เพื่อทรงตัวให้อยู่ เสิ่นชิงชิวจำต้องยื่นแขนอันอ่อนล้าไปโอบรอบคอเขาไว้ การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของลั่วปิงเหอสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายท่อนล่างที่สอดประสานกันอยู่ ทำเอาเสิ่นชิงชิวครางเสียงขึ้นจมูกออกมา ลั่วปิงเหอจึงมีกำลังใจขึ้นอย่างมาก ขยับก้นแน่นๆเต็มมือของซือจุนขึ้นแล้ววางลงให้โดนตำแหน่งนั้นอีกครั้ง

คราวนี้เสิ่นชิงชิวทนกัดฟันไม่ไหวอีกต่อไป ครางโอ้วออกมา สองขายิ่งไม่ฟังคำสั่ง หนีบลั่วปิงเหอแน่นทั้งยังสั่นระริก ช่องทางด้านหลังก็ตอดรับแน่นเช่นกัน หลังจากจับเคล็ดลับได้ ลั่วปิงเหอก็เริ่มบุกโจมตีอย่างเป็นทางการ

ทั้งที่ไม่รู้กระบวนท่าอะไรทั้งสิ้น สักแต่ว่ามุ่งจู่โจมลูกเดียว แต่เพราะเช่นนี้ จึงสามารถทำให้คนโยนเกราะโยนอาวุธทิ้งได้

เสิ่นชิงชิวไม่รู้ว่าตกลงแล้วตนเองกำลังทุกข์ทรมานหรือว่ากำลังมีความสุขอยู่กันแน่ เสียงครวญครางแผ่วๆ และลมหายใจอันสับสนล้วนได้ยินขาดๆหายๆ เพราะถูกกลบด้วยเสียงน้ำและเสียงเนื้อกระทบเนื้อซึ่งดังมาจากด้านล่างของร่างกาย ของเหลวสีขาวขุ่นที่ซึมออกมาจากส่วนหัวค่อยๆหลั่งออกมามากขึ้น จนหยาดหยดลงมาด้านล่าง ยิ่งกระแทกกระทั้น ความร้อนภายในร่างกายและความเสียวซ่านก็ยิ่งยากจะบรรเทา

แต่แล้วก็มีเสียงฝีเท้าอันสับสนดังแว่วมาจากด้านนอกเรือนไผ่

“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว…”

“ศิษย์พี่รอพวกเราด้วย…วิ่งกัน…มะ…ไม่ไหวแล้ว…”

หากบอกว่าเมื่อครู่เสิ่นชิงชิวยังหน้ามืดตามัวอยู่ในห้วงปรารถนา ตอนนี้ก็นับว่าขวัญบินกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว

พวกศิษย์ชิงจิ้งเฟิงที่ตนเพิ่งจะส่งลงไปวิ่งรอบเขากลับมากันแล้ว!

เสิ่นชิงชิงรีบคว้าแขนลั่วปิงเหอ ทำท่าจะลุกขึ้นจากร่างของเขา นึกไม่ถึงว่า ลั่วปิงเหอกลับหนีบเขาเอาไว้ แล้วจับกดลงมาอย่างแรง

คราวนี้เลยเข้าไปเสียลึกมาก เบียดแน่นจนเกินไปทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรง

เสิ่นชิงชิงกำลังจะอ้าปากก็ถูกลั่วปิงเหอผนึกไว้ทันที เปล่งเสียงไม่ออกได้แต่กลืนลงคอไป เขาหลับตาปี๋ น้ำตาไหลออกมาตามสัญชาตญาณของร่างกาย

ลั่วปิงเหอได้ลิ้มรสชาติอันหอมหวานแล้ว ไหนเลยจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ริมฝีปากและลิ้นแทะเล็มอย่างอ้อยอิ่ง ทุ่มเทสมาธิไปที่ร่างกายท่อนล่างอย่างเต็มที่

เสียงหมิงฟานดังขึ้นจากด้านนอก “นี่ ข้าว่าบนหลังคาเรือนไผ่เหมือนมีอะไรหายไปนะ มีรอยแตกอยู่ใช่หรือไม่”

“จริงด้วยศิษย์พี่ เหมือนจะมีรอยแตกอยู่จริงๆ”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ หรือไม่ก็ไปแจ้งอันติ้งเฟิงเสียหน่อย ให้พวกเขารีบมาซ่อมให้”

เสิ่นชิงชิวกลัวว่าพวกเขาจะเข้ามาจริงๆ หรือไม่ก็เรียกคนมาซ่อมที่นี่ นิ้วทั้งสิบจิกหลังลั่วปิงเหออย่างแรง ช่องทางด้านหลังเลยยิ่งบีดรัด ทำให้ยิ่งสอดแทรกลำบาก

หนิงอิงอิงเหมือนจะกระทืบเท้า ตวาดแหวว่า “ซ่อมเซิ่มอะไรเล่า วิ่งนานขนาดนี้ เหนื่อนจะตายอยู่แล้ว จะซ่อมอะไรก็เอาไว้ซ่อมพรุ่งนี้เถอะ!”

ศิษย์ทุกคนรีบกล่าว “ได้ๆ เอาตามที่ศิษย์น้องหญิงว่า”

“ศิษย์น้องหญิงบอกว่าพรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้”

หนิงอิงอิงกล่าวอีกว่า “อีกอย่าง ขนาดห้องข้างของอาลั่ว ซือจุนยังไม่ชอบให้คนนอกเข้ามายุ่มย่ามและเก็บกวาดตามใจชอบเลย ดังนั้นจะต้องไม่ชอบให้พวกเราโยกย้ายข้าวของโดยพลการแน่ ยังไม่รู้จักเข็ดกันอีกหรือ!”

ได้ฟังประโยคนี้ ดวงตาของลั่วปิงเหอก็เป็นประกายวาบ จับเสิ่นชิงชิวพลิกกดลงกับที่นอนเดี๋ยวนั้น

พอเสียงจ้อกแจ้กจอแจของพวกศิษย์ดังห่างออกไปทางโรงอาหารแล้ว ในที่สุดลั่วปิงเหอก็มิได้ผนึกริมฝีปากเสิ่นชิงชิวอีก หากแต่ซบหน้าลงกับอกเขา ขบเม้มยอดอก พลางกระแทกกระทั้นร่างกายท่อนล่างเข้าออกอย่างดุดันยิ่งขึ้น

เสิ่นชิงชิวไม่จำเป็นต้องมองก็รู้สึกได้เลยว่า เนื้อเยื่ออันอ่อนนุ่มด้านในกำลังถูกลากเข้าลากออกอยู่ เดี๋ยวก็เย็นวูบวาบ เดี๋ยวก็ร้อนผะผ่าว สอดประสานกันอยู่นานขนาดนี้ ช่องทางภายในจึงปรับตัวเข้ากับขนาดของแท่งหยกลั่วปิงเหอจนได้ในที่สุด เดี๋ยวกลืนเดี๋ยวคายสอดประสานกลมกลืนอย่างไร้ที่ติ

ลั่วปิงเหอกล่าวงึมงำว่า “ซือจุน”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “ไม่ต้อง…เรียกแล้ว!”

เวลาแบบนี้ยังจะมาตีหน้าซีเรียสเรียกศิษย์เรียกอาจารย์อะไรอีก ระดับความอับอายขายหน้ายิ่งทวีคูณเป็น 2 เท่าเสียจนหน้าหนาๆของเสิ่นชิงชิวก็เอาไม่อยู่

แต่แล้วจู่ๆ ลั่วปิงเหอก็กระซิบที่ข้างหูว่า “ซือจุน ตอนข้าอยู่ทางโน้น ข้าหาท่านไม่เจอ”

เสียงเขาติดจะสั่นๆ เสิ่นชิงชิวหัวโปร่งขึ้นมาเล็กน้อย

ลั่วปิงเหอจึงกล่าวต่อ “ ‘ตัวข้า’ ทางโน้น มีคนอยู่เคียงข้างมากมาย แต่ไม่มีท่าน ซือจุน ข้าตามหาท่านอยู่นานมาก แต่ไม่เจอท่านเลย”

“หรือว่าเพราะไม่มีท่าน ‘ข้า’ ถึงได้กลายเป็นเช่นนั้น”

เขากล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่อยากกลายเป็นแบบนั้น”

เสิ่นชิงชิวสูดลมหายใจเข้าลึก กอดศีรษะเขาเข้ากับอกตน แล้วตบเบาๆ “ไม่หรอก เจ้าไม่มีวันกลายเป็นแบบนั้นหรอก”

“เหวยซือจะไม่ทอดทิ้งเจ้าอีกแล้ว”

……………………………..

เผ่ามารอึดมา เสิ่นชิงชิวรู้

พระเอกอึดมาก เสิ่นชิงชิวก็รู้อีก

แต่สายเลือดของเผ่ามารบวกกับความเป็นพระเอก จะออกมาอึดได้ขนาดไหน เสิ่นชิงชิวไม่ได้เตรียมใจเอาไว้เลยจริงๆ

กว่าลั่วปิงเหอจะหลั่งออกมาในที่สุด เสิ่นชิงชิวก็เบลอไปเรียบร้อยแล้ว จนเมื่อมีของเหลวอุ่นระอุฉีดเข้าที่ท้องน้อย เขาถึงรู้สึกตัวตื่น

เวลานี้เขาไม่อยากจะไปคิดวุ่นวายเรื่องใส่คอนดอมรึไม่ใส่ หลั่งนอกรึหลั่งในอะไรแล้ว เขาอยากจะหลับอย่างเดียวเท่านั้น!

ผนังด้านในบวมเต่ง แค่เสียดสีช้าๆก็ปวดแสบปวดร้อน

ลั่วปิงเหออาลับอาวรณ์ไม่อยากถอนกายออกมา พยายามอย่างสุดกำลังจะช่วยบรรเทาความปรารถนาทางด้านหน้าให้เขา

แต่หลังจากยิงกระสุนออกไป 2 ชุด เสิ่นชิงชิงก็ยังคงกล่าวประโยคนั้นอยู่ “ขอนอนหน่อยเถอะ!”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุน…”

เสิ่นชิงชิวรู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร จึงเอ่ยอย่างไร้ความปรานีว่า “แย่”

ถูกเขาวิจารณ์รอบนี้ลั่วปิงเหอกลับไม่ได้ร้องไห้น้ำตาตกแล้ว หากแต่ยอมรับอย่างกระตือรือร้นว่า “แย่ขอรับ แย่เกินไปจริงๆ”

“…นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ”

“เพราะว่าแย่เกินไป ดังนั้นจะขอให้ซือจุนร่วมค้นคว้ากับศิษย์ให้มากๆหน่อย…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version