Skip to content

Scumbag System 31

ตอนพิเศษ 10

บทสัมภาษณ์สบายๆ เสิ่น-ลั่ว ว่าด้วย 100 คำถามคู่รัก*

(100 คำถามคู่รัก เป็นแบบทดสอบสนุกๆ ว่าคู่รักจะตอบตรงกันไหม ซึ่งชุดคำถามเหล่านี้หาได้ทั่วไปทางอินเตอร์เน็ต และถูกนักเขียนหลายท่านนำไปเขียนล้อเลียน)

ผู้ให้สัมภาษณ์ : ลั่วปิงเหอ x เสิ่นชิงชิว

ผู้ดำเนินการสัมภาษณ์ : เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี

ผู้เตรียมคำถาม : ระบบ

ระบบของเซี่ยงเทียนต่าเฟยจมอบหมายภารกิจให้เขาหนึ่งอย่าง โดยมาพร้อมกับแบบสอบถามที่พิลึกกึกกือชุดหนึ่ง เป็นแบบสอบถามที่ไม่รู้ว่าตกลงแล้วจะถามไปเพื่ออะไรกันแน่ ยิ่งอ่าน คำถามก็ยิ่งอุบาทว์ขึ้นเรื่อยๆ

แต่ว่า ถึงจะอุบาทว์ยังไง เขาก็ต้องสะสมแต้มนี่นะ

หลังจากยอมละทิ้งศักดิ์ศรี (ซึ่งเดิมก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว) ไปวิงวอนขอร้องลูกพี่เสิ่น ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็ยอมฝืนใจพาศิษย์ผู้นั้นที่เขาเลี้ยงต้อย เอ๊ยไม่ใช่ เลี้ยงจนโตมาให้สัมภาษณ์

ผลจึงออกมาเป็นดังข้างล่างนี้

 

ซั่งชิงหัว “โปรดบอกชื่อของพวกเจ้าด้วย”

ลั่วปิงเหอที่เพิ่งจะนั่งลงได้ยินคำถามนี้เข้า ก็เลิกคิ้วทีหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “กระทั่งชื่อยังไม่รู้ แล้วจะมาถามทำไม”

ซั่งชิงหัว “อายุของเจ้าคือ”

“…”

พูดกันตามสัตย์ เสิ่นชิงชิวก็ไม่รู้อายุที่แท้จริงของร่างนี้เหมือนกัน เขาเงยหน้าขึ้นมองซั่งชิงหัว “เจ้าควรจะรู้ดีกว่าใครไม่ใช่รึ”

ซั่งชิงหัวควงพู่กัน นึกในใจว่าคำถามนี้เขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน งั้นก็มั่วเอาแล้วกัน ว่าแล้วก็ตวัดพู่กันเขียนตัวเลขไปสองตัว

 

ซั่งชิงหัว “เพศของท่านคือ”

เปิดฉากด้วยสามคำถามปัญญาอ่อนติดกัน ลั่วปังเหอเลยขี้เกียจจะตอบ เสิ่นชิงชิวก็อดรนทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน “ถูกจัดให้อยู่หมวดนิยายรักของเว็บจจ. นายว่าไงล่ะ”

ซั่งชิงหัวขีดคำถามไร้สาระระดับเดียวกันนี้ทิ้งไป 30 กว่าข้ออย่างเงียบๆ จากนั้นถามใหม่ว่า “นิสัยของเจ้าเป็นอย่างไร”

เสิ่นชิงชิวคิดก่อนจะกล่าวว่า “ยังพอจะใช้ได้อยู่มั้ง ยังไงผู้แซ่เสิ่นก็น่าจะจัดอยู่ในประเภทคบง่ายนะ”

ลั่วปิงเหอ “ไม่รู้สิ”

ซั่งชิงหัว “นิสัยของอีกฝ่ายล่ะ”

เสิ่นชิงชิวร่ายไปทีละอย่าง “ขี้แย อ่อนไหวเหมือนเด็กผู้หญิง ความรักขึ้นสมอง เอาแต่ใจ เกาะหนึบเป็นตังเม”

ในดวงตาลั่วปิงเหอเริ่มในน้ำเป็นประกาย รู้สึกเหมือนถูกรังเกียจเข้าแล้ว เกิดเป็นความเจ็บปวดนิดๆ แต่ก็ยังคงตอบคำถามให้โดยดี “นิสัยของซือจุนแน่นอนว่าดีที่สุด ทั้งอบอุ่นอ่อนโยน ทั้งกล้าหาญ ทั้งคอยดูแลห่วงใย”

เสิ่นชิงชิว “…”

ทำไมอยู่ๆ ก็รู้สึกละอายขึ้นมาล่ะนี่

เขากระแอมสองที กล่าวเสียใหม่ว่า “เด็กคนนี้ความจริงแล้วนิสัยไม่เลวเลย มีข้อดีประการหนึ่งที่หาได้ยากนัก คือว่าง่าย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

ลั่วปิงเหอแก้มแดงเรื่อ

 

ซั่งชิงหัวถามห้วนๆ “พวกเจ้าพบกันครั้งแรกตอนไหน และที่ไหน”

คำถามนี้เขาเองก็รู้คำตอบนะนี่

ลั่วปิงเหอ “ครั้งแรกที่พบซือจุน เป็นตอนที่ข้าเพิ่งผ่านการทดสอบเพื่อ

เข้าเป็นศิษย์ชางฉยงซาน…..”

เสิ่นชิงชิวอึดอัดเล็กน้อย คนที่ลั่วปิงเหอได้พบในตอนนั้นไม่ใช่ตน แต่เป็นตัวออริจินอล อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ความทรงจำที่ดีอะไรเลย

เขาโบกพัด “ผ่านๆ!”

 

ซั่งชิงหัว “ความประทับใจแรกในตัวอีกฝ่าย”

ลั่วปิงเหอย้อนรำลึกความจำต่อ กล่าวเสียงเบาหวิวว่า “เซียนผู้สูงส่ง ได้แต่มองอยู่ไกลๆ แต่ไม่กล้าอาจเอื้อม”

เสิ่นชิงชิวกล่าวตามความจริง “ซาลาเปาลูกหนึ่ง” แถมยังเป็นละอ่อนน้อยที่หล่อมากด้วย

 

ซั่งชิงหัว “ชอบส่วนไหนของอีกฝ่าย”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างใจดีมีเมตตา “ว่าง่ายดี”

ลั่วปิงเหอยิ้มบาง “ไม่ว่าจะแง่ไหนของซือจุนข้าก็ชอบหมด”

 

ซั่งชิงหัว “ไม่ชอบส่วนไหนของอีกฝ่าย”

ลั่วปิงเหอตอบโดยไม่ลังเล “ไม่มี”

เสิ่นชิงชิวเห็นเขาตอบได้อย่างเด็ดขาดราวกับตัดตะปูตัดเหล็กเช่นนี้ก็ซึ้งใจนิดๆ ซึ้งมาก็ซึ้งกลับไป กล่าวบ้างว่า “ไม่มี”

ขืนพูดถึงส่วนที่ไม่ชอบจริงๆ ละก็ เป็นได้ทำให้เขาร้องไห้ออกมาต่อหน้าคนนอกแน่ แบบนั้นละก็ขายขี้หน้าตายเลย

 

ซั่งชิงหัว “ท่านเรียกอีกฝ่ายว่าอย่างไร”

ลั่วปิงเหอหมดอารมณ์ หันมาถามว่า “ซือจุน คำถามพวกนี้ช่างพิลึกกึกกือเสียจริงๆ ตกลงพวกเรามาทำอะไรกันหรือขอรับ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ปิงเหอเด็กดี ตามๆ น้ำไปก็พอ นึกเสียว่าช่วยชีวิตอาจารย์อาซั่งของเจ้าสักครั้งเถอะนะ”

 

ซั่งชิงหัว “อยากให้อีกฝ่ายเรียกอย่างไร”

ลั่วปิงเหอหน้าแดง

เสิ่นชิงชิวเห็นเขาทำท่าเอียงอาย ก็นึกสังหรณ์ในใจขึ้นมาตงิดๆ โบกไม้โบกมือกล่าวว่า “ผ่าน! ผ่านๆๆ!”

ซั่งชิงหัวเห็นว่าแบบนี้ต้องได้อะไรเด็ดๆ แน่เลยรีบยุ “ผ่านอะไรเล่า กี่ข้อกี่ข้อ ก็ผ่านๆๆๆ แบบนี้ยังจะมีอะไรให้ถามอีกละ ปิงเกอ เอ๊ย ศิษย์หลาน พูดออกมาได้เลย”

ลั่วปิงเหอเหลือบมองเสิ่นชิงชิวอย่างขลาดๆ ทีหนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “ก็เรียกอย่างที่คู่สามีภรรยาทั่วไปเขาเรียกกันนั่นแหละ”

ซั่งชิงหัวรีบพูดทันที “ลูกพี่เสิ่นได้ยินแล้วใช่ไหม ปิงกะ…เอ๊ย ศิษย์หลานอยากเรียกเจ้าแบบคู่สามีภรรยาเขาเรียกกัน เซียงกง* ฟูจวิน เหล่ากง เจ้าเลือกเอาสักอย่างก็แล้วกัน”

(เซียงกง ฟูจวิน คือคำเรียกลามีแบบยกย่องสุภาพ เหล่ากงเป็นคำเรียกสามีแบบสนิทสนม)

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เจ้าหุบปากไปเลย”

 

ซั่งชิงหัว “หากใช้สัตว์มาเปรียบ เจ้าคิดว่าอีกฝ่ายคือ?”

ลั่วปิงเหอตอบโดยไม่ต้องคิด “กระเรียนขาว”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ถ้าเป็นสัตว์จะนึกไม่ออก แต่ถ้าเป็นพืชละก็มีดอกบัวดำ*มั้ง”

(ดอกบัวคำ อุปมาถึงคนที่ภายนอกดูสูงส่งบริสุทธิ์ อ่อนแอน่าทะนุถนอม แต่ภายในชั่วร้าย)

ลั่วปิงเหอถามอย่างไม่เข้าใจ “ซือจุน ดอกบัวมีสีดำด้วยหรือขอรับ”

 

ซั่งชิงหัว “หากจะส่งของขวัญให้อีกฝ่าย จะเลือกส่งอะไร แล้วตัวเองอยากได้อะไร?

ลั่วปิงเหอตอบว่า “ขอเพียงซือจุนเอ่ยมา ไม่ว่าของอะไรข้าก็ให้ได้ทั้งนั้น”

เสิ่นชิงชิวกล่าวตามตรง “เหมือนจะไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษนะ”

ในฐานะที่เป็นเจ้ายอดเขาคนหนึ่ง ไม่มีของใดลำบากเกินเอื้อมจริงๆ นั่นแหละ คิดดูก็เหมือนนั่งอยู่บนภูเขาทองคำ รู้สึกสิ้นเปลืองจริงๆ

ลั่วปิงเหอตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าขอให้ซือจุนอยู่กับข้าสามวันโดยไม่สนใจผู้ใด”

ซั่งชิงหัวเอาลิ้นแตะปลายพู่กัน พึมพำว่า ทำไมถึงไม่ขอตลอดชีวิตเลยล่ะ”

ลั่วปิงหอส่ายหน้า “เดี๋ยวซือจุนไม่มีความสุข”

เห็นเขามีท่าทีตรอมตรมราวกับเมียผู้ชอกช้ำ ซั่งชิงหัวก็อ้าปากค้าง

เสิ่นชิงชิวกลับตอบสบายๆ ว่า “เจ้าเด็กคนคิดอะไรสะเปะสะปะอีกแล้วเหวยซือไม่มีความสุขตรงไหนกัน”

 

ซั่งชิงหัว “ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าไปถึงขั้นไหนกันแล้ว”

เสิ่นชิงชิว “ที่ควรทำก็ทำแล้ว ที่ไม่ควรทำก็ทำไปแล้วอีกเหมือนกัน”

ลั่วปิงเหอตัดพ้อ “ทำไมถึงมีที่ไม่ควรทำด้วยล่ะ หรือซือจุนคิดว่าพวกเรา…ไม่ควรจะทำอย่างนั้นหรือ”

เสิ่นชิงชว “เปล่านะ หากมีเรื่องที่ไม่ควรทำจริงๆ เหวยซือก็ไม่ปล่อยให้เจ้าทำอยู่แล้ว”

 

ซั่งชิงหัว “พวกเจ้ามีนัดแรกกันที่ไหน”

ลั่วปิงเหอตอบว่า “คุกน้ำวังฮ่วนฮวา”

ซั่งชิงหัว “…”

เสิ่นชิงชิว “…”

ปิงเกอ ท่านเรียกว่าของแบบนั้นว่านัดเหรอ?!

 

ซั่งชิงหัว “บรรยากาศดอนนั้นเป็นอย่างไร”

ลั่วปิงเหอตอบว่า “ไม่ดีนัก”

ความจริงแล้วเอาคำว่า ‘ไม่ดีนัก’ มาใช้บรรยายไม่ได้เลยต่างหาก

 

ซั่งชิงหัว “แล้วสถานที่ที่นัดเจอกันเป็นประจำล่ะ”

เสิ่นชิงชิวเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง “พอลืมตาตื่น ที่เห็นก็คือเขา พอหลับตา ที่เห็นในฝันก็ยังคงเป็นเขาอีกนั่นแหละ นี่จะถือเป็นการนัดเจอกันตลอดเวลาได้ไหม”

ลั่วปิงเหอถามอย่างระมัดระวังว่า “ซือจุนรู้สึกเบื่อหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวลูบหลังเขา “ไม่เลย เจ้าน่ะชอบคิดมากอยู่เรื่อย”

ซั่งชิงหัวนึก ใครเป็นแฟนปิงเกอ ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าเป็นแฟนปิงเม่ย นี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนิ นี่เพิ่งไม่กี่คำถาม ท่านเสิ่นก็ต้องปลอบเขาถึงสามครั้งแล้ว แก้วดวงใจอันเปราะบางแตกแล้วก็ประสาน ประสานแล้วแตกใหม่ แล้วก็ประสานไปเรื่อยๆ แบบนี้เมื่อไหร่จะสัมภาษณ์เสร็จล่ะนี่ รำคาญตายชัก! เสิ่นชิงชิวเลยดูเหมือนครูอนุบาลที่คอยดูเด็กเลย

 

ซั่งชิงหัว “ใครเป็นฝ่ายสารภาพรักก่อน”

ลั่วปิงเหอ “ข้า”

เสิ่นชิงชิว “ก็ต้องเขาอยู่แล้ว”

 

ซั่งชิงหัว “อีกฝ่ายทำอะไรแล้วคุณจะรู้สึกหมดปัญญารับมือ”

เสิ่นชิงชิวแบมือกล่าวอย่างจนใจ “เวลาเขาร้องไห้สะอึกสะอื้นนี่เลยที่ทำให้ข้าทำอะไรไม่ถูก”

ลั่วปิงเหอ “เวลาซือจุนโกรธขึ้นมา ข้าก็หมดปัญญาจะรับมือแล้ว”

ซั่งชิงหัวทำเสียงอ่าฮะ เขย่าขา จดคำตอบลงกระดาษพลางนึกแขวะอยู่ในใจว่า เหมือนครูกับนักเรียนอนุบาลจริงๆ

 

ซั่งชิงหัว “เวลาพวกคุณสองคนอยู่ด้วยกัน เรื่องอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกใจเต้นได้มากที่สุด”

ลั่วปิงเหอตอบอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า “ตอนซือจุนลูบหัว แล้วก็สอนข้า”

เสิ่นชิงชิว “เอ่อ ตอนเขาขอร้องข้าด้วยน้ำตานองหน้าละมั้ง”

ลั่วปิงเหอกล่าวอีกว่า “แล้วก็ตอนดุข้า ทุบตีข้า…”

เขาร่ายอย่างเคลิบเคลิ้ม เสิ่นชิงชิวซินชาจนถือเป็นเรื่องปกติแล้ว

ซั่งชิงหัวเพิ่มหมายเหตุลงไปข้างชื่อลั่วปิงเหอเงียบๆ ว่า ‘สาย M เข้ากระดูกบกินเยียวยา’

 

ซั่งชิงหัว “เจ้าเคยโกหกอีกฝ่ายหรือไม่ เจ้าโกหกเก่งหรือไม่

เพิ่งจะถามคำถามนี้เสร็จ เขาก็เขียนคำว่า ‘โกหกเป็นไฟ’ ตัวโตๆ ไว้ข้างหลังชื่อลั่วปิงเหอ

ลั่วปิงเหอตอบว่า “เคย แต่ต่อไปนี้ไม่แล้ว”

 

ซั่งชิงหัว “เคยทะเลาะกันหรือไม่ ส่วนใหญ่ทะเลาะกันเรื่องอะไร”

เสิ่นชิงชิวถอนใจ “ทะเลาะกันรุนแรงเชียวล่ะ ตอนนี้มาคิดดู ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทะเลาะกัน อันที่จริงก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ทั้งนั้น”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เอาแต่ถามเรื่องพวกนี้ทำไมกัน รังแต่จะทำให้ซือจุนไม่มีความสุขโดยใช่เหตุ”

ซั่งชิงหัวแบมือกล่าวว่า “ถือเป็นความผิดของข้าก็แล้วกัน”

 

ซั่งชิงหัว “หลังจากนั้นคืนดีกันได้อย่างไร”

เสิ่นชิงชิวโบกมือ “ปั้บๆๆ คือผู้กอบกู้โลกใบนี้”

 

ซั่งชิงหัว “ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนหรือว่าเป็นความลับ”

เสิ่นชิงชิวย้อนถาม “เจ้าเคยได้ยิน ‘แค้นซุนซาน’ ไหมล่ะ”

 

จากนั้นคำถามต่อๆ มาก็ดิ่งลงต่ำกว่าใต้สะดือทั้งหมด

ซั่งชิงหัวกระแอมให้คอโล่ง “ขอถามหน่อยว่าเจ้าอยู่ฝ่ายรุกหรือว่ารับ”

ลั่วปิงเหอไม่เข้าใจ “แปลว่าอะไร”

เขาไม่เข้าใจจริงๆ ส่วนเสิ่นชิงชิวแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ โบกพัดกล่าวว่า “ไม่มีใครรู้ว่าแปลว่าอะไร งั้นผ่านๆๆ”

 

ซั่งชิงหัวถามว่า “ทำไมถึงตกลงใจเช่นนี้”

เสิ่นชิงชิวคิดๆ ก่อนตอบ “ข้าก็ไม่รู้ มั่วๆ ซั่วๆ ก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว อาจเพราะ…รู้สึกว่าเขาน่าสงสารมั้ง”

ลั่วปิงเหอถามอย่างสงสัย “ข้าก็ยังคงไม่เข้าใจคำถามอยู่ดี”

เสิ่นชิงชิวตบๆ กระหม่อมเขา กล่าวอย่างจริงใจว่า “ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ยังไงเจ้าก็ไม่ขาดทุนหรอก”

 

ซั่งชิงหัว “สถานที่ที่มีสัมพันธ์แบบเนื้อแนบเนื้อครั้งแรกคือที่ไหน”

เสิ่นชิงชิวกำลังจะตอบ “เทือกเขาฝัง…” ลั่วปิงเหอก็ชิงตอบว่า “ชิงจิ้งเฟิง”

ลั่วปิงเหอชิงกล่าวย้ำ “ชิงจิ้งเฟิง เรือนไผ่”

เสิ่นชิงชิวคิดในใจ เอาเถอะ ลั่วปิงเหอไม่ยอมรับครั้งแรกที่ล้มเหลวนั่นสินะ ชิงจิ้งเฟิงก็ชิงจิ้งเฟิง ไม่แก้ก็ได้ เถียงไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เอาที่สบายใจเลยละกัน

 

ซั่งชิงหัว “ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร”

เสิ่นชิงชิวไม่ส่งเสียง

หากพูดความจริงออกไปก็มีแค่สามคำ ‘เจ็บ เจ็บ เจ็บ’ แต่จะเป็นการหักหน้าลั่วปิงเหอต่อหน้าคนอื่นเกินไป

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างทดท้อ “ซือจุนวิเศษจริงๆ แต่ข้าซิไม่ได้เรื่องเลย”

 

ซั่งชิงหัว “เช้าวันต่อมาของค่ำคืนแรก ประโยคแรกของเจ้าคือ”

ลั่วปิงเหย “ซือจุน อาหารเช้าเสร็จแล้วขอรับ”

เสิ่นชิงชิว “อย่าเพิ่งพูดอะไร ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน”

 

ซั่งชิงหัว “แต่ละเดือนร่วมหอกันกี่ครั้ง”

เสิ่นชิงชิวไม่อยากจะเชื่อ “ใครมันจะว่างไปนับของพรรค์นี้กัน แล้วก็นะ ทำไมคำถามมันถึงได้วิปริตขึ้นทุกที

ลั่วฝั่งเหอตอบอย่างตั้งอกตั้งใจว่า “นับคร่าวๆ ก็ทุกสามวัน หากซือจุนอารมณ์ดี บางครั้งสองวันก็ยอมให้ข้าแตะต้องครั้งหนึ่ง

ซั่งชิงหัวกัดพู่กัน จดไปก็บ่นพึมพำ นี่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยนะ คาแรคเตอร์ที่เราวางไว้ จากต้นเดือนยันท้ายเดือนไม่เคยเว้นว่างก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา

 

ซั่งชิงหัว “ส่วนใหญ่แล้ว สถานที่ที่แนบชิดสนิทสนมกันมักเป็นที่ไหน”

เสิ่นชิงชิว “เขามักจะฝังใจกับเรือนไผ่เป็นพิเศษ”

ลั่วปิงเหอพยักหน้ายิ้มจนตาหยี “อื้ม”

ซั่งชิงหัว “เจ้ามีที่ที่อยากลองไป (เซ็นเซอร์) ดูบ้างไหม”

เสิ่นชิงชิว “ทำที่ไหนก็เหมือนกัน จะเปลี่ยนที่ทำไม”

ลั่วปิงเหอตอบง่ายๆ “ไป๋จั้นเฟิง”

ทั่วทั้งห้องเงียบกริบ

ลั่วปิงเหอกล่าวหน้าตาเฉย “ลานฝึกวิชาของไป๋จั้นเฟิง”

เสิ่นชิงชิว “…” : เอากับเขาสิ!

ซั่งชิงหัว “…” : ไม่รักหน้าหรือว่าไม่รักชีวิตเนี่ย

 

ซั่งชิงหัว “เวลา (เซ็นเซอร์) ก้น พวกเจ้าตกลงกันว่าอย่างไร”

ลั่วปิงเหอ “ถ้าเจ็บต้องบอก ต้องบอกเลยนะ”

เสิ่นชิงชิว “ห้ามร้องไห้!”

ซั่งชิงหัว “ข้าว่าพวกเจ้าเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ตกลงกัน’ ผิดไปรึเปล่า”

 

ซั่งชิงหัว “คำพูดที่ว่าหากไม่ได้หัวใจมา อย่างน้อย ก็ต้องได้ตัวมาครอง เจ้าเห็นด้วยหรือไม่กับความคิดนี้”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ลูสเซอร์ ความคิดของพวกขี้แพ้ชัดๆ”

ลั่ตัวปิงเหอตอบว่า “ไม่มีใจให้ ได้ตัวมาจะมีประโยชน์อะไร”

ซั่งชิงหัวรู้สึกสลดใจเป็นอันมาก ลั่วปิงเหอที่เขาเขียนขึ้นมา เห็นชัดว่าเป็นม้าพ่อพันธุ์ไร้เทียมทานที่แสวงหาแต่ (เซ็นเซอร์) ตัวหนึ่งเคยจับสาวๆ ขึง (เซ็นเซอร์) อย่างน้อยก็เลข 2 หลักละ

เขารู้ว่าลั่วปิงเหอที่อยู่ในโลกอันแสนจะพิลึกกึกกือใบนี้กลายเป็นเกย์ไปแล้ว แต่เขาเป็นเอามากถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ตกต่ำมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร!

 

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “หากว่าอีกฝ่ายถูกคนร้ายข่ม…แค่กๆ ขืน ไปแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร”

คำถามนี้ ถามได้เว่อร์วังไปหน่อยไหม

เสิ่นชิงชิวอึ้งพูดไม่ออกอยู่นาน ก่อนจะกล่าวว่า “ใครมันจะคิดสั้นกล้ามาข่มชื่นเขา…”

อยากตายทั้งทีก็หาวิธีตายให้มันสวยๆ หน่อยไม่ได้รึ

ลั่วปิงเหอถกแขนเสื้อ กล่าวช้าๆ ทีละคำ “จับหั่นเป็นแท่งแล้วโยนลงไปในห้วงอเวจี จากนั้นค่อยๆ คิดหาวิธีมาเล่นกับมันสัก 10 ปีก่อนค่อยฆ่าให้ตาย”

 

ซั่งชิงหัว “หากว่ามีสหายสนิทของเจ้าคนหนึ่งมาบอกเจ้าว่าคืนนี้ข้าเหงาเหลือเกิน ขอแค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นเอง ขอมีความสัมพันธ์เนื้อแนบเนื้อกับเจ้า เจ้าจะ”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างไม่สนใจไยดีว่า “ข้าไม่เคยมีสหายที่หน้าด้านไร้ยางอายแบบนั้น ข้าไม่ต้องการสหายด้วย”

เสิ่นชิงชิวก้มหน้าเอาฝาถ้วยชาปาดใบชาที่ผิวน้ำแล้วจิบคำหนึ่ง “ข้าก็ไม่มีเหมือนกัน

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างสงสัย “อย่างนั้นหรือหลิ่ว…อาจารย์อาหลิ่วไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ใช่หรือไม่”

น้ำชาพุ่งพรวด

 

ซั่งชิงหัวที่ถูกน้ำชากระเด็นใส่ไปครึ่งตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่แห้งสะอาดแล้วกลับมาสัมภาษณ์ต่อ “เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกาจเรื่องในห้องหอหรือไม่ อีกฝ่ายล่ะ”

เสิ่นชิงชิวหัวเราะแหะๆ ลั่วปิงเหอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เสิ่นชิงชิวเห็นเขาทำหน้าหม่นหมองโศกเศร้าสุดจะเอ่ยก็นึกสงสาร หันไปต่อว่าซั่งชิงหัว “เรื่องไม่ควรพูด ยังจะเอามาพูดอีกหรือ ผ่าน!”

ซั่งชิงหัวเอามือแคะหู “ถือว่าข้าผิดละกัน”

 

ซั่งชิงหัว “ชอบแนว S-M ไหม”

ลั่วปังเหอถามว่า “มันคืออะไรอีกล่ะ ซือจุน ทำไมข้ายิ่งฟังยิ่งมีแต่คำถามที่ไม่เข้าใจมากขึ้นทุกทีแล้ว”

เสิ่นชิงชิว “อ๋อ ที่เขาถามเจ้าก็คือ เจ้าชอบให้ข้าตีเจ้า ดุเจ้าหรือว่าถูกข้าเอาเข็มจิ้ม ใช้เทียนลน อะไรพวกนั้นไหม เจ้าจะรู้สึกอะไรไหม”

ลั่วปิงเหอตอบอายๆ ด้วยเสียงเบาหวิว “ในเมื่อซือจุนเป็นผู้กระทำ ศิษย์จะไม่ชอบได้อย่างไร”

ซั่งชิงหัวเก็ตทันที จดยิกๆ “ลั่วปิงเหอสนใจแนว S-M มาก!

 

ซั่งชิงหัว “เรื่องในห้องหอที่ค่อนข้างทรมานคือ?”

ลั่วปิงเหอ “เล็กไป”

เสิ่นชิงชิว “ใหญ่ไป”

ซั่งชิงหัวนึกด่าศิษย์อาจารย์คู่นี้ว่าช่างไม่มียางอายเอาเสียเลย พลางเขียนลงไปว่า “เข้าใจเอาเองแล้วกัน”

 

ซั่งชิงหัว “ฝ่ายรับเคยยั่วยวนก่อนหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวเอามือชี้ตัวเอง “ข้าหรือ ข้าดูเหมือนคนที่จะทำเรื่องแบบนั้นรึไง”

ซั่งชิงหัวกล่าวงึมงำ “บอกยากนะ ที่จริงเจ้าเองก็ดูเหมือนชายแท้…”

 

ซั่งชิงหัว “ชอบให้อีกฝ่ายจูบที่ตรงไหน

ลั่วถึงเหอตอบว่า “หน้าผาก นิ้ว ริมฝีปาก แล้วก็ทุกๆ ที่เลย”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างจนใจว่า “ความจริงเด็กคนนี้ฐบไม่ค่อยเป็นหรอก กัดเป็นอย่างเดียว”

 

ซั่งชิงหัว “ระหว่างที่ (เซ็นเซอร์) วิธีที่ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขมากที่สุดคือ”

เสิ่นชิงชิว “ชมว่าเขาเก่งขึ้น”

ลั่วปิงเหอตอบว่า “ไม่ร้องไห้”

ซั่งชิงหัวเขียนปราดๆ เติมลงไปอีกประโยคอย่างไม่ใส่ใจ “ข้อเรียกร้องของท่านเสิ่นต่ำมากจริงๆ”

 

ซั่งชิงหัว “ตอนนั้นเจ้าคิดอะไร”

เสิ่นชิงชิว “ไอ้คนคิดคำถามนี้ออกมามันเป็นใคร เคยมีประสบการณ์มั่งไหม เวลาแบบนั้นนอกจากฟ้าขาวโพลนแล้วใครมันยังจะไปคิดเรื่องอะไรได้อีก”

 

ซั่งชิงหัว “เวลาถอดเสื้อผ้าคือเจ้าถอดเองหรืออีกฝ่ายช่วยถอดให้”

เสิ่นชิงชิว “ขืนให้เขาถอด ข้าคงไม่มีเสื้อผ้าเหลือให้สวม”

ลั่วปิงเหออธิบาย “ซือจุน เวลาแบบนั้น ข้าจะควบคุมเรี่ยวแรงของตัวเองได้อย่างไร”

 

ซั่งชิงหัว “หนึ่งคืนส่วนใหญ่ประมาณกี่ครั้ง”

เสิ่นชิงชิว “กี่ครั้งเหรอ ไม่นะ ข้าว่า เรื่องนี้มีคนมานั่งนับจริงๆ รึ”

ซั่งชิงหัวพลิกหน้ากระดาษ เตรียมถามต่อ ลั่วปิงเหอที่หมดความอดทนไปนานแล้วหัวเราะเย็นยะเยียบ “อยากรู้จริงๆ ละก็ คืนนี้จะลองนับดูแล้วกลับมาบอกเจ้า…อาจารย์อาซั่ง…ก็ใช้ได้แล้ว”

 

ซั่งชิงหัว “คำถามสุดท้ายแล้ว! สุดท้ายแล้วจริงๆ นะ ประโยคที่อยากบอกอีกฝ่ายมากที่สุดคือ”

ศิษย์อาจารย์คู่นี้สบตากันแวบหนึ่ง

เสิ่นชิงชิวโบกพัดจีบกล่าวว่า “เลิกงานแล้วปิงเหอ กลับบ้านกินข้าว”

ลั่วปิงเหอตอบอย่างว่าง่าย “อื้ม ได้สิขอรับ”

เขาโอบไหล่ของเสิ่นชิงชิวด้วยมือข้างเดียว เตะประตูออกไปทันที ลมหอบใหญ่ม้วนเข้ามาในห้อง ทำเอากระดาษคำถามที่ซั่งชิงหัวเพิ่งเขียนเสร็จปลิวไปทั่ว ซั่งซิงหัวมุมปากกระตุกไม่หยุด เขายอบกายลงไปเก็บขึ้นมาได้สองสามแผ่น ผ่านไปสักพักก็เข้าอ่อนลงไปเดี๋ยวนั้น

“หวงกวาซยงแล่นผมเข้าแล้ว…นี่มันไม่ใช่ประโยคที่พวกคุณอยากบอกกันและกันมากที่สุดเสียหน่อย! โธ่ ภารกิจของผม…พี่ระบบอย่าหักคะแนนเร็วขนาดนี้สิ เหลือแค่คำถามสุดท้ายไม่ได้ถามให้เสร็จแค่นั้นเอ๊งงงง หวงกวาซยงทำผมซวยแล้วไหมล่ะ!!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version