บทที่ 21
ไม่พรากจาก
เสิ่นชิงชิวรีบปลิดใบไม้จากเถาวัลย์ติดตัวไปด้วยความเร็วแสง เพิ่งจะเฮละโลตามทุกคนเข้าไปในถ้ำก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “เจ้ายอดเขาเสิ่นพบกันอีกแล้วนะ”
กระบี่ซินหมัวปักคาอยู่ในซอกหินตรงส่วนลึกสุดของถ้ำ ไอสีม่วงคล้ำพวยพุ่งออกมาจากปลายกระบี่
เทียนหลางจวินนั่งอยู่บนหินเขียวก้อนหนึ่ง โดยมีซั่งชิงหัวยืนอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลจากหินเขียวก้อนนั้นนัก
แสงสว่างจากท้องฟ้าด้านนอกสาดเข้ามาอาบจับร่างกายซีกหนึ่งของเทียนหลางจวิน ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็สูดลมหายใจเข้าโดยแรง
ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็รู้แล้วว่าทำไมซั่งชิงหัวถึงได้ร้องอย่างโหยหวนเช่นนั้น
ถึงแม้ใบหน้าของเทียนหลางจวินยังคงยิ้มแย้มอย่างสง่าผ่าเผย ทว่าซีกหน้าด้านขวาเกือบทั้งหมดกลับเน่าจนเป็นสีม่วงคล้ำไปแล้ว รอยยิ้มนี้เลยดูน่าสะพรึงกลัวมาก
แขนเสื้อด้านซ้ายของเขาเหี่ยวฟีบดูว่างเปล่า เห็นทีว่าแขนข้างนั้นที่ชอบหลุดบ่อยๆ คงจะใส่กลับเข้าไปอีกไม่ได้แล้ว
สภาพผุเปื่อยเหมือนตะเกียงเหือดน้ำมันแบบนี้ไม่ใช่สภาพของบอสแบบที่เสิ่นชิงชิวจินตนาการไว้สักนิด
เสิ่นชิงชิวจับตามองสีหน้าลั่วปิงเหออย่างอดใจไม่อยู่ เห็นแต่ว่าหน้าตาเขาสงบราบเรียบเกือบจะเข้าขั้นตายด้าน ไม่รู้ว่าภายในกำลังรู้สึกอย่างไร
เทียนหลางจวินเบือนหน้ามากล่าวว่า “มากันน้อยกว่าที่ข้าคิดไว้นะ ข้ายังนึกว่าจะแห่กันมาเหมือนครั้งก่อนที่ยอดฝีมือนับร้อยร่วมใจกันต่อสู้ ณ บรรพตน้ำค้างขาวเสียอีก”
อู๋วั่งแค่นเสียง “ดูสภาพเจ้าเสียก่อนซิ จะคนก็ไม่คน จะผีก็ไม่ผี แม้แต่ลูกน้องข้างกายยังไม่มี ยังต้องใช้คนมากมายปานนั้นอีกหรือ”
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ตรงนี้ข้าไม่มีลูกน้องอยู่ด้วยก็จริง แต่กลับมีหลานชายอยู่คนหนึ่ง”
พูดไม่ทันขาดคำ เงาร่างสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งปราดออกมาจากด้านใจ จู๋จือหลางเอาตัวเข้ามาบังด้านหน้าเทียนหลางจวินอย่างเงียบๆ
ไม่รู้ทำไมร่างกายของนายบ่าวคู่นี้ถึงได้อยู่ในสภาพเสือลำบากด้วยกันทั้งคู่ ร่างกายที่สร้างจากหญ้าน้ำค้างของเทียนหลางจวินไม่อาจปรับตัวเข้ากับปราณมาร ถูกกัดกร่อนจนเหวอะหวะก็ยังพอจะเข้าใจได้อยู่ แต่ตัวจู๋จือหลางเองก็ตาซีดเหลือง คอ แก้ม หน้าผาก แขน และทุกส่วนที่อยู่นอกร่มผ้ามีเกล็ดขึ้นเป็นหย่อมๆ ดูแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง สภาพนี้ใกล้เคียงกับครึ่งคนครึ่งงูตอนอยู่ในถ้ำหญ้าน้ำค้างเลยทีเดียว
เขากล่าวเสียงแหบว่า “เสิ่นเซียนซือ”
เสิ่นชิงชิว “ข้าเอง เจ้าทำไมถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้เล่า”
เยวี่ยชิงหยวนกล่าวเสียงเรียบ “ศิษย์น้อง เจ้ากับท่านผู้นี้เกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือ”
เกี่ยวข้องอย่างมากเลยเชียวแหละ สถานการณ์ที่ดำเนินมาถึงขั้นนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้อย่างมาก ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังนึกหาคำพูด เทียนหลางจวินก็เชิดคางขึ้นเล็กน้อย หรี่ตากล่าวต่อเยวี่ยชิงหยวนว่า “ข้าจำเจ้าได้”
เขาขบคิดก่อนจะกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ “ตอนนั้นไอ้เฒ่าวังฮ่วนฮวาอยากให้เจ้าช่วยลอบโจมตี แต่เจ้าไม่ยอม เจ้าสำนักชางฉยงซานในวันนี้คือเจ้าหรือ นับว่าไม่เลว”
เยวี่ยชิงหยวน “ความจำท่านก็ไม่เลวเช่นกัน”
เทียนหลางจวินหัวเราะแล้วถอนใจ
“หากพวกเจ้าก็ถูกสะกดไว้ใต้สถานที่อันมืดมิดอยู่สิบกว่าปี ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ทั้งวันได้แต่คิดเรื่องราวในอดีตเป็นการฆ่าเวลา ก็จะความจำดีเหมือนข้าเช่นกัน”
คราวนี้ไม่มีใครตอบรับคำพูดเขาแล้ว เยวี่ยชิงหยวนกุมกระบี่เสวียนซู่มั่น จากนั้นโจมตีออกไปทั้งฝัก
เทียนหลางจวินหลบวืดไปได้ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ผนังหินด้านหลังถล่มไปเกือบครึ่ง ระเบิดออกเป็นโพรงใหญ่ ด้านนอกคือฟ้าสูง กรวดหินจึงร่วงพรูลงไปเบื้องล่างไม่น้อย ลมเย็นเฉียบม้วนพัดเข้ามา เกล็ดหิมะปลิวคว้างไปทั่วท้องฟ้างดงามละลานตา เสียงสัตว์ร้องคำรามและเสียงการฆ่าฟันบนพื้นผิวน้ำแข็งที่อยู่ต่ำลงไปนับร้อยจั้งแว่วขึ้นมาให้ได้ยินเป็นระลอก ทัพชุดแรกของเผ่ามารแดนใต้บุกเข้ามาแล้ว
เทียนหลางจวินกล่าว “ข้าเดาว่า จะต้องเป็นไป่จั้นเฟิงที่เป็นทัพหน้าถูกต้องหรือไม่”
คนหลายสิบคนที่ยืนแยกย้ายกันอยู่ปรี่กันเข้ามาจากมุมใครมุมมัน ไม้เท้าพระธรรมของอู๋วั่งโบกส่ายอย่างเกรี้ยวกราด ชิงนำขึ้นหน้าสุด จู๋จือหลางถูกเสวียนซู่บังคับให้ต้องถอย แต่ยังคงคอยชักนำศัตรูให้โจมตีมาที่ตัวเองอย่างจงรักภักดีในหน้าที่
เทียนหลางจวินยังคงนั่งสบายอารมณ์อยู่บนหินเขียว ก่อนเอ่ย “ปีนั้นข้าจำได้ว่าเจ้ารอจนถึงที่สุดจึงค่อยชักกระบี่ วันนี้ก็จะเอาแบบเดียวกันหรือ”
เยวี่ยชิงหยวนไม่ตอบคำ ขณะกำลังจะฟาดใส่ช่องอกของจู๋จือหลาง เจ้าสำนักอีกคนหนึ่งก็ชิงเข้าไปโจมตีก่อน จู๋จือหลางไม่หลบไม่ถอย รับการโจมตีจังๆ ทว่าฝ่ายที่ร้องโหยหวนออกมากลับเป็นเจ้าสำนักท่านนั้น
รูม่านตาของเสิ่นชิงชิวหดทันที ร้องตะโกนว่า “อย่าโดนตัวเขา เขามีพิษทั้งตัว!”
ท่ามกลางความชุลมุนของการสู้รบ มีสองสามคนที่ถูกพิษ สองสามคนถูกแรงระเบิดของปราณมารและพลังทิพย์อัดกระเด็นจนหลุดออกนอกถ้ำไปกลางเวหา ดีที่ตอนกำลังร่างลงมาพลิกตัวขึ้นไปเหยียบกระบี่ทันจึงทรงตัวเอาไว้ได้
ซั่งชิงหัวค่อยๆย่องไปหลบทางฝั่งเสิ่นชิงชิว
จู๋จือหลางกำลังต่อสู้จนเลือดขึ้นหน้า พอเห็นเงาร่างหนึ่งค่อยๆกระเถิบออกไปข้างนอกอย่างลับๆล่อๆก็โยนงูเขียวสองตัวออกไปทันทีโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น
เสิ่นชิงชิวมองเห็นอย่างชัดเจน เขาพลิกมือวูบ กำลังจะซัดใบไม้ออกไปช่วยชีวิตเฟยจี ทว่างูเขียวสองตัวนั้นกลับถูกแท่งน้ำแข็งอันแหลมคมที่โผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียบทะลุเอาดื้อๆ
โม่เป่ยจวินปรากฏตัวขึ้นกลางวงต่อสู่ยังกับผีโผล่ หิ้วตัวซั่งชิงหัวขึ้นมาแล้วจับโยนไปทางเสิ่นชิงชิวเหมือนโยนลูกเจี๊ยบ จากนั้นหันไปฟาดฝ่ามือใส่จู๋จือหลาง
10 วินาทีต่อมา ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็ได้เปิดหูเปิดตาว่าอะไรคือ ‘การโจมตีแบบอัดยับ’
ทางฝั่งจู๋จือหลางถูกโม่เป่ยจวินอัดกระหน่ำไม่ยั้ง วงล้อมที่รุมเทียนหลางจวินอยู่จึงทวีความแข็งแกร่งขึ้นทันที
เทียนหลางจวินถึงแม้แขนหายไปข้างหนึ่ง ถูกรุมให้ต้องรับมือตามลำพัง ทว่าความสง่างามน่าเกรงขามกลับยังคงอยู่ครบถ้วน “นี่พวกเจ้าทำไมถึงทำเช่นนี้อีกแล้ว ใช้พวกมากรุมคนคนเดียว ไม่รู้สึกหรือว่าชัยชนะที่ได้มาแบบเอาเปรียบเช่นนี้มันช่างไร้คุณธรรมโดยแท้”
เจ้าสำนักท่านหนึ่งชิงเข้าไปโจมตี “จัดการกับตัวประหลาดเผ่ามารที่เจตนาร้าย กล้วใต้หล้าจะไม่สุขสงบเช่นเจ้า ยังต้องมาพูดเรื่องคุณธรรมอะไรอีก”
ครู่ต่อมา ศีรษะเขาก็ถูกฟาดจนแตกเป็นสี่ห้าเสี่ยงเหมือนหัวกระเทียมกลีบแตก เทียนหลางจวินชักฝ่ามือกลับ กล่าวยิ้มๆว่า “ความจริงข้ามิได้มาด้วยเจตนาร้าย ทั้งไม่เคยคิดว่าหากใต้หล้าไม่สุขสงบแล้วมันจะสนุกอย่างไร ข้ามภพมาเป็นครั้งเป็นคราว ร้องเพลงร่ายโครงกลอนอ่านหนังสือก็ดีจะตาย เพียงแต่ว่า ในเมื่อต้องเฝ้าบรรพตน้ำค้างขาวเสียหลายปีปานนั้น หากไม่ทำอะไรตามอย่างที่พวกเจ้าคิดกันไว้เสียหน่อยก็ออกจะรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้าง”
เยวี่ยชิงหยวนดีดนิ้วทีหนึ่ง เสวียนซู่ออกจากฝัก 3 ชุ่น ทันใดนั้นพลังทิพย์ก็ทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็ว กระดูกในกายเทียนหลางจวินหลุดเคลื่อนออกจากที่เสียงลั่นกราว เขาทำเสียงจิ๊แล้วกล่าวว่า “สมกับเป็นเจ้าสำนักจริงๆ ดีแท้ อาจารย์ของเจ้าความจริงแล้วฝีมือไม่กระไรนัก แต่สายตาในการคัดเลือกศิษย์และผู้สืบทอดกลับดียิ่ง”
เขายื่นมือออกมาข้างหนึ่ง กุมปลายกระบี่เสวียนซู่ตรงๆ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น หัวเราะพลางกล่าว “แต่ทำไมเจ้าถึงไม่ชักออกจากฝักให้หมดล่ะ เพียงเท่านี้ยังทำอะไรข้าไม่ได้หรอกนะ”
แววตาเยวี่ยชิงหยวนหม่นแสงลงวูบหนึ่ง เสวียนซู่ออกจากฝักอีกครึ่งชุ่น
ทันใดนั้นลั่วปิงเหอก็กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “เขาทำอะไรท่านไม่ได้ แล้วข้าล่ะ”
รอยยิ้มของเทียนหลางจวินมิได้จางหาย ทันใดนั้น ปราณมารแข็งกล้าสายหนึ่งก็ซัดตูมเข้ามาราวกับขวานจาม
แขนที่เหลืออยู่ข้างเดียวของเขาหลุดกระเด็นก่อนถูกลมหอบออกไปนอกถ้ำ ร่วงตกลงไปจากเทือกเขาฝังกระดูกทันที
ในที่สุดลั่วปิงเหอก็ลงมือแล้ว!
พ่อลูกคู่นี้ดวลกันอีกครั้ง คราวนี้ถึงตาเทียนหลางจวินเป็นฝ่ายไร้กำลังจะสู้กลับบ้างแล้ว
ลั่วปิงเหอสองตาแดงฉานจนน่ากลัว สีหน้าเคร่งเครียด ลงมือดุดันไม่มีคำว่าผ่อนปรนแม้แต่น้อย
เทียนหลางจวินตอนนี้แขนทั้งสองข้างขาดด้วนตกอยู่ในสภาพเข้าตาจน รับมือไม่หวาดไม่ไหว
จู๋จือหลางสลัดโม่เป่ยจวินพ้นมาได้อย่างยากเย็น ตามใบหน้าและตามเนื้อตัวเป็นแผลเหวอะหวะ พอเห็นผู้เป็นนายกำลังตกที่นั่งลำบาก เขาก็มีสภาพราวกับสู้จนตาลายไปหมดแล้ว เลยถลันเข้าไปทันที ประจวบกับอู๋วั่งโดนปราณมารของเทียนหลางจวินยิงกราดผ่าน เลือดพ่นออกจากปากเป็นฝอย ตัวกระเด็นหวือมาด้านหลัง อู๋เฉินต้าซือจึงเอาตัวเข้าไปรับแทน พอเห็นจู๋จือหลางกำลังจะชนโดนต้าซือท่านนี้ เสิ่นชิงชิวที่เห็นท่าไม่ดี จึงแวบเข้าไปขวางหน้าอู๋เฉินเดี๋ยวนั้น
พอจู๋จือหลางเห็นเสิ่นชิงชิว นัยน์ตาสีเหลืองทองก็เรืองประกายขึ้นวูบหนึ่ง เขาชะงักเท้าทันที ทำเอาทรงตัวไม่อยู่ โงนเงนจนเกือบจะล้มลงไป ขณะกำลังจะเลี่ยงอ้อมเสิ่นชิงชิวไปช่วยเทียนหลางจวิน ทันใดนั้นแสงสีขาวสายหนึ่งก็พลันตัดเข้ามาขวาง หลังของจู๋จือหลางกระแทกเข้ากับผนังถ้ำอย่างแรง ถูกตอกทะลุอกตรึงไว้กับผนังหิน
กระบี่เพรียวบางที่เสียบคาอกเขาอยู่ครึ่งเล่มก็คือเจิ้นหยางนั่นเอง
เสิ่นชิงชิวหันกลับมา ลั่วปิงเหอชักมือกลับช้าๆ เทียนหลางจวินยืนนิ่งห่างจากเขาไป 2 จั้ง
ยืนได้เพียงครู่เดียว ก็ล้มลงกับพื้นด้วยท่วงท่าอันงดงาม
……….
สู้จบแล้ว?
ง่ายๆ แค่นี้?
เสิ่นชิงชิวยังรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง
เขาเพิ่งจะต่อยตีได้ไม่กี่ทีเองนะ นี่คือจบแล้ว?
เขาตบซั่งชิงหัวเบาๆ “…นายไม่ได้บอกไว้ว่าเทียนหลางจวินโค่นยากหรอกรึ”
ซั่งชิงหัวยังหวาดผวาไม่หาย “ก็โค่นยากจริงๆ นา”
เสิ่นชิงชิว “ชนะแบบนี้เป็นเหตุเป็นผลตรงไหนรึ”
ซั่งชิงหัว “บอสที่ต่อให้ปราบยากยังไง เมื่ออยู่ต่อหน้าพระเอกก็สู้ไม่ได้อยู่ดี นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ใครๆก็ยอมรับหรอกเหรอ”
คนทั้งสองมองไปโดยรอบ ขามามีกันสิบกว่าคน สถานะค่าเลือดเต็มแถบ มาถึงตอนนี้ ที่ยังยืนได้อยู่มีเหลือไม่กี่คนแล้ว เสิ่นชิงชิวมองสองท่านตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นบอสของด่านสุดหิน ท่านหนึ่งถูกตอกตรึงกับผนัง โชกเลือดไปทั้งตัว ท่านหนึ่งนอนอยู่ที่พื้น เข้ากับคำบรรยายที่ว่า ‘ตุ๊ตาเก่าขาดที่ถูกทึ้งจนเยิน’ และ ‘หุ่นกระบอกที่สายชักขาด’
สักนิดเขาก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าได้สู้กับลาสท์บอสอย่างถึงพริกถึงขิง ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นการรังแกคนป่วย คนอ่อนแอ คนชรา และคนพิการอยู่ข้างเดียว อาศัยพวกมากรุมซ้อมกันอย่างไร้ยางอาย ใช่แล้ว…ที่พวกเขากำลังทำก็คือรุมซ้อม
แต่ใครจะไปนึกว่าจะลงเอยเช่นนี้ พละกำลังของบอสในจินตนาการกับความเป็นจริงช่างต่างกันลิบ!
ลั่วปิงเหอหมุนกายกลับมา เลือดไม่กระเซ็นโดนสักหยด ดูนิ่งเฉยมาก เขาถามเสิ่นชิงชิวว่า “ต้องฆ่าเขาไหม”
เขาหมายถึงเทียนหลางจวิน จู๋จือหลางได้ยินเข้าก็กำคมกระบี่เจิ้งหยางแน่น พยายามจะกระชากออกให้ได้ เกล็ดตามหน้าตามตัวเขาเหมือนถูกถากออกไปไม่น้อยในช่วงที่สู้กันอย่างชุลมุน ยามนี้พอออกแรงเป็นระลอกเลือดจึงพรั่งพรูราวกับสายธาร
นับตั้งแต่ที่รู้ว่ากงอี๋เซียวถูกเขาฆ่า เสิ่นชิงชิวก็เกิดปมในใจมาตลอด ทว่าสภาพเช่นนี้ของจู๋จือหลางช่างน่าเวทนาจนสุดจะทานทนจริงๆ ใครเห็นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเห็นใจ ถึงแม้เสิ่นชิงชิวจะสะบักสะบอมจากการตอบแทนพระคุณด้วยวิธีการแปลกๆของเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่อย่างน้อยจู๋จือหลางก็ไม่เคยคิดร้ายกับเขา
เสิ่นชิงชิวถอนใจกล่าว “เปลี่ยนไปจนมีสภาพนี้แล้ว เจ้าจะลำบากไปทำไม”
จู๋จือหลางไอออกมาเป็นเลือด ถามเสียงแหบแห้ง “เปลี่ยนไปจนมีสภาพนี้หรือ”
เขาหัวเราะขื่นก่อนจะกล่าว “หากข้าบอกว่า สภาพของข้าที่บรรพตน้ำค้างขาวจึงจะเป็นร่างจริงของข้า เสิ่นเซียนซือจะว่าอย่างไร”
อสนีบาตสายหนึ่งผ่าลงกลางหัวกบาลเสิ่นชิงชิว
ว่าไงนะ ที่แท้ชายร่างงูที่เลื้อยไปเลื้อยมาในป่าน้ำค้างขาวถึงจะเป็นรูปร่างดั้งเดิมของจู๋จือหลางหรือ
จู๋จือหลางพักหายใจ กล่าวว่า “ข้ามีสายเลือดชั้นต่ำ เพียงเพราะพ่อของข้าเป็นงูยักษ์เลอะเลือนตัวหนึ่ง พอท่านแม่คลอดข้าออกมาเลยมีรูปร่างพิกลพิการเป็นครึ่งคนครึ่งงูแบบนี้ ตลอดเวลาที่โตมาจนอายุ 15 ปี ใครๆก็พากันทอดทิ้งข้า รังเกียจข้า เหยียดหยามข้า ขับไล่ข้า หากมิใช่เพราะจวินซั่งช่วยให้ข้าได้แปลงร่างเป็นคน ทั้งยังสนับสนุนข้า เกรงว่าทั้งชีวิตคงเป็นได้แค่สัตว์ประหลาดที่ได้แต่เลื้อยคลานไปตามพื้นแล้ว”
เขากัดฟันกล่าวต่อ “จวินซั่งมอบโอกาสครั้งแรกให้ข้าได้เป็นคน ส่วนเสิ่นเซียนซือคือผู้มอบโอกาสครั้งที่สองให้ข้า บางทีสำหรับพวกท่านแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับข้าแล้ว ต่อให้ต้องตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจตอบแทนได้ เสิ่นเซียนซือถามข้าว่า ‘เจ้าจะลำบากไปทำไม’ อย่างนั้นรึ ท่านว่าข้ายอมลำบากเพื่ออะไรเล่า”
จู่ๆเทียนหลางจวินก็ถอนใจ “เด็กโง่ เจ้าจะพูดกับเขาให้มากความทำไม”
ถึงแม้จะนอนอยู่แต่ก็ยังคงนอนได้สง่าภูมิฐาน หากมองข้ามซีกหน้าที่ถูกปราณมารกัดกร่อน ก็ยิ่งดูภูมิฐานเข้าไปใหญ่
เขามองฟ้า กล่าวเอื่อยๆว่า “มนุษย์หนอ มักจะเชื่อว่าชนต่างเผ่าพันธุ์ย่อมต้องมีจิตใจที่แตกต่าง ต่อให้เป็นคนใกล้ชิดสักแค่ไหน ชั่วพริบตาก็สามารถหลอกลวงเจ้าได้ อย่าว่าแต่เจ้าที่คิดเพ้อฝันไปเองข้างเดียวว่าอยากตอบแทนพระคุณเขาเลย เจ้าจะพูดไปสักแค่ไหน เขาก็ไม่เข้าใจเจ้าอยู่ดี ทั้งมีแต่จะยิ่งเบื่อหน่ายเอือมระอา แล้วจะพูดให้มากความไปทำไม”
ชั่วเวลานั้น ทุกคนพากันเงียบพูดอะไรไม่ออก
ชายหนุ่มดีๆคนหนึ่งไม่เคยมีใจคิดคด กำลังดื่มด่ำชื่นใจที่ได้มีความรักกับเขาสักครั้ง ทว่ากลับเป็นแค่การลวงหลอก จนต้องถูกสะกดไว้ใต้ภูเขาสูงไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน และไม่รู้วันรู้คืน ใครหน้าไหนมีสิทธิ์ไปห้ามไม่ให้เขาแค้นหรือ ใครหน้าไหนมีสิทธิ์ไปบอกให้เขา ‘ปล่อยวางเถอะ ปลงๆซะบ้าง’ หรือ
อู๋เฉินต้าซือกลับกล่าวว่า “หากครั้งนั้นท่านมิได้มีเจตนาจะทำเช่นนั้นจริงๆ การเชื่อข่าวลือก็เป็นความผิดของพวกเรา ภัยพิบัติในวันนี้ เลี่ยงไม่พ้นหนีไม่ได้ ก่อกรรมไว้ก็ต้องได้รับผลกรรม เร็วข้าก็ต้องชำระคืนอยู่ดี”
เขาพนมมือกล่าวต่อ “แต่สีกาซูยอมดื่มยาพิษโดยไม่เสียดายชีวิต ก็ยังอยากไปพบเจอท่านสักครั้ง ท่านตำหนินางได้อย่างไรว่าหลอกลวงท่าน”
เทียนหลางจวินตกตะลึง เงยหน้าขึ้น
เสิ่นชิงชิวเองก็อยู่ในอาการตะลึงเช่นกัน รู้ดีแก่ใจว่าอู๋เฉินต้าซือไม่มีทางพูดปดแน่ แต่เรื่องราวในฉบับของท่าน ดูเหมือนจะแตกต่างกับที่ผู้อื่นรู้หรือบอกต่อกันมา
อู๋เฉินต้าซื้อกล่าว “ตอนอยู่ที่วัดเจาหัว เพราะไม่อยากให้สีกาซูถูกวิพากษวิจารณ์หลังเสียชีวิต ทั้งเป็นเพราะว่าได้รับปากนางจะช่วยเก็บเป็นความลับ อาตนาจึงไม่อาจเล่าความจริงออกไป สีกาซูถูกกงจู่เฒ่าบังคับให้กลับวังฮ่วนฮวา นางยืนกรานไม่ยอมทำตามคำสั่ง ไม่ยอมหลอกพาท่านไปยังที่ที่ได้มีการกางค่ายกลเอาไว้ล่วงหน้าหลายสิบชั้นสำหรับล้อมปราบท่าน ตอนที่กงจู่เฒ่ากำลังจะลงทัณฑ์นางในคุกน้ำ ถึงได้พบว่านางตั้งครรภ์ ด้วยเกรงว่าหากโดนบังคับให้ทำแท้งอาจจะอันตรายถึงชีวิตได้ สีกาซูเลยยิ่งขัดขืนอย่างสุดกำลัง กงจู่เฒ่าจึงเอายาพิษให้นางถ้วยหนึ่ง เป็นยาพิษที่เป็นอันตรายต่อเผ่ามาร บอกนางว่าขอเพียงนางยอมดื่มลงไป ก็จะปล่อยนางไปหาท่าน
สีกาซูดื่มยาพิษที่กงจู่เฒ่าให้ แล้วออกเดินทางไปลำพังคนเดียว แต่นางมิทราบว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว กงจู่เฒ่าย้ายตำแหน่งสำหรับล้อมปราบไปเป็นบรรพตน้ำค้างขาวที่พวกท่านเคยนัดพบกัน”
เทียนหลางจวินตะลึงลาน ร่างกายเขาได้รับความเสียหายอย่างหนักที่มุมปากยังมีคราบเลือดเปรอะอยู่ พอพยายามจะเงยหน้าขึ้นคล้ายกับอยากจะฟังให้ชัดๆอีกสักนิด จึงทำให้ดูน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก
“อาตมาได้พบกับสีกาซูเข้าระหว่างทางไปบรรพตน้ำค้างขาวนั่นเอง เวลานั้นนางเพิ่งดื่มยาพิษเข้าไปได้ไม่นาน ทั่วทั้งร่างมีแต่เลือด เดินก้าวหนึ่งก็เลือดไหลก้าวหนึ่ง อาตมาฟังที่นางเล่าอย่างกระท่อนกระแท่น พอเดาสถานการณ์ออกอย่างคร่าวๆ ไม่อาจทนปิดบังต่อไป จึงบอกความจริงเรื่องที่เทียนหลางจวินถูกสะกดไว้ใต้ภูเขามาหลายวันแล้ว นางจึงค่อยรู้ว่าอาจารย์ของนางโกหกคำโต ไม่เพียงสถานที่ผิด เวลาก็ผิดเช่นกัน เพียงเพื่อให้นางดื่มยาพิษถ้วยนั้น
เพราะคำขอร้องของนาง อาตมาจึงช่วยพานางหลบหลีกศิษย์ที่วังฮ่วนฮวาส่งตัวมาค้นหา พานางไปส่งที่ริมแม่น้ำลั่วตอนบน นับแต่นั้นก็ไม่รู้ร่องรอยของนางอีกเลย
เทียนหลางจวิน สีกาซูอาจมิได้เป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์เต็มร้อยก็จริง นางเดิมทีมีฐานะสูงส่ง ถูกวางตัวเอาไว้ให้เป็นกงจู่คนต่อไปของวังฮ่วนฮวา นางอาจเข้าใกล้ท่านด้วยเจตนาไม่ดีในตอนแรก แต่หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นท่านที่มีเจตนาหลอกให้นางลุ่มหลง หรือว่าเป็นนางที่วางแผนหลอกลวงท่าน หรือว่าพวกท่านทั้งสองหักห้ามใจตนเองไว้ไม่อยู่ อาตมาไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องย่อมไม่รู้ข้อเท็จจริง แต่เท่าที่อาตมาได้ฟังได้เห็น กลับเป็นนางที่ไม่ยอมฟังคำสั่งอาจารย์ที่เลี้ยงดูนางมาสิบกว่าปี ถึงจะโดนทรมานในคุกน้ำก็ไม่ยอมจำนน ไม่ยอมหลอกลวงท่าน ทำร้ายท่าน หากสุดท้ายมิใช่ต้องทำเพราะความจำใจ คนเป็นแม่ที่ไหนจะยอมดื่มยาพิษถ้วยนั้น
นางมิได้ทอดทิ้งหรือว่าทำร้ายท่าน แต่เป็นเพราะความจำใจทั้งสิ้น โลกมนุษย์โหดร้ายนัก จึงต้องแคล้วคลาดจากกันไปเช่นนี้แล…”
ริมฝีปากของเทียนหลางจวินเหมือนจะสั่นน้อยๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงกล่าว “…เช่นนั้นหรือ”
พูดสามคำนี้จบ เขาก็ถามอีกประโยคว่า “จริงๆหรือ”
อู๋เฉินต้าซือกล่าวตอบ “อาตมากล้ารับรองด้วยชีวิต ที่พูดไปทั้งหมดไม่มีความเท็จแม้แต่นิดเดียว”
เทียนหลางจวินหันมามองเสิ่นชิงชิวกับเยวี่ยชิงหยวน ถามราวกับจะขอคำยืนยัน “จริงๆหรือ”
เขาก็ช่างไม่สนเลยสักนิดว่าผู้อื่นจะรู้เรื่องรู้ราวด้วยไหม คว้าใครได้ก็ถามเลย
เยวี่ยชิงหยวนไม่มีอะไรจะกล่าว ก้มหน้าเงียบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เสิ่นชิงชิวคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็พยักหน้าช้าๆ
บางทีกงจู่เฒ่าอาจจะไม่ได้มีเจตนาปรับปรำให้ร้ายแต่แรก แต่พอเห็นสองคนนี้ค่อยๆสนิทสนมกัน ก็จะต้องเริ่มนึกเสียใจที่ให้ซูซีเหยียนไปใกล้ชิดเทียนหลางจวิน ทำให้นางไม่ยอมอยู่ในความควบคุมของเขา และบังเกิดความรักกับเทียนหลางจวินขึ้นมาจริงๆ ถึงขนาดมีลั่วปิงเหอออกมา ประมุขวังฮ่วนฮวาจึงได้ตัดสินใจตัดต่อเนื้อความสร้างเรื่องให้เทียนหลางจวินเป็นมารร้ายแห่งยุกที่ต้องการจะกวาดล้าง 3 ภพจนทำลายชีวิตผู้คนไปมากมายตลอดหลายปีมานี้
ขนตาของเทียนหลางจวินที่มีเกล็ดหิมะติดอยู่สั่นระริก จากนั้นก็นอนลงไปใหม่อีกครั้งเหมือนกับว่าจู่ๆก็หมดแรงกะทันหัน
เขาถอนใจแล้วกล่าว “เอาเถอะ อย่างน้อยก็มีบางเรื่องที่มิได้เลวร้ายขนาดนั้น”
เสิ่นชิงชิวหันไปมองลั่วปิงเหอ
เขายืนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ทำเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองสักนิด ทำราวกับได้ฟังเรื่องสนุกสนานแปลกใหญ่ ถึงขนาดหัวเราะหึๆด้วยซ้ำ
เมื่อเรื่องราวเปิดเผยออกมาเช่นนี้ ปมในใจของเทียนหลางจวินก็ย่อมจะคลี่คลายได้แล้ว ทว่าสำหรับลั่วปิงเหอ ความโหดร้ายของเรื่องนี้กลับไม่ได้ลดลงเลยสักนิด
มันก็แค่เปลี่ยนจากพ่อแม่แท้ๆ ต่างก็ทิ้งขว้างเขา มาเป็นพ่อแม้แท้ๆต่างก็ทอดทิ้งเขาเท่านั้นเอง
ยังไงก็ถูก ‘ทิ้ง’ เหมือนกัน
กระบี่ซินหมัวยังคงปล่อยไอสีม่วงคล้ำไม่หยุด เสียงฆ่าฟันจากด้านล่างยิ่งชัดเจนขึ้น น่ากลัวว่าเทือกเขาฝังกระดูกยังคงลดต่ำลงไปอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ว่ายังเหลือระยะห่างจากผิวน้ำแข็งของแม่น้ำลั่วอยู่อีกเท่าไหร่
เยวี่ยชิงหยวนเดินเข้าไปใกล้ผนังหินที่กระบี่ซินหมัวเสียบคาอยู่อีกสองสามก้าว เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เทียนหลางจวิน ท่านหยุดมือเถอะ”
หยุดมือตอนนี้นับว่ายังไม่สายไป แต่ถ้าเทียนหลางจวินยังคงถ่ายปราณมารเข้าสู่กระบี่ซินหมัวต่อไปเรื่อยๆ ก็มีแต่ต้องฆ่าเขาเท่านั้นแล้วถึงจะหยุดการรวมภพได้ ไม่ว่าจะพูดยังไง เสิ่นชิงชิวก็ไม่ได้อยากเห็นเทียนหลางจวินตายไปขนาดนั้น อย่างไรเสีย แค่จีบสาวแล้วต้องกลายมาเป็นเช่นนี้ ความจริงก็โชคร้ายพอแล้ว หากยังต้องเอาชีวิตเขาอีกละก็…ไม่มีบอสที่ไหนจะน่ารันทดเท่านี้อีกแล้ว
จู่ๆ เทียนหลางจวินกลับหัวเราะพรืดออกมา
เสียงหัวเราะดังสะท้อนก้องไปมาในถ้ำและในเทือกเขา ดูท่าเขาจะขบขันมาก ก่อนเบือนหน้ามากล่าว “เจ้ายอดเขาเสิ่น เจ้าดูซิ ตัวข้าในตอนนี้หรือแม้แต่ร่างคนของจู๋จือหลางก็ยังรักษาไว้ไม่อยู่เลย”
เวลานี้ เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันรู้สึกถึงความนับที่อยู่ในคำพูดเทียนหลางจวิน เพียงแต่รู้สึกสะดุดอยู่ในใจตรงไหนสักแห่ง
เทียนหลางจวินกล่าวเสียงเนิบนาบว่า “สู้กับพวกเจ้านานขนาดนี้ สังขารนี้ของข้าสูญเสียพลังไปไม่น้อย เจ้าคิดว่า ผู้ที่คอยถ่ายทอดปราณมารลงกระบี่ซินหมัวมาตลอดตัวจริงเป็นผู้ใดหรือ”
ประโยคนี้เขากล่าวออกมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า แต่พอเข้าหูเสิ่นชิงชิวแต่ละคำแต่ละประโยคที่ได้ยินก็ทำเอาราวกับตกลงไปในห้วงน้ำอันเย็นเฉียบคอค่อยๆแข็งทื่อ
“เจ้าก็ควรจะต้องให้ใครสักคนหยุดมืออยู่หรอก เพียงแต่คนคนนั้นอย่างไรก็ไม่ใช่ข้าแน่นอน”
เทียนหลางจวินแขนขากระจัดกระจายไม่เหลือสภาพแล้ว จู๋จือหลางก็ถูกตอกตรึงอยู่กับผนัง อู๋เฉินพยุงอู๋วั่งที่ศีรษะแตกเลือดไหล โม่เป่ยจวินหิ้วคอเสื้อซั่งชิงหัวอยู่ เยวี่ยชิงหยวนก็ยืนอยู่ด้านข้างเสิ่นชิงชิว
มีแต่ลั่วปิงเหอที่กำลังยืนอยู่ตรงตำแหน่งกระบี่ซินหมัว เขาก้มหน้าจัดแขนเสื้ออย่างใจเย็น
เสิ่นชิงชิวกดเสียงต่ำ “ลั่วปิงเหอ เจ้ามานี่”
ลั่วปิงเหอส่ายหน้าทีหนึ่ง แค่ทีเดียว ทว่าแสดงถึงจุดยืนอันแน่วแน่
เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “…เจ้าโกหกข้าอีกแล้ว”
การเคลื่อนไหวของลั่วปิงเหอหยุดชะงัก ย้อนถามว่า “ซือจุน ข้าเคยบอกไว้ว่าจะช่วยท่านรับมือเทียนหลางจวิน ตอนนี้ข้าจะฆ่าเขาให้ท่านดูเดี๋ยวนี้เลยยังได้ จะมาบอกว่าข้าโกหกท่านได้อย่างไร”
เทียนหลางจวินกล่าวยิ้มๆ “เลี้ยงโจรก็ต้องพึงสังวร หมากตานี้คิดมาได้ดีนัก เสียดายที่ข้าใช้การอะไรไม่ได้ เขากลับลงมือเสียเองแล้ว”
พอได้ยินประโยค ‘เลี้ยงโจรก็ต้องพึงสังวร’ ในใจเสิ่นชิงชิวก็ยิ่งไม่เป็นสุข
หรือว่าจะเป็นการจงใจของลั่วปิงเหอที่ยกกระบี่ซินหมัวให้เทียนหลางจวิน พอได้กระบี่ซินหมัวไปแล้ว ร่างที่สร้างขึ้นจากหญ้าน้ำค้างของเทียนหลางจวินก็จะผุพังอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถึงจะยกกระบี่ให้ กลับมิได้คุกคามลั่วปิงเหอเลยแม้แต่น้อย
อาจเป็นเพราะเขากำลังสับสนอย่างหนัก ความคิดที่อยู่ในใจจึงปรากฏบนสีหน้าอย่างชัดเจน ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างเศร้าใจว่า “ซือจุน ท่านกำลังคิดอะไรอีกแล้วกระมัง กระบี่ซินหมัวถูกเขาชิงไปก็จริง แต่มันยังคงยอมรับข้าเป็นนายอยู่เท่านั้นเอง ท่านเคยบอกว่า จากนี้ไปจะ ‘ขอเชื่อไว้ก่อนดีกว่า เชื่อไว้ก็ไม่เสียหลาย’ เหตุใดถึงไม่ยอมเชื่อข้าอีกแล้วเล่า”
เสิ่นชิงชิวกล่าวเนิบช้า “ข้าเชื่อเจ้ามาหลายครั้งแล้ว จนถึงเมื่อครู่ก็ยังคงเชื่อเจ้ามาตลอด”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “อย่างนั้นหรือ”
เขายิ้มด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว “แต่ข้ากลับไม่กล้าเชื่อซือจุนอีกต่อไปแล้ว”
รอยยิ้มนี้ดูประหลาดพิกล เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าอารมณ์เขาไม่ปกติ จึงผ่อนคลายสีหน้าและน้ำเสียงลง “เจ้าเป็นอะไรไปอีกแล้วเล่า”
พอน้ำเสียงเสิ่นชิงชิวอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย จู่ๆลั่วปิงเหอก็หยุดยิ้ม
ท่าทางเขาราวกับกำลังหัวใจสลาย “ซือจุน ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่าเวลาท่านอยู่กับพวกเขา นั่นล่ะท่านจึงจะมีความสุขที่สุด”
ในตอนแรกเสิ่นชิงชิวยังไม่ทันจับความได้ว่า ‘พวกเขา’ หมายถึงอะไร ลั่วปิงเหอเดินกลับไปกลับมาช้าๆ อยู่ตรงหน้าผนังถ้ำที่กระบี่ซินหมัวปักคาอยู่
เขาหัวเราะหยันตัวเอง “ทุกครั้งที่ข้าขอให้ท่านไปกับข้า ท่านไม่เคยตอบตกลงแม้แต่ครั้งเดียว ถึงจะตอบรับ ก็แค่เพราะข้าคาดคั้นให้ท่านตอบ ท่านเพียงถูกบีบบังคับ ไม่เคยตอบด้วยความเต็มใจแม้แค่ครั้งเดียว แต่พอพวกเขาขอให้ท่านอยู่ ไม่มีครั้งใดที่ท่านจะตอบรับด้วยความลังเลเลย”
เขามองเสิ่นชิงชิว “ซือจุน ท่านไม่ค่อยยิ้ม ข้าชอบดูท่านยิ้ม แต่พอคิดว่า มีแต่เวลาที่ท่านอยู่กับพวกเขา จึงจะยิ้มเช่นนั้น ข้าก็…”
เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วระโหย “…เจ็บปวด เจ็บปวดทรมานมาก”
เสิ่นชิงชิวเข้าใจในที่สุด ‘พวกเขา’ หมายถึงชางฉยงซาน!
วันนั้นที่เรือนไผ่ หลิ่วชิงเกออยู่ๆก็เปิดหน้าต่างออกไปดู คงเพราะรู้สึกได้ถึงไอสังหารและความโกรธแค้นสิ้นหวังของลั่วปิงเหอที่ยังแกร่วอยู่ข้างนอกนั่นเอง
เขาไม่ได้จากไป หากแต่จดจำเสียงพูดคุยหัวเราะในเรือนไผ่และเสียงตอบรับ ‘อืม’ ที่ได้ยินไว้ในใจ
เสิ่นชิงชิวกล่าว “ที่เจ้าโกรธก็เพราะเรื่องนี้หรือ”
“โกรธหรือ” ลั่วปิงเหอกระชากเสียงอย่างดุดัน “ข้าเกลียดต่างหาก! ข้าเกลียดตัวเอง!”
เขาเอามือไพล่หลัง เดินเร็วขึ้นอย่างงุ่นง่าน
“ข้าเกลียดที่ตัวข้ามันไม่ได้เรื่อง ข้าเกลียดที่ข้าไม่เคยรั้งใครให้อยู่กับข้าได้เลย ไม่เคยเลย…ไม่มีใครยอมเลือกข้า”
คนอื่นๆที่เหลือในถ้ำไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว
ลั่วปิงเหอตอนนี้กำลังถ่ายทอดปราณมารให้กระบี่ซินหมัวอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครอยากให้เขาอาละวาดขึ้นมา
จู๋จือหลางกลับกล่าวว่า “เจ้าทำเช่นนี้ เจตนาคือบังคับว่าเขาต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ”
ลั่วปิงเหอชะงักเท้า ส่ายหน้าตอบ “เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ ไม่! ไม่ใช่เลย ข้ารู้ หากต้องเลือก ซือจุนไม่มีทางเลือกข้าอยู่แล้ว ดังนั้นก็อย่ามีตัวเลือกเลยก็แล้วกัน”
ใบหน้าซีดขาวของลั่วปิงเหอแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้น “ดังนั้นคราวนี้ข้าจึงได้บทเรียนแล้ว หากไม่มีชางฉยงซานอีกต่อไป จะไม่เป็นการดีหรอกหรือ เช่นนี้ ซือจุนก็จะเหลือแต่ข้าเท่านั้นแล้ว”
อู๋เฉินต้าซือพนมมือสวดไม่หยุด กล่าวอมิตาพุทธ “ประสกลั่ว ท่านถูกจิตมารครอบงำแล้ว”
ลั่วปิงเหอยังคงหัวเราะลั่น
อู่เฉินต้าซือกล่าวต่อ “จริงอยู่ว่าเมื่อไม่มีตัวเลือก ก็ย่อมไม่เกิดการทอดทิ้ง แต่เจ้ายอดเขาเสิ่นจะอภัยให้กับการกระทำของท่านหรือ”
ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงเบาว่า “ซือจุน หากไม่มีชิงจิ้งเฟิงแล้ว ไว้ข้าสร้างใหม่ให้ท่านก็ได้ ท่านจะโกรธแค้นข้าก็ดี จะเกลียดข้าก็ช่าง ข้าจะไม่เรียกร้องอะไรทั้งนั้น หากท่านไม่พอใจ ท่านจะตีข้า ฆ่าข้าก็ได้ อย่างไรข้าก็ไม่ตายอยู่แล้ว ขอแค่…ขอแค่ท่านอย่าไปจากข้าเท่านั้น”
เขากล่าวอย่างเทิดทูนสุดหัวใจว่า “จริงๆนะ ข้ามีแค่ความปรารถนานี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
แววตาของลั่วปิงเหอแตกซ่าน เส้นเลือดแดงที่ม่านตาชั้นนอกเดี๋ยวขยายเดี๋ยวหด รอยยิ้มบิดเบี้ยวเหยเก แสงสีม่วงบนกระซี่ซินหมัวลุกเรืองเจิดจ้า ไม่รู้ว่าตกลงแล้วเป็นเขาที่ควบคุมกระบี่นี้ หรือว่าเป็นกระบี่เล่มนี้ที่ควบคุมเขากันแน่ มองดูสีหน้าคลุ้มคลั่งและอาการธาตุไฟเข้าแทรกของลั่วปิงเหอ เสิ่นชิงชิวก็เกิดอาการฝืดเฝื่อนในปาก พูดอะไรไม่ออก
จู๋จือหลางเอ่ย “นอกจากชางฉยงซาน ในโลกนี้ก็ยังมีสิ่งที่เสิ่นเซียนซือใส่ใจอีกมากมาย เจ้าต้องกำจัดให้หมดสิ้นจึงจะพอใจหรือ”
ลั่วปิงเหอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พอใจหรือ ทำไมจะไม่พอใจล่ะ!”
เขาเบือนหน้าเล็กน้อย อยู่ๆก็กล่าวเสียงเกรี้ยวกราดว่า “ทำให้เขาหุบปากที!”
โม่เป่ยจวินได้ยินดังนั้น ขบคิดชั่วครู่ก็ตบหน้าจู๋จือหลางอย่างแรงหนึ่งที
เทียนหลางจวินมองลั่วปิงเหอ แววแห่งความเวทนาสงสารวาบขึ้นในดวงตา เขาถอนใจ “…กระซี่ซินหมัวกัดกร่อนสมอง เขาเสียสติแล้ว”
นับจากเผชิญหน้ากับลั่วปิงเหอมา นี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขามีสีหน้าของพ่อผู้ให้กำเนิดอยู่บ้าง
ลั่วปิงเหอกับไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยสักนิด ยิ้มน้อยๆพลางผงกศีรษะ “ถูกต้อง ข้าเสียสติไปแล้ว”
ได้ยินเขายอมรับกับปากว่าตัวเองเสียสติ เสิ่นชิงชิวก็เจ็บแน่นในอกขึ้นมาระลอกหนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบาว่า “ปิงเหอ เจ้าออกมาให้ห่างจากกระบี่เล่มนั้นก่อน ออกห่างจากมันสักนิด”
เขาหว่านล้อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพลางสอบแตะด้ามกระบี่ซิวหย่าที่อยู่ในแขนเสื้อหลวมกว้างไปด้วย
ลั่วปิงเหอกล่าวยิ้มๆ “ไม่มีประโยชน์หรอกซือจุน ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ยิ่งท่านดีต่อข้า ข้าก็ยิ่งกลัว”
ลั่วปิงเหอพูดพลางชูมือขวาขึ้นเล็กน้อย ชั่วพริบตานั้น กระบี่ซินหมัวก็แผ่ไอสีม่วงออกมาตลบอบอวล
จู๋จือหลางกระอักเลือดสีดำออกมาคำหนึ่ง ฝ่ามือเมื่อครู่ เพียงแค่ให้เขาหุบปากไปชั่วขณะเท่านั้น เขากล่าวเสียงเรียบเรื่อยว่า “น่าสงสารแท้”
“น่าสงสารหรือ” ลั่วปิงเหอกล่าวงึมงำ “ไม่ผิด ข้าน่าสงสาร ถือว่าข้าน่าสงสารก็ได้ ซือจุนท่านจะรั้งอยู่ข้างกายข้าสักครั้งได้หรือไม่”
หยาดน้ำตากลิ้งลงมาตามร่องแก้มของเขา
ลั่วปิงเหอนัยน์ตาแดงฉาน เค้นฟันกล่าว “ซือจุนท่านเอาแต่ทอดทิ้งข้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ละครั้งไม่ว่าใคร ไม่ว่าอะไร ก็สามารถเป็นเหตุผลให้ท่านทอดทิ้งข้าทั้งนั้น ถึงขนาดบางครั้งไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยซ้ำ! ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้!”
ทันใดนั้น ซั่งชิงหัวก็ล้มคะมำลงไปกับพื้นดังป้าบ เสิ่นชิงชิวเองก็เกราะผนังหินเอาไว้ตามสัญชาตญาณ
พื้นเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เทือกเขาฝังกระดูกลดต่ำลงไปอย่างรวดเร็วแล้ว!
เยวี่ยชิงหยวนกล่าวเสียงเรียบ “ศิษย์น้อง เขาเสียสติไปแล้ว เจ้าจะจัดการอย่างไร”
ลั่วปิงเหอหัวเราะหยันทีหนึ่ง เดินถอยหลังไปสองก้าว กำด้ามกระบี่ซินหมัวแน่น
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมากกว่าเมื่อครู่ เมื่อมองออกไปนอกถ้ำ จะเห็นภูเขาสูงๆต่ำๆนับไม่ถ้วนท่ามกลางปุยเมฆลอยลิ่ว
เสิ่นชิงชิวกำลังจะเอาซิวหย่าออกมา ทันใดนั้นแสงสีขาวเจิดจ้าบาดตาก็วาบขึ้นข้างกาย เยวี่ยชิงหยวนนำหน้าไปก้าวหนึ่ง ชักกระบี่ออกจากฝักก่อนแล้ว เสียงกระบี่ดังเฟี้ยวแหวกฝ่าละอองหิมะรวมทั้งไอสีม่วงคล้ำที่ลอยฟุ้งไปทั่ว
เสวียนซู่ออกจากฝักเต็มตัว!
โม่เป่ยจวินเห็นเยวี่ยชิงหยวนชี้ปลายกระบี่ใส่ลั่วปิงเหอก็เสือกกายเข้าไปต้านรับ พลังทิพย์ของเสวียนซู่ระเบิดอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันเข้าไปปะทะก็ดีดเขากระเด็นออกไปทันที
โม่เป่ยจวินไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีสักวันที่ตนเองจะถูกคนฟาดกระเด็นเช่นนี้ ตอนที่ตกลงไปจากเทือกเขาฝังกระดูกยังมีสีหน้าตกตะลึงค้างอยู่เลย
ซั่งชิงหัวขวัญกระเจิง คว้ากระบี่ได้เล่มหนึ่งก็เตรียมจะพุ่งออกไป เสิ่นชิงชิวรีบคว้าเขาไว้ทัน “จะทำบ้าอะไรน่ะ!”
ซั่งชิงหัวร้องตะโกน “เชี่ยแล้ว เขาบินไม่ได้!” ว่าแล้วก็กระโดดลงไปเดี๋ยวนั้น
เสิ่นชิงชิวอาศัยรอยแตกมองฝ่าหิมะที่ปลิวคว้างและลมกระโชกแรงลงไปข้างล่าง ก็เห็นว่ายังห่างจากผิวน้ำแข็งอยู่ประมาณร้อยจั้ง
ซั่งชิงหัวที่ขี่กระบี่คว้าตัวโม่เป่ยจวินเอาไว้ได้ทันการ หลังจากมั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้ตกลงไปตายแล้ว เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันได้ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกด้วยซ้ำก็รีบหันหน้ากลับมา ด้วยลั่วปิงเหอกำลังเผชิญหน้ากับเยวี่ยชิงหยวนอยู่
จริงอยู่ว่าพลังของลั่วปิงเหอนั้นน่ากลัว แต่เสิ่นชิงชิวคาดไม่ถึงว่า เมื่อเสวียนซู่ออกจากฝักเต็มตัว อานุภาพกลับกร้างแกร่งขนาดสามารถต่อกรกับลั่วปิงเหอที่กำลังอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่งได้อย่างคู่คี่สูสีเลยทีเดียว เสิ่นชิงชิวรู้สึกได้เลยว่าแรงสั่นสะเทือนจากการปะทะกันของพลังทิพย์และปราณมารทำเอาหูอื้อ ในอกเต็มไปด้วยเสียงเลื่อนลั่นปานกลองรัว เขาเห็นว่าถ้ำนี้ใกล้จะพังทลายลงมาอยู่รอมร่อ จึงรีบเกาะยึดผนังหินแล้วคว้ากระบี่ซิมหมัวที่ปักคาอยู่ด้วยมือเปล่า ออกแรงกระชากมันลงมาทันที!
แต่ถึงแม้ดึงออกมาแล้ว ดูเหมือนว่าเทือกเขาฝังกระดูกยังคงร่วงลงไปด้วยความเร็วเท่าเดิม
ลั่วปิงเหอเห็นดังนั้นจึงทำท่าจะเข้ามาแย่งกระบี่
เยวี่ยชิงหยวนไหนเลยจะให้โอกาสเขา ปลายกระบี่เสวียนซู่วาดเส้นเป็นลำแสงเจิดจ้าในอากาศชนิดเห็นได้ด้วยตาเปล่า สร้างข่ายมนตร์ขนาดยักษ์ขึ้น จากนั้น มนตราอันซับซ้อนนี้พลันก่อตัวเป็นกรงไร้รูปกักลั่วปิงเหอเอาไว้ข้างใน
เยวี่ยชิงหยวนเห็นเสิ่นชิงชิวได้ซินหมัวมาแล้ว ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ไป!”
สภาพเช่นนี้จะไปไหนได้ เสิ่นชิงชิวรีบส่ายหน้า ขณะกำลังจะโยนกระบี่ซินหมัวไปให้อีกฝ่ายก็รู้สึกขาอ่อนยวบ
มิใช่ว่าเขาหมดแรง แต่เป็นเพราะพื้นดินอ่อนยวบนั่นเอง ถ้ำแห่งนี้ในที่สุดก็พังลงมาแล้ว!
………………………………………………
ชั้นที่สองของเทือกเขาฝังกระดูก
เสิ่นชิงชิวขุดเยวี่ยชิงหยวนออกมาจากซากกองหินที่ถมทับอยู่ “เจ้าสำนัก? ศิษย์พี่? ศิษย์พี่เจ้าสำนัก!”
สีหน้าเยวี่ยชิงหยวนค่อนข้างซีด มุมปากมีเลือดไหล ลูกกระเดือกของเขาขยับเบาๆเหมือนพยายามจะกลืนเลือดลงไป
เขาลืมตามองเสิ่นชิงชิว “…คนอื่นเล่า”
โครงสร้างภายในเทือกเขาฝังกระดูกคล้ายรังผึ้งที่ไม่เป็รระเบียบ มีถ้ำโพรงอยู่ทั่ว
เสิ่นชิงชิวกวาดตามองไปรอบๆ “ไม่เห็นพวกอู๋เฉินต้าซือกับเทียนหลางจวินเลย อาจจะถูกฝังอยู่ในนี้ หรืออาจจะเข้าไปอยู่ในโพรงอื่นๆ จังหวะที่หินถล่มก็เป็นได้” เขาหันกลับมา “ศิษย์พี่ ท่านได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่”
เยวี่ยชิงหยวนไม่ตอบ ถามว่า “กระบี่ซินหมัวยังอยู่ในมือเจ้าหรือไม่”
เสิ่นชิงชิวเอากระบี่ให้เขาดู “อยู่ขอรับ แต่เทือกเขาฝังกระดูกยังคงตกลงไปไม่หยุด การรวมภพน่าจะยังไม่สิ้นสุด ศิษย์พี่ ท่านเอากระบี่นี่ลงไปเถอะ แล้วทำลายมันเสีย”
ด้วยการช่วยพยุงของเสิ่นชิงชิว เยวี่ยชิงหยวนค่อยลุกยืนขึ้น “…เจ้าเล่า”
ย่อมต้องกลับไปตามหาลั่วปิงเหอน่ะซิ
เสิ่นชิงชิวเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม “ศิษย์พี่ อาการบาดเจ็บของท่านไม่ธรรมดา ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เยวี่ยชิงหยวนกลับพูดไปอีกทาง “ไม่เคยคิดมาก่อนเลย แต่ข้า…สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่คนหุนหันพลันแล่นคนหนึ่ง”
เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าเขาพูดจาแปลกๆ แต่ไม่ได้เก็บมาคิดให้ละเอียด พยุงเขาเดินต่อ “ศิษย์พี่ยังเดินไหวหรือไม่ ท่านลงไปก่อน ทำลายกระบี่แล้วตามศิษย์น้องมู่มารักษา ส่วนลั่วปิงเหอยกให้ข้าจัดการ”
เยวี่ยชิงหยวนได้เขาช่วยพยุงตัวจึงพอจะยืนไหว เลือดหยดลงพื้นไหลเป็นทาง เสิ่นชิงชิวนึกว่าเขาไม่มีปัญหาอะไรแล้วเลยปล่อยมือ ใครเลยจะไปรู้ ทันทีที่ปล่อยมือ ยังยืนได้ไม่ทันไรเยวี่ยชิงหยวนก็ทรุดลงไปกองกับพื้นทันที
เสิ่นชิงชิวตกใจจนหน้าซีด รีบพยุงเขากลับขึ้นมาใหม่ “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก? ศิษย์พี่เจ้าสำนัก?” จับชีพจรเพียงชั่วครู่เดียว กระทั่งคนที่มีความรู้ด้านการแพทย์ตื้นเขินอย่างเขา ก็บอกได้ว่าอาการของเยวี่ยชิงหยวนในเวลานี้แย่เอามากๆ!
เยวี่ยชิงหยวนสีหน้าเลื่อนลอย เหมือนไม่รับรู้คำพูดของเสิ่นชิงชิวก่อนกล่าวเสียงต่ำ “แต่ว่า…ครั้งนั้นที่เมืองจินหลันกับตอนลั่วปิงเหอมาปิดล้อมสำนัก ข้าก็หนักแน่นคำนึงถึงส่วนรวมอยู่นะ แต่ทุกครั้งที่หวนนึกถึงขึ้นมา กลับคิดว่า…มุทะลุไปเลยก็จะดีหรอก”
เห็นเขาง่วงงุน เสิ่นชิงชิวก็อยากจะจิ้มเข้าไปที่จุดเหรินจง* ของเยวียวชิวหยวนให้เขาตื่น แต่ไม่กล้าล่วงเกิน จึงได้แต่ตะโกนดังๆกรอกหู เพื่อไม่ให้เขาหมดสติไป “ศิษย์พี่ ตื่น! ท่านทำถูกต้องแล้ว”
(จุดเหรินจง คือ จุดที่อยู่ตรงกลางระหว่างริมฝีปากบนกับจมูก แพทย์แผนจีนจะกดจุดนี้เวลามีคนเป็นลมหมดสติ)
เยวี่ยชิงหยวนหลับตา ส่ายหน้า เขาหอบหายใจ แล้วไอออกมาอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง ทำเอาเสิ่นชิงชิวตกใจลนลานอีกครั้ง
ยิ่งไอก็ยิ่งมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เขาพยายามกล่าว “ช่วยข้า…เอาเสวียนซู่กลับไป”
เสิ่นชิงชิวรีบหยิบกระบี่เสวียนซู่ที่ตกอยู่ด้านข้างขึ้นมา แล้วเอากระบี่ขาวพร่างบาดนัยน์ตาสอดคืนลงฝักก่อนจะส่งให้เขา สีหน้าของเยวี่ยชิงหยวนจึงค่อยดูดีขึ้นเล็กน้อย อาการลมหายใจติดขัดก็ดีขึ้น
เขาจ้องมองมือของเสิ่นชิงชิวที่หยิบเสวียนซู่ขึ้นมา แต่ไม่รับไว้ กลับกล่าวว่า “หากข้าต้องมาตายเสียที่นี่ เจ้า…ก็ช่วยข้าเอาเสวียนซู่กลับที่ไปยอดวั่นเจี้ยนเฟิงด้วย”
เสิ่นชิงชิวตกตะลึง “ท่านว่าอะไร”
ตายหรือ เยวี่ยชิงหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ถึงขั้นอาจเสียชีวิตได้เลยหรือ
เยวี่ยชิงหยวน “เสวียนซู่มีอานุภาพมหาศาล ข้ากลับไม่เคยชักมันออกจากฝักมารับมือศัตรู เจ้าคงเคยนึกสงสัยว่าเป็นเพราะอะไรกระมัง”
เสิ่นชิงชิวพยักหน้า ไม่เพียงแต่เขา คนส่วนใหญ่ก็เคยสงสัยกันทั้งนั้น
เยวี่ยชิงหยวน “เสวียนซู่คือชีวิตของข้า แต่เจ้ารู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร”
อะไรก็ไม่รู้ทั้งนั้นแหละ แต่ที่แน่ๆคือ เสิ่นชิงชิวรู้ว่ามันไม่ใช่การเปรียบเปรยว่ารักกระบี่ยิ่งชีพแน่นอน
เขายังรู้อีกว่า ที่เยวี่ยชิงหยวนกำลังจะกล่าวต่อจากนี้ จะต้องเป็นความลับที่ไม่เคยบอกคนอื่นมาก่อน
จริงด้วย คำตอบของเยวี่ยชิงหยวนยืนยันในสิ่งที่เขาคิด “ทุกครั้งที่ข้าชักเสวียนซู่ออกจากฝัก ที่ใช้ไป คือ อายุขัยของข้า”
พอได้ฟังประโยคนี้ เสิ่นชิงชิวพลันรู้สึกขึ้นมาเดี๋ยวนั้นว่าเสวียนซู่ที่อยู่ในมือมันหนักขึ้นมาสักพันชั่ง
มิน่า เสวียนซู่ถึงไม่เคยออกจากฝัก
มิน่า หากไม่ใช่เพราะสุดวิสัย ก็จะไม่มีทางชักออกจากฝักเด็ดขาด
เสิ่นชิงชิวกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ศิษย์พี่ นี่คือ…ท่านเคยถูกธาตุไฟเข้าแทรกหรือ”
ใช้อายุขัยมาเร่งเร้าพลังทิพย์ ให้ชีวิตตนเองกับกระบี่ของตัวเองผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะฝึกวิชาผิดพลาดจนถูกธาตุไฟเข้าแทรกแล้วละก็ เยวี่ยชิงหยวนจะฝึกวิชามารชนิดนี้ไปทำไม?!
เยวี่ยชิงหยวนกล่าวต่อว่า “ข้ากราบเข้าเป็นศิษย์ในสังกัดฉยงติ่งเฟิงตอนอายุ 15 ปี ในใจมีเรื่องกังวล รีบร้อนแสวงหาความสำเร็จ แทนที่จะบรรลุถึงระดับคนกับกระบี่เป็นหนึ่งเดียวกัน กลับตกต่ำจนต้องมาลงเอยเช่นนี้แทน ที่ได้มากลับเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่แสวงหา มีแต่ความคับแค้นและความสำนักเสียใจไปชั่วชีวิต”
พอเขาพูด สีเลือดบนหน้าที่แดงก่ำขึ้นมาเพราะการไอเมื่อครู่ก็พลันเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว
เสิ่นชิงชิวรีบตัดบทเขา “ไม่ต้องพูดแล้ว นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ ข้าจะพาท่านลงไปตามหาศิษย์น้องมู่ก่อน”
คนทั้งสองฝืนเดินไปด้วยความลำบากได้สองสามก้าว จู่ๆ เยวี่ยชิงหยวนก็กล่าวเสียงแผ่วว่า “…ขอโทษ”
เสิ่นชิงชิวไม่เข้าใจว่าเขาจะกล่าวขอโทษตนทำไม เยวี่ยชิงหยวนไม่มีอะไรที่จะต้องมาขอโทษตนเลย กลับเป็นตนเสียอีก ไม่เพียงขี้เกียจไม่ทำอะไร ยังมักจะทำเรื่องเดือดร้อนให้เยวี่ยชิงหยวนต้องปวดหัวและตามแก้ปัญหาไม่หมดไม่สิ้น
แต่ที่เยวี่ยชิงหยวนกล่าวต่อมา กลับทำเอาเสิ่นชิงชิวสะท้านไปทั้งตัว
เสียงของเยวี่ยชิงหยวนสั่นระริก “ขอโทษ…ขอโทษด้วยจริงๆ เพื่อจะได้กลับไปเร็วขึ้น เพื่อจะได้ไปรับเจ้ามาเร็วๆ…แต่กลับทำจนเสียเรื่อง เจ้าพูดไม่ผิดจริงๆ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็เป็นคนหุนหันพลันแล่นอยู่ดี…
จากนั้น ซือจุนก็ทำลายชีพจรทิพย์ทั่วร่างข้า แล้วกักข้าไว้ในถ้ำหลิงซีกว่าหนึ่งปี ทุกอย่างเสียแผน ต้องเริ่มต้นใหม่หมด
ข้าร้อง ข้าตะโกน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ตลอดทั้งปี ไม่ว่าข้าจะคลุ้มคลั่งอาละวาดอยู่ในถ้ำหลิงซีอย่างไร ก็ไม่มีใครยอมตั้งใจฟังสิ่งที่ข้าขอร้อง ไม่มีใครยอมปล่อยข้าออกมา…ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่พอข้ากลับไปอีกครั้ง สกุลชิวก็กระจัดกระจายสูญหายไปหลายวันแล้ว…”
เสิ่นชิงชิวพลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกกระจายในส่วนลึกของสมอง
ชั่วพริบตานั้น ความเอาใจใส่อย่างจริงใจตลอดเวลาที่ผ่านมาของเยวี่ยชิงหยวน การปกป้องอย่างเงียบๆ ทุกภาพ ทุกรายละเอียด ก็ประกอบเข้าด้วยกันในสมองราวกับโคมม้าหมุน ชัดเจนอย่างสุดจะเปรียบ
มิน่า ไม่ว่าเสิ่นชิงชิวจะรนหาที่ตายอย่างไร เจ้าสำนักก็ไม่เคยเอาเรื่องเขา มีแต่จะให้อภัยอย่างไร้ขีดจำกัด อดทนอดกลั้นอย่างไร้ขีดจำกัด
มิน่า คนที่เสิ่นจิ่วรอให้กลับมาช่วยถึงได้ไม่มา
เยวี่ยชิงหยวน เสิ่นชิวชิว เยวี่ยชี เสิ่นจิ่ว
ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง!
เยวี่ยชิงหยวน “ข้า…มิใช่จงใจไม่ยอมกลับไป เพียงแต่ ความจริงก็คือโลกมนุษย์โหดร้าย จึงต้องคลาดกัน…”
ยิ่งพูดแต่ละประโยค เลือดก็ยิ่งไหลทะลัก เสิ่นชิงชิวประคองเขาขึ้น ออกเดินไปได้ก้าวหนึ่งก็ต้องพักสองก้าว เขาหยุดพักหายใจ กล่าวว่า “…ไม่ต้องพูดแล้ว”
เรื่องราวหลังจากนั้น เขารู้หมดแล้ว
เยวี่ยชิงหยวนกลับยืนกราน “คราวนี้ เจ้าให้ข้าพูดให้จบเถอะ ก็เหมือนอย่างที่เจ้าชอบพูดนั่นแหละ คำว่า ‘ขอโทษ’ ก็เป็นแค่คำพูดลอยๆ เท่านั้น ความจริงหาได้มีประโยชน์ไม่ ข้าเองก็ไม่เคยได้อธิบาย วันนี้จะต้องพูดให้เจ้าฟังให้ได้ มิใช่เพื่อขอให้เจ้าเห็นใจ มิใช่เพื่อเรียกร้องความสงสาร หากแต่วันนี้ไม่พูดออกไป เกรงว่าจะสายไปแล้วจริงๆ”
เสิ่นชิงชิวรู้สึกขมขื่นในใจ ขอบตาร้อนผ่าว
แต่มันสายไปแล้ว สายไปแล้วจริงๆ
เสิ่นจิ่วไม่อยู่แล้ว
บางทีอาจจะตายแล้ว บางทีอาจจะเป็นเหมือนเสิ่นหยวน ที่วิญญาณลอยละล่องไปอยู่โลกอื่นสักแห่งที่ไม่คุ้นเคย
แต่ไม่ว่าจะกรณีไหน เสิ่นจิ่วก็ไม่มีวันจะได้ยินคำพูดของเยวี่ยชิงหยวนอีกแล้ว
เสียงประกาศข้อความของระบบดังขึ้นรัวๆ
[เรื่องราวของตัวละครซ่อนเร้น 1 จู๋จือหลาง กอบกู้สำเร็จ 100%]
[เรื่องราวของตัวละครซ่อนเร้น 2 เทียนหลางจวิน กอบกู้สำเร็จ 100%]
[เรื่องราวของตัวละครซ่อนเร้น 3 ซูซีเหยียน กอบกู้สำเร็จ 100%]
[โปรเจคกลบหลุม 1 เสิ่นชิงชิว กอบกู้สำเร็จ 100%]
[โปรเจคกลบหลุม 2 เยวี่ยชิงหยวน กอบกู้สำเร็จ 100%]
[การสร้างบุคลิกลักษณะให้ตัวละครบรรลุเป้าหมายพื้นฐานที่ตั้งไว้ ระบบตรวจไม่พบช่องโหว่อันเด่นชัดในความเป็นเหตุเป็นผลของเรื่องแต่ละรายการจะได้รับค่า B เพิ่มรายการละ 300 คะแนน รวมทั้งหมดเป็น 1,500 คะแนน ขอแสดงความยินดีด้วย ที่หลุดพ้นขั้น ‘มีประเด็นให้แขวะค่อนข้างมาก’ ขอมอบตราเกียรติยศ ‘อ่านได้ถ้าไม่มีอะไรอื่นให้อ่าน’ ให้เป็นรางวัลสืบไป]
[ค่าความฝีนรีเซ็ตเป็น 0 ในสถานการณ์เช่นนี้ สามารถใช้ค่า B มาทดแทนเงื่อนไขที่จะทกให้ไอเทมสำคัญดรอป ท่านประสงค์จะใช้หรือไม่]
น้ำเสียงในการประกาศข้อความของระบบนั้นเต็มไปด้วยความรื่นเริงยินดี แต่เสิ่นชิงชิวกลับเศร้าซึมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาเปรย “มีประโยชน์อะไร”
ระบบนี่ตกลงแล้วมันมีเพื่ออะไร การคงอยู่ของมันมีประโยชน์อะไรกันแน่
เพื่อให้เขาได้รู้ว่าคนเหล่านี้โชคร้ายได้ขนาดไหน? เพื่อให้เขาได้ประจักษ์ถึงความรัดทดขมขื่นทุกชนิดในโลกใบนี้ด้วยตาตัวเอง?
หรือเพื่อให้เขาบีบคั้นลั่วปิงเหอจนเสียสติ?
ใครๆก็บอกว่าลั่วปิงเหอเสียสติไปแล้ว กระทั่งเจ้าตัวก็ยอมรับทั้งรอยยิ้มว่าตัวเองเสียสติไปแล้วเลย
ในนิยายดั้งเดิมที่อุตส่าห์ลากยามมาได้หลายล้านตัวอักษรนั้น กระบี่ซินหมัวถูกลั่วปิงเหอสะกดข่มเอาไว้ได้ในที่สุด แต่ ณ ที่นี้ มันกลับเป็นฝ่ายอยู่เหนือกว่า และกัดกร่อนสติรู้คิดของลั่วปิงเหอไป
นี่ไม่ได้มีต้นเหตุมาจากแค่เรื่องสองเรื่อง หากแต่สะสมพอกพูนมาทีละเล็กละน้อย ในที่สุดก็ระเบิดออกมาจนหมดสิ้น ก่อนหน้านี้ก็มีวี่แววปรากฏให้เห็นอยู่มากมาย เพียงแต่เสิ่นชิงชิวไม่เคยสังเกตเอง
ควรพูดว่า เขาไม่เคยรู้เลยต่างหากว่าในแก่นกระดูกของลั่วปิงเหอกลับขาดความรู้สึกมั่นคงทางใจเพียงนี้ ถึงขนาดมองเห็นตัวเองต่ำต้อยด้วยซ้ำ
แรกเริ่มเขาเคยมองว่าลั่วปิงเหอช่างโหดร้ายอำมหิตสุดโต่งนัก ต่อมาก็มองว่าลั่วปิงเหอแข็งแกร่งเจิดจ้าเหลือเกิน พอมองย้อนกลับไป สัญญาณที่บอกให้รู้ว่ากระบี่ซินหมัวเริ่มกัดกร่อนสติรู้คิดของลั่วปิงเหอเริ่มปรากฎให้เห็นครั้งแรกสุดตั้งแต่ที่วัดเจาหัวแล้ว
ลั่วปิงเหอที่เพิ่งจะฟังเรื่องราวชาติกำเนิดของตัวเอง ได้รับความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวง ในเวลาที่กำลังหวาดหวั่นอย่างที่สุด เขายื่นมือออกมาหาเสิ่นชิงชิว ขอให้เสิ่นชิงชิวไปกับเขา
แต่ตนไม่ยอมจับมือลั่วปิงเหอ กลับบอกให้ลั่วปิงเหอล่วงหน้าไปคนเดียวก่อน สติรู้คิดของลั่วปิงเหอในเวลานั้นเริ่มจะไม่มั่นคงแล้ว ที่เขาต้องการมิใช่จากไปอย่างปลอดภัย แต่เป็นการได้อยู่กับเสิ่นชิงชิว ต่อให้ต้องถูกกักตัวไว้ที่วัดเจาหัวจนหนีไม่รอด ต่อให้ต้องถูกทุกคนในที่นั้นรุมโจมตี แต่อย่างไรเสียก็ยังดีกว่าให้เขาจากไปคนเดียว!
สำหรับลั่วปิงเหอที่อยู่ในสภาพจิตใจเช่นนั้น มันก็เท่ากับ ‘ทอดทิ้ง’ นั่นเอง
เหมือนเอาเหตุการณ์ที่ซูซีเหยียนดื่มยาพิษถ้วยนั้นมาฉายซ้ำอีกครั้ง
เช่นเดียวกับที่ลั่วปิงเหอบอกเองว่า เขาไม่ได้บังคับให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะลั่วปิงเหอปักใจไปแล้วว่าเขารู้คำตอบ นั่นคือ สักวันหนึ่งเสิ่นชิงชิวก็จะทอดทิ้งเขาอยู่ดี
ในสมองเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความกระวนกระวายต่อเรื่องที่ยังไม่เกิดจนเกือบจะเข้าขั้นโรคหวาดระแวง แล้วแบบนี้จะไม่เสียสติจนหมดสิ้นได้อย่างไรไหว
จังหวะการก้าวเดินของเยวี่ยชิงหยวนแผ่วลงไปทีละน้อย ขนาดจะยืนเฉยๆยังแทบทรงตัวไม่อยู่
เสิ่นชิงชิวไม่เคยเห็นเจ้าสำนักผู้นี้ในสภาพอ่อนแอถึงขั้นนี้มาก่อน
เยวี่ยชิงหยวนสุขุมหนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยพละกำลังมาตลอด ถึงจะไม่พูดมาก ไม่ก้าวร้าว อ่อนโยนใจดีทว่ากลับพึ่งพาได้เป็นที่สุดโดยไม่เสียความน่าเกรงขามแม้แต่น้อย
มาตอนนี้ เขาไม่เพียงจะเดินเหินก็ยังแสนลำบาก พูดจาก็ผิดไปจากปกติ น่าจะเป็นเพราะกำลังรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะฝืนไม่ไหวแล้วก็เป็นได้
เสิ่นชิงชิวแทบจะต้องลากตัวเขาให้เดินไปข้างหน้า พลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านต้องแข็งใจฝืนเอาไว้นะ อย่าให้หมดสติเป็นอันขาด เดี๋ยวก็จะไม่เป็นไรแล้ว”
เยวี่ยชิงหยวนฝืนยิ้ม “หลายปีมานี้ เจ้าไม่เคยหยิบเรื่องในอดีตขึ้นมาพูดเลย เอาแต่เรียกข้าว่าศิษย์พี่เจ้าสำนักมาตลอด ตั้งใจจะไม่เรียกซีเกออีกแล้วใช่หรือไม่”
มือที่กุมกระบี่ของเสิ่นชิงชิวเกร็งจนเห็นข้อกระดูกปูดโปน เยวี่ยชิงหยวนอยากให้เสิ่นจิ่วเรียกว่าซีเกอ แต่ว่า เขาไม่ใช่เสิ่นจิ่ว!
เขาครุ่นคิดถึงความเย็นชาและความเกลียดชังของเสิ่นชิวชิวตัวจริงแล้ว จึงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยว่า “ไม่เรียก”
ไม่อาจให้ความหวังเด็ดขาด ในละครโทรทัศน์หรือนิยาย เมื่อถึงฉากที่ต้องกล่าวความปรารถนาสุดท้ายก่อนตาย พอตัวละครพวกนี้สั่งเสียเสร็จเท่ากับว่าได้บรรลุความปรารถนา จากนั้นก็จะตาเหลือกขาชี้ทันที
เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เมื่อครู่ท่านพูดอะไร ข้าไม่ได้ยินทั้งนั้น ฝืนทนไว้ ลงไป!”
เยวี่ยชิงหยวนหลับตา ถอนใจ “เสี่ยวจิ่ว…”
ไม่ต้องเรียกแล้ว
เขาไม่กล้าไปคิดเลย ในนิยายดั้งเดิม ลั่วปิงเหอหั่นขาทั้งสองข้างของ ‘เสิ่นชิงชิว’ แล้วใส่ในกล่องแกะสลักฝีมือปราณีตส่งไปถึงชางฉยงซาน สภาพจิตใจของเยวี่ยชิงหยวนจะเป็นอย่างไร รู้ทั้งรู้ว่ามีแต่ไม่ ไม่มีกลับ ก็ยังคงก้าวเข้าสู่กับดักของลั่วปิงเหออย่างไม่ลังเล จนต้องตายด้วยหมื่นศรเสียบทะลุร่าง
หนี้น้ำใจเพียงครั้งเดียวในชีวิต กลับต้องใช้สิ่งต่างๆมากมายปานนี้มาตอบแทน
เยวี่ยชิงหยวนไม่มีแม้แต่โอกาสจะทันได้บอก ‘เสิ่นชิงชิว’ ผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความแค้นและความหวาดกลัว และเป็นผู้ที่ช่วยลั่วปิงเหอล่อลวงเขาให้มาติดกับด้วยซ้ำว่าเหตุใดตอนนั้นถึงไม่ได้กลับไปช่วย
ทำไมถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้สักนิด
ก็เหมือนตนกับลั่วปิงเหอนั่นแหละ พวกตนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ทำไมถึงไม่พูดออกมาให้เร็วกว่านี้
หากตนไม่มัวแต่คาดเดาเอาเองและเหมาเอาว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ตั้งแต่แรก ลั่วปิงเหอก็อาจจะไม่เปลี่ยนไปทางสายดาร์ก และยังอยู่บนชิงจิ้งเฟิงเป็นศิษย์ที่ว่าง่ายขี้อายไปตลอดชีวิต
ถึงจะต้องถอยหลังไปสักหมื่นก้าว ตอนที่ต้องผลักลั่วปิงเหอลงไปในห้วงอเวจี เขาเพียงเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายก็ยังได้ ดีไม่ดีอาจไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดอะไรด้วยซ้ำ มาถึงตอนนี้ เสิ่นชิงชิวจึงค่อยเข้าใจ หากอยากให้ลั่วปิงเหอลงไป เป็นไปได้ว่า แค่บอกคำเดียว ลั่วปิงเหอก็จะกระโดดลงไปเองอย่างเชื่อฟัง
เสิ่นชิงชิวไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ชนิดนี้มาก่อนเลย ไม่เคยเชื่อว่าจะมีคนที่โง่งมได้ถึงขนาดนั้น และลั่วปิงเหอจะว่าง่ายได้ถึงขนาดนั้น
แต่ความจริงแล้ว เขาโง่งมและว่าง่าย ‘ขนาดนั้น’ จริงๆ
พวกเขามัวแต่เดินวกวนอ้อมไปอ้อมมา เดินอ้อมเสียไกลขนาดนี้ พอเหลียวมองไปรอบกาย เลยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ตรงไหนแล้ว ได้แต่สำนึกเสียใจ และทอดถอนใจว่า “หากรู้แต่แรก…”
แต่ในโลกใบนี้ คำว่า ‘หากรู้แต่แรก’ ไม่เคยมีอยู่จริงๆเลย
พอเลี้ยวออกมาจากถ้ำ จู่ๆสองร่างที่ขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่นก็ปรากฏขึ้น
พอเห็นศีรษะโล้นเลี่ยนเป็นมันเกลี้ยง เสิ่นชิงชิวก็โพล่งออกไปทันทีว่า “อู๋เฉินต้าซือ อู๋วั่งต้าซือ”
หลวงจีนร่างเล็กเตี้ยที่กำลังพยุงหลวงจีนร่างสูงก็คืออู๋เฉินต้าซือนั่นเอง ขาเทียมทำจากไม้ของเขาหายไปข้างหนึ่ง ต้องเดินด้วยขาข้างเดียวอย่างยากลำบาก ทั้งไม่มีมือเหลือพอจะยกขึ้นพนม แต่เพราะไม่อยากเสียมารยาท จึงสุดพุทโธเพิ่มอีกสองสามคำ “อมิตาพุทธ เจ้ายอดเขาเสิ่น ในที่สุดก็เจอท่านเสียที เจ้าสำนักเยวี่ยเป็นอะไรไปหรือ”
หลังจากเยวี่ยชิงหยวนหลับตา ก็อาศัยพิงร่างเสิ่นชิงชิวอย่างสะลืมสะลือ เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก…ถูกหินกระแทกเข้าที่ศีรษะน่ะ แล้วอู๋วั่งต้าซือเป็นอย่างไรบ้าง”
อู๋เฉินกล่าวว่า “ถูกปราณมารของเทียนหลางจวินผู้นั้นทำให้บาดเจ็บ หมดสติไปชั่วคราว พอถ้ำถล่มลงมา ก็ไม่เห็นร่องรอยคนของเผ่ามารสองสามท่านนั้นแล้ว”
เสิ่นชิงชิวเอาซิวหย่าออกมาส่งให้เขา “ต้าซือ รบกวนท่านช่วยพาศิษย์พี่ของข้าและอู๋วั่งต้าซือออกไปจากเทือกเขาฝังกระดูกก่อนได้หรือไม่”
อู๋เฉินกล่าวถาม “แล้วเจ้ายอดเขาเสิ่นเล่า”
เสิ่นชิงชิวกล่าวสั้นๆ “ศิษย์ของข้า ข้าต้องไปจัดการเอง”
อู๋เฉินต้าซือกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “หากเจ้ายอดเขาเสิ่นเต็มใจที่จะเผชิญหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
เสิ่นชิงชิวตอบ “ละอายแล้ว เพียงหวังว่าจะสามารถยุติเรื่องราวนี้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ขอฝากศิษย์พี่เจ้าสำนักไว้กับท่าน หลังจากลงไปแล้ว วานท่านช่วยพาเขาไปหาศิษย์น้องมู่แห่งเชียนเฉ่าเฟิงโดยเร็วที่สุด ผู้แซ่เสิ่นจะไม่ลืมพระคุณนี้เลย”
อู๋เฉินวางอู๋วั่งลง รับซิวหย่าไว้ คารวะตอบ จู่ๆก็กล่าวว่า “ซินหมัว(จิตมาร) เกิดจากความยึดติด”
เสิ่นชิงชิวตะลึง “ต้าซือจะบอกว่า หากจะกำจัดจิตมาร ต้องตัดขาดจากความยึดติดหรือ”
อู๋เฉินกลับส่ายหน้า “หากตัดขาดได้ เช่นนั้นก็จะไม่ใช่ความยึดติดแล้ว”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” เสิ่นชิงชิวคารวะตอบ หมุนกายออกไป
ใครใช้ให้เขาเป็นความยึดติดของลั่วปิงเหอเล่า
ภายใจของเทือกเขาฝังกระดูกถล่มพังลงมาจนเละเทะไปหมด เดิมทีมีถ้ำโพรงนับร้อยนับพันสามารถเดินถึงทะลุกันได้หมด แต่ตอนนี้พังถล่มไปเกือบครึ่ง ทุกหนทุกแห่งจึงถูกหินที่ร่วงลงมาอุดขวางไว้
เสิ่นชิงชิวจำแนกหนทางอย่างลำบาก
แต่แล้ว จู่ๆใต้กองหินขนาดใหญ่กองหนึ่ง ก็มีไอมารแผ่วจางซึมลอดออกมา
เสิ่นชิงชิวตะโกนออกไปทันทีตามสัญชาตญาณ “ลั่วปิงเหอหรือ”
หวังว่าลั่วปิงเหอที่ถูกเยวี่ยชิงหยวนผนึกมนตรากักขังไว้คงไม่ได้ถูกทับอยู่หรอกนะ
เขากระโจนขึ้นไปทันที แล้วยกแผ่นหินที่อยู่บนสุดออก ที่ปรากฏให้เห็นคือเกล็ดสีเขียวซึ่งแตกหักเสียหาย หินน้อยใหญ่ร่วงกราวกลิ้งลงมาจากเกล็ดสีเขียวตามจังหวะการหายใจที่แผ่วระรวย
ร่างงูของจู๋จือหลางขดตัวกลายเป็นป้อมปราการขนาดย่อมๆ หลังหนึ่ง เทียนหลางจวินนอนอยู่ข้างใจ ได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนาชนิดแม้แต่หยดน้ำยังลอดผ่านเข้าไปไม่ได้
ร่างของเทียนหลางจวินผุกร่อนจนเสียหายหนักยิ่งกว่าเดิม ศีรษะพร้อมจะหลุดลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ เขาเบิ่งตามองเสิ่นชิงชิว ยังมีแก่ใจกล่าวทักทายว่า “เจ้ายอดเขาเสิ่น”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “พวกท่านเป็นอย่างไรกันบ้าง”
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ข้าน่ะชินแล้ว แต่จู๋จือหลางอาการไม่ค่อยดีนัก”
ไม่ค่อยจะดีจริงๆนั่นแหละ
ดวงตาคู่โตสีเหลืองทองที่เมื่อก่อนเคยเจิดจ้าราวกับแสงตะเกียง ตอนนี้เริ่มแตกซ่านแต่ยังพอจะมีสติอยู่บ้าง เกล็ดสีเขียวบนร่างงูหลุดร่วงลงมาไม่น้อย บาดแผลเหวอะหวะไปทั้งตัว
เสิ่นชิงชิวรีบช่วยเอาหินที่กดทับหางเขาอยู่ออก จึงพบว่าเจิ้งหยางยังเสียบคาร่างงูอยู่เลย เขายื่นมือออกไปกุมด้ามกระบี่ไว้มั่นแล้วดึงออกมา อาการบาดเจ็บจากการสูญเสียเลือดสำหรับเผ่ามารแล้วคือว่าไม่ค่อยเท่าไหร่นัก แต่พลังทิพย์อันแข็งแกร่งสุดยอดของเจิ้งหยางซึ่งปักตรึงร่างเขาอยู่ต่างหาก ที่เป็นอันตรายรุนแรงกว่า
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “เจ้ายอดเขาเสิ่นไม่ค่อยจะไยดีเขาเท่าไหร่ไม่ใช่หรือ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวตอบ “ใครบอกว่าข้าไม่ไยดีเขา แค่บางครั้งก็สื่อสารกันลำบากเท่านั้นเอง เขา…เป็นอย่างไรแล้ว”
เทียนหลางจวินใช้ส่วนของแขนที่เหลืออยู่ ‘ลูบ’ หัวสามเหลี่ยมของร่างงู ไม่ตอบคำแต่ย้อนถามว่า “สถานการณ์หลังจากนี้ เจ้ายอดเขาเสิ่นตั้งใจจะทำอย่างไร”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ย่อมต้องทำลายกระบี่”
เทียนหลางจวินกล่าวต่อ “กระบี่ซินหมัวกัดกร่อนเข้าไปถึงจิตวิญญาณของลั่วปิงเหอแล้ว และมีชีวิตเดียวกับเขา ตอนนี้หากเจ้าทำลายกระบี่ จะไม่เท่ากับฆ่าเขาหรือ”
เสิ่นชิงชิวตอบอย่างหนักแน่นว่า “เช่นนั้นก็ต้องคิดหาวิธีอื่น”
เทียนหลางจวินกล่าว “หากสายเกินกว่าจะหยุดยั้งการรวมภพไปแล้วเล่า”
เสิ่นชิงชิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตอบอย่างหงุดหงิดว่า “สายไปแล้วก็สายไปแล้วซิ! พยายามให้เต็มที่ก่อน เรื่องอื่นๆถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที”
เทียนหลางจวินหัวเราะออกมาในที่สุด
เขาถอนใจ กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ทำอย่างไรก็เกลียดมนุษย์ไม่ลงจริงๆนะนี่”
“…” เสิ่นชิงชิวไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับประโยคที่ฟังแล้วเหมือนจะพอใจแต่ก็หนักใจนี่ดี
เขาเปลี่ยนเรื่องถาม “ลั่วปิงเหอเล่า ท่านเห็นเขาหรือไม่”
เทียนหลางจวินกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้ายอดเขาเสิ่นรู้เสียอีก เขามิใช่อยู่ข้างหลังเจ้ามาตลอดหรอกหรือ”
เสิ่นชิงชิวขนลุกซู่ หันหลังกลับไปทีละนิด
ลั่วปิงเหอยืนอยู่ข้างหลังจริงๆ และกำลังจ้องมองแผ่นหลังตนอยู่ทีเดียว
ไม่รู้เลยว่าเขาเริ่มมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าตามหลังตนมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ลั่วปิงเหอยิ้มน้อยๆ “ซือจุน เอากระบี่มาให้เข้าเถอะ”
เสิ่นชิงชิวไม่แสดงสีหน้า ชูกระบี่ซินหมัวขึ้น “เจ้าเข้ามาเอาไปซิ”
ลั่วปิงเหอเดินเข้ามาหาเขาก้าวหนึ่งแล้วหยุกะทันหัน มุมปากเขากระตุก ไหล่สั่นสะท้าน
เสิ่นชิงชิวยกกระบี่ขึ้นขวางหน้า ถามว่า “เป็นอะไรไป”
ลั่วปิงเหอกัดฟันกรอด “…ไปให้พ้น”
เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันจะโต้ตอบ ลั่วปิงเหอก็เอามือข้างหนึ่งบีบขมับแล้วฟาดฝ่ามือซัดพลังออกตา ตะโกนว่า “ไปให้พ้น อย่าไปยุ่งกับเขา ไปซะ!!!”
คำพูดนี้มิได้กล่าวกับเสิ่นชิงชิว ฝ่ามือที่ฟาดมาก็ไม่ได้ฟาดใส่เขาหากแต่เฉียดผ่านร่างเสิ่นชิงชิวไปโจมตีผนังถ้ำที่เดิมทีตะปุ่มตะป่ำอยู่แทน
เทียนหลางจวินช่วยอธิบายให้อย่างมีน้ำใจ “ภาพหลอนจากระบี่ซินหมัว”
ต่อให้เทียนหลางจวินไม่บอก เสิ่นชิงชิวก็พอจะเดาออก สภาพของลั่วปิงเหอในเวลานี้ชัดเจนว่าเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น พลังทิพย์ปราณมารในมือปะปนกันให้วุ่น คอยโจมตีใส่ศัตรูที่ไม่มีอยู่จริงข้างกายเขา ตัวภูเขาเกิดการสั่นสะเทือนอีกระลอกหนึ่ง เศษหินร่วงพรู
เสิ่นชิงชามองสองท่านข้างกายที่สามารถเอาคำว่าคนป่วย คนอ่อนแอ คนชราและคนพิการมาบรรยายได้เป็นอย่างดี ก่อนจะตะโกนว่า “ปิงเหอ มานี่!”
ลั่วปิงเหอดูจะสติเลื่อนลอยอยู่บ้าง แต่ก็ยังฟังที่เขาพูด เดินตามมาจริงๆ
คนนำหน้าเดินไปอย่างรวดเร็ว คนตามหลังเดินราวกับวิญญาณลอยละล่อง แต่ฝีเท้าคนตามกลับมิได้ช้ากว่าคนนำเลย จังหวะนั้นเอง ระบบก็มาแจ้งว่า [ค่าความโกรธของลั่วปิงเหออยู่ที่ 300 หลังจากคูณด้วยค่าสัมประสิทธิ์ของกระบี่ซินหมัวซึ่งมีค่าเป็น 10 ตอนนี้ค่าความโกรธจึงกลายเป็น 3,000]
เสิ่นชิงชิวร้องจ๊าก “ไอเทมชิ้นสำคัญเล่า รีบเข้าหน่อยมันจะตายหรือไง! จี้กวนอิมหยกไง! จี้หยก! รีบเอาออกมาให้ไวเลย!”
ระบบ [โปรดทราบ ไอเท็มสำคัญอยู่ระหว่างการอัปโหลด ระหว่างนี้แนะนำให้ท่านใช้เครื่องมืออื่นไปพลางๆก่อน]
เสิ่นชิงชิว “ยังจะอัปโหลดหา…งั้นมีเครื่องมืออะไรก็รีบเอาออกมาดูเลย!”
ระบบ [ขอแจ้งให้ท่านทราบก่อนว่า คราวก่อนที่ท่านได้อัปเกรดตัวสร้างสถานการณ์แบบดีลักซ์ยังไม่ได้เปิดใช้งาน]
เสิ่นชิงชิวเบรกกึก
จะว่าไป จนป่านนี้เขาก็ไม่เคยเข้าใจว่าตกลงแล้วไอ้ ‘ตัวสร้างสถานการณ์’ มันเป็นของบ้าอะไร หลักการของมันคืออะไร แต่จากประสบการณ์ที่ได้ทดลองใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง มันก็เหมือนจะมีประโยชน์อยู่พอสมควร!
เสิ่นชิงชิวกัดฟันกล่าวว่า “…เอามาเลย!”
ให้ป๋าเปิดหูเปิดตาสักทีว่าเวอร์ชั่นดีลักซ์มันจะยิ่งใหญ่อลัการยังไง จัดมา!
ทันทีที่เขากระแทกปุ่ม ‘ยืนยัน’ พื้นดินก็ยุบถล่มลงไปอีกครั้ง
ระหว่างที่ร่วงลงไปพร้อมกับพื้นที่ยุบตัว ในหัวเสิ่นชิงชิวมีอยู่เรื่องเดียวคือ หลอกกันนี่หว่า ตัวสร้างสถานการณ์บ้าอะไร ตัวสร้างปัญหาต่างหาก!
ทว่ากลิ้งขลุกๆมาได้พักหนึ่ง ตอนที่หินบนเหนือศีรษะร่วงกราวลงมา เขากลับไม่โดนเศษหินร่วงใส่แต่อย่างใด
มีใครคนหนึ่งเอาตัวบังเขาไว้
ถึงแม้สภาพจิตใจไม่ปกติ สมองเลอะเลือน แต่ในเวลาเช่นนี้ ลั่วปิงเหอก็ยังเอาตัวมาช่วยบังเขาไว้จากหินถล่ม
เขาตลัดมือข้างหนึ่งกลับไปผลักหินที่หล่นมาใส่หลังโดยไม่รู้สึกลำบากแม้แต่น้อย ก้มหน้าสบตากับเสิ่นชิงชิวอย่างมึนงง แววตาเหมือนจะแจ่มใส่ขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วก็หายวับไป จากนั้นก็กะพริบตาปริบๆ กลับไปเอ๋อดังเดิม
ตราบาปสีแดงเข้มขนหน้าผากแผ่ขยายใหญ่ปกคลุมทั่วดวงหน้าขาวใส และมีทีท่าว่าจะแผ่ลงมาถึงลำคอ กระบี่ซินหมัวที่ตกอยู่ด้านข้างเปล่งแสงวูบวาบราวกับจะขานรับตราบาปบนร่างเขา แผ่ไอสีม่วงคล้ำออกมาฟุ้งตลบ
ลั่วปิงเหอกล่าวงึมงำ “ซือจิน…?”
เสิ่นชิงชิวทำเสียง “อืม” มองดูเลือดที่ไหลย้อยลงมาตามหน้าผากของลั่วปิงเหอ เสียงออกจะสั่นเล็กน้อย
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุน เป็นท่านจริงๆหรือขอรับ”
“…อืม”
ลั่วปิงเหอ “คราวนี้เป็นเรื่องจริงหรือ เมื่อครู่ท่านมิใช่ไปกับพวกเขาแล้วหรอกหรือ ข้าเห็นนะ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ข้าไม่ไป”
ลั่วปิงเหอค่อยๆก้มตัวลงมา ซุกหน้าเข้ากับซอกคอของเขา กล่าวเสียงแผ่ว “ซือจุน ข้าปวด…ข้าปวดหัว”
น้ำเสียงนี้ เหมือนกำลังออดอ้อน ทั้งเหมือนกำลังเจ็บปวดมากจริงๆ
เสิ่นชิงชิวยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปโอบไหล่เขาไว้ ตบเบาๆปลอบประโลมราวกับปลอบเด็กว่า “เด็กดี เดี๋ยวก็ไม่ปวดแล้ว”
ลั่วปิงเหอกล่าวต่อ “ข้าจะเป็นเด็กดี จะได้ไม่ปวด แล้วซือจุนก็จะไม่ปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวอีกใช่หรือไม่”
เสิ่นชิงชิวตอบว่า “เดี๋ยวก็หายปวดแล้ว”
ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงต่ำ “ข้าไม่เชื่อ”
และแล้ว ลั่วปิงเหอก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาเดี๋ยวนั้น แผดเสียงก้อง “ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อหรอก!”
เห็นเขาอาการกำเริบขึ้นมาอีก เสิ่นชิงชิวก็กอดไหล่เขาแน่น เขย่งเท้าแล้วเงยหน้าขึ้น
แต่เกิดปัญหาเรื่องมุมนิดหน่อย ฟันกับฟันกระทบกันพอดี ทำเอาเจ็บแทบตาย
ลั่วปิงเหอเบิดตาค้างด้วยความตกตะลึงที่ถูกผนึกริมฝีปาก กะพริบตาทีหนึ่ง แล้วก็สองที
เสิ่นชิงชิวเองก็เบิกตากว้างอยู่ด้วยเช่นกัน พอต่างคนต่างลืมตาโตใส่กันทั้งคู่ เลยรู้สึกว่ามันพิลึกสุดๆ จ้องตากันอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมหลับตาก่อน เขาจึงได้แต่ยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง เป็นฝ่ายหลับตาเสียเอง ขนตาสั่นระริก กดจุมพิตแรงขึ้นเพื่อทวีความลึกซึ้งให้มากกว่าเดิม
บอกตามตรง ฟันปากกระทบกันแบบนี้มันทำเขาเจ็บจนชาเลยทีเดียว จะเรียกว่าจุมพิตคงไม่ได้ ต้องเรียกว่ากัดแทะน่าจะเหมาะกว่า
แต่เห็นชัดว่า ลั่วปิงเหอกัดได้อย่างมีความสุขมาก เขากัดแทะริมฝีปากเสิ่นชิงชิวไปมาไม่ต่างอะไรกับกินขนม เสียงหอบหายใจยิ่งมายิ่งถี่กระชั้น ทันใดนั้น เขาก็จับตัวเสิ่นชิงชิวกดลงไปนอนกับพื้น
แคว่ก! เสื้อนอกเสิ่นชิงชิวขาดกระจุยเป็นชิ้น
เสื้อผ้าที่เหลือถูกเสิ่นชิงชิวถอดออกเองเสร็จสรรพ ระหว่างที่ถอดๆทึ้งๆกันอยู่นั้น เสื้อผ้าครึ่งท่อนล่างก็ถูกถอดไปคาอยู่ที่หัวเข่า เสื้อผ้าท่อนบนเหลือเพียงเสื้อตัวกลางแบะรุ่ยร่ายมาถึงหัวไหล่
มือของลั่วปิงเหอคลานไล้เข้าไปจากคอเสื้อ ร่างกายเขาร้อนลวกไปทั้งตัว ร้อนยิ่งกว่าคราวก่อนตอนอยู่ในสุสานศักดิ์สิทธิ์หลายขุม ขณะที่มือเคล้นคลึงไปทั่วผิวกายของเสิ่นชิงชิว
ทั้งร้อน ทั้งเจ็บ ทั้งว้าวุ่นใจไปหมด
เสิ่นชิงชิวรู้ดีว่าสิ่งที่จะเกิดตามมาหลังจากนี้คืออะไร เขาตกลงใจไว้แต่แรกแล้ว ยามนี้เขาจึงเป็นฝ่ายพลิกกาย หันหลังให้ลั่วปิงเหออย่างรู้งาน
ถึงแม้เขาไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่เขาเคยได้ยินว่าหากครั้งแรกหันหลังให้จะง่ายกว่า แม้ในใจจะรู้สึกว่าท่านี้ออกจะน่าอายอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่อาจมามัวคิดมากได้อีก
เดิมทีเขาแค่ทำเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลั่วปิงเหอ แต่ใครเลยจะนึกว่าจะถูกพลิกตัวกลับมาอย่างแรง
ลั่วปิงเหอนั่งแทรกอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา จ้องหน้าเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ใบหน้าอยู่ห่างออกไปไม่กี่ชุ่น ทว่าลมหายใจร้อนผ่าวคละเคล้าผสมผสานกันอย่างแยกไม่ออก
ช่องทางเบื้องล่างอันแห้งผากถูกแท่งบางอย่างที่อุ่นจัดมากดจ่อ เส้นผ่าศูนย์กลางค่อนข้างน่าสะพรึง ให้ความรู้สึกเหมือนลูกอะไรกลมๆที่อวบเต็ม แต่เพราะส่วนหัวค่อนข้างชุ่มชื้น ปากถ้ำที่ปิดสนิทจึงสามารถโอบรับเข้าไปได้เล็กน้อย
ลั่วปิงเหอไม่ได้บุกทะลวงเข้าไปทันที ท่ามกลางความสับสนเลอะเลือน กลับยังมุ่งมั่นคิดแต่จะจ้องหน้าเสิ่นชิงชิวอยู่อย่างนั้น จุมพิตไปตามแก้มของเขาตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ตอนแรกเสิ่นประสาทของเสิ่นชิงชิวเครียดเขม็ง แต่เพราะการกระทำโดยไม่รู้ตัวนี้ของลั่วปิงเหอ เขาจึงค่อยๆผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
แต่เขาผ่อนคลายเร็วไปนิด
ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็ได้รู้ซึ้ง อะไรคือความรู้สึกที่เรียกว่า ‘ถูกผ่ากลางเป็นสองซีกทั้งเป็นๆ’
เขาเจ็บแทบบ้า ดีดขากระถดหนีไปข้างหลัว แต่ถูกลั่วปิงเหอหนีบเอวเขาไว้ก่อนจะลากตัวเขากลับมา แผ่นหลังครูดกับเศษหินหยาบๆ จนแสบผิว
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ท่อนล่างทำให้เสิ่นชิงชิวลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
เขารู้สึกเหมือนปลาที่กำลังจะตายเพราะขาดน้ำ จึงดิ้นกระเสือกกระสนอย่างสุดกำลัง แต่ยิ่งดิ้น ลั่วปิงเหอก็ยิ่งขาดสติ สองตาแดงฉาน ลมหายใจสับสน สติพร่าเลือน คิดแต่จะกดเสิ่นชิงชิวเอาไว้ให้อยู่ แล้วแทงพรวดเข้าไปจนสุดทาง
ส่วนหัวที่เหิมเกริมที่สุดบุกเข้าไปแล้ว จากนั้นก็ตามมาด้วยแท่งทรงกระบอกยาวสอดลึกเข้าไปถึงอวัยวะภายใน
เสิ่นชิงชิวใช้มือยันอกของลั่วปิงเหอไว้ เอวกลับถูกเกี่ยวรัดแน่นจนขยับเขยื้อนไม่ได้ สองขายิ่งถูกจับงอพับขึ้นมากดไว้กับอกจนก้นลอยโด่งขึ้นมา ช่องทางภายในที่เดิมก็ไม่อาจสกัดกั้นอะไรได้อยู่แล้วจึงถูกทะลวงไปถึงไหนๆ
เขากลั้นเสียงกรีดร้องเอาไว้ พยายามผ่อนคลายร่างกายท่อนล่างและเปิดรับเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ลั่วปิงเหอสอดใส่เข้าไปให้ลึกที่สุด
หลังจากฝังลึกเข้าไปถึงสุดปลายทางแล้ว เสิ่นชิงชิวก็รู้สึกราวกับถูกตอกบูชายัญเข้ากับหินผาไว้ด้วยตะปูร้อนจัด
ลั่วปิงเหอคล้ายกับจะหาสถานที่อันมั่นคงปลอดภัยเจอแล้วในที่สุด จิกทิ้งผมของเสิ่นชิงชิว แล้วดึงหน้าขึ้นมาจูบ
ความเจ็บปวดที่หนังศีรษะยังพอมองข้ามได้ แต่ท่าที่เปลี่ยนไปทำให้เสิ่นชิงชิวเกิดอุปาทานอันน่ากลัวชนิดหนึ่ง ว่า อวัยวะภายในกระจัดกระจายเคลื่อนหลุดจากที่ของมันหมดแล้ว ในช่องทางด้านหลังที่แสนจะเจ็บปวดมีบางสิ่งบางอย่างดิ้นยุกยิกอยู่ไม่สุข และไม่อาจจะควบคุมได้ ลั่วปิงเหอไม่มีสติ จึงไม่รู้จักบันยะบันยัง พอรู้สึกถูกอกถูกใจเลยกระแทกกระทั้นเข้าออกเสียเต็มที่
การขยับตัวของเขาทั้งเร็วและรุนแรง หลังจากเข้าๆออกๆ เดี๋ยวลึกเดี๋ยวตื้นไปเป็นร้อยครั้ง ลั่วปิงเหอก็สามารถทะลวงเข้าคูหาของเขาอย่างราบรื่นและต่อเนื่องได้ในที่สุด
เสิ่นชิงชิวน้ำตาคลอหน่วย
เจ็บ!
เจ็บโว้ย!
เขาเจ็บจนตัวสั่นระริก แต่ยังไม่ลืมว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร เขาโคจรพลังทิพย์เข้าไปชักนำปราณมารที่กำลังปั่นป่วนพลุ่งพล่านอยู่ในกายของลั่วปิงเหอมาไว้ที่ตัวเอง
วิธีการนี้ออกจะงี่เง่าอยู่มาก แต่ก็มีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ที่ถ่ายทอดปราณมารให้กระบี่ซินหมัวคือลั่วปิงเหอ หากแบ่งพลังงานในกายเขาออกมา พลังที่ใช้ขับเคลื่อนซินหมัวก็จะไม่พอ ย่อมจะทำให้เทือกเขาฝังกระดูกไม่อาจตกลงไปได้อีก
โพรงเนื้อสั่นระริกโอบอุ้มสิ่งที่บดเบียดเข้าออกอย่างเหิมเกริมเอาไว้ นี่เป็นพื้นที่ที่ไม่เคยต้อนรับคนแปลกหน้าที่ไหนมาก่อน ผนังด้านในอันอ่อนนุ่มถูกครูดถูจนแสบและบวม ตอนแรกก็ยังเข้าออกด้วยความติดขัด แต่หลังจากเจ็บแสบไปหลายระลอก เนื้อในก็ค่อยๆฉ่ำชื้นขึ้น เลือดและของเหลวภายในส่วนเร้นลับจึงทำให้การสอดประสานราบรื่นขึ้น
ในความมืด กลิ่นคาวเลือดจางๆ อวลกรุ่นไปทั่ว เสียงหอบหายใจที่พยายามสะกดข่มอย่างลำบากและเสียงเนื้อกระทบเนื้อกังวาลชัดเป็นพิเศษ
ลั่วปิงเหอมีความสุขมาก กอดเสิ่นชิงชิวไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เอาแก้มถูไถหน้าผากของเสิ่นชิงชิวด้วยสีหน้าทั้งน่ารักและน่าสงสาร แต่ร่างกายท่อนล่างกลับเป็นหนังคนละม้วน แทบจะเรียกได้ว่าอำมหิต
เสิ่นชิงชิวถูกเขากอดจนแทบจะหายใจไม่ออก นิ้วมือข้างขวาทั้งห้าจิกกับหินบนพื้นจนเลือดไหล กว่าจะหายใจได้แต่ละทีแทบหืดขึ้นคอ
ทนไม่ไหวแล้ว!
ทนแทบจะไม่ไหวแล้วจริงๆ!
ขณะที่เขากำลังหน้ามืดตาลาย เบื้องหน้าสายตาพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง แสงสีขาวอ่อนจางสายหนึ่งก็กรีดผ่านไป
เสียงติ๊งของอะไรบางอย่างร่วงลงพื้นมาตกอยู่ข้างไหล่เปลือยเปล่าของเสิ่นชิงชิว
ลั่วปิงเหอความรู้สึกเฉียบไวมาก พอเงยหน้าขึ้น ก็ตะลึงลานไปเดี๋ยวนั้น
จากนั้น รูม่านตาก็หดเล็กเป็นจุดเดียว ภาพที่เลือนรางกระจัดกระจายในตอนแรกค่อยๆซ้อนทับกัน จนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
พอเขาก้มหน้าลงมา สีหน้าก็ซีดเผือดทันตา
เสิ่นชิงชิวนอนอยู่ใต้ร่างเขา เสื้อผ้าขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี สองขาสั่นระริกไม่อาจหุบเข้าหากัน ดวงตาแดงก่ำจนน่ากลัว ท่าทางเหมือนกำลังจะหมดลมหายใจเต็มที
ลั่วปิงเหอยื่นมือเข้าไปหมายจะแตะตัวเขาแต่ก็ไม่กล้า ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ กล่าวงึมงำว่า “…ซือ…จุน?”
ในที่สุดก็ได้ยินลั่วปิงเหอเรียกซือจุนด้วยน้ำเสียงปกติเสียที เสิ่นชิงชิวเหมือนเอาชีวิตรอดมาได้ สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แต่การหายใจครั้งนี้ดูจะลำบากกินแรงอยู่มาก ฟังแล้วเหมือนเสียงสะอื้นมากกว่า
ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างสับสนว่า “ซือจุน…ข้า…ข้าทำอะไรลงไป”
เสิ่นชิงชิวเดิมทีอยากจะกระแอมให้คอโล่ง เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศสักเล็กน้อย แล้วบอกว่าก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก เจ้าก็แค่ทำข้าที่เป็นซือจุนเจ้าเท่านั้นแหละ ผลปรากฏว่า คอไม่โล่ง แต่ไอออกมาเป็นเลือดแทน
พวกเขาถูกเลือดหย่อมนี้ทำเอาตะลึงพรึงเพริดทั้งคู่
น้ำตาเสิ่นชิงชิวยังไม่ทันจะไหล น้ำตาลั่วปิงเหอก็ร่วงนำไปก่อนแล้ว น้ำตาหยาดหยดลงมากระทบแก้มเสิ่นชิงชิว แล้วไหลลงมาตามใบหน้า
เมื่อก่อนเสิ่นชิงชิวกลัวผู้หญิงร้องไห้เป็นที่สุด ตอนนี้กลับกลัวลั่วปิงเหอร้องไห้เป็นที่สุดแทน จึงไม่อาจมัวมาสนใจกับความเจ็บช่วงล่าง เช็ดหน้าให้อีกฝ่ายและปลอบขวัญราวกับปลอบเด็ก “ไม่ร้องนะ”
น้ำตาของลั่วปิงเหอประหนึ่งไข่มุกร่วงหลุดจากสาย กลิ้งไปตามไหล่เสิ่นชิงชิว ทางหนึ่งกอดเสิ่นชิงชิวอย่างทำอะไรไม่ถูก ทางหนึ่งก็สะอึกสะอื้น “ซือจุนท่านอย่าเกลียดข้านะ…ข้าไม่รู้…ข้าไม่ได้อยากทำร้ายท่าน…ทำไมท่านไม่ผลักข้าออกไป ทำไมท่านไม่ฆ่าข้า”
เสิ่นชิงชิวลูบหลังปลอบประโลมเขา “เหวยซือรู้ เหวยซือเต็มใจ”
เขาปลอบลั่วปิงเหอพลางนึกสลดใจไปด้วย
ไอ้คนที่ถูกระทำน่ะมันตูไม่ใช่เรอะ ทำไมไอ้คนทำมันถึงได้ร้องไห้หนักกว่าตู แล้วทำไมคนถูกทำกลับยังต้องมาปลอบใจคนทำด้วยล่ะ
ลั่วปิงเหอที่ร้องห่มร้องไห้เสียความบริสุทธิ์นี่รับมือยากยิ่งกว่าหญิงสาวที่ร้องห่มร้องไห้เสียความบริสุทธิ์อีก!
เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างจนใจว่า “งั้น…เจ้าออกมาก่อน…”
น้ำตาของลั่วปิงเหอยังเกาะขนตาเป็นกระจุก ไม่อาจมัวมาอายหรือสนว่ายังไม่เสร็จกิจอยู่ได้ เขาค่อยๆ ถอยกายออกมาอย่างระวัง
เขาตะลึงมองสภาพอเนจอนาถที่หว่างขาของเสิ่นชิงชิว สีหน้ายิ่งมายิ่งซีดขาว แต่กระนั้นก็ยังคงช่วยใส่เสื้อตัวกลางให้เสิ่นชิงชิวจนเรียบร้อย และเอาเสื้อตัวนอกของตนคลุมลงบนร่างเขา
เสิ่นชิงชิวเองก็ไม่กล้ามองสภาพของตัวเองเช่นกัน ค่อยๆหุบขาตัวเองช้าๆระหว่างขั้นตอนนี้ กล้ามเนื้อบนหน้าเขาคอยแต่จะกระตุกเบาๆ แต่ก็พยายามสุดกำลังเพื่อไม่ให้ความเจ็บปวดแสดงออกมาทางสีหน้า
เพื่อเบี่ยงเบนสายตาและความสนใจของลั่วปิงเหอ เสิ่นชิงชิวยื่นมือไปหยิบจี้กวนอิมหยกขึ้นมา แล้วทำมือเป็นเชิงบอกให้ลั่วปิงเหอก้มศีรษะ
ลั่วปิงเหอกล่าวตะกุกตะกัก “ข้านึกว่า…ข้านึกว่ามันหายไปตั้งนานแล้ว…ข้านึกว่าคงหามันไม่เจอแล้ว…”
เสิ่นชิงชิวช่วยเอาด้ายแดงคล้องคอให้เขา กล่าวว่า “ต่อจากนี้ไปก็เก็บไว้ให้ดีๆ อย่าทำหายอีก”
ลั่วปิงเหอกล่าวช้าๆ “ตอนนั้นเป็นซือจุนที่ช่วยข้าพ้นจากการถูกรุม หรือว่านับตั้งแต่ตอนนั้น…ซือจุนก็…พกมันไว้ข้างกายตลอดเลยหรือขอรับ”
มันอยู่ในคลังของระบบ แต่ถ้าบอกว่าเขาพกมันไว้ข้างกายมาตลอดก็ไม่ถือว่าพูดผิดมั้ง พอคิดเช่นนี้ เสิ่นชิงชิวก็พยักหน้าทีหนึ่งอย่างอ่อนแรง
มือของลั่วปิงเหอที่กอดเขาเลยยิ่งกระชับแน่นเข้าไปอีก ส่วนน้ำตายังคงไหลไม่หยุด แต่แล้วก็เห็นว่าตรามารบนหน้าผากเขาหายไปแล้วอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิที่แก้มและหน้าผากซึ่งร้อนจัดก็ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เขากล่าวอย่างงงัน “ท่านกำลังจะทำอะไรน่ะ”
เสิ่นชิงชิวกอดเขาแน่นหนา ล็อคลั่วปิงเหอไว้ในอ้อมแขนไม่ปล่อยให้เขาได้ขยับตัวมั่วซั่ว กล่าวเสียงหนักว่า “ไม่ทำอะไร ข้าเคยบอกเจ้าแล้วอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว อยู่นิ่งๆ อย่าขยับตัวส่งเดช”
ลั่วปิงเหอร้องเสียงหลง “ซือจุนท่านจะทำเหมือนคราวก่อนใช้ตัวเองชักนำปราณมารออกจากกระบี่ซินหมัวหรือ”
ที่เขาพูดว่า ‘คราวก่อน’ ก็หมายถึงครั้งนั้นที่เสิ่นชิงชิวระเบิดพลังทิพย์ตัวเองนั่นเอง มันคงจะทิ้งเงาขนาดใหญ่ไว้ในใจเขาทีเดียว
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ไม่เหมือนคราวก่อนหรอก”
ฝ่ามือของลั่วปิงเหอค่อยๆกำแน่นเข้า กล่าวเสียงสั่นว่า “ไม่เหมือนตรงไหน ซือจุนทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร เพื่อผู้อื่นแล้ว ท่านกลับทำเรื่องเดิมๆได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านว่าเรื่องเช่นนั้น…ข้าจะทนมองมันเกิดขึ้นอีกครั้งได้อย่างไร ข้าควรรู้เสียนานแล้ว พวกท่านไม่เคยเลือกข้า ทุกคนล้วนทอดทิ้งข้า…”
เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างจริงจัง “ลั่วปิงเหอ เจ้าฟังข้า!”
ลั่วปิงเหอกล้ำกลืนน้ำตาฟังเขาแต่โดยดี
เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “ซูซีเหยียนยอมแลกด้วยชีวิตถึงคลอดเจ้าออกมาได้ ลั่วปิงเหอหนอ ลั่วปิงเหอ ทำไมเจ้าไม่คิดดูบ้างเล่าว่าคนเช่นกงจู่เฒ่าจะเอายาดีอะไรให้ศิษย์ของเขากิน มันก็ต้องเป็นยาที่เป็นอันตรายต่อเผ่ามารอย่างยิ่งยวดอยู่แล้ว หากตอนนั้นนางยอมจำนนต่อชะตากรรม ต่อให้ไม่ถึงตาย เจ้าจะปลอดภัยไร้เรื่องราวจนเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร”
ไหล่ของลั่วปิงเหอสั่นสะท้าน เสิ่นชิงชิวเน้นทีละคำ “หากข้าเป็นนาง ไม่ว่ายาถ้วยนั้นจะมีพิษรุนแรงแค่ไหน ข้าก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะดื่มมันลงไป แล้วหนีออกจากคุกน้ำ จากนั้นก็จะชักนำพิษยามาเข้าร่างกายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนที่ต้องเจ็บปวดทรมานแค่ไหน ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยพลังวัตรสิ้นสลายหรือไม่ ไม่ว่าจะต้องตายอย่างอนาถหรือไม่ ก็จะไม่ยอมให้เด็กคนนี้ได้รับอันตรายแม้เพียงเศษเสี้ยว
นี่คือการคาดเดาของข้า เจ้าจะมองว่ามันเป็นแค่การคาดเดาก็ได้ เพราะไม่มีใครบอกเจ้าได้อีกแล้วว่า ก่อนที่ซูซีเหยียนจะสิ้นใจลมปราณแตกซ่าน ในใจของนางคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่หากนางมองว่าเจ้าคือความอัปยศในชีวิตของนางจริงๆ นางก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอื่นทั้งสิ้น ในวันที่อากาศหนาวที่สุดของปี ทุกหนทุกแห่งจับตัวเป็นน้ำแข็ง แค่หย่อนเจ้าลงแม่น้ำลั่วไหนเลยเจ้าจะมีชีวิตรอดมาได้
หรือหากนางไม่ยอมละทิ้งตำแหน่งหัวหน้าศิษย์วังฮ่วนฮวาอันมีหน้ามีตามีอนาคต ดื่มยาพิษถ้วยใหม่ที่กงจู่เฒ่าส่งให้ไปอีกเรื่อยๆ ไม่ต้องหนีออกมาอย่างจนตรอก หลบหนีการตามล่าของศิษย์วังฮ่วนฮวา หลังจากคลอดเจ้าอย่างเดียวดายบนเรือน้อยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อตัวเองออกมาห่อร่างเจ้า ไม่ใช้แรงเฮือกสุดท้าย เอาเจ้าวางลงบนถังไม้แล้วผลักออกไป ยังไม่ทันที่คนมาช่วย เจ้าก็จะกลายเป็นวิญญาณโดดเดี่ยวที่แข็งตายบนแม่น้ำลั่วไปเสียนานแล้ว
ตอนนี้เจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ดี เที่ยวไปฟังคำพูดของคนอื่นแล้วเก็บมาเชื่อว่าแม่ของเจ้าไร้หัวใจ เชื่อว่านางไม่ต้องการเจ้าได้อย่างไร”
พูดรวดเดียวโดยไม่หยุดพักหายใจมาถึงตรงนี้ เสิ่นชิงชิวก็แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก รู้สึกว่าปราณมารได้แล่นพล่านปั่นป่วนกระจายไปทั่วแขนขาจับเข้าไปถึงกระดูกแล้ว เขาใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่กอดลั่วปิงเหอแน่น
“ที่ข้าเอาปราณพิษของซินหมัวมาเข้าร่าง ไม่ใช่เพื่อใครหรือเพื่ออะไรทั้งนั้น แต่เพื่อเจ้าเพียงคนเดียว ข้า…ไม่อยากเห็นลั่วปิงเหอที่ถูกซินหมัวควบคุมไปทั้งชีวิต ถูกมันกัดกร่อนสติสัมปชัญญะ มีชีวิตอยู่กับภาพหลอนไม่สิ้นสุด สิ่งที่เหวยซือมุ่งหวังเกี่ยวกับตัวเจ้า ก็คือเห็นเจ้ามีชีวิตอยู่ มีสติ แล้วก็แข็งแกร่ง”
เขากล่าวเสียงแผ่วว่า “ดังนั้นก็อย่าได้พูดจาพรรค์อย่าง ไม่มีใครต้องการเจ้า ไม่มีใครเลือกเจ้าอีก”
ลั่วปิงเหคุกเข่าอยู่ข้างกายเขา กระบอกตารับน้ำหนักหยาดน้ำในดวงตาไม่ไหวแล้ว จึงปล่อยมันพรั่งพรูลงมาราวกับเด็กน้อยที่ต้องแบกรับความคับแค้นในอย่างถึงที่สุด
แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ระเหเร่ร่อนอยู่ในโลกใบนี้ตามลำพัง ล้มลุกคลุกคลานมานับครั้งไม่ถ้วน สิ่งที่ต้องการมีเพียงไม่กี่อย่าง แต่ไม่เคยได้มาสักอย่าง หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เสิ่นชิงชิวคิด จะต้อง…จะต้อง…
แต่เคยมีคนพูดไว้นานแล้ว ในโลกนี้ไม่เคยมีอะไรที่ ‘หากรู้แต่แรก’ เลย
ลั่วปิงเหออยู่ๆก็ยิ้มทั้งน้ำตา มือข้างหนึ่งคว้ามือของเสิ่นชิงชิวไปแนบแก้ม มืออีกข้างคว้ากระบี่ซินหมัวขึ้นจากพื้น
ตัวกระบี่ที่ปล่อยไอสีม่วงลอยอวลไปทั่วหวีดร้องเสียงแหลมอย่างโหยหวน เสียงบางสิ่งบางอย่างแตกกระจายทีละชุ่น…ทีละชุ่น ดังมาเข้าหู
“ซือจุน ข้ารู้ ที่ท่านพูดมามากมายปานนี้เพื่ออะไร”
ลั่วปิงเหอจ้องมองเขา ยกมุมปากขึ้น
“แต่ว่า หากซือจุนที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกและมีความมุ่งหวังเช่นนี้ต่อข้าไม่อยู่แล้ว ข้าจะมีชีวิตอยู่ มีสติ และแข็งแกร่งไปกว่านี้เพื่ออะไรกัน”
ความร้อนในร่างกายของลั่วปิงเหอเหมือนจะแพร่ใส่เขาเข้าแล้ว เสิ่นชิงชิวเริ่มเวียนหัวขึ้นมานิดๆ
ท่ามกลางความวิงเวียน เขาแทบจะฟังสิ่งที่ลั่วปิงเหอพูดไม่รู้เรื่องแล้ว ทั้งไม่มีปัญญาจะยับยั้งการทำลายกระบี่ของเขา เสิ่นชิงชิวเริ่มเลอะเลือนเสียจนคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
“ตายด้วยกัน” อย่างน้อยก็มีคำว่า ‘ด้วยกัน’ อยู่
ดูเหมือนจะไม่ได้แย่จนเกินไปนัก
กระนั้น กลับมีเสียงหนึ่งที่เขายังได้ยินอย่างชัดเจน
[ขอแสดงความยินดีด้วย ค่าตัวเลขทุกค่าบรรลุถึงระดับมาตรฐานที่กำหนด ท่านได้รับการเลื่อนระดับเป็นสมาชิก VIP ขั้นต้น ท่านต้องการจะใช้ฟังก์ชั่นชั้นสูงในการ ‘ช่วยชีวิตตนเอง’ หรือไม่]
…………………………………
‘เทพมารอหังการ’ เป็นนิยาย YY แนวฮาเร็มเรื่องหนึ่ง สำหรับประเด็นนี้ เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีผู้เขียนได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนแต่แรกแล้ว
เสิ่นชิงชิว ชายหนุ่มผู้ตอบคำถามตัวเองแล้วอย่างไม่มีอะไรต้องละอายแก่ใจ ว่าตัวเองนั้นเป็นชายแท้แน่นอน สำหรับประเด็นนี้ เขาก็กำหนดจุดยืนของตัวเองไว้ตั้งแต่เกิดแล้วเช่นกัน
ดังนั้น หากตอนเปิด ‘เทพมารอหังการ’ ขึ้นมาอ่านใหม่ๆ นิยายพิลึกกึกกือที่ห่วยเสียจนตัวมันเองยังช็อคกับความห่วยของตัวเอง แล้วมีคนอบกเสิ่นหยวนว่า อา เดี๋ยวนายจะกลายเป็นเกย์ แถมยังเป็นเกย์คู่กับพระเอกของนิยายเรื่องนี้ แล้วนายก็ยังต้องเป็นฝ่ายนอนคว่ำเอาก้นใส่พานถวายให้พระเอก…เขาคงจะเอา ‘เทพมารอหังการ’ ทั้ง 50 เล่มทุบหัวไอ้คนที่มาบอกเขาคนนั้นให้มันได้เปิดหูเปิดตาว่าอะไรคือสมองกระจายอย่างแน่นอน
ทว่าตอนนี้ เขากำลังลอยละล่องอยู่ในห้วงอากาศอันว่างเปล่าห้วงเดียวกับตอนที่เข้ามาในโลกนี้ครั้งแรกสุด ฟังน้ำเสียงคุ้นเคยเป็นมิตรที่เหมือนกับเสียงของเว็บแปลกูเกิ้ลก้องกังวานไปทั่วทุกมุม
[สวัสดี ด้วยความบากบั่นพากเพียรและความร่วมมืออย่างเต็มที่ของท่าน ค่าตัวเลขทุกค่าบรรลุถึงระดับที่ใช้ในการอัปเกรด]
[ระบบรู้สึกเป็นเกียรติที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า ท่านได้เลื่อนระดับขึ้นเป็นสมาชิก VIP ขั้นต้นแล้ว จึงขอแจ้งให้ทราบมา ณ ที่นี้ว่า สมาชิก VIP สามารถใช้ฟังก์ชั่นขั้นสูง ‘ช่วยชีวิตตนเอง’ ได้]
[ภายใต้สถานการณ์ที่ค่าชีวิตตกลงมาอยู่จุดต่ำสุด สามารถเติมเลือดให้กลับมาเต็มแถบได้ 1 ครั้ง]
เลือดเต็มก็ฟื้นคืนชีพ!
สิทธิประโยชน์สำหรับ VIP นี่ มันช่างดีงามจริงๆ
เสิ่นชิงชิงกล่าวว่า “คือว่า ฟังก์ชั่นช่วยชีวิตตัวเองนี้ ใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้นเหรอ ใช้ได้แต่ช่วยชีวิตตัวผมเองเท่านั้นรึเปล่า”
ระบบ [ท่านเข้าใจถูกต้อง]
เสิ่นชิงชิวเจอปัญหาที่ทำให้ต้องคิดหนัก เขารับปราณมารจากตัวลั่วปิงเหอมาเกินกว่าครึ่งแล้ว ตอนนี้ต่อให้ทำลายกระบี่ซินหมัวต่อไป ก็ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรกับลั่วปิงเหอแล้ว เดิมทีเข้าใจว่าตัวเองคงจะต้องตายแน่ เจ้าเด็กคนนี้มันก็ร้องห่มร้องไห้จะขอตายตามไปด้วย ตอนนี้หากใช้ฟังก์ชั่นช่วยชีวิตตัวเอง หวังว่าเขาคงจะไม่ทำอะไรโง่ๆ ด้วยการฆ่าตัวตายตามแล้วละนะ
เสิ่นชิงชิวรีบถาม “ลั่วปิงเหอล่ะ ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ระบบ [เวลานี้ ท่านยังไม่อยู่ในสถานะที่จะสามารถสอบถามปัญหาที่เกี่ยวข้องกับแหล่งพลังงานได้ ท่านต้องการจะตรวจสอบผลงานย้อนหลังหรือไม่]
เป็น VIP ทำไมยังสอบถามไม่ได้ฟะ!
เสิ่นชิงชิวคันยิบๆในหัวใจ แต่ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ให้ถามก็คือไม่ถาม กลุ้มไปก็ไม่มีประโยชน์ ระบบยังคงตื้อไม่หยุด
[ท่านต้องการจะตรวจสอบผลงานย้อนหลังหรือไม่]
ดูท่าทางว่านี่จะเป็นอะไรที่ไม่ดูไม่ได้ เสิ่นชิงชิวโบกมือ “ดูๆๆ ให้ไวเลย”
ระบบค่อยๆ คลี่ลิสต์รายการแสดงผลงานเหมือนคลี่ภาพม้วน คลอไปกับดนตรีประกอบในท่วงทำนองรื่นเริงสดใส
[หลีกเลี่ยงประเด็นที่ไร้รสนิยมน่ารังเกียจ มากกว่า 20 ประเด็น ดึงฉลากคำว่า ‘พล็อตห่วยเกินเยียวยา’ ออกได้สำเร็จ ได้รับตราเกียรติยศ ‘มีประเด็นให้แขวะค่อนข้างมาก’]
[ค่า B ทะลุ 5,000 คะแนน ทำสถิติสูงสุด ได้รับตราเกียรติยศ ‘อ่านได้ถ้าไม่มีอะไรอื่นให้อ่าน’]
[ปล่อยน้ำเน่ากระจายเกินกว่า 3 ครั้ง ได้รับตราเกียรติยน ‘น้ำเน่าเปียกโชก’]
[ตัดเนื้อหาในส่วนที่เป็นน้ำท่วมทุ่งและไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลัก เอาฉลากคำว่า ‘เทพอุทกไร้พ่าย’ ออกได้สำเร็จ]
[กอบกู้เนื้อเรื่องของตัวละครซ่อนเร้น กลบหลุมในระดับพื้นฐานเป็นผลสำเร็จ เอาฉลากคำว่า ‘ขุดหลุมทิ้งๆขว้างๆ’ ออกได้สำเร็จ]
[ค่าความฟินทำลานสถิติจนทะลุขอบเขตการคำนวณ ได้รับตราเกียรติยศ ‘น่าเอาไว้รูด*’]
(รูด ในที่นี้ คือคำว่า รูดท่อ ซึ่งเป็นศัพท์สแลง หมายถึง การช่วยตัวเองของเพศชาย เช่นเดียวกับคำว่า ชักว่าว)
[บรรลุมาตรฐานตามที่ระบบแนะนำ ด้วยคำโปรดว่า ‘เรื่องราวของเกรียนม.ต้นคลั่งรักที่ขาดแคลนความรัก จนอยากทำลายล้างโลก’]
พอเห็นประโยคนี้เข้า เสิ่นชิงชิวก็พูดไม่ออก “…” หาเหตุผลมาหักล้างไม่ได้เลยจริงๆ (โบกมือบ๊ายบาย)
พอมาคิดๆดู มันก็จริงนั่นแหละ นับจากเขาเข้ามาในนิยายเรื่องนี้โดยที่เขาไม่รู้ตัว ‘เทพมารอหังการ’ ก็ไม่ใช่นิยาย YY แนวฮาเร็มที่ต่ำตมจนไร้ขีดจำกัดล่างอีกต่อไป แต่กลายเป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มเวอร์จิ้นใสซื่อประสาดแดกดราม่าคิงไปแทน
มองดูตราเกียรติยศที่วาววับเป็นแถวพวกนี้ จู่ๆ เสิ่นชิงชิวก็สังเกตเห็นว่า ที่มุมซ้ายด้านบนของลิสต์รายการ มีสัญลักษณ์ ( ) สีชมพูตัวเล็กๆติดอยู่
เขารู้ว่า สัญลักษณ์ ( ) ใช้แทนผู้ชาย ( ) ใช้แทนผู้หญิง จึงรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง “สัญลักษณ์นี่มันหมายความว่าไง”
ระบบ [เพื่อบอกให้รู้ว่าความสำเร็จทั้งหมดที่ได้รับนี้ล้วนเป็นรางวัลเกียรติยศสำหรับนิยายที่เจาะกลุ่มนักอ่านเพศหญิง]
เสิ่นชิงชิว “…ล้อเล่นใช่เปล่า”
ระบบ [ประเภทของนิยาย ‘เทพมารอหังการ’ ได้รับการปรับเปลี่ยนแล้ว]
เดี๋ยวนะ
แล้วทำไมถึงจัดไปอยู่ในหมวดนิยายสำหรับนักอ่านเพศหญิงล่ะ!
มิน่า นิยายที่ทั้งพิลึกพิลั่นทั้งน้ำเน่าพรรค์นี้กลับยังได้รับตราเกียรติยศมากมายขนาดนี้ เป็นเพราะถูกจัดให้ไปอยู่ในหมวดนิยายสำหรับนักอ่านเพศหญิง ใช้มาตรฐานของผลงานสำหรับเพศหญิงมาวัดนี่เอง
แล้วทำไมนินายสำหรับเพศหญิง ถึงมีตราเกียรติยศ ‘น่าเอาไว้รูด’ ด้วย พวกเธอเอาอะไรมารูด!!!
หรือว่าถูกเว็บมาสเตอร์ของเว็บจงเตี่ยนเนรเทศให้ไปอยู่หมวดผู้หญิงหรือที่น่ากลัวกว่านั้น ถูกจับโยนไปอยู่เว็บจิ้นเจียงเขียวในตำนาน*?!
(เว็บจิ้นเจียงเขียว คือ เว็บนิยายออนไลน์ของจีน ส่วนที่บอกว่าเป็นตำนาน ผู้เขียนอธิบายว่าเพราะเว็บจิ้นเจียงได้ชื่อว่านิยาย BL มากที่สุดและฮิตสุดของจีน ดังนั้นในวงการนิยายออนไลน์ เมื่อพูดถึงเว็บจิ้นเจียงก็มักจะทำให้คนคิดลึกคิดโยงไปถึงเรื่องเกย์ไว้ก่อน จึงมักจะเกิดมุกหรือเรื่องเล่าสนุกสนานมากมาย ส่วนคำว่าเขียว มาจากหัวเพจที่เป็นสีเขียว อนึ่ง นิยายเรื่องตัวร้ายอย่างข้าฯ นี้ก็เขียนลงในเว็บจิ้นเจียงเช่นกัน)
หลังจากรู้ความจริงเข้า เลือดที่จุกอกเสิ่นชิงชิวนับจากวันแรกที่ทะลุมิติเข้ามาในนิยายจนมาถึงวันนี้ในที่สุดก็พ่นพรวดออกมา
และแล้ว หลังจากนั้นผู้คนก็กรูเข้ามารุมล้อมเขา
หนิงอิงอิง หมิงฟาน ฉีชิงชี มู่ชิงฟาง ยืนออกกันอยู่ข้างหนึ่ง ต่างคนต่างแย่งกันพูด “แย่แล้ว ซือจุนกระอักเลือดออกมาแล้ว ซือจุนจะตายไหม”
“ไม่หรอก กระอักออกมาก็ดีแล้ว”
รอบด้านคือผนังหินอันเย็นยะเยียบค่อนข้างชื้น มีเทียนปักเล่มเล็กๆ ปักอยู่ 2 เล่ม
เสิ่นชิงชิวเพิ่งจะมองออกว่านี่คือถ้ำหลิงซี ก็ถูกเสียงสะท้อนของทุกคนทำจนปวดหัว ไม่ว่าอะไรก็ฟังไม่รู้เรื่อง ต้องงอตัวเอามือกุมศีรษะ ได้ยินเพียงเสียงหลิ่วชิงเกอกล่าวว่า “ออกไปกันให้หมด!”
เขาพูดทีเดียว คนอื่นๆก็หุบปากฉับ พวกผู้เยาว์แลบลิ้น ถอยหลังกันออกไปอย่างจ๋องๆ ตำแหน่งที่ว่างถูกหลิ่วชิงเกอเข้ามายึดพื้นที่ เขาเอามือกอดอก ยืนอยู่ข้างตั่งศิลา
ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็เห็นคนที่พอจะพึ่งพาได้แล้ว พอคว้าตัวเขาไว้ได้ก็ถามทันทีว่า “ลั่วปิงเหอเล่า”
หลิ่วชิงเกอสีหน้าดำทะมึน กล่าวว่า “ตายแล้ว!”
เสิ่นชิงชิว “…ตายแล้ว?”
นี่เขางี่เง่าฆ่าตัวตายบูชารักจริงๆรึ!
ดูท่าทางของหลิ่วชิงเกอไม่เหมือนกำลังพูดล้อเล่น อีกทั้งหลิ่วชิงเกอก็ไม่เคยพูดจล้อเล่นมาก่อน
เสิ่นชิงชิวลุกขึ้นนั่งพรวด แต่เพราะขยับตัวเร็วและแรงเกินไป ร่างกายท่อนล่างจึงเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
เขาทำหน้าเหยเก จากนั้นก็ล้มตึงลงไปอีกครั้ง
ปฏิกิริยานี้โอเวอร์เกินไปหน่อย หลิ่วชิงเกอคล้ายกับจะได้รับความตกใจอย่างใหญ่หลวง ถอยหลังพรวดไป 3 ก้าว ทำท่าอิหลักอิเหลื่อ ทั้งเหมือนอยากจะเดินเข้ามาพูดด้วย และเหมือนอยากจะวิ่งหนีไปเดี๋ยวนั้น
ฉีชิงชีคว้าตัวเขาไว้มั่น เอ็ดเสียงแหลมว่า “ดูเจ้าซิ ดูเจ้าซิ! เจ้าทำอะไรงไป บอกเจ้าแล้วว่าอย่าขู่เขา ขู่เสียจนคนเป็นลมไปแล้ว!”
เสิ่นชิงชิวนอนอยู่บนตั่งศิลา ชูมือขึ้น “ข้าไม่ได้เป็นลม ข้า…”
แค่เจ็บตรงที่บางแห่งของร่างกายเท่านั้นเอง เลยยังนั่งไม่ไหวสักแป๊บ
เมื่อก่อนคนที่หนิงอิงอิงกลัวที่สุดคือเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิง รอบนี้กลับขวัญกล้ากระทืบเท้าแว้ดใส่หลิ่วชิงเกอ “อาจารย์อาหลิ่ว ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ถึงท่านจะไม่ชอบอาลั่วสักแค่ไหน แต่เห็นๆอยู่ว่าซือจุนเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา รับความสะเทือนใจไม่ไหว ท่าน…ท่านยังพูดจาส่งเดชไปแช่งให้เขาตายอีก”
มู่ชิงฟางก็มีสีหน้าแฝงแววตำหนิ “ศิษย์พี่หลิ่ว ท่านปฏิบัติต่อคนป่วยเช่นนี้ ไม่ดีจริงๆนะขอรับ ไม่ดีเลยสักนิด”
เป็นครั้งแรกที่หลิ่วชิงเกอกลายเป็นเป้าธนูของทุกคน เดิมทีเขาไม่ใช่คนช่างเจรจาอยู่แล้ว จึงถอยกลับไปที่ข้างโต๊ะเสียเลย แล้วกล่าวห้วนๆ “ข้าไม่พูดแล้ว!”
เสิ่นชิงชิวมือหนึ่งกุมขยับ มือหนึ่งบีบเอว “งั้นใครช่วยบอกที ตกลงเขาตายหรือไม่ตาย”
ฉีชิงชีตอบว่า “ไม่ตายหรอก! เจ้าเด็กนั่นมันนึกว่าเจ้าไม่รอดแล้ว เกือบจะตามเจ้าไปเหมือนกัน แต่มาศิษย์น้องมู่บอกว่าเจ้าไม่เป็นไร ยังมีลมหายใจ เขาไหนเลยจะยอมตาย”
ดีที่ไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่ว่าใครคนไหนก็ทนรับความผิดพลาดต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
เสิ่นชิงชิวรู้แล้วว่าเมื่อครู่หลิ่วชิงเกอพูดไปเพราะอารมณ์โกรธ แต่พอถูกผู้เป็นศิษย์น้องทำให้ตกใจไป 2 วิ กก็ไม่รู้จะเอาหนังหน้าแก่ๆ ไปไว้ที่ไหนกล่าวตำหนิว่า “เจ้ายอดเขาหลิ่วอย่าได้ทำเช่นนี้ ข้าเชื่อถือเจ้าถึงได้ถามเจ้าเป็นคนแรก เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
หลิ่วชิงเกอถลึงตาใส่เขา
เสิ่นชิงชิวไม่กลัวที่เขาถลึงตาใส่ ค่อยๆลุกนั่งช้าๆ เลือกนั่งท่าที่มันไม่กดทับจุดสำคัญให้เจ็บมากนัก “ตกลงเกิดอะไรขึ้น ข้ากลับมาที่ชิงจิ้งเฟิงได้อย่างไร เทือกเขาฝังกระดูกล่ะ แล้วตัวลั่วปิงเหอล่ะ”
ฉีชิงชีตอบว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องเทือกเขาฝังกระดูกแล้ว ระเบิดไปนานแล้ว”
เสิ่นชิงชิวกล่าวทวน “ระเบิดไปแล้วหรือ”
ฉีชิงชีตอบว่า “เจ้ากับลั่วปิงเหอมิใช่ทำลายกระบี่ซินหมัวไปเสียที่เทือกเขาฝังกระดูกแล้วหรอกหรือ ตอนที่กระบี่หัก ภูเขาทั้งลูกก็ระเบิดเลย”
หมิงฟานเอาหัวมุดเข้ามาข้างตั่ง กล่าวว่า “ใช่แล้วๆ ซือจุน ภูเขาเกือบทั้งลูกร่วงลงมาฟาดผิวน้ำแข็งจนแตกเป็นโพรงใหญ่ จากนั้นน้ำแข็งในแม่น้ำลั่วก็ละลาย ท่านกับลั่วปิงเหอตกลงมาในแม่น้ำลั่ว ยังคงเป็นอาจารย์อาหลิ่วที่เอาตัวพวกท่านขึ้นมา”
เสิ่นชิงชิวเพิ่งจะรับถ้วยชาที่หนิงอิงอิงส่งมาให้ กำลังจะยกดื่ม ดีที่ยังไม่ได้ดื่ม ไม่อย่างนั้นคงได้พ่นพรวดออกมาแน่
“พวกท่านหรือ”
เสิ่นชิงชิวเหล่ตามองหลิ่วชิงเกออย่างวัวสันหลังหวะ หากเขาจำไม่ผิด (เรื่องแบบนี้จะจำผิดได้ไง” เขากับลั่วปิงเหอเพิ่งจะเสร็จกิจกันพอดี!
ถึงแม้ต่อมาลั่วปิงเหอจะสวมเสื้อผ้าให้เขาเรียบร้อย แต่บนร่างก็ยังเหลือหลักฐานอยู่มากมาย ด้วยสายตาราวกับมีทิพยเนตรของพี่หลิ่ว จะมองความผิดปกตินี้ไม่ออกก็ประหลาดแล้ว
มิน่า หลิ่วชิงเกอถึงใช้สายตาดุดันเหมือนอยากจะจัดการศิษย์ที่ทำให้สำนักต้องมัวหมองมาจ้องมองเขา ขัดต่อประเพณีและศีลธรรม สร้างความเสื่อมเสียให้สำนักอย่างแรง!
ฉีชิงชีพูดเป็นต่อยหอย “งมขึ้นมาก็ได้ตัวมาทีเดียวทั้งสองคน ตัวแข็งทื่อเหมือนศพ กอดกันเสียแน่นจนแกะยังไงก็แกะไม่ออก คนมากมายตั้งเท่าไหร่ล้วนเห็นกันหมด ขายขี้หน้าจนไม่รู้จะขายยังไงแล้ว ชางฉยงซานของข้า…”
ท่ามกลางสายตาประชาชีเลยเหรอ
เสิ่นชิงชิวนึกเสียใจขึ้นมาสุดๆ ระวังตัวแทบตาย สุดท้ายก็ปล่อยให้ ‘แค้นซุนซาน’ ได้วัตถุดิบใหม่ไปต่อยอดจนได้
กระนั้น ด้วยวงจรสมองเช่นนั้นของลั่วปิงเหอ กลัยไม่ได้พาเขาหนีจากไป แต่ยอมส่งเขากลับมาที่ชิงจิ้งเฟิงแต่โดยดี นับว่าแปลกมากจริงๆ เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องไม่ค่อยจะปกตินัก จึงไล่ถามว่า “ตกลงตอนนี้ลั่วปิงเหออยู่ที่ไหนกันแน่”
ยังคงเป็นหนิงอิงอิงเด็กดีที่ตอบอย่างกตัญญูรู้คุณ “ซือจุนท่านหลับไปหลายวันปานนี้ไม่ยอมตื่น เขาก็ต้องไปหาโอสถทิพย์มาให้ท่านซิเจ้าคะ”
ไปหาโอสถทิพย์อะไรอีกล่ะ ไม่ง่ายกว่าจะรอดพ้นจากความตายกลับมาเลือดเต็มแถบอีกครั้ง ไอ้เด็กนี่กลับไม่นั่งอยู่ข้างเตียงรอฉันตื่น แต่วิ่งพล่านไปไหนของมัน เรื่องแบบนี้ใช้ลูกน้องไปทำก็ได้นะ!
หนิงอิงอิงแอบกระซิบ “ก็มิใช่ถูกอาจารย์อาอาจารย์ลุกทุกท่านขับไล่ลงจากเขาหรอกหรือ…”
เสิ่นชิงชิวกระทั่งจะเก็กท่าสูงส่งเย็นชาก็ขี้เกียนจะเก็กแล้ว เขาหัวเราะพรึดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ลั่วปิงเหอล่วงเกินคนของชางฉยงซานไปหลายคน ถูกขับไล่ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้กลับรู้จักยอมกล้ำกลืนฝืนทน ถูกไล่ก็ยอมไปแต่โดยดี จะว่าไปก็น่าสงสารเหมือนกันนะนี่
แต่ไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว ถึงการที่ไม่มีเรื่องอะไรจะผิดปกติอยู่สักหน่อยก็เถอะ แต่แล้วจู่ๆ เสิ่นชิงชิวก็หน้าเปลี่ยนสี “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก!”
ลืมไปได้อย่างไร ยังมีเยวี่ยชิงหยวนที่ตอนนั้นลมหายใจร่อแร่อีกคนนี่น่า!
เขารีบพลิกกายลุกขึ้นทันที สวมรองเท้าได้ก็วิ่งออกไปเดี๋ยวนั้น คนอื่นๆไม่นึกว่าจู่ๆ เขาจะกระโดดลงจากตั่งแล้วก็ไปเลย ล้วนตกตะลึงไปตามๆกัน จากนั้นจึงวิ่งตาม
มู่ชิงฟางตะโกนว่า “ศิษย์พี่เสิ่น ท่านนอนต่ออีกหน่อยเถอะ—–“
เขาวิ่งรวดเดียวโดยไม่หยุด พอออกมานอกถ้ำหลิงซี กลิ่นสดชื่นบริสุทธิ์ของป่าบนภูเขาก็กำซาบเข้าจมูก ทันใดนั้น กลางท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิดด้านนอกถ้ำ ดอกไม้ไฟสองสามดอกพลันแตกประกายระยิบระยับกลางอากาศ เมื่อฟังให้ดีๆยังมีเสียงผู้คนเอะอะเอ็ดตะโรเจี๊ยวจ๊าวดังมาจากทางฝั่งอารามฉยงติ่งด้วย
เสิ่นชิงชิวดึงรองเท้ายาวให้เข้าที่พลางถาม “เกิดอะไรขึ้น ทำไมฉยงติ่งเฟิงถึงได้มีเสียงเอะอะ ศิษย์พี่เจ้าสำนักเล่า”
ฉีชิงชีขยับสายเสื้อเอี๊ยม กล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “เจ้ายังรู้จักเป็นห่วงศิษย์พี่เจ้าสำนักนะ ไม่ตายหรอก”
มู่ชิงฟางกล่าวยิ้มๆว่า “ศิษย์พี่เสิ่นท่านฟื้นมาได้เวลาพอดี เลยไม่ต้องพลาดงานฉลองแล้ว”
ได้ยินว่าเยวี่ยชิงหยวนยังอยู่ดี เสิ่นชิงชิวก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ดูท่าว่าการชักกระบี่ออกมาต่อสู้ยกหนึ่งในเทือกเขาฝังกระดูกไม่ได้ผลาญอายุขัยของเขาให้หมดสิ้นไป ไม่อย่างนั้นแล้ว เสิ่นชิงชิวก็ไม่รู้จริงๆว่าควรจะเอาตัวเองไปวางไว้ตรงไหนดี และไม่รู้ว่ายังมีคนอื่นที่ล่วงรู้ความลับของเสวียนซู่อีกหรือไม่
คิดอีกที ก็อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ งานฉลองอะไร หรือจะฉลองที่เราฟื้นขึ้นมา? ไม่ต้องทำให้ใหญ่โตเอิกเกริกขนาดนี้ก็ได้ เขินนะนี่
หลิ่วชิงเกอดูจะเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ก็กล่าวตีแสกหน้าเขาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ที่ฉลองคือยับยั้งไม่ให้รวมภพได้สำเร็จ ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าหรอก”
เสิ่นชิงชิวกล่าวแก้ขวย “ไหนๆแล้วก็ฉลองที่ข้าฟื้นขึ้นมาไปด้วยก็ได้นี่”
ในเมื่อเป็นเรื่องที่เฉลิมฉลองกันใหญ่โตระดับชาติเช่นนี้ แน่นอนว่าผู้เข้าร่วมไม่ได้มีเพียงแค่คนชองชางฉยงซาน บรรดาสำนักเล็กสำนักน้อยที่มาร่วมทำศึกที่แม่น้ำลั่วล้วนตอบรับคำเชิญมาเข้าร่วมงานกันทั้งนั้น บนฉยงติ่งเฟิงเต็มไปด้วยเสียงจ๊อกแจ็กจอแจ ผู้คนแน่นขนัดจนแทบจะไหล่เกยไหล่
เสิ่นชิงชิวยังเห็นคนคุ้นๆหน้าอยู่หลายคน นักพตรหญิงแฝด 3 กำลังยืนสนทนาอย่างติดพันกับคนผู้หนึ่ง เป็นหลิ่วหมิงเยียนผู้สวมผ้าโปร่งคลุมหน้า ดูบริสุทธิ์สูงส่งเปี่ยมคุณธรรมไปทั้งตัวนั่นเอง
ตอนนี้มองสาวๆในฮาเร็มของลั่วปิงเหอยืนประชันความงามกันแล้ว เสิ่นชิงชิวก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ แม้คนจะยังคงชอบทำตัวเป็นท่านผู้ชมเหมือนเดิม แต่เป็นการรับชมโดยไม่มีจินตนาการ 18+ เจือปนแม้แต่น้อย เขาชำเลืองมอง 2 ที ได้ยิน 3 ศรีพี่น้องกล่าวเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “เจี่ยเจีย(พี่สาว)คนดี ใต้เท้าคนดี ผู้อาวุโสคนดี เขียนให้สักคำเถอนะนะเจ้าคะ”
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอตัวผู้เขียน อย่างไรก็ขอเป็นที่ระลึกหน่อยเถอะ”
“ขาดตลาดแล้วจริงๆนะ ไม่พิมพ์เพิ่มแล้วหรือ”
พวกนางเอาหนังสือเล่มเล็กๆที่วาดปกอย่างฉวัดเฉวียนปึกหนึ่งยัดใส่มือหลิ่วหมิงเยียน หนังสือนั่นดูคุ้นๆตาสุดๆ
เสิ่นชิงชิวแอบนึกสงสัย รู้สึกว่าเรื่องนี้คุ้มค่ากับความสนใจอย่างมาก ขณะกำลังคิดจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆว่า อักษรตัวโต 3 คำบนหน้าปกนั้นตกลงมันเขียนว่าอะไรกันแน่ ข้างกายก็พลันปรากฏเงาร่างที่ดูลับๆล่อๆของใครคนหนึ่งขึ้น
เสิ่นชิงชิวเดิน 2 ก้าวเข้าไปถึงด้านหลังคนผู้นั้น แล้วคว้าตัวเขาไว้กล่าวเสียงเย็นยะเยียบว่า “ยังมีหน้าขึ้นมาบนฉยงติ่งเฟิงนะ ไม่กลัวฉีชิงชีจับเฉือนทั้งเป็นรึไง”
พอถูกจับได้ ซั่งชิงหัวก็แทบจะลงไปคุกเข่าเดี๋ยวนั้น แต่พอฟังว่าเป็นเสียงเสิ่นชิงชิว เขาก็ถอนใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก หมุนกายมากล่าวว่า “กวาซยงอย่าทำงี้ซิ จะดีจะชั่วพวกเราก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ต่อสู้ร่วมกันมา อย่ารีบไล่กันเลย”
เสิ่นชิงชิว “กล้าขึ้นชางฉยงซาน นายล้างมลทินให้ตัวเองสำเร็จแล้วรึ”
ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “ถูกต้อง พูดไปเดี๋ยวจะทำให้กวาซยงตกใจเสียเปล่าๆ ผมน่ะอาจจะได้กลับมาเป็นเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงต่อแล้วนะ เป็นเพราะบารมีของปิงเกอเขาล่ะ สันติภาพจงเจริญ”
เสิ่นชิงชิว “เยวี่ยชิงหยวนยอมให้นายกลับมารึ”
ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “นี่เรียกว่าลูกชายเสเพลกลับเนื้อกลับตัว มีค่ายิ่งกว่าทองคำไงล่ะ อีกอย่างผมก็ไม่ได้ทำผิดร้ายแรงอะไร แล้วทำไมเขาจะไม่ยอมให้ผมกลับมาล่ะ”
เสิ่นชิงชิวปล่อยตัวเขา กล่าวอย่างขัดใจว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักเป็นคนดีเกินไปแล้ว”
ซั่งชิวหัวขยับคอเสื้อให้เข้าที่ “ไม่งั้นจะซวยขนาดนี้เหรอ คนดีก็ถูกรังแกงี้ล่ะ”
เสิ่นชิงชิวมองเขาอย่างประเมิน “ทำเรื่องวุ่นวายซะจนนิยายตัวเองเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม นายดูจะไม่เดือดร้อนสักนิดเลยนะ”
ซั่งชิงหัวตอบว่า “อย่าพูดแบบนี้ซิ คุณอาจจะรู้สึกว่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง หาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย แต่สำหรับปิงเกอแล้ว อาจมีความหมายเท่ากับโลกทั้งใบเลยนะ ก็เพราะการทำเรื่องไม่เป็นเรื่องของคุณนี่แหละ”
…ไอ้คุณเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีมันพูดจาพรรค์นี้เป็นด้วยรึนี่
เสิ่นชิงชิวถามอย่างหวาดผวา “ท่านเป็นผู้ใดกันนี่”
ซั่งชิงหัวตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณไม่ต้องทำหน้าแบบนี้หรอก ผมก็เป็นศิลปินหนุ่มที่มีอุดมการณ์คนหนึ่งนะ ก็ต้องมีความคิดมีอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองมั่งแหละ”
เสิ่นชิงชิวหัวเราะหยัน “นายเนี่ยนะ ศิลปินมีอุดมการณ์ ทำไมในนิยายของนาย ฉันอ่านเจอแต่ฉากเซอร์วิสนักอ่านที่ต่ำตมจนไร้ขีดจำกัดล่างล่ะ”
ความเร็วในการเขียนวันละหมื่นตัวอักกร แถมบางทียังบ้าพลังเขียนวันเดียวสองหมื่นตัวออกมาเป็นครั้งเป็นคราว หากไม่มีฮาร์ดแวร์เหล่านี้ ‘เทพมารอหังการ’ ก็ไม่ไม่รอดตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้ว
ซั่งชิงหัวแบมือกล่าว “คุณนึกว่าผมเริ่มต้นมาก็เขียนหนังสือที่มันศีลธรรมหย่อนยานไร้ขีดจำกัดล่างเลยรึไง ผมก็เคยเขียนงานวรรณกรรมบริสุทธิ์มาก่อนนะ ทว่าแต่ละเรื่องไม่เป็นที่นิยมเลยได้แต่เดินตามกระแสคนอื่นๆเขา คุณต้องรู้ว่า เส้นทางชีวิตนักเขียนนิยายเป็นอะไรที่โดดเดี่ยวพอดู แทนที่จะเขียนพระเอกนิยายฮาเร็มที่มีอยู่ให้เกร่อในเว็บจงเตี่ยน ก็สู้ไปสร้างคาแรคเตอร์ของปิงเกอให้มันซับซ้อนขึ้นมาหน่อย มีปมขัดแย้ง มีจุดปะทะทางอารมณ์ เป็นพระเอกที่บุคลิกไม่เหมือนใครกับชะตาชีวิตขึ้นๆลงๆแบบนี้ ยังจะสอดคล้องกับอุดมการณ์ในการเขียนของผมกว่าอีก”
เสิ่นชิงชิวกล่าวสรุป “ดังนั้น อุดมการณ์ในการเขียนของนายก็คือเขียนให้พระเอกเป็นเกย์ไปซะเลยงั้นรึ”
ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “คุณดูถูกพระเอกที่เป็นเกย์รึไง พวกศิลปินก็ชอบวาดชอบปั้นรูปเกย์กันทั้งนั้น งานวรรณกรรมบริสุทธิ์ก็ชื่นชอบเกย์ คุณรู้เปล่า”
เขาชูไม้ชูมืออย่างมีอารมณ์ “กวาซยง หากไม่ใช่เพราะระบบเลือกนักอ่านที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ฮาร์ดคอร์ขนาดคุณมา น่ากลัวว่าเนื้อเรื่องมันคงจะไม่พลิกล็อกไปได้ขนาดนี้ แถมพลิกซะจนกลับไปสู่โครงเรื่องเดิมที่ผมวางไว้เลยทีเดียว ถึงแม้ตัวผมในโลกเดิมจะทนความโดดเดี่ยวไม่ไหว และไหนจะความบีบคั้นทางด้านเศรษฐกิจอีก ผมเลยเลือกที่จะเขียน ‘เทพมารอหังการ’ ตามรสนิยมและความฟินของคนอื่น แต่ตอนนี้ เป็นเพราะคุณ สิ่งที่ผมอยากเขียนได้กางแผ่ออกมาตรงหน้าผมจริงๆแล้ว กวาซยง!”
เขาตบไหล่เสิ่นชิงชิวอย่างซาบซึ้งและจริงใจ “คุณ…คุณคือคนที่ถูกเลือก ส่วนเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของผมก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว!”
…ทำไมถึงฟังแล้วเหมือนว่าระบบกับโลกใบนี้จะเกิดขึ้นมาจากความคับแค้นใจของซั่งชิงหัว นักเขียนที่ต้องหั่นพล็อตเรื่องเพื่อตามกระแสเลยล่ะ
เสิ่นชิงชิวรู้สึกอายที่ได้เป็น ‘คนที่ถูกเลือก’
“ใครเป็นนักอ่านแฟนพันธุ์แท้ของนายกัน”
ซั่งชิงหัวโบกมือ ประกาศชัยชนะอยู่เพียงฝ่ายเดียว “ผมไม่คุยกับคุณละ คุณคือแอนตี้แฟน”
เสิ่นชิงชิวอยากจะบอกว่า ‘ฉันแค่แอนตี้ แต่ไม่ใช่แฟน’ แต่แล้วจู่ๆก็ได้ยินซั่งชิวหัวฮัมอะไรออกมาหงุงหงิงๆ
“อารมณ์อ่อนหวาน ความรักยากจะต้านทาน ริมฝีปากแนบชิด อยากให้ค่ำนี้ยาวนานจนรุ่งสาง ทุกวันคืนไม่สิ้นสุด”
ทำไมทำนองมันถึงคุ้นหูแบบนี้ คุ้นจนเสิ่นชิงชิวคันมือยิกๆ ชี้หน้าเขา “ซั่งชิงหัว ฮัมอะไรน่ะ”
ซั่งชิงหัวฮัมต่อ “ไม่รู้ว่าจากวันนี้จวบพรุ่งนี้ เจิ้นหยางจะแผ่รัศมีสิ้นสุดเมื่อใด เจิ้นหยางผงาดง้ำ เสียงชิวสะอื้น ซิวหย่าไร้ปลอก หยาดน้ำบางเบาร้องขอความเมตตา ขอไม่สำเร็จกลับผงาดซ้ำ…”
เสิ่นชิงชิวไม่อยากจะเชื่อ “ฟัคยู แน่จริงแกร้องอีกประโยคซิ”
ซั่งชิวหัวกล่าวว่า “ลูกพี่เสิ่นทำไมไม่ฟังกันบ้าง บอกแล้วไงว่าห้ามไปฟักใครส่งเดช เดี๋ยวปิงเกอเขาจะโกรธเอา จะบอกให้นะ เพลง ‘แค้นชุนซาน’ ตอนนี้มันกลายเป็นเพลง 18 ลูบคลำ* ไปแล้ว พวกคุณเป็นโฮโมแห่งชาติระดับตำนานไปแล้ว รู้เปล่า คุณปิดปากผม ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่มันจะมีประโยชน์อะไร คุณปิดปากคนทั้งแผ่นดินไม่ได้หรอก…”
(เพลง ‘18 ลูบคลำ’ เป็นเพลงพื้นบ้านที่เกี่ยวกับท่าทางการลูบคลำในแนวลามก มีทั้งที่ร้องต่อกันมาในภาษาจีนแผ่นดินใหญ่ จีนแคะและในภาษาถิ่นไต้หวัน)
ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็จับไอ้คุณเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีอัดไปหนึ่งยกอย่างที่นึกอยากทำมานาน
ต่ำช้า ต่ำช้าเกินไปแล้ว!!!
นักเขียนที่ขุดหลุมแล้วไม่กลบให้เรียบร้อย บุคลิกตัวละครพังไปจนถึงไหนต่อไหนแต่กลับดีอกดีใจ แถมยังบอกนักอ่านว่า YOU CAN YOU UP แล้วลากคนอ่านมาช่วยกลบหลุม ควรจะถูกอัดให้ตายไปเลย
ขณะกำลังเตรียมจะลากไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีที่นอนครางหงิงๆ ตัวแข็งทื่อเป็นศพไปจัดการต่อในป่าทึบ ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียง “อามิตาพุทธ” อันคุ้นหูดังขึ้นจากข้างหลัง
อู๋เฉินต้าซือกล่าวว่า “เจ้ายอดเขาเสิ่นปลอดภัยไร้เรื่องราว นับว่าโชคดีจริงๆ”
เสิ่นชิงชิวหยุดชะงัก หันมาก็เห็นพระชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองรูปของวัดเจาหัวกับเยวี่ยชิงหยวนกำลังเดินมาทางนี้ด้วยกัน
เขาเหวี่ยงซั่งชิงหัวทิ้ง สำรวจเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย ยิ้มออกไปอย่างจริงใจ “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก อู๋เฉินต้าซือ อู๋วั่งต้าซือ”
สีหน้าเยวี่ยชิงหยวนดูแล้วไม่มีตรงไหนดูเป็นคนเจ็บเลย ทั้งยังส่งยิ้มาให้ตนอีกด้วย ส่วนอู๋วั่งมองเสิ่นชิงชิวตาขวางแล้วเดินไปทางอื่นอย่างรังเกียจ สีหน้าเช่นนั้นดูราวกับนักพรตเฒ่าที่ในสมองเต็มไปด้วยมะเร็งร้ายของระบบศักดินากำลังมองดูหญิงคณิกาเลยทีเดียว ทำเอาเขาตัวสั่นยะเยือก
อู๋เฉินต้าซือกล่าวว่า “เจ้ายอดเขาเสิ่นอย่าไปถือสาศิษย์พี่อู๋วั่งเลย นับจากอาตนาเสียขาไปทั้งสองข้างที่เมืองจินหลัน เขาก็เกลียดชังเผ่ามารเหลือกำลัง แม้กระทั่งกับเจ้ายอดเขาเสิ่นก็…”
เสิ่นชิงชิวเอามือลูบจมูก กล่าวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ไม่เป็นไร”
ถูกโล้นเฒ่ารังเกียจ ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนตรงไหนสักนิด
อู๋เฉินต้าซือกล่าวว่า “แต่ตอนนี้เขาก็ดีขึ้นมากแล้ว ระหว่างเทียนหลางจวินพำนักอยู่ที่วัดเจาหัว เขาก็ไม่เคยไปสร้างความลำบากอะไรให้”
เสิ่นชิงชิวถามว่า “เทียนหลางจวินถูกจองจำที่วัดของท่านหรือ”
อู๋เฉินต้าซือกล่าว “ไม่นับว่าจองจำอะไรหรอก อาตมาเพียงอยากสนทนาธรรมกับเขา ขณะเดียวกันก็ช่วยเขายืดเวลาการเสื่อมสลายของสังขารที่สร้างขึ้นจากหญ้าน้ำค้างด้วย รออีกสักสองสามปีพอเขาเข้าที่เข้าทาง ก็แล้วแต่เขาจะเลือกเอาก็แล้วกัน ถึงเวลานั้น เขาอยากจะไปตระเวนท่องเที่ยวภพมนุษย์ต่อ หรือจะนำกระดูกของจู๋จือหลางกลับคืนเผ่ามารก็สุดแล้วแต่ อาตมาว่า บนร่างเขาไม่มีกลิ่นอายอำมหิตอะไรเลย หรือต่อให้เคยมีก็น่าจะสลายไปหมดแล้ว”
อู๋เฉินต้าซือสูญเสียขาทั้งสองข้างที่เมืองจินหลันก็เพราะคนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่เทียนหลางจวินนี่แหละเป็นผู้ส่งมา แต่ท่านกลับยังสามารถมองข้ามเรื่องนี้ได้ เสิ่นชิงชิวอดนึกเลื่อมใสท่านไม่ได้จริงๆ อีกทั้งท่านไม่ได้เมตตาไปทั่วอย่างไม่มีหลักการ
จากกันครั้งหลังสุด เสิ่นชิงชิวก็รู้สึกเช่นกันว่าเทียนหลางจวินไม่น่าจะมีความสนใจอยากทำลายล้างโลกอีกต่อไปแล้ว แต่เดิมนั้นเขาก็ไม่ได้อยากจะทำจริงๆหรือชอบที่จะทำอยู่แล้ว
เพียงแต่พอไม่มีจู๋จือหลางจอมซื่อบื้อคอยติดตามอยู่ด้านหลังช่วยเขาสางบัญชีหนี้ ขับไล่พวกลิ้วล้อตัวประกอบ คอยเสาะหาหนังสือแปลกๆหายากมาให้ บางครั้งบางคราวก็คงจะอดเศร้าไม่ได้
ก็เหมือนเขาในตอนนี้
พวกหลวงจีนวัดเจาหัวขอตัวแยกไปที่อารมฉยงติ่งก่อน
เยวี่ยชิงหยวนในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักกลับไม่ไปด้วย แต่ยังคงยืนอยู่กับที่ มองเสิ่นชิงชิวโดยไม่พูดอะไร ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนนิดๆยังไงไม่รู้
จากนั้น เยวี่ยชิงหยวนเรียกเยาราวกับจะหยั่งเชิง “เสี่ยวจิ่ว…”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ชิงชิวขอรับ”
ถึงแม้จะเป็นการยากที่จะอธิบายความจริงต่อเยวี่ยชิงหยวน แต่เสิ่นชิงชิวก็ยังอยากจะแสดงให้เขาเห็นถึงความแตกต่างระหว่างเขากับตัวออริจินอลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เยวี่ยชิงหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง ยิ้มบางๆ “…ใช่แล้ว ชิงชิว ศิษย์น้องชิงชิว”
เสิ่นชิงชิวมองเสวียนซู่ที่ห้อยเอาเขาอยู่ ยังไม่ทันได้พูดอะไร เยวี่ยชิงหยวนก็เป็นฝ่ายกล่าวขึ้นเสียเองว่า “ศิษย์น้องไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากนี้ปิดด่านฝึกวิชาอีกสักสองสามเดือน ก็คงไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เช่นนั้นจากนี้ไปศิษย์พี่เจ้าสำนักห้ามหุนหันชักกระบี่ออกจากฝักโดยเด็ดขาด พลังฝึกปรือยังฝึกเพิ่มได้ ระดับฝีมือก็ยังเพิ่มได้อีก แต่อายุขัยหาใช่สิ่งที่จะกู้กลับคืนมาได้”
เยวี่ยชิงหยวนส่ายหน้าช้าๆ กล่าวว่า “ที่ไม่อาจกู้กลับคืนมา ไม่ใช่แค่อายุขัยหรอก”
ท่ามกลางเสียงพูดคุยหยอกล้ออย่างสนุกสนานของบรรดาศิษย์วัยเยาว์ที่แว่วมาให้ได้ยินตลอดทาง ไหนจะดอกไม้ไฟที่แตกกระจายอยู่เหนือศีรษะดอกแล้วดอกเล่า ทว่าพวกเขาสองคนกลับเดินมุ่งหน้าไปยังอารามฉยงติ่งอย่างช้าๆ
เยวี่ยชิงหยวนถามว่า “จากนี้ไปตั้งใจจะทำอย่างไร”
เสิ่นชิงชิวกล่าวตอบ “ตอนนี้ยังไม่คิดอะไร รอลั่วปิงเหอกลับมา ดูว่าเขาจะเอายังไง”
เยวี่ยชิงหยวนหัวเราะ “เจ้าช่างเอ็นดูศิษย์คนนี้เสียจริงๆ”
ขณะเสิ่นชิงชิวกำลังใช้ความคิดว่าควรจะตอบอย่างไร จู่ๆเยวี่ยชิงหยวนก็เอ่ยว่า “ศิษย์น้อง หลังจากเจ้าท่องโลกกว้างจนเหนื่อย ชางฉยงซานจะเป็นที่ที่เจ้าสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม และตลอดไป”
เขากล่าวอย่างจริงจังและจริงใจยิ่งนัก
เยวี่ยชิงหยวนเป็นเช่นนี้มาตลอด สิ่งใดที่เขารับปากแล้ว จะต้องรักษาสัญญาจนถึงที่สุด ทำไม่ได้ตามที่รับปากไว้ ก็จะชดใช้ให้อย่างเต็มกำลังไม่ว่าจะต้องสูญเสียสักปานใดก็ตาม
นับจากหลุดเข้ามาเป็นตัวละครในนิยาย เสิ่นชิงชิวปฏิเสธที่จะเป็นเช่นตัวโกงสารเลวในนิยายดั้งเดิมคนนั้น ขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจน และรู้สึกภาคภูมิใจกับการมุ่งเดินใจเส้นทางตรงกันข้ามมาตลอด ไม่เคยมีเวลาไหนสักขณะจิตเดียว ที่เขาจะเกิดความคิดชั่ววูบอย่างหนึ่งได้รุนแรงถึงเพียงนี้
หากเขาเป็นเสิ่นจิ่วจริงๆ ก็คงจะดี
หากคนผู้นั้นสามารถมาได้ยินคำพูดเหล่านี้จริงๆ ก็คงจะดี
เสิ่นชิงชิวยิ่งเดินยิ่งช้า แต่แล้วจู่ๆก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้น ลั่วปิงเหอยืนอยู่บนบันไดหินสีขาวของอารามฉยงติ่งโดยมีฝูงชนคั่นกลางระหว่างพวกเขา
ลั่วปิงเหอยืนอยู่อย่างเดียวดายราวกับรอบข้างไร้ผู้คน คนที่เดินผ่านไปผ่านมา พอเห็นเขาเข้าต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป
เสิ่นชิงชิวก้าวเร็วๆสองก้าวโดยไม่รู้ตัว แล้วเหลียวหน้ากลับไปมองคนที่อยู่ด้านหลัง
“เจ้าไปเถอะ” เยวี่ยชิงหยวนกล่าว เขายืนอยู่ข้างหลังเสิ่นชิงชิวอย่างเงียบๆและปลาบปลื้มยินดี เหมือนอย่างที่ทำมาตลอด และจะทำเช่นนี้ตลอดไป
มีอยู่ปีหนึ่ง เผ่ามารที่ไม่รู้จักดีชั่วบุกขึ้นฉยงติ่งเฟิงมายั่วยุท้าทาย ทุบฟาดเผาทำลายอยู่พักหนึ่ง และยังเอาค้อนทุบหินปูพื้นเสียหายไปหนึ่งแถบ
ลั่วปิงเหอกำลังจ้องมองรอยแยกที่พื้น จู่ๆก็ได้ยินเสียงคลี่พัดด้ามจิ้วอันคุ้นหูดังขึ้น รองเท้ายาวสีขาวเหยียบลงบนพื้นหินที่บัดนี้เป็นรอยกระดำกระด่าง
เขาเงยหน้าขึ้นทันที
เสิ่นชิงชิวโบกพัดด้ามจิ้ว “ห้ามถามอะไรทั้งนั้น เหวยซือจะถามเจ้าก่อน ในฐานะที่เป็นศิษย์ ทำไมไม่สงบเสงี่ยมรอซือจุนฟื้นขึ้นมา แต่กลับวิ่งพล่านไปไหนไม่รู้”
ลั่วปิงเหอพยายามสะกดข่มสีหน้าตื่นเต้นพลุ่งพล่าน ตอบอย่างอดกลั้นว่า “ทุกคนที่ชางฉยงซานล้วนไม่ต้อนรับข้า ข้าเลยได้แต่คอยมาแอบดูท่านเป็นระยะๆ เมื่อครู่ไปที่ถ้ำหลิงซีแล้วไม่พบซือจุน ยังนึกว่าซือจุนถูกพวกเขาเอาไปซ่อน หรือไม่…ก็จากไปอีกแล้ว…”
เสิ่นชิงชิวได้ฟังคำอธิบายที่แฝงแววตัดพ้อนิดๆนั่นแล้วก็อดนึกถึงที่ซั่งชิงหัวเพิ่งจะพูดไว้ไม่ได้
หากเขาไม่ได้เข้ามาทำป่วน ไม่แน่ว่าลั่วปิงเหออาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายอย่างถึงที่สุด กลายเป็นชายหนุ่มผู้มืดมน จับเขาฉีกจนกลายเป็นท่อนเนื้อกุดๆ สาปแช่งโลกหล้าและสาปแช่งตัวเองอย่างในนิยายดั้งเดิมคนนั้นก็เป็นได้ ถึงแม้ตอนนี้จะกลายมาเป็นชายหนุ่มผู้งมงายในรักซึ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ยังพอจะมีส่วนให้คนรักคนสงสารอยู่บ้าง
อย่างน้อยในเวลานี้เขาก็เพิ่งพบว่า ตัวเขาก็แพ้ทางลั่วปิงเหอในจุดนี้จริงๆ
เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “รู้ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับ กลับยังส่งข้ามาที่ชางฉยงซานแต่โดยดีเนี่ยนะ”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ข้านึกว่าตอนซือจุนฟื้นขึ้นมา จะต้องอยากเห็นชางฉยงซานก่อนอื่นใดเป็นแน่…”
เสิ่นชิงชิวขว้างพัดใส่หัวเขาโดยไม่สนภาพลักษณ์แม้แต่น้อย
เขากล่าวอย่างขัดใจว่า “ที่เหวยซืออยากเห็นมากที่สุดก่อนอื่นใดก็คือเจ้าต่างหาก!”
ลั่วปิงเหอถูกพัดเขวี้ยงใส่เข้าไปอย่างจังแต่กลับยังหน้าแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเริ่มมีน้ำเอ่อออกมาคลอหน่วย ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
เสิ่นชิงชิวถูกสายตาเช่นนี้ของเขามองจนแข้งขาอ่อนยวบ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงกระบี่และเสียงตะโกนดังขึ้นรอบด้าน
หยางอี้เสวียนยืนอยู่บนหลังคาของอารามฉยงติ่ง ตวาดว่า “เผ่ามารผู้นั้นย่องมาตามตอแยอาจารย์ลุงเสิ่นอีกแล้ว!”
เสียงตอบรับดังขึ้นพร้อมกัน มีคนร้องว่า “เจ้านั่นยังกล้ามาอีกแน่ะ! จับอาวุธๆ อ้าว อาวุธข้าล่ะ!”
“ศิษย์พี่ นั่นกระบี่ข้านะ คืนข้ามา! ท่านอยากต่อยตี ก็กลับไปเอากระบี่ตัวเองมาซิ!”
มิน่า ลั่วปิงเหอถึงไม่อยู่รอจนเขาตื่น หากเขายังอยู่ที่ชางฉยงซานก็จะมีคนมาคอยร้องตะโกนท้าตีท้าต่อยอยู่ร่ำไป แลเห็นได้ชัดว่าได้รับ ‘การต้อนรับอย่างอบอุ่น’ มากจริงๆ
เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างจนใจว่า “อืม ไม่เลว เจ้าตัดสินใจถูกต้องแล้ว สภาพการณ์เช่นนี้ เจ้าได้แต่ย่องเข้ามาจริงๆ”
ลั่วปิงเหอกดเสียงต่ำ “ก็ข้าบอกแล้วว่าที่นี่ไม่ต้อนรับข้า”
เสิ่นชิงชิวลูบศีรษะเขา “ไม่เป็นไร เหวยซือต้อนรับเจ้าก็แล้วกัน”
ฉยงติ่งเฟิงระงมไปด้วยเสียงตะโกนจะฆ่าจะฟัน จริงบ้างขู่บ้าง ล้วนแล้วแต่เป็นเสียงของศิษย์กลุ่มที่คันไม้คันมือกลัวโลกจะไม่สงบสุขทั้งสิ้น แต่คนอื่นๆส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่รักสงบ ซึ่งเพียงเห็นลั่วปิงเหอ เจ้ามารร้ายในคราบมนุษย์ ก็จะทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้าง
เสิ่นชิงชิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไปกันดีกว่า”
ลั่วปิงเหอตั้งตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง “ไปหรือขอรับ”
เสิ่นชิงชิวพยักหน้า “เจ้ามิใช่บอกว่าที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้าหรอกหรือ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ไปยังที่ที่ต้อนรับเจ้า”
เขายังกล่าวเสริมอีกว่า “คราวนี้ ไม่ว่าเจ้าอยากจะไปที่ไหน เหวยซือจะไปกับเจ้า”
ใบหน้าที่ปกติแล้วดูฉลาดเฉลียวของลั่วปิงเหอ เป็นเพราะประโยคนี้กลับดูเซ่อซ่าไปแล้ว ทำเอาแทบจะทนมองไม่ได้
บนฉยงติ่งเฟิงนอกจากศิษย์ของชางฉยงซานแล้ว ยังแออัดไปด้วยซิวซื่อจากทุกสำนักที่ได้รับเชิญมาร่วมพิธีฉลอง แต่ละคนล้วนประสาทสัมผัสเฉียบคมเป็นเยี่ยม อีกทั้งเสิ่นชิงชิวเองก็ไม่ได้จงใจข่มเสียงแม้แต่น้อย ไหนเลยจะไม่ได้ยินกันถนัดหู ทุกคนล้วนพร้อมใจกันแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดราวกับนัดกันไว้ ชี้ชวนกันดูดอกไม้ไฟบนฟ้า พูดคุยหัวเราะกันลั่นเสียจนหลังคาวิหารแทบจะพลิก
พวกเขาให้ความร่วมมือเช่นนี้ ก็เพราะเห็นแก่หน้าตาของชางฉยงซาน
แต่หลิ่วชิงเกอกลับไม่รับน้ำใจ กระโดดลงมาจากชายคา พุ่งเข้ามาตะโกนเรียกเสิ่นชิงชิวอย่างโมโห “นี่!”
ฉีชิงชีแหวอย่างเหลืออด “…มารดาไม่สนด้วยแล้ว! อยากจะไปไหนก็ไปเลย! เสิ่นชิงชิวเจ้ามัน…พวกเจ้าสองคนช่าง..หมิงเยียน ไปเร็ว! มัวดูอะไรอยู่! มีอะไรน่าดูกัน ไม่เคยเห็นคนหน้าด้านหรือไร!”
“ศิษย์น้องหญิง อย่าก่อวจีกรรมเลย ภาพลักษณ์อะไรกัน ชางฉยงซานของพวกเราน่ะ…”
ชางฉยงซานในเวลานี้ นอกจาชอบปกป้องพวกพ้องเอย มีมือรื้อถอนมหาประลับเอย สนิทกับเผ่ามารเอย แถมยังมีคู่ศิษย์อาจารย์เป็นพระเอกนิยายลามกด้วย ยังจะมีภาพลักษณ์อะไรอื่นให้ผู้คนจดจำอีกรึ เสิ่นชิงชิวคิดๆแล้ว ก็พูดอะไรไม่ออก
เดิมทีเขากุมมือลั่วปิงเหออยู่ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กลายเป็นว่าลั่วปิงเหอเป็นฝ่ายกุมมือเขา
เขารู้สึกได้ถึงนิ้วทั้งห้าบนหลังมือที่ค่อยๆกระชับแน่นเข้ามาจนเกาะกุมไว้มั่น และออกแรงบีบจนเจ็บ
ลั่วปิงเหอค่อยเงยหน้าขึ้น ธารดาราทั่วฟ้าเรืองประกายระยิบระยับอยู่ในดวงตาของเขา ประหนึ่งว่าหากพลั้งเผลอไม่ระวัง ก็จะหยาดหยดบางสิ่งบางอย่างที่แวววาวดุจดวงแก้วลงมากระนั้น
เสิ่นชิงชิวเห็นจนชินตาแล้ว เขาหันหน้ามา รู้สึกจิตใจแจ่มกระจ่างดุจเดียวกับพระถังซัมจั๋งตอนรับพระไตรปิฎก
กว่าจะผ่านอุปสรรค 81 ด่านและความทุกข์เข็ญนานัปการจนสำเร็ดมรรคผลในที่สุด ก็ปล่อยให้เขาร้องไห้ไปเถอะ ถึงอย่างไรลั่วปิงเหอก็เป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว เนื้อเรื่องที่พลิกผันปั่นป่วนเสียจนเป็ดไก่บินกันกระเจิง หมาแมววิ่งพล่าน ฟ้าฝ่าทะลวงร่างขนาดนี้ บอกตามตรงว่าตนก็อยากร้องไห้เหมือนกัน
สำหนับการยกเครื่องแบบพลิกโฉมหน้าของนิยายที่มหัศจรรย์พันลึกเรื่องนี้ เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีไม่มีอะไรต้องเสียใจอีกแล้วในชีวิต
ส่วนเจวี๋ยซื่อหวงกวาจอมแขวะไร้เทียมทานก็ไม่อาจพูดได้ว่ายังคงรังเกียจนิยายเรื่องนี้อยู่
นักเขียนไม่กลบหลุม ตูกลบของตูเองก็ได้ ทอดตาดูประวัติศาสตร์ของนิยายแนวฮาเร็มบนเว็บจงเตี่ยน มีนักอ่านคนไหนบ้างล่ะที่จะได้กระโจนลงมาเล่นเองอย่างเขา ทุ่มเทเลือดเนื้อจิตใจกลบหลุมจนหมดตัว เพียงเพื่อกอบกู้ค่า B ของนิยาย YY ที่เขียนด้วยฝีมือระดับเด็กประถมไร้สมองและเนืองนองไปด้วยฉากติดเรทเรื่องนี้
ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้มาอาจจะคลาดเคลื่อนจากเป้าหมายไปบ้าง แต่อย่างน้อยที่บอกว่า ‘YOU CAN YOU UP, NO CAN NO BB’ เขาก็ทำได้สำเร็จแล้ว
วินาทีที่พลิกเปิดอ่าน ‘เทพมารอหังการ’ เรื่องราวก็เริ่มต้นไปตามปกติ แต่วินาทีที่พลิกปิด ‘เทพมารอหังการ’ เรื่องราวกลับยังไม่สิ้นสุด
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อเรื่องราวที่ผู้คนเล่าขานกันสิ้นสุดลง แต่เรื่องราวของสองเรากลับเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง